คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1-5
จิโบ้ เด็กชายหัวใจช่างฝัน
โดย บ.บรรจง
บทที่ 1 บ้านไม้โย้เย้
บ้านไม้เล็กๆ หลังหนึ่งปลูกอยู่บนเนินหญ้าสีเขียวสดเหมือนผืนผ้าสักหลาด บ้านไม้หลังนี้มีสภาพเก่าและทรุดโทรม ถ้ามองจากที่ไกลๆ จะเหมือนกระท่อมโกโรโกโสรูปทรงสี่เหลี่ยมแปลกพิลึกมากกว่า และปุปะด้วยกระดานฝาตีแปะห่างๆ กัน แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เหมือนกล่องไม้อัปลักษณ์ที่เจาะรูจนพรุนเพราะในเวลากลางคืนแสงไฟจะส่องสว่างออกมาทั่วทุกสารทิศ และในยามที่มีพายุฝนพัดกระหน่ำ บ้านไม้หลังนี้จะเอียงกระเท่เร่ลู่ลมเหมือนยอดไผ่ไหวเอนไปมา พร้อมกับเสียงฝาและกระดานไม้ลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดให้ได้ยินอย่างน่ากลัว เพราะบ้านหลังนี้กำลังส่งเสียงร้องอย่างโอดครวญว่า “ฉันกำลังจะหลุดปลิวไปตามแรงลมอยู่แล้วนะ” แต่พอพายุสงบมันก็จะโย้เย้คืนกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้เสมอ
และที่นี่ก็คืออาณาจักรเล็กๆ ของ จิโบ้ จิโบ้เป็นเด็กผู้ชายอายุเจ็ดขวบและขาพิการทั้งสองข้าง เพราะ จิโบ้เป็นโปลิโอมาตั้งแต่เกิด และภายใต้ชายคาบ้านไม้โย้เย้จะพังแหล่ไม่พังแหล่หลังนี้ มีจิโบ้และแม่อาศัยอยู่ด้วยกันเพียงลำพังสองคนเท่านั้น จิโบ้เป็นเด็กน่ารักและช่างพูดจึงมักได้ยินเสียงพูดเจื้อยแจ้วของเขาอยู่เสมอ แต่ก็มีแค่แม่ของจิโบ้เท่านั้นที่บอกจิโบ้ว่า “จิโบ้เป็นเด็กน่ารักและช่างพูด” แม้จิโบ้จะอายุเจ็ดขวบแล้วก็ตามแต่เขาก็ยังไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะแม่ไม่มีเวลาพาจิโบ้ไปโรงเรียน และจิโบ้เองก็ไม่เคยออกไปไหนนอกบ้านเลย น่าสงสารจิโบ้ที่ขาทั้งสองข้างของเขาพิการ ถ้าหากจิโบ้ไม่เป็นโปลิโอและเดินได้เหมือนเด็กคนอื่นๆ เขาคงวิ่งเล่นและไปไหนต่อไหนได้อย่างสนุกสนาน และเห็นสิ่งสวยงามบนโลกกว้างมากกว่านี้ ดังนั้นโลกของจิโบ้จึงเป็นแค่บ้านไม้โย้เย้หลังนี้เท่านั้น เมื่อจิโบ้เดินด้วยขาไม่ได้เขาจึงต้องอาศัยมือเพื่อคลานไปตามพื้นบ้าน แต่พื้นบ้านทำจากไม้กระดานพุๆ ซึ่งเป็นเศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แม่หาเก็บมาจากกองขยะ มันจึงทำให้มือและแขนของจิโบ้เจ็บระบมไปหมด แต่จิโบ้ก็ไม่เคยบ่นให้แม่ฟังนอกจากพูดกับแม่บ่อยๆ ว่าฝาและกระดานพื้นที่ตีแปะห่างๆ กันนี้ทำให้เขาได้นอนตากลมเย็นสบาย แม่จะนั่งฟังจิโบ้พูดจ้อไม่หยุด พร้อมกับรอยยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเต็มปาก แต่แม่ก็มีแววตาเศร้าๆ ปนมาด้วยทุกครั้งที่จิโบ้พูดถึงแผ่นไม้ที่นำมาทำบ้าน ดังนั้นแม่จึงพยายามหาไม้แผ่นใหม่มาเปลี่ยนอยู่บ่อยๆ ส่วนกระดานพุๆ ที่เปลี่ยนออกไปแม่จะเอาไปสุมรวมกันไว้ใกล้ๆ เตาไฟเพื่อเป็นฟืนก่อไฟทำกับข้าว ส่วนจิโบ้ก็ชอบช่วยแม่ทำงานทุกอย่างภายในบ้านที่เขาพอทำได้ เพราะมันทำให้หัวใจของเขาพองโตอย่างมีความสุขที่ทุกครั้งได้แบ่งเบาภาระของแม่ แต่จริงๆ แล้วจิโบ้ก็ช่วยทำงานได้ไม่กี่อย่างเองหรอกนะ เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาจะนอนอยู่ที่มุมห้องดูแม่ทำงานจิปาถะภายในบ้าน หรือนั่งพูดจ้อไม่หยุดให้แม่ฟังเรื่องต่างๆ ที่เขานึกขึ้นได้เพื่อรอแม่ออกไปทำงานนอกบ้าน และรอแม่กลับเข้าบ้านอีกครั้งในเวลาหกโมงเย็นหรือนานกว่านั้น
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่ง เหมือนทุกวันที่จิโบ้อยู่คนเดียวและเฝ้าชะเง้อมองหน้าบ้านรอแม่กลับมา แต่วันนี้เมฆฝนสีดำก้อนใหญ่เหมือนหัวกะหล่ำปลีตั้งเค้ามาตั้งแต่บ่ายแล้ว และเริ่มบดบังแสงสว่างของท้องฟ้าในเวลาสามโมงเย็นพร้อมกับโปรยเม็ดฝนสีขาวลงมาหนาตา จิโบ้นั่งอยู่ริมหน้าต่างเอาคางเกยกับขอบไม้เอาไว้ขณะมองดูต้นม่าเหมี่ยวข้างบ้าน ม่าเหมี่ยวต้นนี้ปลูกมานานแล้ว แต่จิโบ้ไม่รู้หรอกว่ามันปลูกมานานแค่ไหน ซึ่งอาจปลูกก่อนที่จะมีบ้านหลังนี้ก็ได้ แต่ที่จิโบ้รู้ก็คือว่าม่าเหมี่ยวต้นนี้เติบโตอย่างไม่สมบูรณ์นัก กิ่งก้านของมันจึงแคระแกร็นและบิดขอดคดโค้งเหมือนคนพิการเป็นง่อยเปลี้ย ซึ่งก็คงจะเหมือนจิโบ้นั่นเอง แม่เคยบอกว่าเนินดินตรงนี้ไม่เหมาะที่จะปลูกต้นม่าเหมี่ยวนัก ดังนั้นลำต้นของมันจึงหงิกงอและขึ้นหูดตะปุ่มตะป่ำเหมือนคนเป็นโรคผิวหนังชนิดร้ายแรง ส่วนใบที่มีขนาดใหญ่สีเขียวอ่อนซึ่งค่อนไปทางเหลืองซีดก็มีจำนวนน้อย จนเห็นกิ่งก้านโล่งโกร๋นนับจำนวนใบได้ไม่ยากเลย และวันนี้จิโบ้เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีนกกระจาบทองคู่หนึ่งทำรังอยู่บนกิ่งม่าเหมี่ยว นกกระจาบทองคู่นี้คงเพิ่งแต่งงานกันและมาอาศัยอยู่ที่นี่ จิโบ้รู้สึกอิจฉานกทั้งคู่ที่นอนซุกไซ้คลอเคลียกันอยู่ในรัง และคอยไซ้ขนนุ่มๆ ของพวกมันให้กันและกัน พร้อมกับเสียงพูดฉอเลาะจ๊ะจ๋ากันอย่างมีความสุข
“สวัสดีฮะเอ่อ! คุณนกกระจาบทองทั้งสอง” จิโบ้ทักทายเพื่อนบ้านอย่างอ้ำอึ้งแต่น้ำเสียงนั้นก็แสดงความเป็นมิตร “เอ่อ! ผมชื่อจิโบ้ครับ และยินดีที่รู้จักพวกคุณ” เด็กน้อยยิ้มออกไป นกกระจาบทองทั้งสองหยุดหยอกล้อกันพลางแสดงอาการเขินอายเมื่อรู้ว่ามีเด็กผู้ชายมาแอบดูพวกมัน
“สวัสดีหนุ่มน้อย
” นกกระจาบทองตัวผู้พูดขึ้นขณะใช้จะงอยปากไซ้ขนให้ตัวเมียด้วยความรักใคร่
“ไม่เอาน่าที่รักพอก่อนเถอะฉันอายรู้ไหม” นกกระจาบทองตัวเมียทำเสียงฉอเลาะพลางหันมามอง จิโบ้
“ไม่เห็นต้องอายเลยที่รักใครๆ ต่างอิจฉาที่เห็นเราจู๋จี๋กันอย่างนี้ จริงไหมพ่อหนุ่มน้อยจิโบ้” นกกระจาบทองตัวผู้เงยหน้าขึ้นถาม “ฉันชื่อขนขาว และนี่คือขนสวยภรรยาของฉัน และเราก็ยินดีที่รู้จักกับเธอ จิโบ้”
“เธอมาแอบดูเราตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะพ่อหนุ่มน้อย?
