คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : B L U R : 4
4
“สวัสดี”
ใครกันช่างคิดให้คิดให้คำพูดนี้เป็นคำทักทาย...
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาจุนฮงจุกจนขยับตัวลุกขึ้นทักทายอีกคนไม่ได้ เด็กหนุ่มทำได้เพียงหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ช่องท้องของเขาโล่งขึ้นหลังจากนั้น แต่เมื่อการผ่อนลมหายใจที่ยาวนานสิ้นสุดลงบรรยากาศรอบตัวก็บีบอัดและขึงเขาไว้กับที่เช่นเดิม
“นายโอเครึเปล่า”
ไม่โอเค... ถึงคำตอบนี้ดังจนผนังหัวใจเขาสั่น แต่มันเป็นเพียงคำตอบในใจที่ไม่มีทางดังไปถึงอีกคนที่ตอนนี้ใบหน้าอยู่ใกล้เขาเพียงเอื้อม จงออบเดินเข้ามาใกล้เตียงนอนของตัวเองซึ่งตอนนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญนอนอยู่และก้มลงจ้องใบหน้าของแขกที่ทำท่าทางแปลกๆนับตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา เขาออกจากโรงพยาบาลตอนสิบโมงเช้า แวะทานข้าวระหว่างทาง กลับมาถึงบ้านเวลาเที่ยงและเตียงของเขาก็ไม่ว่างแล้ว
จุนฮงยันพยักหน้าช้าๆจงออบจึงยืดตัวขึ้นเต็มความสูงปกติ ทำให้การหายใจของเด็กหนุ่มสะดวกขึ้นยิ่งกว่าเท่าตัว จุนฮงยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาแล้วก็ตกใจกับการหลับลึกของตัวเอง อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยง ทั้งที่แสงส่องเข้ามาตรงกับที่เขานอนอยู่พอดีแต่จุนฮงก็ยังไม่ตื่น พระเจ้าเล่นตลกกับเขาชัดๆ
“นาย... ชเว จุนฮง ?” จงออบจ้องเด็กหนุ่มตัวขาวที่จู่ๆก็มาโผล่บนที่นอนเขาเต็มตา สีหน้าของอีกฝ่ายดูอึดอัดและลำบากใจซึ่งจงออบก็คิดไว้แล้ว และเมื่อเป็นอย่างนี้ คนที่ต้องต่อบทสนทนาจึงเป็นเขา
“พวกฮยองบอกว่านายกับฉัน... เรา... คบกัน ?” จงออบไม่กล้าใช้คำว่าแฟนในการถาม เพราะเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแปลกๆ ไม่สิ อีกฝ่ายจะรู้สึกแปลกอะไรล่ะถ้าหากพวกเขาเป็นแฟนกันจริงๆ มีแต่จงออบต่างหากที่รู้สึกแปลกๆ จุนฮงมองหน้าจงออบแล้วสูดหายใจเฮือกใหญ่ นี่หมายความว่าจงออบจำฮยองคนอื่นๆได้ อาจจะจำทุกคนรอบตัวได้ด้วยซ้ำ แต่มุน จงออบกลับลืมเขา ลืมชเว จุนฮง...
“ครับ” จุนฮงพยักหน้าช้าๆ การพยักหน้าเหมือนจะเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ ตอนนี้สมองของเขาดูเหมือนจะกังวลกับก้อนความรู้สึกที่กดทับหน้าอกเขาอย่างหนักจนแทบหายใจไม่ออก ถ้าจุนฮงสามารถรับรู้รสชาติของก้อนประหลาดนั้นได้ เขาคิดว่ามันต้องขมยิ่งกว่าอมพาราเซตามอลไว้ในปากเสียอีก
“แต่... ถ้าฮยองจำไม่ได้ ผมว่าฮยองไม่ต้องพยายามหรอกฮะ” จุนฮงหยุดไปครู่หนึ่งเหมือนคิดคำพูด
“ถ้าฮยองเลือกแล้วว่าจะลืม ผมว่า... ไม่ใช่สิ ผมไม่ได้หมายความว่าฮยองเลือกให้เป็นแบบนี้ ผมแค่คิดว่าการที่ฮยองลืมอาจดีกับฮยองมากกว่าก็ได้” พูดจบก็ก้มหน้ามองผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินสด ทำเหมือนกับว่าใบหน้าของคนที่เขากำลังคุยด้วยอยู่ตรงนั้น จบประโยคของจุนฮงในห้องก็มีแต่ความเงียบ ไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากปากจงออบ และจุนฮงเองก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองว่าตอนนี้สีหน้าของอีกคนเป็นยังไง จุนฮงกลัวว่าจงออบอาจมีสีหน้าโล่งใจที่กำจัดความยุ่งยากออกไปได้ ซึ่งความยุ่งยากนั่นก็คือเขา
“ทำไม” เสียงที่แผ่วเบาของจงออบแทบจะแฝงไปกับอากาศถ้าไม่ติดว่าห้องนี้เงียบมาก
“ฮะ ?”
