ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เสียงเพรียกหา...ของหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #1 : ความทรงจำ....ที่ดี

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 54


     

    **********************************************************************************************************************

    “ยายเล็ก...อยู่ไหนลูกเข้าบ้านได้แล้ว เดี๋ยวแต่งตัวไม่ทันงานพอดี ”
      เงียบไม่มีเสียงขานรับจากเสียงที่เรียก

    “ ยายเล็ก..ไปไหนนะ”

    “ ค๊า !!!.....เล็กอยู่นี่ค่ะ ”  เสียงขานรับจากเสียงใสๆ ดังแว่วมาจากท้ายสวนหลังบ้าน ผู้เป็นมารดาเอี้ยวตัวหันหลังกลับ  หลังจากได้ยินเสียงแว่วจากด้านหลังของตัวตึกหลังใหญ่ที่ทอดยาวออกไปด้านหลังเป็นสวนขนาดใหญ่ด้านหลังของตัวตึกที่มีการจัดสวนไว้หลังบ้านอย่างสวยงาม  พร้อมกับสระว่ายน้ำที่มีขนาดใหญ่  ภายในสวนที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่    มีแปลงดอกไม้นานาพันธุ์ที่ปลูกประดับประดา ไว้อย่างลงตัวด้วยนักจัดสวนที่มีฝีมือเป็นอย่างดี  ที่สำคัญกลิ่นของดอกมะลิที่ปลูกไว้อยู่ริมรั้วกำแพงสีขาวสูงยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนสดชื่นมาแต่ไกล  ซึ่งเป็นดอกไม้โปรดปรานของบุตรสาวเป็นที่สุดในบรรดาของดอกไม้ทั้งหมดที่มีอยู่

                “ ดูซิ..ยายเล็กเอาอีกแล้วนะเราแม่เรียกตั้งนานทำไมไม่ขานรับ ปล่อยให้แม่ตามหาไปทั่ว  ทีไหนได้ แอบมาหลบมุมมัวแต่เล่นกับคุณอลิสอยู่นี่เอง  ไปรีบไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปงานเลี้ยงกับแม่เถอะ”

    ผู้เป็นบุตรสาวเงยหน้าหันมายิ้มตอบกับผู้เป็นมารดาหลังใช้มือเล็กๆ ลูบลงไปบนหัวของคุณอลิส...

    อ้อ..ลืมบอกไปว่าคุณอลิสที่เรียกนั้นก็คือสุนัขพันธุ์โกลเด้นเพศผู้ที่มีลำตัวยาวและสูงเกือบประมาณ  24 นิ้วได้  ด้วยความฉลาด บวกกับความขี้เล่นของคุณอลิส ทำให้ตัวเล็กมักหลบหนีมาเล่นด้วยเป็นประจำ เนื่องจากเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูล ทำให้ไม่มีเพื่อนเล่น นอกจากสุนัขที่ผู้เป็นบิดาหามาไว้เป็นเพื่อนเล่นยามว่างๆ ของบุตรสาว

                “ คุณแม่ขา...เล็กไม่ไปไม่ได้เหรอคะ...เล็กไม่อยากไปเลยงานเลี้ยงอะไรนั่น ” เสียงใสๆ เอ่ยต่อรองผู้เป็นมารดา พร้อมกับเดินเข้ามาโอบกอดมารดาอย่างประจบ

                “ อย่ามาใช้เสียงออดอ้อนประจบแม่อย่างนี้เลยยายเล็ก..แม่รู้ทันหรอกนะ ไม่ได้เด็ดขาดลูก เรานะเบี้ยวพ่อกับแม่มาหลายงานแล้วนะ   และที่สำคัญลูกสาวแม่ก็โตพอที่จะออกงานร่วมกับพ่อกับแม่แล้วนะ”