” ขนสวยถามด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงปนเสียงหัวเราะกระซิกเมื่อมองหน้าจิโบ้
“เปล่าเลยฮะ คือผมไม่ได้แอบดูพวกคุณเลย” เด็กน้อยอ้ำอึ้ง
“ฉันไม่คิดว่าเธอมีเจตนาแอบดูพวกเราหรอกจริงไหม? จิโบ้” ขนขาวพูด จิโบ้จึงรีบพยักหน้าตอบรับ “มันเป็นความผิดของฉันเองที่เลือกกิ่งม่าเหมี่ยวใกล้หน้าต่างบ้านของเธอเป็นที่ทำรัง”
“ไม่หรอกฮะ คือวันนี้ฝนตก ผมเลยมานั่งอยู่ที่หน้าต่างเพื่อดูน้ำฝนเท่านั้นเอง” จิโบ้รีบอ้างไปเรื่องอื่น เพราะไม่อยากให้เพื่อนบ้านที่มาทำรังอยู่ใหม่คิดว่าเขาเป็นเด็กไม่ดี “และผมเพิ่งสังเกตเห็นรังของพวกคุณในวันนี้”
“แน่ล่ะจิโบ้ พวกเราเพิ่งแต่งงานกันและเพิ่งย้ายมาทำรังที่นี่” ขนสวยบอกแล้วหันกลับไปไซ้ขนให้สามีของมัน
“ขอโทษนะฮะ พวกคุณมาจากไหนกัน? คือผมไม่ได้เห็นนกกระจาบทองมานานแล้ว และนานมากแล้วที่ไม่มีนกบินผ่านมาให้ผมเห็น” จิโบ้ร้องถามแข่งกับสายฝนที่กระหน่ำลงมา
“พวกเรามาจากป่าใกล้เมืองหลวง” ขนขาวบอกพร้อมชี้มือไปทางทิศเหนือ ซึ่งเป็นทิศเดียวกันกับที่แม่เดินทางไปทำงาน “พวกเราเบื่อความวุ่นวายน่ะ อยากทำรังในที่เงียบๆ หนีจากเสียงอึกทึก
”
“คือเรา
” ขนสวยอ้ำอึ้งขณะมองสบตากับขนขาว “คือเราอยากมีลูกน่ารักๆ ซักสองตัวเกิดในบรรยากาศที่เงียบสงบทำนอง “โรแมนติก” อะไรนี่แหละ และเพื่อจะได้มีเวลาพลอดรักกันอย่างมีความสุขตามประสาครอบครัวที่เพิ่งแต่งงานใหม่” นกกระจาบทองทำท่าเอียงอายแล้วเอาหัวซุกไซ้ขนของสามี ปล่อยให้จิโบ้พึมพำทวนคำ “โรแมนติก” อยู่คนเดียวเพราะไม่เข้าใจความหมายของมัน และขณะนั้นสายฝนก็พัดกระหน่ำรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม จนกิ่งต้นม่าเหมี่ยวเอนไหวไปมา ส่วนบ้านของจิโบ้ก็เริ่มโย้เย้เอียงลู่ลมเหมือนยอดไผ่ไหวอีกครั้ง
“ฝนตกแรงนะจิโบ้ แต่ฉันชอบบรรยากาศแบบนี้” นกกระจาบทองตัวผู้บอกกับเด็กน้อยขณะที่มันชะเง้อหน้าออกมานอกรัง
“แต่ผมไม่ชอบฝนที่มากับสายลมแรงแบบนี้นักหรอก เพราะบ้านของผมโย้เย้จะพังแหล่ไม่พังแหล่เต็มทีแล้ว และฝากระดานที่ร้องเอี๊ยดอ๊าดน่ากลัวก็ทำให้ผมเป็นทุกข์กังวลใจไม่มีความสุขเอาเสียเลยล่ะฮะ”
“เธอน่าจะทำบ้านเหมือนพวกเรา” ขนสวยพูดขณะหลิ่วตาให้สามีและจิโบ้ไม่ทันสังเกตเห็น “บ้านของเราไม่ส่งเสียงลั่นดังเอี๊ยดอ๊าด ในรังมีแต่ความนุ่มอุ่นสบาย และเหมาะจะนอนฟังเสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคาบ้านเหลือเกิน” จิโบ้รู้สึกอิจฉานกกระจาบทองทั้งสอง เมื่อคิดถึงที่นอนนุ่มๆ และอุ่นสบายอย่างที่ขนสวยบอก
“ขอโทษนะจิโบ้ ฉันกับภรรยาต้องปิดประตูบ้านเข้านอนแล้วล่ะ เพราะภรรยาของฉันเธอชอบนอนฟังเสียงฝนตก มันให้บรรยากาศโรแมนติกน่ะ” ขนขาวบอกแล้วปิดประตูบ้าน
“เดี๋ยวก่อนครับ เดี๋ยวก่อนคุณขนขาวขนสวย” จิโบ้รีบร้องออกไป ประตูรังของนกกระจาบทองจึงเปิดออกมาอีกครั้งพร้อมกับใบหน้าของขนขาวที่โพล่ออกมา
“มีอะไรอีกหรือ? เด็กน้อย”
“คือผมอยากมีเพื่อน พวกคุณเป็นเพื่อนกับผมได้ไหมฮะ?” ขนขาวหันกลับไปมองหน้าภรรยาของมัน แล้วทั้งสองก็พยักหน้าให้กันด้วยรอยยิ้มอย่างที่จิโบ้ไม่เข้าใจ