“ทำไมลืมแล้วจะดีกว่า ?”
ก็เพราะถ้าพี่จำได้พี่ก็จะเกลียดผมไงครับ...
“นายว่าไม่แปลกหรือไง คนคบกันบอกว่ามันคงดีกว่าถ้าอีกฝ่ายจำตัวเองไม่ได้ ฉันว่ามันแปลกๆนะ”
“....” จงออบหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นว่าจุนฮงยังเงียบ แล้วเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กชายบนเตียงจนคนโดนลูบหัวสะดุ้ง
“ถ้านายคิดว่าฉันลืมก็ดีก็ตามใจนาย ตอนนี้ฉันก็เป็นแค่แก้วเปล่า อยู่ที่นายจะเติมอะไรเข้ามามั้ย มันไม่เดือดร้อนหรอกถ้าจะเป็นแก้วเปล่าต่อไป” รอยยิ้มแบบที่จุนฮงเคยอยากครอบครอง และเคยได้มาครอบครองคลี่บนใบหน้าจงออบ เป็นรอยยิ้มที่ใครๆก็บอกว่าเหมือนกับยิ้มของเทวดาที่ช่วยพาคนออกจากความทุกข์ ตอนนี้รอยยิ้มที่ว่ากำลังเติมความทุกข์ลงในหลุมใหญ่กลางใจของจุนฮง เขาอยากให้จงออบยิ้มแบบนี้ให้เขาเวลาอื่นจัง...
“ผม... กลับก่อนนะฮะ” จุนฮงยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วบอกลาเจ้าของห้อง จงออบพยักหน้าแล้วหันไปสนใจกับข้าวของของตัวเองแทน จุนฮงปีนข้ามกลับไปฝั่งห้องนอนตัวเองแล้วทิ้งตัวลงข้างเตียง ซบหน้าลงบนหัวเข่าแล้วกัดริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นไว้
จุนฮงรู้ดีว่าเวลานี้สายเกินกว่าจะไปโรงเรียนให้อาจารย์ทำโทษเล่น เขาควรโทรไปให้เพื่อนซักคนลาป่วยให้ ว่าแล้วก็หยิบทัชโฟนสีขาวขึ้นมาเลื่อนหาเบอร์หัวหน้าห้องซึ่งทุกคนในห้องต้องมี แต่ยังไม่ทันที่จุนฮงจะได้กดโทรออก โทรศัพท์ของเขาก็แจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้าเสียก่อน เพราะเป็นข้อความจากแดฮยอนจุนฮงจึงเลือกที่จะเปิดอ่านก่อนโทรหาหัวหน้าห้อง
และชเว จุนฮงก็คิดถูก เพราะข้อความที่แดฮยอนส่งมาให้นั้นสำคัญกว่าการโทรไปลาป่วยจริงๆ...
หลังจุนฮงออกไปแล้วจงออบก็ง่วนอยู่กับข้าวของของเขา ทั้งหนังสือเรียนและเสื้อผ้า การอยู่ในโรงพยาบาลเพียงช่วงระยะสั้นๆทำให้เขาแทบลืมวันคืน จำไม่ได้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง เรื่องเรียนไม่มีปัญหาเท่าไหร่ เพราะนี่เป็นปีสุดท้ายของการเรียน ความรู้สำหรับสอบเข้ามหาลัยของจงออบค่อนข้างพร้อม ที่เหลือคือต้องตามงานว่ามีใครส่งอะไรไปแล้วบ้าง จะได้เก็บงานทันเพื่อนคนอื่น แล้วไม่ต้องรีบเอานาทีสุดท้าย จงออบจัดหนังสือที่วางเกะกะบนโต๊ะไปเรื่อยๆ ของที่เขาเพิ่งเอากลับจากโรงพยาบาลก็อยู่บนโต๊ะ รวมทั้งกุญแจสีเงินที่เขาบังเอิญเจอด้วย มือหนาหยิบลูกกุญแจที่เหมือนเคยวิ่งผ่านเข้าความทรงจำของเขามากกว่าครั้งหรือสองครั้งขึ้นมาจ้องมองแต่สุดท้ายก็ยอมแพ้และวางมันลงที่เดิม
ใบหน้าขาวซีดของเด็กตัวสูงที่มานอนกอดผ้าห่มในห้องนอนของเขาลอยเข้ามา จงออบอดรู้สึกไม่ได้ว่าจุนฮงเวลาตกใจทำให้เขาอยากทำให้อีกฝ่ายตกใจมากกว่าเดิม แต่ที่เขาไม่ทำอย่างนั้น เพราะดวงตาคู่นั้น... เหมือนจะเจ็บ
จงออบไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะเจ็บอะไรมากมายหรอก เป็นคนพูดเองแท้ๆว่าถ้าเขาลืมไปน่าจะดีกว่า หึ... มุน จงออบในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเลยซักนิด...
