ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไทฟอน (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 64


    “จะเอายังไงฮะพวกเอง!” น่ารำคาญจริงโว้ย ไปไหนก็มีแต่คนจ้องจะหาเรื่อง ไม่รู้ว่าไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้

     

    “จัดมันเลยลูกพี่” ลูกกระจ๊อกของชินยุรองหัวหน้าแก๊งหมาในตะโกนบอกลูกพี่ของตนที่ถือไม้หน้าสามอยู่ในมือ

     

    “พวกเองขี้โกงไปเปล่า” ...แม่งมากันสิบกว่าคน ส่วนผมตัวคนเดียว ให้ตายเถอะ... บาร์เธอร์ยืนมองฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีที่จะถอย มุมปากของชายหนุ่มจึงยกขึ้นก่อนจะปล่อยหมัดพุ่งเข้าจู่โจมพวกนักเลงหัวไม้ทันที การต่อสู้ครั้งนี้ดูเหมือนบาร์เธอร์จะเสียเปรียบ เนื่องจากอีกฝ่ายมีจำนวนคนมากกว่าและแต่ละคนก็มีอาวุธครบมือ ต่างกับบาร์เธอร์ที่ในมือข้างหนึ่งถือถุงอาหารไว้ เขาจึงต่อสู้ได้ไม่ถนัดนัก แต่ในที่สุดทักษะที่เคยฝึกฝนมาหลายปีก็ไม่สูญเปล่าเมื่อได้เห็นร่างของชายหลายคนลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น เหลือก็แต่รองหัวหน้าแก๊งที่ยืนกัดฟันกรอดเพราะกำลังโกรธจัด

     

    บาร์เธอร์ไม่คิดจะเหลวไหลต่อเพราะต้องไปทำงานส่งอาหารที่อยู่ในมือ เขาจึงหันไปบอกรองหัวหน้าแก๊งด้วยเสียงเรียบว่า “มายุ้งกับฉันมีแต่จะเสียเวลาซะเปล่าๆ นะ”

     

    เมื่อได้ยินดังนั้นชินยุที่เป็นถึงรองหัวหน้าแก๊งจึงกำหมัดแน่น ตอนนี้เขาทั้งอายแล้วรู้สึกขายหน้า ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าแก๊งเขาก็ไม่เคยโดนใครดูถูกเหยียดหยามขนาดนี้มาก่อน แล้วผู้ชายตรงหน้านี้เป็นใคร ทำไมถึงทำให้เขารู้สึกอับอายได้ขนาดนี้ “เดี๋ยว!”

     

    ในสายตาของคนธรรมดาทั่วไป ชินยุในตอนนี้ดูน่ากลัวมากแต่กับบาร์เธอร์เขากับรู้สึกว่ารองหัวหน้าแก๊งคนนี้ น่ารำคาญชะมัด ทั้งสองยืนจ้องตากันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ชินยุจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน “นายน่ะ เป็นใครมาจากไหนวะ”

     

    “อ่าวเฮ้ย พวกนายมาหาเรื่องฉันก่อนแล้วมาถามว่าฉันเป็นใครน่ะนะ” บาร์เธอร์ส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันน่ะไม่มีเวลามาเล่นต่อสู้กับนายหรอก คนเขาจะรีบไปทำมาหากินเว้ยเห้ย รีบๆหลบ ฉันไปสักที” พูดจบก็ทำท่าจะเดินจากไปแต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาร่างสูงก็ต้องหยุดชะงัก

     

    “ใครอนุญาตให้แกไป” ชินยุไม่พูดเปล่าเขาชักมีดสั้นออกมาจ่อใส่ชายตรงหน้า

     

    “เฮ้ยๆ จะขี้โกงขนาดไหนไม่ว่า แต่แบบนี้มันถึงชีวิตได้เลยนะเห้ย” บาร์เธอร์เห็นดังนั้นจึงวางถุงอาหารในมือลงก่อนจะพูดเตือนด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบปราศจากความกลัว นั่นจึงทำให้รองหัวหน้าแก๊งโมโหเข้าไปใหญ่

     

    “ใครเขาสนกันเล่า” ชินยุถือมีดเข้าใส่บาร์เธอร์ที่ตัวเปล่า แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จเพราะอีกฝ่ายมีทักษะการต่อสู้ที่ชำนานและว่องไวกว่า นั่นจึงทำให้ชินยุเสียท่าโดนบาร์เธอร์รวบข้อมือข้างขวาที่ถือมีดพกไว้ มือหนาบิดข้อมือของคู่ต่อสู้จนเจ้าของข้อมือร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ไม่นานมีดพกปลายแหลมก็ร่วงลงพื้น บาร์เธอร์จึงฉวยโอกาสล็อกแขนชินยุไว้ข้างหลังก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูรองหัวหน้าแก๊งพร้อมแสยะยิ้มว่า “ฉันบอกนายแล้วใช่ไหม... ว่ายุ่งกับฉันมีแต่จะเสียเวลาซะเปล่าๆ” อั๊ก!! พูดจบมือหนาก็ทุบเข้าที่ท้ายทอยของชินยุจนเขาหมดสติไป พวกลูกกระจ๊อกที่เจ็บหนักไม่ต่างกันทำหน้าตกใจไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ชินยุเป็นถึงรองหัวหน้าแก๊งเชียวนะ แต่ตอนนี้ใครเขาจะสนเรื่องนี้กันเล่า ทันทีที่ตั้งสติได้แล้วพวกมันก็พากันเดินเข้าไปดูลูกพี่ของตนด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะแบกรองหัวหน้าแก๊งที่สลบอยู่ออกไป โดยมีสายตาของบาร์เธอร์จ้องมองด้วยความสมเพช...

     

    แก๊งมาในเป็นแก๊งมาเฟียที่มีจำนวนสมาชิกสามแสนกว่าคน แต่พวกมันกระจัดกระจายกันไปตามเขตต่างๆ จนเกิดเป็นแก๊งเล็กๆ ที่คลุมอยู่ทั่วทุกพื้นที่ในประเทศ ถึงแม้ว่าจะเป็นแก๊งเล็ก ๆ แต่ถ้าได้ขึ้นชื่อว่ามาเฟียต้องไม่ใช่แก๊งนักเลงธรรมดา แก๊งหมาในมีความผิดทางอาญาเรื่องยาเสพติด การรักพาตัวและฆาตกรรมรวมไปถึงการค้ามนุษย์ด้วย เนื่องจากหัวหน้าแก๊งเป็นผู้มีอิทธิพลทำให้การกวาดล้างแก๊งหมาในนั้นเป็นไปได้ยาก

     

    อ่านมาถึงตรงนี้อาจสงสัยว่า ...ถ้าพวกมันอันตรายขนาดนั้นทำไมถึงใช้แค่ไม้หน้าสามหรืออาวุธธรรมดาต่อสู้กับบาร์เธอร์ล่ะ... ไม่ใช่เพราะว่าพวกมันมีคุณธรรมหรืออะไรหรอก แต่เป็นเพราะว่าแก๊งหมาในที่ชินยุคลุมอยู่นั้น เป็นเพียงแค่แก๊งเล็กๆ ในเขต12 ถือว่ายังเป็นแค่พวกนักเลงปลายแถวทำได้แค่คุมการค้าเก็บส่วยในย่านนี้เท่านั้น นั่นจึงทำให้พวกมันไม่สามารถพกอาวุธได้อิสระ

     

     

     

     

     

     

     

    15 นาทีต่อมา

     

    “ถ้าแกยังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะก็ คงต้องหางานใหม่ทำจริงๆ แล้วนะ” สายแค่ 5 นาทีเอง ถึงกับจะไล่ออกเลยเรอะ