    “ แต่...เล็กไม่อยากไปนี่คะ ”  เสียงเอ่ยออกมาแต่ไม่เต็มเสียงมากนัก เพราะรู้สึกสำนึกผิดที่หลายต่อหลายครั้งที่ตัวเล็กหาข้ออ้างเบี้ยวงานมาหลายครั้ง  จนผู้เป็นบิดามารดาอ่อนใจในความดื้อรั้นของบุตรสาวคนเดียวไม่ได้ และครั้งนี้ก็เหมือนกันผู้เป็นบุตรสาวมักจะหาข้ออ้างมาต่อรองผู้เป็นมารดาทุกครั้งที่มีการเอ่ยเอื้อนถึงงานสังคมต่างๆ  เนื่องจากผู้เป็นบิดาเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆ ของเมืองไทย    และเป็นเจ้าของโรงแรมขนาดใหญ่หลายแห่ง  รวมทั้งบ้านจัดสรรต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วทุกมุมเมืองของประเทศไทย   เพราะถ้าเอ่ยถึงตระกูลตันติยากรไพศาล   แล้วไม่มีใครไม่รู้จัก  คุณพิมุข   ตันติยากรไพศาล เจ้าพ่อแห่งวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ยักษ์ใหญ่แห่งวงการได้เลย  ทุกครั้งที่มีการจัดงานสังคมจะต้องเห็นคุณพิมุขควงคู่มากับคุณกานดา  ตันติยากรไพศาล  ภรรยาสวยคู่กายทุกครั้งและด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องออกงานสังคมและงานต่างๆอยู่บ่อยๆ  รวมทั้งครั้งนี้ด้วย   ซึ่งเป็นงานรวมตัวของนักธุรกิจชั้นนำของประเทศทั้งในและนอกประเทศต่างๆ มารวมตัวกันเพื่อนัดพบปะสังสรรค์พูดคุยกันทางด้านแวดวงของการลงทุนทางธุรกิจ     และที่สำคัญงานนี้มีการจัดขึ้นเพื่อเป็นการแนะนำทายาทรุ่นใหม่ๆ ของวงการ  ให้รู้จักกันไว้ในแวดวงธุรกิจด้วย

                “ คุณแม่ขา..เล็กยังเด็กอยู่เลยนะคะ ไม่เหมาะที่จะไปงานแบบนี้หรอกนะ   และที่สำคัญเล็กต้องเตรียมตัวเอนทรานเข้ามหาวิทยาลัยด้วย  อีกไม่กี่วันก็จะสอบแล้ว เล็กต้องอ่านหนังสือคืนนี้ ”

                “ อย่า..อย่ายายเล็กไม่ต้องยกเอาการอ่านหนังสือมาอ้างแม่เลย  แม่รู้ทันเล็กหรอกนะ ไม่ได้ผลหรอก  แม่รู้ว่าลูกสาวแม่อ่านหนังสือเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นเล็กคงไม่มีเวลามาเล่นกับคุณอลิสอยู่ได้หลายชั่วโมงขนาดนี้หรอก ..ไปเลยเข้าบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมไปงาน  ถ้ายังชักช้าอยู่อีกแม่จะเข้าไปเปลี่ยนชุดให้เอง ”     ผู้เป็นมารดาใช้ส่องสายตาแกมดุและน้ำเสียงอันเฉียบขาด เอ่ยกับบุตรสาวอันเป็นที่รักออกมา ทำให้ผู้เป็นบุตรสาวหงอลงไปถนัดตาและไม่กล้าเอ่ยต่อรองอีกเลย พร้อมกับหันหลังกลับก่อนรับคำเบาๆ ตอบตกลง

                “ ค่ะ.. เล็กจะไปเดี๋ยวนี้ละค่ะ ”

                ผู้เป็นมารดาได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ  ด้วยความอ่อนอกอ่อนใจกับปฏิกิริยาของบุตรสาวคนเดียวนักที่นับครั้งถ้าเอ่ยชวนออกงานสังคมด้วยทุกครั้งตัวเล็กหรือนางสาวกิติมาภรณ์   ตันติยากรไพศาล  มักจะมีปฏิกิริยาต่อต้านทุกครั้ง 