เสียงออดที่ดังขึ้นทำให้เจ้าของบ้านเพียงคนเดียวหยุดคิดเรื่องที่ตัวเองถือว่าไร้สาระแล้ววิ่งลงไปดู จงออบหยุดอยู่หน้าประตู มองออกไปทางหน้าบ้านเห็นหญิงสาววัยกลางคนแต่งตัวเรียบร้อยบุคลิกดียืนอยู่หน้าประตูรั้ว เด็กหนุ่มเดินออกไปหาแขกแล้วยิ้มให้อย่างที่เขามักจะทำ แต่ยังไม่เปิดประตูให้อีกฝ่าย
“จงออบกลับมาแล้วจริงๆด้วย จุนฮงไม่เห็นบอกน้าเลยว่าเราออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
จุนฮง?... น้า?...
คิ้วเข้มของจงออบขมวดเข้าหากัน เขาพยายามมองสำรวจใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยนี้ให้ละเอียด แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็หาเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ให้ความทรงจำของตัวเองไม่เจอ แต่เมื่อกี๊ผู้หญิงคนนี้พูดชื่อจุนฮง...
“เอ่อ... ผมคิดว่าเขาคงลืมแหละครับ” จงออบหยุดไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ “แต่ขอโทษนะครับ... ผม.. มีปัญหานิดหน่อย คือ.. คือ..” คนที่ยืนอยู่ด้านในของรั้วทึ้งผมตัวเองอย่างหัวเสียแล้วตัดสินใจพูดต่อ “ผมจำจุนฮงไม่ได้ แล้วก็จำอะไรเกี่ยวกับจุนฮงไม่ได้เลยครับ แม้แต่คุณน้า”
จากฝั่งตรงข้ามของรั้ว หญิงผู้มาเยือนมีสีหน้าตกใจจนเห็นได้ชัด แต่เพียงไม่นานก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้ เธอยิ้มอ่อนๆเหมือนแขกที่ไปให้กำลังใจผู้ป่วยในโรงพยาบาล แล้วกล่าวด้วยเสียงอ่อนหวาน
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะถ้าเธอจะจำน้าไม่ได้ ยังไงบ้านเราก็สนิทกันอยู่แล้ว ว่าแต่จะไม่เปิดประตูให้น้าหน่อยเหรอจ๊ะ” จงออบยิ้มแหย เมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองรับแขกผู้หญิงด้วยการสนทนากับอีกฝ่ายจากคนละด้านของรั้วในช่วงเวลาที่แดดจ้าอย่างตอนนี้ เจ้าของบ้านรีบเปิดประตูและเชิญแขกเข้าด้านใน
“แล้วนี่พ่อกับแม่เธอรู้เรื่องที่ประสบอุบัติเหตุรึยังจ๊ะ” คุณน้าสาวเอ่ยปากถาม หลังจากจิบน้ำที่เจ้าของบ้านเอามาให้
“ยังหรอกครับ ผมไม่อยากให้พวกท่านเป็นห่วง นานๆทีจะได้พัก อีกอย่างตอนนี้ผมก็ไม่เป็นอะไรมากแล้วด้วย”
ไม่เป็นอะไร ก็แค่ลืมลูกชายของเธอทั้งที่เป็นคนรักกันเท่านั้น หญิงสาวอยากจะตำหนิเด็กตรงหน้าแต่ก็ทำไม่ลง ในเมื่อเรื่องนี้มันสุดวิสัย ถึงจะแปลกอยู่สักหน่อยก็ตาม สิ่งที่เธอเป็นห่วงตอนนี้คือลูกชายที่ไม่ยอมเล่าอะไรให้เธอฟัง ปล่อยให้คนเป็นแม่รู้เอาเองว่าที่ไม่ปล่อยให้ไปเยี่ยมจงออบน่ะเพราะอะไร