     

    บาร์เธอร์ยืนก้มหน้าอย่างคนสำนึกผิด เนื่องจากการไปส่งอาหารล่าช้าทำให้ลูกค้าโทรมาต่อว่าทางร้าน แถมบอกอีกว่าอาหารในกล่องที่สั่งมาหน้าตาเละเทะจนไม่เหมือนอาหารคน “ต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วครับ” ร่างสูงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ

     

    “ฉันเชื่อนาย” เถ้าแก่ยืนกอดอกมองลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบนโลกใบนี้จะมีใครหน้าหนาได้เท่าผู้ชายคนนี้อีกไหม

     

    “ฮะ!” เมื่อกี้ผมหูฝาดไปหรือเปล่า เถ้าแก่บอกว่าเชื่อผม ทั้งที่ปกติจะพูดว่าเมื่อวานแกก็พูดแบบนี้ ถึงจะพูดแบบนี้ทุกวันแต่ก็ไม่เคยทำได้เลยสักวัน บ้าจริง... บาร์เธอร์มองหน้าเถ้าแก่เจ้าของร้านอาหารอย่างไม่เข้าใจ

     

    “ฉันบอกว่าเชื่อไง” ชายวัยกลางคนย้ำอีกครั้งก่อนจะสั่งบาร์เธอร์ให้ออกไปได้แล้ว

     

    “มีรายการอาหารให้ไปส่งแล้วหรอครับ”

     

    “ใครบอกล่ะว่าฉันจะให้นายไปส่งของ! " บาร์เธอมองชายตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจเมื่อได้ยินประโยคต่อมา "ฉันไล่นายออกต่างหากบาร์เธอร์”

     

    “เถ้าแก่!”

     

    “ไปได้แล้ว แกมันไม่เหมาะกับงานนี้หรอก ไปเป็นนักเลงอยู่ข้างถนนน่ะดีแล้ว” เจ้าของร้านอาหารผลักบาร์เธอร์ออกจากร้าน ก่อนจะปิดประตูร้านใส่อดีตลูกน้อง บาร์เธอร์ตะโกนโวยวายพร้อมกับวิ่งไปเปิดประตูร้านเพื่อที่จะเข้าไปคุยเจรจากับเถ้าแก่ แต่ดันประตูกระจกบานนี้ยังไงก็เปิดไม่ออกเพราะประตูถูกล็อคไว้จากด้านใน บาร์เธอร์จึงทำได้แค่ยืนทุบประตูด้วยความเสียใจ

     

     

     

    “แล้วจะเอาอะไรกินล่ะทีนี้” ผมน่ะเคยทำงานมาแล้วทุกอย่าง ถ้ามีลูกมีหลานผมคงเล่าให้เขาฟังได้ ว่าบาร์เธอร์คนนี้เคยทำงานอะไรมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็น ส่งของ พ่อครัว พนักงานขับรถ ล้างรถ ปีนเสา หรือช่วยแมวที่ติดอยู่บนต้นไม้ ผมก็เคยทำมาหมดแล้วถึงจะโดนมันข่วนหน้าก็เถอะ

     

    แล้วงานส่งอาหารที่ร้านนี้ผมก็ทำมาได้ 2 เดือนกว่า เป็นครั้งแรกที่ผมทำงานได้ถึงเดือน ตั้งใจว่าจะอยู่ให้ถึงปีสักหน่อยเถอะ เพราะพวกหมาในแท้ๆ ดันยกพวกประลองฝีมืออยู่ได้ ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าบาร์เธอร์คนนี้น่ะเก่งกาจขนาดไหน ในขณะที่บาร์เธอร์กำลังคิดว่าการตกงานของเขาคือประสบการณ์ที่หน้าภาคภูมิใจอยู่นั้น ก็มีเสียงของใครบางคนแทรกเข้ามาทำให้บาร์เธอร์ต้องหยุดชะงักหันไปมองเจ้าของเสียง

     

    “เธอดูผู้ชายคนนั้นสิ เขาว่าเป็นกุ๊ยข้างถนนล่ะ” แม่บ้านที่มาจับกลุ่มคุยกันเห็นบาร์เธอร์เดินผ่านมา ก็พากันกระซิบนินทา ...ว่าแต่พวกเจ๊กระซิบกันยังไงให้ผมได้ยินฟะ...

