ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC B.A.P] B L U R { UpLo }

    ลำดับตอนที่ #5 : B L U R : 5

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 56


    B L U R

    5



     

                    คำว่าพรุ่งนี้เจอกันทำให้เกิดความรู้สึกหลายอย่างสำหรับจุนฮง ถ้าเป็นเมื่อก่อนจงออบมักจะรอเขาอยู่หน้าประตูรั้ว พวกเขาจะตกลงกันเรื่องอาหารเช้าว่าจะกินแบบไหน จงออบจะแกล้งแย่งนมจืดของจุนฮงไป ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาสูงพอแล้ว จากนั้นก็จะลูบหัวจุนฮงเบาๆเมื่อเห็นว่าคนอายุน้อยกว่างอนจริงๆแล้วก็คืนนมให้ มีหลายอย่างที่พวกเขาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันก่อนถึงโรงเรียน เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่พวกเขาเก็บสะสมร่วมกันมานับปีๆ แต่ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว

                    จุนฮงเกลียดที่พบว่าตัวเองเอาแต่คิดว่าจงออบทิ้งช่วงเวลาเหล่านั้นไป เกลียดที่เอาแต่คิดว่าซักวันหนึ่งช่วงเวลาเหล่านั้นจะกลับมา เกลียดที่มักจะแอบโทษว่าเป็นความผิดจงออบในใจเสมอ ทั้งที่ทั้งหมดมันเริ่มที่ตัวเขา เป็นเขาเองที่ไม่มั่นคง และเป็นเขาเองที่เลือกช่วยคนอื่นและทำให้จงออบเป็นแบบนี้


                    [ นี่ นายฟังฉันอยู่รึเปล่าน่ะ... ] เสียงทุ้มที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ทำให้จุนฮงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถือสายของแดฮยอนไว้อยู่ พี่ชายที่อยู่คอนโดโทรมาถามสารทุกข์สุขดิบซึ่งเน้นไปทางทุกข์เสียมากกว่า จุนฮงเล่าเรื่องวันนี้ให้แดฮยอนฟังอย่างเสียไม่ได้ จริงๆแล้วคนที่จุนฮงอยากปรึกษาด้วยคือยองแจ ความคิดของยองแจมักจะกว้างและละเอียดกว่าที่จุนฮงเคยมองเสมอ แต่ก็นั่นล่ะ   บรรยากาศความเป็นยองแจมันห่างเหินเกินกว่าที่จุนฮงจะปรึกษาเรื่องน่าอายอย่างนี้


                    “เมื่อกี๊ไม่ได้ฟัง พี่ว่าอะไรนะ” จบคำตอบจุนฮงก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของแดฮยอน


                    [ พี่ถามว่าวันนี้นายจะมาหาพี่รึเปล่า ดูอาการนายไม่ค่อยโอเคนะ ]


                    “อาฮะ ผมไม่ค่อยโอเค ไว้วันหลังเถอะ” จุนฮงปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด แม้อยู่กับแดฮยอนจะทำให้ลืมความกังวล แต่ท้ายที่สุด

    แล้วเขาก็ต้องกลับมาจมกับความรู้สึกผิดคนเดียวอยู่ดี


                    “จุนฮง เสร็จรึยังลูก จงออบมารอแล้วนะ” เสียงของคุณนายชเวดังมาจากประตู จุนฮงใช้มือปิดไมค์ไว้แล้วตะโกนตอบคนเป็นแม่


                    “กำลังจะออกไปครับ... แค่นี้ก่อนนะ ผมต้องไปแล้ว” ประโยคหลังจุนฮงกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ ก่อนจะกดตัดสายแล้วคว้ากระเป๋าเดินออกไปนอกห้อง รับแซนด์วิชที่แม่ยื่นให้ แล้ววิ่งออกไปนอกบ้าน ในเมื่อยังไงก็ต้องเจอ ก็รีบๆเจอรีบๆเจ็บไปเลยเถอะ!