“แล้วนี่เราจะไปโรงเรียนได้เมื่อไหร่ล่ะ” ผู้มาเยือนยังคงรักษาการสนทนาต่อไป ทำให้จงออบรู้สึกโล่งใจที่ไม่โดนจี้จุดเรื่องความทรงจำของเขา มันเป็นเรื่องที่อธิบายยากเสียจนเขาคิดไม่ออกว่าควรขอบคุณหญิงสาวที่ไม่ถามเรื่องนั้นต่อยังไงดี
“พรุ่งนี้ก็ไปได้แล้วครับ ผมเจ็บแค่แขนซ้ายนิดหน่อย” คุณนายชเวพยักหน้า
“งั้นเย็นนี้ไปกินข้าวบ้านน้าละกันนะ จะได้ไม่กลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปซะทีเดียว น้าถือว่าตกลงนะจ๊ะ หกโมงเย็นเจอกัน น้าขอเคลียร์เอกสารอีกหน่อย” พูดจบเธอก็ขอลาและเดินออกไปทั้งยังบอกจงออบว่าไม่ต้องออกไปปิดประตูเดี๋ยวจะปิดให้เอง ทิ้งให้เจ้าของบ้านนั่งอึ้งกับการโดนมัดมือชกแบบนิ่มๆ จากเหวอนิดๆเปลี่ยนเป็นหัวเราะออกมาเบาๆ คนเป็นแม่เป็นซะอย่างนี้... แล้วแม่ลูกคู่นี้เหมือนกันแค่ไหนนะ
เวลาหกโมงเย็นที่ใครๆต่างก็บอกว่าไม่ควรทานอาหารหลังจากนั้นเดินทางมาถึงเร็วกว่าที่จุนฮงคิด เขาแทบจะกินยาถ่ายให้ท้องเสีย หรือทำอะไรก็ได้ให้ไม่ต้องลงไปร่วมโต๊ะในวันนี้ จุนฮงสรุปกับตัวเองไม่ได้ว่าเขารู้สึกยังไงตอนที่แม่บอกว่าจงออบจะมาทานข้าวเย็นที่บ้านด้วย สายตาของแม่เขาบอกว่ารู้ทุกอย่าง และก็เหมือนอย่างเคยที่แม่ไม่เคยซักถามให้ลำบากใจ แม่จะรอให้เขาพูดเองเสมอจนกว่าจะเห็นว่าปัญหานั้นใหญ่จนต้องเข้ามาก้าวก่ายจริงๆ ถ้าเป็นเรื่องอื่นจุนฮงอาจจะปรึกษาแม่ แต่กับเรื่องนี้เขาไม่อยากให้แม่รู้ ไม่อยากให้รู้จริงๆว่าตัวเองเป็นเด็กนิสัยไม่ดี ทั้งยังทำร้ายหลานชายที่แม่เอ็นดูคนนั้นด้วย
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ จุนฮงเดินออกไปเปิดประตูให้แม่ที่ยืนอยู่หน้าห้อง
“ลงมาช่วยแม่จัดโต๊ะในเร็ว อย่าให้แขกรอนาน” พูดแค่นั้นร่างบางก็เดินลงไปข้างล่าง จงออบมารออยู่ก่อนแล้วและแน่นอนว่าเขาอาสาจะช่วยจัดโต๊ะ แต่เธอเป็นพวกไม่นิยมใช้งานคนป่วย ตอนนี้เด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งมองเจ้าบ้านทั้งสองคนยกอาหารมาวางจนเต็มโต๊ะ จุนฮงไม่มองหน้าเขาเลยนับตั้งแต่เดินลงมา ไม่ใช่แค่ไม่มอง แต่ยังหลบตาทุกครั้งที่จงออบมองไป สองครั้งที่จงออบจ้องเป๋งให้จุนฮงรู้สึกเกร็งจนต้องสบตา แต่พอเห็นท่าทีหวาดกลัวแบบนั้นแล้วเขาก็เลิกแกล้ง
“พรุ่งนี้สองคนจะไปโรงเรียนพร้อมกันเหมือนทุกวันรึเปล่า แม่จะได้ทำแซนวิชเผื่อจงออบ” คุณนายชเวหันไปถามลูกชายซึ่งจุนฮงก็ได้แต่เคี้ยวข้าวช้าๆเพื่อจะได้ยืดเวลาคิดหาคำตอบ จงออบจึงกลืนซุปกระดูกหมูรสนุ่มลงคอแล้วเป็นฝ่ายตอบแทนเมื่อเห็นว่าจุนฮงเงียบไป