                หลังจากไม่กี่ชั่วโมงผ่านไปร่างโปร่งบางที่อยู่ในชุดราตรีสีครีมสั้นเหนือเข่าที่เธอใส่ช่วยขับผิวที่ขาวผ่องให้ดูเด่น   หรืออาจเป็นเพราะทรวดทรงองค์เอวที่สวยสมกับชุดที่ตัดพอดีตัวก็เป็นได้  รวมทั้งทรงผมดำยาวสลวยที่ปล่อยเหยียดยาวตรงลงมาถึงบริเวณกลางหลังที่ดำนุ่มสลวยน่าสัมผัส   ช่วยส่งให้หญิงสาวแลดูเป็นหญิงสาวที่ดูอ่อนหวานน่ารักยิ่งขึ้น   

                “ ไปได้ยังคะคุณแม่..พร้อมแล้ว ” ผู้เป็นบุตรสาวเอ่ยเสียงใสหลังเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้เป็นมารดาที่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ห้องรับแขก

                “ อืม..ลูกสาวแม่แต่งอย่างนี้ก็ดูเป็นสาวขึ้นเป็นกองนะ แบบนี้หนุ่มๆที่งานคงเหลียวหลังแทบคอเคล็ดเป็นแถบๆ เลยหละ  ” มารดากล่าวล้อเลียนผู้เป็นบุตรสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

                “ โธ่.. คุณแม่ก็ อย่าล้อเล็กแบบนี้ซิ  เล็กไม่ได้สวยขนาดนั่นซักหน่อยนะ ”  ผู้เป็นบุตรสาวกล่าวพร้อมกับใบหน้างอง้ำลง  พลางใช้มืออันเรียวเล็กคล้องแขนผู้เป็นมารดาออกเดินไปยังประตูหน้าบ้าน เพื่อไปขึ้นรถเก่งที่จอดรออยู่บริเวณหน้าบ้าน

                “ คุณหนูของนอม..สวยจังค่ะ ”  แม่บ้านที่ยืนรออยู่บริเวณหน้าบ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมออกมาหลังได้พบคุณหนูของตนเองเดินออกมาพร้อมกับคุณผู้หญิงของบ้าน

                “ ขอบคุณค่ะ...ป้านอม เล็กไปนะคะ”  หญิงสาวกล่าวเบาๆหลังพยุงมารดาเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้วภายในรถ  พร้อมกับอ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่งของประตูรถซึ่งมีคนขับรถเปิดประตูรถรอไว้เรียบร้อยแล้ว   เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วรถเก๋งคันโตก็ขับเคลื่อนออกจากตัวคฤหาสน์หลังใหญ่มุ่งสู่ตัวงานเลี้ยงที่จัดอยู่ยังโรงแรมหรูกลางใจกรุง...

                ณ. บริเวณหน้าโรงแรมรถเก๋งคันหรูขับเคลื่อนมาจอดสนิทหน้าโรงแรมหรูซึ่งมีพนักงานคอยต้อนรับรอรับบริการเปิดประตูรถให้  คุณกานดา ก้าวลงมาจากตัวรถด้วยกิริยาสง่างามสวยสมกับภรรยานักธุรกิจใหญ่และเยื้องมาด้านหลังมีร่างโปรงสูงของหญิงสาวผู้เป็นบุตรสาวก้าวตามมาติดๆด้านหลัง พลางกวาดสายตาไปรอบๆ ซึ่งบรรยากาศรอบๆงานมีผู้คนระดับบริหารเดินเข้างานคลาคล่ำไปหมดดูแล้วหน้าเวียนหัวหญิงสาวคิดในใจ...ไม่น่ามางานเล้ยเรา..รู้งี้นอนดูทีวีอยู่ที่บ้านสนุกกว่าเป็นไหนๆ คิดในใจพลางก้าวเดินเคียงคู่เข้างานพร้อมกับมารดาด้วยท่าทางไม่มีความสุขตั้งแต่เริ่ม...