                    จงออบยืนรออยู่ที่หน้าบ้านเหมือนทุกครั้งจนจุนฮงเกือบเผลอดึงแขนอีกฝ่ายให้เดินตามเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยั้งมือไว้ได้เมื่อจงออบเอ่ยทักทาย


                    “อรุณสวัสดิ์” เด็กตัวสูงลดมือลงเมื่อคนที่เขากำลังจะเอื้อมมือไปดึงเอ่ยประโยคสามัญออกมา จุนฮงรู้สึกเหมือนหน้าของเขาทำมาจากเม็ดทราย แห้งผากเสียจนไม่น่าจะก่อรวมกันเป็นรูปร่างได้ จุนฮงฝืนตัวเองให้เงยหน้าสบตาอีกคนแล้วพยักหน้ารับคำทักทายนั้น แต่ไม่ได้ตอบกลับเป็นคำพูด พวกเขาเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางที่จะพาคนทั้งสองไปยังโรงเรียน สิ่งที่ทั้คู่รับรู้ได้ชัดเจนที่สุดคืออากาศหนาวที่ทำร้ายผิวหนังแม้จะมีทั้งแจ็คเก็ตและผ้าพันคอ กับความเงียบที่เป็นเหมือนตัวละครเอกของเรื่อง จุนฮงทำท่าจะเอามือซุกในเสื้อเพื่อไล่ความหนาว แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แบ่งอาหารเช้าอีกส่วนให้จงออบเลย  นิ้วยาวเขี่ยที่แขนของคนที่เดินข้างๆสองสามทีจนจงออบหันมามองแล้วจึงยื่นแซนด์วิชกับนมกล่องให้โดยไม่พูดอะไร จงออบรับมาแล้วยิ้มกว้าง


                    “ขอบใจนะ เห็นถืออยู่ตั้งนาน นึกว่านายจะไม่แบ่งให้แล้วซะอีก” จุนฮงอยากจะตีจงออบสักทีกับการพูดเล่นที่ทำให้เขาเขินอายนั่น ถึงจะหยุดมือตัวเองทันแต่ก็ยั้งปากไม่ได้ซะแล้ว


                    “ฮยองว่าผมเป็นพวกขี้งกหรือไง!” เด็กชายอยากจะใช้หัวเดินต่างเท้าเมื่อพบว่าตัวเองหลุดใช้อารมณ์กับอีกคนเป็นครั้งแรก เสียงแหวของเขาไม่ได้ดังมากเหมือนเมื่อก่อน แต่มันก็ดังที่สุดหลังจากจงออบลืมเขาไป จุนฮงแอบหมั่นไส้พี่ชายข้างๆเล็กน้อยที่ไม่ว่าจะตอนปกติหรือความจำเสื่อมก็ยังขี้แกล้งแม้กระทั่งกับเรื่องเล็กๆไม่เปลี่ยน


                    “ฮ่าๆ เปล่าสักหน่อย ฉันว่านายเป็นเด็กชอบกินต่างหาก”


                    “พอเถอะครับฮยอง!” จุนฮงตะโกนใส่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วก้มหน้าจ้ำเท้าเดินนำจงออบไปหลายก้าว


                    “ไม่เอาน่า ฮยองแค่อยากเห็นเราทำหน้าอย่างอื่นบ้างแค่นั้นเอง” จงออบวิ่งตามจนทันและจับบ่าของจุนฮงไว้ คนถูกจับให้อยู่กับที่ชะงักกับสรรพนามแทนตัวที่เปลี่ยนไปของจงออบ เด็กชายกระพริบตาหลายทีด้วยความไม่แน่ใจ แต่จงออบก็ยังมองเขาด้วยรอยยิ้มแบบเดิม


                    “หน้าฮยองมีอะไรแปลกไปเหรอ ?” จงออบยกมือที่จับบ่าจุนนงไว้ขึ้นแตะหน้าตัวเองเบาๆแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ จึงเปลี่ยนมาจ้องตาจุนฮงเพื่อคั้นคำตอบ การโดนจ้องอย่างนั้นทำให้จุนฮงต้องหลีกสายตาไปทางอื่นแล้วตอบคำถามด้วยเสียงแผ่วเบา


                    “ก็ฮยองแทนตัวเองว่าฮยอง”


                    “เอ้า ก็นายเรียกฮยองว่าฮยองนี่” จงออบขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจแต่สุดท้ายก็หัวเราะแล้วบอกเหตุผลจริงๆ


                    “ถ้าเมื่อก่อนนายเรียกอย่างนี้ก็ควรจะเรียกต่อไปไม่ใช่เหรอ จำไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเปลี่ยนไปทั้งหมดนี่”


                    แต่ไอ้เรื่องที่เปลี่ยนไปมันเรื่องใหญ่นะฮยอง...