“ไม่ได้หรอกจิโบ้ ฉันกับภรรยาจะเป็นเพื่อนกับเธอไม่ได้” ขนขาวบอกแล้วรีบปิดประตูบ้าน สีหน้าของจิโบ้หมองเศร้าลงทันทีที่ได้ยินคำตอบจากนกกระจาบทอง
“ทำไมฮะ? ทำไมพวกคุณถึงเป็นเพื่อนกับผมไม่ได้? บอกผมหน่อยฮะ บอกผมหน่อย?” ไม่ว่าจิโบ้จะร้องตะโกนถามอีกซักกี่ครั้งก็ตาม เขาก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมาอีกเลย
บทที่ 2 คุณลุงลมฝน
หลังจากนกกระจาบทองสองสามีภรรยาปิดประตูบ้าน เพื่อเข้านอนฟังเสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคาไปแล้ว และหลังจากจิโบ้ถูกปฏิเสธการเป็นเพื่อนจากนกกระจาบทองทั้งสองตัว โดยที่เขาไม่ได้รับคำอธิบายใดๆ จิโบ้ก็มีแต่ความทุกข์ใจและกับต้องทุกข์ใจเพิ่มขึ้นอีก เพราะลมฝนจากท้องฟ้าที่กระหน่ำพัดรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้บ้านของจิโบ้โย้เย้ลู่ลมไปมาอย่างน่ากลัว เสียงกระดานไม้คำรามด้วยความเจ็บปวดลั่นดังเอี๊ยดอ๊าด ราวกับบ้านจะระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยปลิวไปกับสายลม จิโบ้ต้องคลานมาเกาะขอบหน้าต่างเอาไว้ แล้วแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า น้ำตาของจิโบ้ไหลอาบแก้ม เพราะเขายังเสียใจที่หาเพื่อนไม่ได้ และขณะเดียวกันจิโบ้ก็รู้สึกหวาดกลัวเมื่ออยู่คนเดียวในบ้านโย้เย้ที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่อยู่ในขณะนี้ แต่แล้วจิโบ้ก็ประหลาดใจเมื่อเขาเห็นใบหน้าโปร่งใสเหมือนน้ำสะอาดในแก้วของชายชราผู้หนึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่ยักษ์ลอยวนเวียนไปมาในอากาศเหนือหลังคาบ้านของเขา พร้อมกับเสียงหัวเราะของชายชราผู้นั้นดังเอิ้กๆ มาให้ได้ยินเป็นระยะขณะที่คอยเป่าลมไปทั่วทุกสารทิศ จิโบ้จึงเอามือเล็กๆ ของตัวเองป้องหน้าแล้วส่งยิ้มขึ้นไปบนท้องฟ้าให้กับชายชราแปลกหน้าผู้นั้น
“สวัสดีครับคุณลุง
” จิโบ้ร้องทักทายแข่งกับเสียงอื้ออึง
“สวัสดีอย่างนั้นหรือ เด็กน้อย เอ่อ..แล้วทำไมฉันต้องพูดว่าสวัสดี?
” เจ้าของใบหน้าใหญ่ยักษ์ถามกลับมาด้วยเสียงอันดังกังวาน ขณะหยุดพ่นลมออกจากปาก
“มันเป็นคำทักทายนะฮะคุณลุง ผมชื่อจิโบ้ยินดีที่รู้จักครับ แล้วคุณลุงเป็นใครหรือฮะ?” จิโบ้ถามด้วยน้ำเสียงอย่างเดียวกันกับที่เขาพูดกับนกกระจาบทอง
“เอ่อ! สวัสดีก็สวัสดีจิโบ้ ยินดีที่รู้จัก ใครๆ ก็เรียกฉันว่า“ลม”แต่ชื่อจริงๆ ของฉันคือลมฝน แต่เธอกำลังขัดจังหวะการทำงานของฉันอยู่นะจิโบ้” ลมฝนพูดกับเด็กน้อยขาพิการขณะง่วนกับงานของตน
“คุณลุงลมฝนกำลังทำอะไรอยู่หรือฮะ?” จิโบ้ถามพร้อมกับทำสีหน้าสงสัย
“ก็ฉันกำลังทำงานนะซิ นี่แหละงานของฉัน” ลมฝนพูดพร้อมกับผายมือขนาดมหึมาออกไปไกลหลายกิโลเมตรจนสุดเวิ้งกว้างของก้อนเมฆหัวกะหล่ำปลีที่ยังโปรยปรายสายฝนลงมาไม่หยุด
“มันเป็นงานที่ฉันแสนจะภูมิใจเลยล่ะ ฉันมีหน้าที่เป่าลมเพื่อทำให้เมฆฝนลอยกระจายไปทั่วท้องฟ้า” แล้วลมฝนก็ฮัมเพลงด้วยเสียงอันดังกังวานว่า “เพื่อให้พื้นดินชุ่มฉ่ำ เพื่อให้ลำธารไม่ขาดน้ำไหล เพื่อให้วิหคร้องเพลงยามฟ้าหลังฝน และเพื่อให้ผู้คนเย็นฉ่ำชื่นใจ