                “ ต๊าย..ตาย ..คุณกานดา มาด้วยเหรอค๊า..งานนี้ ”  หนึ่งในบรรดาคุณหญิงที่ยืนเกาะกลุ่มอยู่หน้งานเลี้ยงซึ่งรอลงนามหน้างานเอ่ยขึ้นหลังจากหันมาพบคุณกานดาที่เดินมาหยุดอยู่บริเวณที่ลงนาม

                “ ค่ะ..ดิฉันมาในนามของบริษัทและนี่ตัวเล็กลูกสาวของดิฉันค่ะ...เล็กไหว้คุณหญิงฉัตรซิลูก” ผู้เป็นมารดากล่าวพร้อมกับหันมาแนะนำบุตรสาวให้ลูกจัก

                “ สวัสดีค่ะคุณป้า”    หญิงสาวกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้อย่างสวยงามสมกับการได้รับการอบรมบ่มนิสัยกุลสตรีมาอย่างดี

                “ ตายคุณกานดา..ลูกสาวเหรอคะ เพิ่งรู้นะคะนี่มีลูกสาวโตและสวยอย่างนี้  ไม่เห็นพาออกงานเลย ” คุณหญิงฉัตรยกมือไหว้พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจระคนอิจฉาที่คนอื่นมีบุตรีสวยแบบนี้

                “ ก็..พอดีแกยังเด็กอยู่..และที่สำคัญยายเล็กแกไม่ชอบออกงานสังคมเท่าไหร่นะค่ะ เลยไม่ค่อยมีใครรู้จัก ”  ผู้เป็นมารดากล่าว

                “ แหม..ดิฉันก็นึกว่าหวงลูกสาวเลยเก็บไว้ชื่นชมไว้ที่บ้านอย่างเดียวซะอีกนะค่ะ ”  กล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ 

                “ ไม่ถึงกับขนาดนั้นหรอกค่ะคุณหญิง ”  หลังจากหญิงสาวต้องรับไหว้บรรดาคุณหญิงและคุณนายที่เข้ามารายล้อมให้รู้จักแล้ว กว่าจะหลุดออกมาจากวงสนทนาได้ก็เล่นกับยืนเมื่อยขาอยู่นาน  เมื่อเข้ามาภายในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นอย่างใหญ่โตอลังการ   หญิงสาวก็ต้องรู้สึกละลานตาไปหมด เพราะมีผู้คนจำนวนมากมายภายในจนไม่สามารถส่องสายตามองหาผู้เป็นบิดาว่าอยู่ตรงตำแหน่งไหนของงานเลี้ยง

                “ คุณแม่ค่ะ..คุณพ่ออยู่ตรงไหนของงานคะ  คนเยอะเหลือเกิน  เล็กมองไม่เห็นคุณพ่อเลย ” หญิงสาวเอ่ยกับมารดาพร้อมกับกวาดสายตามองหาผู้เป็นบิดา

                “ ไม่ต้องจ๊ะยายเล็ก  คุณพ่ออยู่มุมห้องด้านหน้าสุดของงาน พ่อโทรมาบอกแม่แล้วจ๊ะ  เดี๋ยวแม่พาไปเอง  ตามแม่มาทางนี้ ”  ผู้เป็นมารดาเอ่ยเบาๆ พร้อมกับจับจูงข้อมือเล็กๆของบุตรสาวให้ออกเดินตามไปยังสถานที่ดังกล่าว ไม่นานหญิงสาวก็มองเห็นผู้เป็นบิดาแต่ไกลๆ ซึ่งยืนคุยอยู่กับชายหลายคนเป็นกลุ่มใหญ่ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มนักธุรกิจแต่ละแขนง และแต่ละประเทศ เพราะจากที่สายตามองเห็นมีทั้งที่เป็นคนไทยด้วยกันและเป็นต่างชาติก็มีดูได้จากสีผิวและรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าคนเอเซียด้วยกัน ทันทีที่หญิงสาวและมารดาเดินเข้าไปเกือบถึง ก็พบว่าผู้เป็นบิดาหันมาเจอเสียก่อนและแสดงสีหน้ายินดีออกมาเมื่อมองเลยมาพบบุตรสาวและภรรยาพร้อมกับผละออกมาจากกลุ่มเดินตรงเข้ามาหาหญิงสาว