                    ถึงจุนฮงจะคิดอย่างนั้นก็ไม่กล้าพูดออกไป จงออบดูเหมือนเลือกที่จะมองข้ามสถานะความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปของพวกเขาทั้ง
    สอง และประคับประคองสถานะใหม่ให้มันดีขึ้น แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ยากที่จะทำใจได้ ก่อนที่จุนฮงจะหยุดนิ่งและเตลิดไปกับความฟุ้งซ่านของตัวเอง เสียงของบุคคลที่สามก็แทรกเข้ามา


                    “ไง จงออบ! ไม่เห็นหน้าตั้งนาน” เจ้าของคำพูดคือเด็กหนุ่มมัธยมปลายผิวสีแทน ผมสีดำกึ่งน้ำตาลถูกซอยสั้นและดัดเป็นลอนเล็กๆตรงส่วนที่เป็นหน้าม้าเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย มือที่ก่อนหน้านี้ซุกอยู่ในกางเกงถูกยกออกมาตบไหล่จงออบอย่างสนิทสนม  คนถูกทักหัวเราะหึแล้วตอบกลับอย่างคุ้นเคย


                    “ตลกน่าจงอิน นายก็รู้ว่าหน้าฉันอยู่ไหน ไม่ไปมองล่ะฮึ”


                    “ให้ตาย มุนจงออบ อย่าพูดจาแบบนี้อีกนะ” จงอินเอามือโบกที่หน้าทำท่าเหมือนพะอืดพะอม แล้วก็ทำตาโตเมื่อสังเกตเห็นจุนฮงที่ยืนเงียบอยู่


                    “เอ้า ไอ้ตัวดี มาอยู่นี่เอง คิดจะโดดชมรมไปถึงเมื่อไหร่ฮะ! อยากผ่านกิจกรรมปีนี้รึเปล่า!” น้ำเสียงที่ใช้พูดเปลี่ยนไปราวกับคนละคน จงออบมองหน้าประธานชมที่ตัวเองอยู่อย่างแปลกใจ แล้วก็หันไปมองหน้าเด็กตัวสูงที่ยืนหน้าจ๋อยอีกที


                    “นายหมายถึงอะไร ?” คำถามของจงออบไม่ได้รับคำตอบ แต่กลับทำให้ประธานชมรมเต้นทำหน้างงใส่คนถามแทน


                    “นายจะถามอะไร ช่วยทำให้คำถามมันแคบกว่านี้หน่อยได้มั้ย” จงอินจ้องหน้าจงออบด้วยความไม่เข้าใจ และเพราะรู้ว่ามัน
    อาจจะยากถ้าให้จงออบลงรายละเอียดคำถาม จุนฮงจึงเงยหน้าขึ้นมาอธิบาย


                    “จงออบฮยองไม่รู้ว่าผมอยู่ชมรมเดียวกับเขาน่ะ” จงอินมีสีหน้าไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มผิวแทนมองหน้าเพื่อนตัวเองสลับกับรุ่นน้องด้วยความสงสัย


                    “นี่ตลกกว่าที่จงออบพูดชวนอ้วกเมื่อกี๊อีกนะจุนฮง หมอนี่จะไม่รู้ได้ยังไง นี่พวกนายเล่นอะไรกันฉันงงไปหมดแล้ว บอกไว้ก่อนนะถ้าสุดท้ายมันขำไม่พอล่ะก็พวกนายเจอดีแน่” ท่าทางจริงจังของจงอินทำให้จงออบยกมือขึ้นแตะไหล่จุนฮงที่กำลังจะอธิบายแล้วเป็นฝ่ายพูดเอง