” ลมฝนร้องเพลงไปก็ผายมือใหญ่ๆ ไปมา แต่จิโบ้ขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ย
“ทำไมเหรอ จิโบ้ผู้น่าสงสาร เสียงเพลงของฉันไม่ไพเราะหรืออย่างไร?” ลมฝนสังเกตเห็นสีหน้าเศร้าๆ ของเด็กน้อยจึงลอยลงมาใกล้หลังคาบ้านไม้โย้เย้
“เปล่าหรอกฮะ เสียงเพลงของคุณลุงไพเราะแต่..” จิโบ้อ้ำอึ้งพลางเกาศีรษะอย่างเป็นกังวล
“แต่อะไรเล่าเด็กน้อย บอกฉันได้ไหม?” ลมฝนถามด้วยเสียงทุ่มต่ำอย่างใคร่รู้
“บ้านของผมกำลังจะพังแหล่ไม่พังแหล่อยู่แล้ว เพราะลมจากลุงลมฝนนี่แหละฮะ” จิโบ้ยักไหล่มองหน้าลมฝนเมื่อพูดออกไป
“ผมอยากขอร้องให้คุณลุงช่วยเป่าลมเบากว่านี้หน่อยจะได้ไหมฮะ” ลมฝนหัวเราะเอิ้กๆ อย่างอารมณ์ดีแล้วลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ขอโทษทีจิโบ้ มันเป็นหน้าที่ของฉัน แต่เชื่อเถอะว่าบ้านโกโรโกโสของเธอจะไม่พังลงมาเพราะฝีมือของฉันหรอกนะ” ลมฝนหันไปพ่นลมใส่เมฆหัวกะหล่ำปลีอีกก้อนหนึ่งเพื่อให้มันลอยออกไปไกล “ฉันรู้ว่าเธอกำลังกังวลเรื่องลมของฉัน ฉันจะบอกให้เธอรู้นะจิโบ้ ว่าบ้านโกโรโกโสของเธอหลังนี้ทนทายาดอย่างอะไรดี”
“คุณลุงรู้ได้ยังไงฮะ? ว่าบ้านของผมจะไม่พังหรือมีชิ้นส่วนปลิวว่อนไปในอากาศ” จิโบ้อยากรู้ และเขาก็อยากมีเพื่อนพูดคุยด้วยนานๆ หลังจากนกกระจาบทองสองสามีภรรยาไม่ตอบรับเป็นเพื่อนกับเขา
“จิโบ้เอ๋ย ฉันเกิดมานานแล้ว และเห็นอะไรมาก็มาก ส่วนบ้านของเธอฉันก็ลอยผ่านมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ฉันยังไม่เคยเห็นกระดานแผ่นไหนปลิวไปกับลมของฉันเลย ฉันรู้นะจิโบ้ว่ากระดานไม้ทุกแผ่นในบ้านของเธอพร้อมใจกันร้องโอดครวญทุกครั้งที่ฉันเป่าลม
” ลมฝนยิ้มให้จิโบ้ แล้วลอยขึ้นไปพ่นลมใส่เมฆหัวกะหล่ำปลีอีกก้อนหนึ่งเพื่อให้มันลอยไปข้างหน้า
“เธอเห็นไหมจิโบ้? ว่าหน้าที่ของฉันออกจะวุ่นวาย ถ้าฉันไม่คอยเป่าลมไล่เมฆฝนให้ลอยออกไปเรื่อยๆ ฝนก็จะตกหนักอยู่แต่ที่เดิม แล้วน้ำก็จะท่วมทำให้ผู้คนเดือดร้อน แต่เหอะ!
” ลมฝนถอนหายใจแล้วก้มหน้านิ่ง จิโบ้เห็นสีหน้าเศร้าๆ นั้นเมื่อลุงลมฝนพูดถึงเรื่องน้ำท่วม
“ทำไมฮะ คุณลุงมีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าฮะ?”
“ฉันเศร้าใจนะจิโบ้ เพราะบางครั้งฉันก็ทำงานได้ไม่ดีนัก บางครั้งฉันมีงานเยอะจนล้นมือต้องสาละวนเป่าลมวกไปวนมาจนเวียนหัว เพราะเมฆฝนมีเยอะเกินไปจนฉันจำไม่ได้ว่าเป่าเมฆฝนก้อนไหนไปบ้างแล้ว ซึ่งสุดท้ายน้ำก็ท่วม พืชผักในไร่นาจมอยู่ใต้น้ำ สัตว์เลี้ยงล้มตาย ผู้คนต้องอดอยากไม่มีที่อยู่อาศัย แล้วพวกเขาก็พาลโกรธแค้นร้องตำหนิกล่าวโทษฉันและต่างบ่นด่าหาว่าฉันอู้งาน แต่พอฉันเร่งรีบทำงานจนเอาเป็นเอาตาย ฉันก็เป่าลมสมบุกสมบันจนลืมหน้าลืมหลัง เหอะ! แล้วเป็นไงล่ะ ต้นไม้หักโค่น พืชสวนไร่นาเสียหาย บ้านผู้คนล้มพังระเนระนาดปลิวไปกับลมของฉันก็มี แล้วจะให้ฉันทำยังไงดีล่ะจิโบ้” ลมฝนพูดไปพลางเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาตัวเอง จิโบ้รู้สึกเห็นใจลมฝนอย่างแท้จริง แต่เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก
“เรื่องเศร้าๆ ของฉันยังมีอีกเยอะแยะนะจิโบ้ แต่ฉันไม่มีเวลาเล่าให้เธอฟังหรอก ฉันต้องไปทำงานก่อนล่ะจิโบ้ ลาก่อน” ลมฝนพูดแล้วก็ลอยสูงขึ้นไปในอากาศ
“เดี๋ยวก่อนซิฮะคุณลุงลมฝน เดี๋ยวก่อน--” จิโบ้รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีเมื่อคนที่เขาพูดด้วยในวันนี้กำลังจะจากเขาไปอีกคนแล้ว
“มีอะไรอีกหรือจิโบ้?” ลมฝนร้องถามลงมาจากท้องฟ้า
“คือคือผมอยากรู้ว่าวันไหนคุณลุงจะกลับมาอีกและผมอยากมีมีเพื่อนนะฮะ”
“ฉันไม่แน่ใจนักหรอกจิโบ้ ว่าฉันจะได้กลับมาอีกหรือเปล่า”
“ทำไม่ล่ะฮะ” จิโบ้สงสัย
“เพราะมันเป็นปลายฤดูฝนแล้วนะซิ ลมหนาวกำลังจะมาแทนที่ฉัน แต่ถ้าฉันยังทำงานในแผนกนี้อยู่นะ
” ลมฝนเอามือเกาคางพยามคิดหาคำตอบ “
ฉันก็จะกลับมาในต้นฤดูฝน”
“แล้วคุณลุงจะจะเป็นเพื่อนกับผมได้ไหมฮะ?” จิโบ้รีบถามคำถามที่เขาร้อนใจออกไปทันทีที่เห็นลมฝนลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และทำสีหน้าเศร้าปนไปด้วยเพื่อให้ลมฝนเห็นใจ ลมฝนทำหน้ามุ่ยและขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดเพราะเขาไม่อยากตอบคำถามของจิโบ้เท่าใดนัก
“
คงไม่ได้หรอกจิโบ้ ฉันเป็นเพื่อนกับเธอไม่ได้” ลมฝนถอนหายใจแล้วขยับตัวลอยจากไป
“ทำไมล่ะฮะ ทำไมคุณลุงถึงเป็นเพื่อนกับผมไม่ได้ ทำไมล่ะฮะคุณลุง?” จิโบ้ร้องถามไล่หลังลมฝนที่ลอยออกไปไกลเสียแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมาอีกเลย จิโบ้เสียใจมากที่ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับเขา จิโบ้นั่งอยู่ริมหน้าต่างคนเดียวพร้อมกับเสียงสะอื้นเบาๆ และคอยเอามือตัวเองเช็คน้ำตาเม็ดโตที่ไหลออกมา หลังจากพายุฝนผ่านไปก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ท้องฟ้าจึงถูกปกคลุมด้วยเงามืดยามโพล้เพล้ และพอทุกอย่างเข้าสู่ความมืดมิดหลังจากดวงตะวันลับหายจากขอบฟ้าไปแล้วดาวดวงเล็กๆ ก็พากันเยี่ยมหน้าออกมาอวดแสงระยิบระยับ และประดับประดาเต็มฉากสีดำของท้องฟ้าอีกครั้ง พร้อมกับเสียงจิ้งหรีดและแมลงเรไรที่ช่วยกันขับกล่อมเสียงเพลง ทำให้เสียงสรรพสิ่งยามค่ำคืนต่างดังระงมเซ็งแซ่ทั่วเนินหญ้าบ้านของจิโบ้ แต่แม่ของเด็กน้อยขาพิการก็ยังไม่กลับมาถึงบ้าน “วันนี้ฝนตกหนักแม่คงติดฝนอยู่ที่ไหนสักแห่ง” จิโบ้คิดไปเรื่อยเปื่อยขณะล้มตัวลงนอนบนพื้นกระดานไม้อย่างเงียบเหงาเพียงลำพังคนเดียว เพื่อรอแม่กลับมา
บทที่ 3 จิ้งจกหางกระดิก
วันนี้แม่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด แม่บอกจิโบ้ว่าที่ทำงานกำลังยุ่งกับการเตรียมงานครั้งใหญ่ เพราะปีนี้ในเมืองหลวงจัดงานเฉลิมฉลองปีใหม่อย่างยิ่งใหญ่ แต่จิโบ้ไม่รู้หรอกว่าปีใหม่คืออะไร จิโบ้รู้แค่ว่าในหนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวัน และวันสุดท้ายของสัปดาห์ก็คือวันอาทิตย์ที่แม่จะกลับบ้านเร็วกว่าทุกวัน แม่ออกไปทำงานทุกวันตั้งแต่เช้ามืดพร้อมกับแสงแรกของดวงตะวัน และจิโบ้ก็ไม่เคยเห็นแม่มีวันหยุดพักผ่อนเต็มๆ วันสักครั้งเดียว แต่วันอาทิตย์แม่จะกลับบ้านในเวลาบ่ายสองโมง พร้อมกับหิ้วถุงข้าวสารและอาหารจิปาถะพะรุงพะรังมาด้วยเสมอ จิโบ้กับแม่จะช่วยกันทำอาหารกินกันอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากนั้นพวกเขาก็จะใช้เวลาที่เหลือหัวเราะสนุกสนานอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูกอย่างมีความสุข จิโบ้จึงรักวันอาทิตย์มากกว่าวันอื่นๆ จิโบ้เคยถามแม่ว่า “แม่ทำงานอะไรฮะ?” แม่ยิ้มให้จิโบ้ด้วยแววตาเป็นประกายและตอบคำถามของจิโบ้ แต่ทุกครั้งที่จิโบ้ได้รับคำตอบจากแม่ ก็จะเป็นคำตอบคำเดียวกัน นั่นคือ
“งานของแม่เป็นงานสุจริต เหมาะกับชีวิตของแม่ แม้จะมีรายได้น้อยแต่แม่ก็ภูมิใจ ลูกรู้เท่านี้ก่อนนะ เมื่อไหร่ที่ลูกโตขึ้นกว่านี้แม่จะบอกลูกเองว่าแม่ทำงานอะไร” จิโบ้ไม่เคยรบเร้าถามแม่มากไปกว่านี้ แต่ทุกครั้งที่ จิโบ้เอ่ยถาม จิโบ้จะเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า
“จิโบ้โตพอที่จะรู้ว่าแม่ทำงานอะไรหรือยังฮะ” แม่จะยิ้มด้วยแววตาเป็นประกายแล้วตอบคำถามเหมือนเดิมทุกครั้งไป
เมื่อแม่ออกไปทำงานแล้ว จิโบ้ก็อยู่บ้านคนเดียวตามลำพัง วันนี้จิโบ้ไม่ค่อยรู้สึกเหงานัก เพราะนกกระจาบทองสองสามีภรรยาออกมาทักทายจิโบ้ตั้งแต่เช้า พวกมันยังไม่ยอมเป็นเพื่อนกับจิโบ้ แต่ก็ทักทายจิโบ้ทุกครั้งที่เห็นหน้ากัน วันนี้ขนขาวอารมณ์ดีพูดไปหัวเราะไป เพราะขนสวยภรรยาของมันออกไข่ครบสองฟองแล้ว ทั้งคู่จึงร้องเพลงอย่างมีความสุขก่อนบินคลอเคลียกันออกไปหากินหลังจากบอกข่าวดีให้จิโบ้รับรู้ จิโบ้จึงตั้งตารอคอยให้ไข่ทั้งสองฟองฟักเป็นตัว เผื่อลูกๆ ของนกกระจาบทองที่เกิดใหม่จะยอมเป็นเพื่อนกับเขาบ้าง และขณะที่จิโบ้กำลังนึกถึงใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กๆ ที่จะเกิดจากไข่ทั้งสองฟองอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องจ๊อกๆ ดังมาจากฝาบ้านด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นแผ่นกระดานไม้เก่าๆ สีมอๆ จิโบ้พยายามมองหาต้นเสียงที่ได้ยิน แต่ก็ไม่เห็นใครเลยนอกจากเชื่อราเป็นด่างเป็นดวงซึ่งเริ่มหลุดร่อนออกจากเนื้อไม้ แต่เสียงร้องยังดังมาให้ได้ยินอีก จิโบ้ละล้าละลังพลางชั่งใจอย่างลังเลก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วถามออกไปว่า
“นั่นเสียงใครน่ะ ใครอยู่ตรงนั้นน่ะฮะ?
” จิโบ้จ้องมองกระดานไม้สกปรกแผ่นหนึ่งแต่เขาก็ไม่เห็นอะไร
“ฉันเองจิโบ้
” เสียงเล็กๆ ตอบกลับมาพร้อมกับสีหน้าตื่นตกใจของจิโบ้ เพราะเขาคิดว่ากระดานไม้สกปรกแผ่นนั้นพูดได้ หรือไม่ก็มีผีสิงอยู่ในบ้านของเขา
“คุ คุ คุณเป็นใครหรือฮะ ทำไมผมถึงไม่เห็นตัวคุณ หรือว่าคุณเป็นกระดานไม้พูดได้” จิโบ้พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “แล้วทำไมคุณถึงรู้จักชื่อของผมด้วยล่ะฮะ” จิโบ้ถามกลับไปอีกครั้งและพยายามมองหาเสียงเล็กๆ ที่ได้ยินอย่างตั้งใจ
“โธ่ๆ! จิโบ้ กระดานไม้ที่ไหนพูดได้” เสียงนั้นตอบกลับมา “มองหาฉันดีๆ ซิแล้วเธอจะเห็นฉันเองแหละ” จิโบ้ใจชื่นขึ้นมาบ้างเมื่อรู้ว่าเสียงนั้นไม่ใช่กระดานไม้พูดได้
“แต่ผมไม่เห็นตัวคุณเลยนะฮะ คุณอยู่ที่ไหน” จิโบ้คลานเข้ามาใกล้กระดานไม้ที่เขาได้ยินเสียง
“ก็ได้! ก็ได้!