                “ ว่าไงคุณ...นี้ทำอีท่าไหนนะถึงสามารถลากเอาลูกสาวคนดีของเรามางานนี้ได้นะ ” กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มๆ กับภรรยาและใช้สายตามองบุตรสาวด้วยอาการชื่นชมและภาคภูมิใจในการแต่งกายของบุตรสาว

                “ แหมคุณก็..ทำยังกับว่าลูกสาวเรานะต้องออกแรงเข็นขนาดนั้น ” ผู้เป็นภรรยากล่าวล้อเลียนด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนักกับสามี

                “ คุณพ่อ..คุณแม่ก็ ถ้าล้อเล็กอีก หนูจะเดินออกจากงานกลับบ้านทันทีนะคะ ”  หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยกิริยาเง้างอน

                “ ฮ่าๆๆ..พ่อก็ล้อลูกไปอย่างงั้นหละน่า  แต่รู้มั๊ยพ่อเห็นลูกมางานนี้ได้ พ่อดีใจมากนะ นานๆ ทีจะเห็นลุกสาวพ่อแต่งตัวสวยขนาดนี้  ไม่เป็นลิงทโมนเหมือนเคย ” ผู้เป็นบิดากล่าวสัพยอกลูกสาวเบาๆ

    “มาทางนี้ดีกว่า มาทำความรู้จักเพื่อนๆ ของพ่อดีกว่า  ” ผู้เป็นบิดากล่าวพร้อมกับใช้มือโอบด้านหลังบุตรสาวออกเดินตรงไปยังกลุ่มเพื่อนๆ ที่เกาะกลุ่มยืนคุยกันอยู่บริเวณด้านหน้าของเวที ซึ่งมีนักร้องขับกล่อมบรรเลงเพลงด้วยท่องทำนองอ่อนหวานอยู่บนเวที  หลังจากได้ทำความรู้จักบรรดาเพื่อนๆของผู้เป็นบิดาและยืนฟังการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนด้านธุรกิจต่างๆ อยู่นาน หญิงสาวก็เริ่มจะเกิดอาการเบื่อหน่ายขึ้นมา เพราะส่วนใหญ่ในงานจะมีแต่วัยผู้ใหญ่รุ่นคุณพ่อ คุณแม่ และคุณน้าทั้งนั้นๆ หาไม่พบรุ่นเดียวกันเลย ก็จะให้มีอย่างไรเพราะงานแบบนี้วัยขนาดหญิงสาวคงไม่มีใครชอบมาด้วยหรอก ส่วนใหญ่โน้นต้องเป็นงานสังสรรค์รื่นเริง หรือไม่ก็ตามผับบาร์ต่างๆ เสียมากกว่า  หลังจากยืนอยู่นานหญิงสาวจึงขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำ หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จก็เดินเลยออกมาด้านหน้างานออกมารับลมบริเวณระเบียงของตัวโรงแรม พลางเหลือบมองเห็นมีเก้าอี้ตั้งอยู่มุมระเบียง  คิดได้อย่างนั้นหญิงสาวจึงเดินมานั่งหย่อนกายลงและใช้ข้อมือเล็กๆ บีบนวดไล่ความปวดเมื่อยของข้อเท้าทั้งสองข้างเบาๆ หลังจากใช้เวลายืนอยู่นาน พลางใช้สายตามองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีแสงไฟระยิบระยับ ประดับประดายังอาคารสูงต่างๆกลางใจกรุง และดวงดาวบนท้องฟ้าที่มีดวงดาวส่องแสงประกาย อย่างสบายใจ

                “ เบื่อเหรอ..ถึงมาหลบมุมนั่งคนเดียว”  เสียงทักขึ้นด้านหลังทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว พลางหันหน้ามาก็พบกับร่างสูงของชายหนุ่มที่ยืนมองลงมายังที่หญิงสาวนั่งอยู่   หญิงสาวนึกในใจ ใครนะไม่เคยรู้จัก..พลางใช้สายตากวาดมองร่างชายหนุ่ม  ซึ่งยืนค้ำสูงอยู่บริเวณมุมเสาด้านหลัง  ใครกันคนบ้าเหรอเปล่า...คิดแล้วก็มองหาลู่ทางหนีทีไล่ เผื่อเกิดเรื่องมิดีมิร้ายไปจะได้หนีได้ทัน.................