                    “เพราะอุบัติเหตุนั่น ฉันเลยจำจุนฮงไม่ได้ จำทุกอย่างที่เกี่ยวกับจุนฮงไม่ได้เลย แม้แต่แม่ของเขา หรือว่าเรื่องที่พวกเราเคยคบกัน” สีหน้าของจงอินตอนนี้บอกไม่ได้ว่าเขากำลังคิดอะไร เชื่อหรือไม่เชื่อ เห็นใจหรือมองว่าเป็นตลกร้าย


                    “นายพูดว่าเคยคบกัน... นี่พวกนายเลิกกัน...แล้ว ?” จงออบหันไปมองหน้าจุนฮงซักพักเพื่อรอสัญญาณอะไรจากคนอายุน้อยกว่า แต่อีกคนก็เอาแต่ยืนแข็งเหมือนไม่รับรู้อะไร เขาจึงต้องพยักหน้ารับช้าๆ


                    “เลิกกัน... เพราะแค่นี้เนี่ยนะ ?! มันไม่ใช่นายเลยนะจงออบ” สำหรับจงอินแล้วมุน จงออบมีความรับผิดชอบสูงชนิดที่ว่าถ้าจงอินไม่ใช่คนที่เข้าชมรมมาก่อนจงออบคงได้เป็นประธานชมรมไปแล้ว


                    “ก็ไม่ใช่ฉันน่ะสิ” จงออบถอนหายใจหน่ายๆ แล้วก็มองไปทางอื่น


                    “งั้นก็จุนฮง ? เอาเถอะๆ เอาเป็นว่าฉันเข้าใจแล้วก็ได้ พี่จะไม่โทษนายเรื่องไม่เข้าชมรมก่อนหน้านี้ แต่นับจากวันนี้ นายต้องกลับไปเข้าชมรมเหมือนเดิม เข้าใจมั้ยจุนฮง ?” น้ำเสียงจริงจังที่บ่งบอกการบังคับทำให้จุนฮงต้องพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ จริงๆแล้วชมรมเองเป็นที่ที่เขาสบายใจที่สุดในโรงเรียน แล้วเขากับประธานชมรมก็สนิทกันรองจากกลุ่มที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันด้วย


                    “เยี่ยม! งั้นเราสามคนก็ไปเรียนกันเถอะ” และน้ำเสียงของจงอินก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับการตอบรับที่น่าพอใจ


                    “สามคนเหรอ”


                    “สามคนสิ ไปเถอะ!” หลังจากแทรกตัวเองเข้ามาอย่างสมบูรณ์แบบจงอินก็โอบไหล่จุนฮงและจงออบและดันให้เดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนชวนคุยเรื่องโน่นนี่จนบรรยากาศที่เคยตึงเครียดค่อยๆจางลง และพวกเขาก็เดินมาถึงโรงเรียนในที่สุด จงอินก็หยุดเดินและทำท่าเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้เลยตบไหล่จงออบเสียงดังจนคนโดนกระทำชำเราไหล่เหลือบมองด้วยหางตาสื่ออารมณ์ทำนองว่าถ้าเรื่องที่กำลังจะพูดไม่สำคัญพอไหล่นายจะโดนเป็นสองเท่า


                    “ฉันเพิ่งนึกได้ เมื่อวานชมรมเราเพิ่งรับเด็กใหม่เข้ามาคนนึง กำลังคิดอยู่เลยว่าจะให้ใครเป็นพี่เลี้ยง” จงออบตัดสินให้เรื่องนั้นมีความสำคัญพอให้เขาไม่ต้องเอาคืนจงอิน แล้วหยุดรอว่าเพื่อนเขาจะพูดอะไรต่อไป


                    “แล้ว ?”


                    “นายไงครับ ฮ่าๆ เก่ง ใจดี เทวดาที่สุดในชมรมละ รับไป -3-” พูดจบก็ตบบ่าจงออบแรงๆอีกสองที จนจงออบเริ่มสงสัยว่าถ้าจงอินมีนิสัยชอบตบตีร่างกายคนอื่นอยู่แล้ว ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่แสดงนิสัยนี้ให้เห็น


                    “อือ” แล้วก็เป็นไปตามที่จงอินคาด จงออบมักให้ความช่วยเหลือโดยไม่ถามเหตุผลมากไปกว่าที่คนขอความช่วยเหลือได้ให้ไว้แล้วเสมอ เพราะอย่างนี้ไง ถึงได้สนิทกันทั้งที่เป็นคู่แข่งในชมรมแท้ๆ