     

    “เมื่อเช้านี้ฉันเดินผ่านสวนสาธารณะ ก็เห็นเจ้าคนนี้แหละ กระทืบพวกนักเลงอยู่ในสวน”

     

    “อุ๊ย! จริงเหรอ/น่ากลัว” ...ฉันได้ยินนะเฟ้ย...

     

    “ลูกโตขึ้นไปอย่าไปเป็นนักเลงเป็นกุ๊ยข้างถนนแบบพี่เขานะ….” หน็อย ยัยมนุษย์ป้า บาร์เธอร์หยุดเดินก่อนจะหันไปเหลือกตาใส่กลุ่มแม่ลูกที่ยืนนินทาตนอยู่

     

    “ผมไปขอข้าวคุณกินหรือไงล่ะ ยุ่งอะไรด้วย ถ้าอยากจะเผือก ก็เผือกให้มันเบากว่านี้หน่อยซี้ หนวกหู!”

     

    “อุ๊ยตาย! พวกเราไปกันเถอะ” เดี๋ยวปัดจับกินซะเลย หญิงแม่บ้านสามคนหลบตาบาร์เธอร์ก่อนจะพากันเดินออกไปพร้อมเด็กที่นั่งอยู่ในรถเข็น ในขณะที่โลกมนุษย์กำลังวุ่นวายกับการใช้ชีวิตโดยไม่รู้เลยว่ายังมีโลกอีกใบซ่อนอยู่

     

     

     

     

     

     

     

    ไทฟอน เป็นพันธุ์อสูรหายากที่เหล่าปีศาจหรือมนุษย์เข้าใจผิดว่าไทฟอนนั้นมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ เป็นอสุรกายที่น่าเกลียดน่ากลัว ตำนานต่างเล่าขานกันว่า ไทฟอน มีหัวถึงหนึ่งร้อยหัว หัวของมันสูงจนสามารถสัมผัสกับดวงดาวบนท้องฟ้า แต่บางตำนานบอกว่าไทฟอนนั้นมีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ส่วนท่อนล่างนั้นเป็นงูยักษ์ที่มีขนาดยาวนับร้อยไมล์ แต่ความจริงนั้นตรงกันข้ามกับเรื่องเล่าในตำนานลิบลับ

     

    ความจริงแล้ว ไทฟอน มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ที่อ่อนแอแต่กับมีพลังมหาศาล น้ำตาของไทฟอนมีพิษร้ายและพลังของเขาสามารถทำลายล้างโลกปีศาจกับโลกมนุษย์ได้ในพริบตาด้วยลาวาและพลังแห่งไฟมังกร

     

    เหล่าปีศาจและทูตสวรรค์ต่างเชื่อกันว่าไทฟอนนั้น สูญพันธุ์ไปหลายพันปีแล้ว เพราะกลัวว่าพลังที่หลับใหลของไทฟอนจะตื่นขึ้นแล้วโลกมนุษย์จะถูกทำลายล้าง ทูตสวรรค์จึงรวมตัวกันกำจัดไทฟอนที่พึ่งถือกำเนินได้เพียงหนึ่งวัน เหล่าทูตสวรรค์ต่างคิดว่าทำสำเร็จแล้วจึงกลับสวรรค์โดยที่ไม่รู้เลยว่าไทฟอนถูกใครบางคนช่วยชีวิตเอาไว้ เพราะเหตุนี้เคนวิลล์จึงเก็บตัวเงียบอยู่ในคฤหาสน์อย่างโดดเดี่ยวมาเป็นเวลานาน