    “ ผมนั่งด้วยคนได้ไหมครับ ”. ชายหนุ่มสำเนียงพูดไทยไม่ชัดเอ่ยขึ้นก่อนที่เขาจะเดินออกมาจากมุมเสา จึงทำให้หญิงสาวสามารถมองเห็นผู้ที่มาใหม่ได้ถนัด เขาเป็นชายหนุ่มที่สูงมากเกินมาตรฐานชายไทยทั่วไปด้วยซ้ำที่สำคัญหน้าตาเหมือนไม่ใช่คนไทย ออกไปทางแขกอาหรับมากว่า แต่เป็นแขกขาวมากกว่าเพราะหน้าตาสูงขาว จมูกโด่ง ตาคมเข้มสีนิลอย่างกับเจ้าชายอาหรับที่หนูเล็กชอบอ่านในนิยายทั่วไปไม่ใช่ผิวดำเมี้ยงอย่างกับในหนังที่เห็นแถบทะเลทราย  อะไรมันจะหล่อเฟอร์แฟคขนาดนี้

    “ คุณ! พูดไทยได้ด้วยเหรอ ”  นี้คือประโยคที่หนุเล้กคิดได้ในตอนนี้ที่ถามออกไป

    “ ถามแปลกจัง ผมนึกว่าคุณจะชมผมว่าหล่อเหมือนคนอื่นมากกว่า ” ชายหนุ่มตรงหน้าหัวเราะออกมาก่อนที่จะหันมาจ้องมองใบหน้าหญิงสาวตรงๆ ทำให้หนูเล็กรู้สึกว่าใบหน้าเธอร้อนวูบวาบที่โดนจ้องใกล้ๆจากคนแปลกหน้า

    “ คุณ! ฉันไม่รู้จัก ฉันขอตัวดีกว่า ” เมื่อนึกได้ดังนั้นก็เตรียมจะลุกขึ้นทันที แต่ทว่า

    “ ผมมาดี อยากมีใครพูดคุยด้วยสักหน่อย เพราะในงานผมเบื่อที่จะต้องปั้นหน้าด้วย ” เสียงชายหนุ่มลอยมาตามหลังด้วยน้ำเสียงเหงาๆจนคนฟังรู้สึกก่อนที่จะค่อยๆหันมามองชายหนุ่มที่ยังนั่งอยู่และมองออกไปด้นหน้าต่างของโรงแรมอย่างเลื่อนลอย

    “ คุณก็มางานนี้ด้วยเหมือนกันเหรอคะ ” หนูเล็กตัดสินใจถามชายหนุ่ม

    “ ครับ ผมมางานเลี้ยงที่นี่เหมือนกัน แต่ผมยังไม่รู้จักใครซักคน ว่าแต่คุณทำไมออกมานั่งคนเดียวละ เบื่อเหมือนกันเหรอ ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงกระทั่นกระแท่นสำเนียงแปร่งๆ

    “ ฉันมากับคุณพ่อและคุณแม่นะ ฉันไม่ชอบมางานเลี้ยงแบบนี้ แต่ขัดไม่ได้ ” หนูเล็กทำสีหน้าเบื่อหน่าย จนชายหนุ่มอดหัวเราะขึ้นอีกไม่ได้

    “ แปลกนะ ที่เรามีความรู้สึกเหมือนกันเลย แทนที่จะชอบงานสังคมไฮโซหรูหราแบบนี้ กลับตรงกันข้าม ” ชายหนุ่มยังพูดต่ออย่างเบื่อหน่าย

    “ ลืมแนะนำตัวไป ผมชื่อเชคก้า หรือเรียกผมว่าเชคก็ได้ ยินดีที่รู้จักคุณ ” ชายหนุ่มยื่นมืออกมาให้หญิงสาวแสดงความรู้จัก