                    “แต่ช่วงนี้รุ่นพี่ก็ว่างไม่ใช่เหรอครับ ?” จุนฮงที่เดินเงียบๆมานานอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น ในเมื่อเขาก็ไม่เห็นว่าจงอินมีหน้าที่อะไรเป็นพิเศษนอกจากดูแลความเรียบร้อย และอย่างอื่นเหมือนที่เคยทำมาตลอด ทำไมต้องให้คนที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลแถมแขนเดี้ยงอย่างหนึ่งอย่างจงออบรับงานทันทีที่กลับมาโรงเรียนด้วย


                    “ก็ตอนนี้ไม่ว่างแล้วไง J ฉันก็เห็นใจนะที่จงออบเดี้ยงอยู่อย่างนี้ แต่เด็กใหม่น่ะเก่ง แถมเพื่อนฉันก็ฉลาด มันสอนกันไม่ลำบากหรอก” จุนฮงแค่นหัวเราะเมื่อได้รับคำตอบ  ถึงเขาจะหลบหนีจากสังคม แต่ข่าวลือที่ว่าเห็นเด็กโรงเรียนอื่นมายืนรอจงอินอยู่หน้าโรงเรียนน่าจะเป็นความจริง


                    “ทำชั่วอย่างนี้ระวังความรักจะไม่ราบรื่นนะครับรุ่นพี่” พอคิดแล้วก็อดแขวะไม่ได้ จุนฮงเกลียดปากตัวเองจริงๆนะ


                    “ฮ่าๆ รักมันต้องขรุขระสิถึงจะเซ็กซี่” จงอินรับฟังคำเสียดสีอย่างไม่หยี่ระ และออกจะสนุกกับการโต้ตอบนี้ด้วยซ้ำ


                    “ตรรกะอะไรของพี่เนี่ย”


                    “รักที่ราบรื่น... นึกภาพว่าตัวเองต้องตื่นมาเจออะไรเดิมๆทุกวันแบบนั้นฉันก็ขอบายว่ะ เฉาตายพอดี” จงอินเบะปากเมื่อจู่ๆในหัวก็มีภาพตัวเองเดินจับมือกับคนรัก แวะร้านขนม โบกมือลา แล้วก็เดินจับมือ แล้วก็กินขนม แล้วก็โบกมือลาอีกรอบ หัวใจที่มีเลือดสูบฉีดจนทะลักของคิม จงอินรับภาพนั้นไม่ได้!


                    “คำว่าราบรื่นไม่ได้หมายถึงจืดชืดนะฮยอง =__=


                    “ความหมายเดียวกันแหละ ชีวิตที่ราบรื่นน่ะไม่มีหรอกนะ ที่นายเคยคบกับจงออบมันราบรื่นตลอดเหรอ” คำถามของจงอินทำให้จุนฮงกลับไปนิ่งเงียบอีกครั้ง เพราะมันแอบแทบใจดำเขาเล็กน้อย ในเมื่อมันเพิ่งจะไม่ราบรื่นเมื่อไม่นานมานี้เอง


                    “ไม่รู้สิครับ...” จุนฮงก้มหน้าพึมพำคำตอบที่แทบไม่ได้ยิน จงอินจึงถอนหายใจแล้วบอกว่าช่างเถอะ ก่อนจะดันจุนฮงให้เข้าไปในห้องเรียน ส่วนตัวเองก็ลากจงออบเดินไปอีกชั้น

     