“ไปสิครับ ถ้าเมื่อก่อนเคยไปด้วยกันแล้วต้องเดินคนเดียวมันคงแปลกๆ.... เนอะ” หางเสียงของจงออบทำให้จุนฮงพยักหน้าหงึก แล้วรีบเติมข้าวเข้าปากไม่ยอมพูดจา
ความเงียบยังคงทำหน้าที่เพลงบรรเลงหลักได้อย่างดีเยี่ยม มีเพียงเสียงตักอาหารที่เบาจนแทบไม่ได้ยินเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ จะเรียกว่าอึดอัดก็ไม่ใช่ แต่ความรู้สึกอึงอวลแปลกๆก็ยังลอยอยู่
“เอาล่ะ น้าว่ามันจะเงียบไปหน่อยแล้ว ขอเปิดทีวีหน่อยนะ” พูดจบก็เดินไปหยิบรีโมทมากดเปิด หน้าจอขนาดใหญ่สว่างวาบ ละครย้อนยุคที่ตัวละครอยู่ในชุดผ้าไหมเนื้อเรียบ โลเกชั่นเป็นพระราชวังสวยงามแต่อยู่ในกรอบเดิมๆกำลังเล่นอยู่ หญิงสาวยิ้มให้จอทีวีเล็กน้อยแล้ววางรีโมทก่อนกลับไปจัดการกับอาหารต่อ เธอเริ่มชวนเด็กสองคนคุยเรื่องละคร และงานที่โรงเรียน แต่คนตอบคำถามส่วนใหญ่มักจะเป็นจงออบ ส่วนจุนฮงนั้นจะตอบคำถามก็ต่อเมื่อแม่ของตนเคาะตะเกียบให้เลิกตักอาหารเพิ่ม
มื้ออาหารจบลงด้วยรอยยิ้มของแขกและเจ้าของบ้านเพียงคนเดียว จุนฮงรีบอาสาเก็บจานและปล่อยให้แม่กับอดีตคนรักคุยกันไปเรื่อยๆ แม่ของเขาเป็นคนช่างสรรหาเรื่องมาพูดคุยได้เสมอ ส่วนจงออบก็รู้วิธีตอบ ทั้งยังเติมรอยยิ้มชวนสบายใจตลอดการสนทนา จุนฮงแสร้งทำเป็นง่วนกับการล้างจานในครัว แต่ก็เงี่ยหูฟังการสนทนาของแม่กับจงออบตลอด บางครั้งจุนฮงก็รู้สึกอิจฉาแม่เล็กๆ แต่สุดท้ายก็คิดว่าดีเท่าไหร่แล้วที่แม่ไม่พยายามลากเขาเข้าไปในบทสนทนานั้น จากนั้นก็ล้างจานต่อจนเสร็จ แล้วปอกแอปเปิ้ลเขียวใส่จานเอาไปให้สองคนที่ย้ายจากโต๊ะอาหารไปยังโซฟาที่ห้องรับแขก
“ทำไมถึงล้างจานก่อนปอกผลไม้ล่ะลูกคนนี้นี่” หญิงสาวบ่นทันทีที่ลูกชายวางจานผลไม้ลงบนโต๊ะ จุนฮงก้มหน้าขอโทษแล้วนั่งลงข้างๆแม่ แสร้งทำเป็นดูละครย้อนยุคที่มีแต่การเคลื่อนไหวช้าๆ และนางกำนัลที่เอาแต่ก้มหน้าเหมือนคู่สนทนานอนราบอยู่กับพื้นตลอดเวลาอย่างเบื่อหน่าย เขาอยากจะหนีขึ้นไปบนห้องนอน ปิดไฟให้มืด แล้วปล่อยให้ตัวเองหลับสนิท การรนอนเป็นวีธีคลายเครียดที่เขาชอบทำ แต่ก็นั่นแหละ จุนฮงคงโดนแม่บ่นจนหูชาถ้าเขาทำแบบนั้น จุนฮงรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่จงออบบอกลา และหันมายิ้มให้เขาพร้อมประโยคส่งท้าย
“พรุ่งนี้เจอกันนะ”
พรุ่งนี้เจอกันเหรอ...
จะเจอไปทำไมกัน...
ความคิดเห็น