    “ ฉันชื่อสลินยา   ” หนูเล็กบอกออกไป

    “ ลีญ่า ” ชายหนุ่มออกเสียงชื่อหญิงสาว

    “ สะ-ลิน- ยา ไม่ใช่ ลีญ่า ” หนูเล็กสะกดชื่อให้ฟังอีกครั้ง

    “ ลีญ่า  ” ชายหนุ่มออกเสียงตามแต่ก็ยังเพี้ยน ทำให้หนูเล็กได้แต่ปลงที่เขาออกเสียงเพี้ยนไป

    “ เอ้า! เรียกลีญ่าก็ลีญ่า ว่าแต่คุณไม่ใช่คนไทยใช่ไหม ” หนูเล็กถามสิ่งที่ข้องใจทันที

    “ ว่าแล้วว่าต้องมีคนถามแบบนี้เมื่อพบกัน ผมเป็นลูกครึ่งไทยอียิปต์ แม่เป็นคนไทย พ่อเป็นชาวอียิบต์ ผมพูดไทยได้บ้างส่วนใหญ่ผมจะพูดอังกฤษและฝรั่งเศส ผมเพิ่งมาอยู่เมืองไทยได้เดือนกว่าเองจึงไม่ค่อยรู้จักใคร คุณเป็นคนแรกที่ผมอยากรู้จัก  ” ชายหนุ่มยิ้มกว้างอวดฟันสวยให้หญิงสาวจนเผลอมองอย่างไม่รู้ตัว ผู้ชายอะไรยิ้มแล้วมีเสน่ห์จังเลย

    “แล้วคุณมาทำอะไรที่เมืองไทยละ แต่ก่อนคุณอยู่ที่อียิปต์เหรอ  ” หนูเล็กชวนคุยเพราะดูท่าทางเขาก็น่าจะไว้ใจได้ แปลกจังที่เธอไว้ใจเขาง่ายดายแบบนี้

    “ ผมเรียนจบจากอังกฤษ คุณแม่อยากให้มาอยู่กับคุณยายที่เมืองไทยด้วย จึงให้ผมมาที่นี่ ก่อนนี้ผมอยู่ที่อังกฤษกับอียิปต์ เมืองไคโรนะ พ่อผมเป็นวิศวกรส่วนแม่เป็นนักธุรกิจหญิงแต่ท่านทั้งสองอยู่ที่อังกฤษ เนื่องจากเหตุผลบางประการที่ไม่สามารถกลับมาเมืองไทยได้ จึงส่งผมมาที่นี่แทน  ” ชายหนุ่มพูดถึงตรงนี้ด้วยน้ำเสียงเศร้าลง จนหนูเล็กรู้สึกสงสาร

    “ ทำไมละ ถ้าไม่คิดว่าฉันละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว คุณจะระบายกับคนแปลกหน้าก็ได้นะ ” หนูเล็กตัดสินใจถามออกไป ชายหนุ่มหัวเราะอย่างขำๆที่ทำไมเขากลับมาเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ใครก็ไม่รู้ที่เพิ่งจะรู้จัก รับฟังได้อย่างสบายใจ เหมือนกับว่าคุ้นเคยกันมาก่อนก็ไม่ปาน

    “ นั่นซินะ แปลกจังที่ผมมาเล่าอะไรให้คุณฟังก็ไม่รู้นะ ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกตัว

    “ ว่าแต่..คุณเคยไปอียิปต์ไหม ” ชายหนุ่มถามหนูเล็กหลังหาทางเปลี่ยนเรื่องอื่น

    “ ฉันไม่เคยไป แต่เคยอ่านในนิยาย เขาเล่าว่าเป็นเมืองแห่งฟาโรห์ มีมัมมี่ด้วย ” หนูเล็กเล่าถึงนิยายที่เคยอ่านประจำที่ชื่นชอบเจ้าชายแห่งท้องทะเลทรายอันไกลโพล้นไม่นึกว่าจะมาพบกับหนุ่มลูกครึ่งไทยอียิปต์ตรงหน้าแบบนี้