                    บรรยากาศที่เหมือนจะเงียบสงบหายไปเมื่อจุนฮงเดินเข้ามาในห้องเรียน เหมือนว่าประสาทสัมผัสของเขายอมรับรู้เรื่องราวรอบตัวอีกครั้งหลังผละออกจากสถานการณ์ครึ่งๆกลางๆที่ให้ความรู้สึกอึดอัดแปลกๆ แต่จุนฮงก็ยังรู้สึกว่าระหว่างเขากับจงออบนั้นดีขึ้นเล็กน้อย ตัวเขาเองมีความกล้าเพิ่มขึ้น ส่วนจงออบก็เหมือนจะจับทางเขาได้ชัดเจนกว่าเดิม เสียงคุยดังมาจากทุกทิศทางรอบห้อง มีเพื่อนบางคนหันมาเอ่ยทักทายจุนฮงแล้วก็กลับเข้ากลุ่มสนทนาต่อ ตัวเขาเองก็ยิ้มรับและทักทายคนที่บังเอิญสบตาด้วยสองสามคน ก่อนจะเดินมาถึงที่นั่งของตัวเองก็พบเพื่อนสาวที่นั่งคู่กันกำลังนั่งคุยกับเด็กหนุ่มสองคนที่คนหนึ่งจุนฮงจำได้ว่าเป็นคนที่เพื่อนข้างโต๊ะของเขากำลังเดทด้วย ส่วนอีกคนจุนฮงเคยเห็นผ่านๆ และเคยทักทายกันมากสุดแค่สวัสดี


                    “จุนฮง อรุณสวัสดิ์” เพื่อนสาวที่นั่งข้างจุนฮงเป็นคนเอ่ยทักคนแรก อีกสองคนจึงหันมาและทักเขาบ้าง จุนฮงตอบกลับแล้วยิ้มให้ ก่อนจะนั่งลงตรงโต๊ะของตัวเอง แต่หญิงสาวคนเดียวในที่นั้นกลับมีสีหน้ากังวลแปลกๆจุนฮงจึงต้องถามว่ามีอะไรรึเปล่า


                    “คือ... ฉัน  ฉันจะย้ายที่น่ะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากนั่งกับนายน้าจุนฮง แต่นายเข้าใจใช่มั้ย” สีหน้าของเด็กสาวตอนนี้มีทั้งความรู้สึกผิดและเขินอายปนกัน จุนฮงมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้ม


                    “เข้าใจสิ แค่ย้ายที่เอง ไม่เอาน่า” เด็กสาวมองหน้าจุนฮงแล้วยิ้มกว้างกุมมือของจุนฮงไว้ด้วยมือทั้งสองข้างเธอแล้วชูเหนือหัว


                    “ขอบใจน้าที่ไม่โกรธ นายน่ารักจังเลย” จุนฮงรีบดึงมือออกมาอย่างตกใจและค่อนข้างอายกับเสียงขอบคุณที่ดังลั่นห้องของเด็ก
    สาวตรงหน้า เธอส่งยิ้มให้เขาแหยๆเมื่อรู้ตัวว่าเผลอทำเสียงดังจนคนทั้งห้องหันมามอง แล้วโบกมือไล่เพื่อนที่มองอยู่ให้หันกลับไป คน
    รอบห้องเลยแค่หัวเราะเบาๆแล้วกลับไปคุยเรื่องของตัวเองต่อ


                    “งั้นฉันจะแนะนำให้รู้จักกับคนที่จะมานั่งที่นั่งฉัน นายต้องไม่เคยคุยแน่เลย เอ้า จองกุก มานี่สิ!” พูดเสร็จก็ลากเพื่อนร่วมห้องอีกคนให้มายืนตรงหน้าจุนฮง


                    “แฮ่ หวัดดี จองกุกนะ จอน จองกุก” จองกุกแนะนำตัวแบบงงๆ มือที่เคยวางอยู่ข้างตัวก็ยกขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ แก้มที่น่าจะนิ่มพอดูยกขึ้นยามเจ้าของใบหน้าฉีกยิ้ม


                    “อ่า สวัสดี ฉันจุนฮง ชเว จุนฮง” เพราะท่าทางเก้งก้างของจองกุกทำให้จุนฮงคิดว่าถ้าเขาตอบไปแค่สวัสดีอีกคนต้องหน้าเสียแน่ๆ แล้วก็เหมือนจะเป็นอย่างที่เขาคิด เพราะเมื่อจุนฮงแนะนำชื่อตัวเองจองกุกก็ดูจะมีสีหน้ามั่นใจขึ้นมากกว่าเดิม เขาเริ่มชวนจุนฮงคุย จนเพื่อนอีกสองคนขอแยกตัวไป จุนฮงพบว่าจองกุกเป็นคนคุยเก่ง สามารถชวนคุยได้ทุกอย่างตั้งแต่ตอนเด็กๆชอบพับเรือหางยาวมากกว่าเรือใบ แต่โตมาซักนิดก็รู้สึกว่าเรือใบมันสวยกว่า จนกระทั่งใครซักคนนำการสนทนาเข้าสู่เรื่องชมรม