     

    “เคนวิลล์” ชายในชุดคุมสีดำเดินเข้ามาทักทายชายอีกคนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง เขาหวังว่าอสุรเย็นชาตนนี้จะหันมาสนใจเสียงเรียกของตน แต่เคนวิลล์กับไม่ตอบสนองใดๆ เขายังคงยืนนิ่งดั่งรูปปั้นที่ถูกจิตกรปั้นขึ้น ดวงตาคมเข้มทอดมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก

     

    “ฮึ! ยังหยิ่งยโสเหมือนเดิมเลยนะ” ชายร่างสูงที่อยู่ในชุดผ้าคลุมสีดำเอ่ย “ถ้าเจ้ายังเป็นแบบนี้สักวันโลกปีศาจคงได้ล่มสลาย”

     

    “………”

     

    “เคนวิลล์! วันนี้เจ้าต้องมาประลองกับข้า” อยากรู้นักว่าเจ้ามันจะสักเท่าไหร่กันเชียว “อสูรเย็นชาที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ผู้ต่ำต้อย เหอะ ข้าว่าเจ้าก็เป็นแค่อสูรชั้นต่ำนั่นแหละ อย่าทำตัวสูงส่งไปหน่อยเลย” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบสนอง ยอสก็เริ่มหมดความอดทน “เจ้าจะยืนนิ่งอยู่แบบนี้จริงรึ....ดี งั้นข้าจะโจมตีเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ” พูดจบยอสก็เอื้อมมือไปดึงเคียวยาวที่ห้อยอยู่กลางหลังมาถือไว้ในมือท่าทีของปีศาจยมทูตไม่ได้เหมือนกำลังล้อเล่นอยู่สักนิด เขาไม่รอช้าสองมือประคองยกเคียวฟาดเข้าไปที่ตัวของเคนวิลล์เต็มแรง เหล่าปีศาจต่างรู้ดีว่าเคียวยมทูตนั้นไม่ใช่เคียวธรรมดา ถ้าได้ฟาดลงไปบนตัวใครแล้วไม่ตายก็เจ็บสาหัส ผู้คนไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจต่างกลัวเคียวยมทูตกันทั้งนั้น แต่ทว่า “.....มะ....ไม่จริงน่า ไม่จริงใช่ไหม”

     

    เคนวิลล์ไม่ได้หลบหนีหรือต่อสู้กลับ เพียงแต่ว่าภาพตรงหน้าทำให้ยอสเจ้าของเคียวยมทูตยืนอึ้งค้างด้วยความประหลาดใจ เจ้าของดวงตาคมกริบยังคงยืนนิ่งสงบไม่วูบไหวมองออไปนอกหน้าต่าง มือหนาที่รับปลายแหลมของเคียวยมทูตมีเลือดสีดำไหลซิบ สีหน้าและแววตาไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดออกมาแต่อย่างใด

     

    “น่าเบื่อ...” คำแรกที่อสูรเย็นชาเปล่งออกมาทำให้ยอสหน้าขึ้นสี คิ้วขวาบนหน้าชักกระตุกด้วยความโกรธ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เคนวิลล์ก็ปล่อยมือออกจากเคียว แล้วกระโดดออกไปทางหน้าต่าง ยอสที่ยืนอึ้งกับเหตุการณ์เมื่อครู่ได้สติก็วิ่งไปชะโงกหน้าออกไปมองหาอสูรเย็นชาแต่ก็ไม่พบเขาแล้ว

     

    “เจ้าหนีข้าหรือ” ถึงจะคิดเช่นนั้นแต่ยอสก็ได้รับรู้ถึงพลังที่แข็งแกร่งของเคนวิลล์ อสุรลึกลับที่สามารถหยุดเคียวยมทูตได้ในมือเดียว ช่างน่ากลัวยิ่งนัก "เจ้าเป็นใครกันแน่"

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×