    “ ใครบอกคุณว่ามีมัมมี่ นั่นมันสมัยไหนแล้ว สมัยนี้มันมีแต่ในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น เขาเอาไว้ให้ใครๆต่อใครได้ศึกษา ” ชายหนุ่มหัวเราะขำๆในท่าทางที่หญิงสาวเล่าถึงมัมมี่อย่างกลัวๆ

    “ แต่..เขาว่าสมัยนี้ก็ยังมีนะ ” หนูเล็กแย้งชายหนุ่ม

    “ คุณเคยเห็นเหรอ..ไอ้มัมมี่ที่คุณว่านะ ” เชคก้าถามขึ้น

    “ ไม่เคย..และไม่อยากเห็นด้วย ” หนูเล็กปฏิเสธทันที

    “ ผมพาไปดูไหม..มัมมี่ ” เชคก้าเอ่ยชวนทันทีอย่างนึกสนุกที่ได้คุยกับหญิงสาวอย่างถูกคอ

    “ เรื่องอะไร..คุณไปดูคนเดียวเหอะใครจะอยากเจอ ฉันไม่เอาด้วยหรอก ” หนูเล็กปฏิเสธอย่างหวาดๆ ก่อนจะลุกเดินหนีออกมา

    “ เดี๋ยวซิ! ผมล้อคุณเล่นอยู่เป็นเพื่อนคุยกันก่อนซิลีญ่า ” เชคก้ารีบเรียกไว้ก่อนที่หญิงสาวจะเดินหายเข้าไปในงาน

    “ ฉัน! ออกมานานแล้ว เดี๋ยวคุณพ่อกับคุณแม่เป็นห่วง ” หนูเล็กหันมาบอกชายหนุ่ม

    “ ผม..จะพบคุณอีกได้ที่ไหน ผมอยากเป็นเพื่อนคุณ ” ชายหนุ่มรีบบอกสิ่งที่คิดไว้ก่อนที่หญิงสาวจะเดินหายไป กลัวจะไม่ได้พบกันอีก

    “ เราคงไม่จำเป็นต้องพบกันอีก เพราะฉันคงไม่ได้มางานแบบนี้อีก ” หนูเล็กรีบบอกไม่อยากสานความสัมพันธ์ต่ออีก แต่ทว่า..

    “ คุณเป็นคนแรกในเมืองไทยที่ผมรู้จัก ผมอยากพบคุณอีกลีญ่า ได้โปรดผมไม่มีใคร ” ชายหนุ่มอ้อนวอน

    “ งั้นเอาเบอร์โทรคุณมาก็แล้วกัน ” หนูเล็กบ่ายเบี่ยงแต่ก็ไม่ตัดความสัมพันธ์ในทันที

    “ ก็ได้ คุณต้องโทรหาผมนะ ” ชายหนุ่มคว้าปากกาในกระเป๋าเสื้อมาจดเบอร์โทรให้หญิงสาวแต่ไม่มีกระดาษ หนูเล็กจึงยื่นฝ่ายมือให้เขาจดลงบนฝ่ามือแทน

    “ หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะ ลีญ่า ” ชายหนุ่มยืนรำพึงรำพันตามหลังหญิงสาวทั้งๆที่เธอลับตาไปนานแล้ว และเขามีความรู้สึกว่านี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นในการรู้จักกันไม่ใช่จุดจบของการรู้จัก เขาสังหรณ์ใจว่าในวันครั้งหน้าเขาและเธอคงได้พบกันและผูกพันกันมากกว่านี้ เพราะเขาเชื่อในพรหมลิขิตโชคชะตาที่นำพาให้เขาได้มาพบกันดั่งเช่นคำทำนายของแม่หมอที่ได้ทายทักเขาก่อนที่เขาจะเดินทางมาที่นี่ว่า..เขามาครั้งนี้เขาจะได้เจอเนื้อคู่...ตามโชตชะตาลิขิตชักนำเขามา...ลีญ่า

    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×