                    “นายก็อยู่ชมรมเต้นนี่นา รุ่นพี่จงอินบอกว่าฉันต้องมีพี่เลี้ยง แต่จะเป็นใครพี่เขายังไม่บอก” จุนฮงฟังจองกุกแล้วก็ได้แต่หัวเราะในใจ ที่ยังไม่บอกเพราะยังหาคนมารับภาระไม่ได้น่ะสิ


                    “เอาเถอะ เดี๋ยวนายก็รู้” จริงๆก็อยากบอกจองกุก แต่ก็นั่นแหละ เดี๋ยวเย็นนี้จองกุกก็ต้องรู้อยู่แล้ว ปล่อยให้สงสัยว่าพี่เลี้ยงเป็นใครนิสัยยังไงแต่ไม่มีปัจจัยอื่นๆดีกว่ารู้แล้วว่าเป็นจงออบและเอาพื้นฐานจากที่เห็นมาคาดหวังว่าจงออบจะเป็นแบบไหน


                    “อ่า งั้นเย็นนี้ไปพร้อมกันนะ อย่าชิ่งฉันล่ะ” จองกุกมัดมือชกยิ้มๆแล้วสัญญาณเข้าเรียนก็ดังขึ้น ทั้งคู่เลยหยิบหนังสือวิชาแรกขึ้นมาวางแล้วหยุดเรื่องชมรมไว้แค่นั้น

     

                    การเรียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนมาถึงชั่วโมงกิจกรรมจองกุกรีบเก็บของแล้วลากจุนฮงไปที่ตึกศิลปะของโรงเรียนด้วยความใจร้อนจนจุนฮงต้องยื้อตัวไว้แล้วบอกให้จองกุกเดินช้าๆ


                    “โทษที อยากเห็นหน้าพี่เลี้ยงนี่”


                    “แล้วนายอยากได้ใครเป็นพี่เลี้ยง” จองกุกนิ่งไปพักหนึ่งก่อนตอบออกมา


                    “น่าจะรุ่นพี่จงออบล่ะมั้ง... นายกับพี่เขาสนิทกันใช่มั้ย พี่เขาเป็นไงมั่ง” จุนฮงนิ่งไปเพราะคำถามของจองกุก เขาไม่ได้อยู่ในสภาวะที่จะสามารถตอบคำถามหรืออธิบายอะไรต่างๆได้ แต่ก็สั่งตัวเองให้ยิ้มออกไปหลังจากรู้ว่าได้เงียบมาพักใหญ่แล้ว


                    “ก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นหรอก แต่ฮยองเขาก็ใจดีอย่างที่นายเห็นน่ะแหละ” จองกุกพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไรอีก เมื่อมาถึงห้องชมรมคนที่ผลักประตูเข้าไปก่อนคือเด็กใหม่ ส่วนจุนฮงยืนทำใจอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตามเข้าไป บรรยากาศในชมรมยังคงคึกคักเหมือนเดิม สมาชิกที่มาถึงแล้วกำลังวอร์มอัพร่างกาย แม้ว่าจองกุกจะเดินเข้ามาก่อน แต่พอเข้ามาแล้วก็ยังตื่นกับบรรยากาศที่ไม่คุ้นชินจนจุนฮงต้องลากไปหาประธานชมที่นอนเอกขเนกอยู่กับพื้นโดยมีกระเป๋านักเรียนหนุนหัวอยู่  จุนฮงมองพี่ชายผิวเข้มอย่างหมั่นไส้เลยก้มลงจับเท้าจงอินลากไปกับพื้นจนคนที่กำลังนอนหลับตาคิดเรื่องเพ้อเจ้ออยู่โวยวายลั่น


                    “ชเว จุนฮง ถ้ายังไม่หยุดฉันจะสั่งให้นายทำความสะอาดห้องชมรมทั้งเดือน!!” ได้ผลถนัด จุนฮงปล่อยเท้าจงอินลงจากมือ จากที่เคยยกขึ้นสูงเพราะขี้เกียจเป็นฝ่ายก้ม ตอนนี้ท่อนล่างของประธานชมรมจึงกระแทกกับพื้นเสียงดังจนทุกคนในชมรมหันมามองแล้วก็แอบอมยิ้มแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมาเพราะกลัวว่าจะโดนทำความสะอาดห้องชมรม


                    “ฮ่าๆ ก็ผมกลัวพี่จะไม่ตื่น”  จงอินจัดผมให้เข้าที่แล้วจ้องตารุ่นน้องตัวสูงอย่างอาฆาต


                    “เดี๋ยวเถอะ อย่าคิดว่าอกหักอยู่แล้วฉันจะถนอมนายมากกว่าเมื่อก่อนนะ” สำหรับจงอินนั้นพูดไปเพราะลืมตัว พอรู้ตัวอีกทีก็เห็นว่าจุนฮงหน้าเสียไปแวบหนึ่งแล้วก็หัวเราะแหะๆออกมา


                    “ถนอมผมหน่อยเถอะครับ นี่ก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว”บรรยากาศเงียบลงไปถนัดตา พอให้จงอินได้สังเกตุเห็นอีกคนที่ยืนอยู่แต่ไม่มีบทสนทนา


                    “อ้าว จองกุก ทำไมมากับหมอนี่ล่ะ นี่อยู่ห้องเดียวกันเหรอ” จองกุกไม่ทันได้ตอบอะไรจุนฮงก็แทรกขึ้นมาซะก่อน


                    “พี่นี่สักแต่รับแต่ไม่จำประวัติซักนิดเลยเหรอ”


                    “ชเว จุนฮง...” เพราะจงอินเรียกชื่อเสียงเข้มจุนฮงจึงหยุดพูดไป


                    “ครับ ผมอยู่ห้องเดียวกับจุนฮง เพิ่งย้ายมานั่งข้างกันด้วย” เมื่อเห็นว่าเป็นช่วงเหมาะ จองกุกจึงเลือกให้ตัวเองได้มีโอกาสพูดบ้าง


                    “ยังไงก็ช่างเถอะ พี่เลี้ยงนายอยู่โน่นแน่ะ ไปคุยกันเองไป” จริงๆแล้วจงอินไม่แน่ใจว่าตัวเองจับใจความเรื่องที่จองกุกพูดได้แค่ไหน แต่ก็โบกมือปัดๆเพราะขี้เกียจฟังต่อ แล้วไล่ให้เด็กไปหาพี่เลี้ยงตัวจริงที่เพิ่งเปิดประตูห้องชมรมเข้ามา จองกุกหันไปตามทางที่เขาชี้ แล้วตาเรียวของเด็กหนุ่มรุ่นน้องก็เบิ่งโตทอประกายเหมือนสมหวังอะไรซักอย่าง และก็อีกครั้งที่จงอินหมดความสนใจก่อนจะได้รู้ว่าแววตาของจองกุกหมายถึงอะไรจึงเดินหลีกเข้ามุมไปหาที่งีบจนกว่าจะหมดชั่วโมง

     

    TBC

    ไม่เคยคุยกันเลยดิ 555555 ชื่อแพรวนะคะ อายุ 16 =.,= เรียกพี่เรียกน้องเรียกชื่อเฉยๆตามสบาย
    ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย เพราะพอคิดคำพูดออก ก็ไม่มีฟีลเขียนคำบรรยาย น่าจะหายไปนานอีกเหมือนเดิม
    ละก็เพิ่งคิดได้อีกเรื่องเบลอมีชื่อไทยน้า ชื่อ
    เลอะเลือน  5555555 ไม่นึกเหมือนกันว่าตัวเองจะลืม ._.
    เอาจริงๆเวลาทิ้งท้ายในบอร์ดจะขอให้ติว่าควรปรับตรงไหนอะไรยังไง ที่นี่ก็อยากจะขอเหมือนกัน ไม่ชอบตรงไหนบอกนะคะ
    แล้วก็สุดท้าย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า :) 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×