” เสียงนั้นพูดอย่างรำคาญใจ “ก็ได้ ฉันจะเปลี่ยนสีให้เธอเห็นตัวฉันเดียวนี้ล่ะ
” แล้วทันใดนั้นเองจิโบ้ก็มองเห็นร่างของเจ้าของเสียงค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นบนกระดานไม้ ร่างที่ปรากฏให้เห็นเป็นตัวสีชมพูอ่อนๆ มีสี่ขาหางยาวเกาะอยู่ข้างฝา จิโบ้จึงถามผู้ที่แปลงร่างเป็นกระดานไม้ได้ว่า
“คุณเป็นตัวอะไรครับ? แล้วทำไมถึงแปลงร่างเป็นกระดานไม้ได้? แล้วคุณชื่ออะไร? แล้วมาอยู่ที่บ้านของผมได้ยังไง? แล้วเอ่อคุณยังไม่บอกผมเลยว่าคุณรู้จักชื่อของผมได้ยังไง?”
เด็กน้อยจิโบ้ถามไม่หยุดปากจนเกือบลืมหายใจ เพราะเขาตื่นเต้นที่จะมีเพื่อนพูดคุยด้วยในวันนี้
“โอ้ย! ถามทีละข้อก็ได้จิโบ้ ฉันงงไปหมดแล้วนะ และจำไม่ได้ว่าเธอถามอะไรบ้าง
” เจ้าตัวสีชมพูพูดอย่างอ่อนใจ
“ขอโทษฮะ ผมแค่อยากรู้ไปหมดเสียทุกอย่าง” จิโบ้พูดแก้เขินขณะที่ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงระเรื่อ
“ฉันจะตอบเธอทีละข้อก็แล้วกัน” เจ้าตัวสีชมพูพูดพลางกระดิกหางตัวเองไปมา จิโบ้มองหางที่กระดิกเหมือนตัวหนอนของเจ้าตัวสีชมพู “ฉันเป็นจิ้งจก ฉันชื่อว่าหางกระดิก” เจ้าหางกระดิกกระดิกหางตัวเองและพลางผงกหัวขณะพูด จิโบ้ไม่ได้ฟังที่หางกระดิกพูดนักเพราะมัวแต่จ้องหางที่กระดุกกระดิกของเจ้าหางกระดิกจนตาลาย
“คุณ คุณเป็นจิ้งจกหรือฮะ” จิโบ้ทวนคำ
“ใช่ฉันเป็นจิ้งจก ไม่ได้เป็นกระดานไม้ และฉันก็แปลงร่างเป็นกระดานไม้ไม่ได้ด้วยแต่ฉันเปลี่ยนสีตัวเองเป็นเหมือนพื้นผิวที่ฉันเกาะอยู่ได้น่ะ มันเป็นเล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ ที่ตกทอดจากรุ่นพ่อของพ่อของพ่อของฉันน่ะ ซึ่งมีประโยชน์นักเชียวสำหรับพวกฉันที่ไม่มีอาวุธไว้ป้องกันศัตรู” หางกระดิกพูดอย่างภาคภูมิใจในสิ่งที่เขาได้รับจากรุ่นพ่อของพ่อของพ่อของเขา แต่จิโบ้ยังงงๆ ไม่เข้าใจเกี่ยวกับพ่อของพ่อของพ่อของหางกระดิกนักหรอก
“คุณมีศัตรูด้วยหรือฮะ ทั้งที่ลักษณะของคุณไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครสักหน่อย” จิโบ้ถามอย่างใคร่รู้ ขณะมองหางกระดิกด้วยสายตาสำรวจและใคร่ครวญ
“นั่นซินะจิโบ้ ช่างเป็นคำถามที่ดี ฉันไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครหรอกเพราะฉันรักสงบ และฉันก็ไม่ชอบทำร้ายใครด้วย” หางกระดิกพูดจบก็อ้าปากเรอออกมาครั้งหนึ่ง พร้อมกับโก่งคอทำท่าเหมือนจะอาเจียน
“แต่ชีวิตสัตว์ผู้รักสงบอย่างฉันช่างน่าสงสาร--” หางกระดิกหยุดพูดกะทันหันแล้วก็อาเจียนอะไรซักอย่างออกมา ก้อนอาหารชิ้นใหญ่เป็นมันลื่นตกลงที่พื้น
“ขอโทษทีฉันกินมากไปหน่อย“ จิโบ้ทำปากเบ้เมื่อมองเห็นซากจิ้งหรีดนอนแผ่อยู่ที่พื้น
“คุณกินจิ้งหรีดเหรอฮะ?..” จิโบ้เริ่มทำหน้าขยะแขยงและไม่อยากเชื่อว่าหางกระดิกไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
“อ้อ! ฉันเผลอเขมือบเข้าไปเองนะ นานๆ ครั้งฉันถึงจะกินไอ้พวกนี้” หางกระดิกทำแววตากลบเกลื่อน “จิโบ้ ฉันตอบคำถามของเธอถึงข้อไหนแล้วนะ”
“ถึงข้อที่คุณมาอยู่ที่บ้านของผมได้ยังไง และก็คุณรู้จักชื่อของผมได้ยังไง” จิโบ้ทวนคำถามของตัวเองอีกครั้ง
“ฉันมาอยู่บ้านของเธอได้ยังไงนั่นเหรอ ตอบง่ายนิดเดียว” หางกระดิกเอามือเท้าคางและทำตาเจ้าเล่ห์ “
คือพอฉันออกมาจากไข่ ฉันก็อยู่ที่นี่แล้วล่ะ” หางกระดิกยิ้มแล้วเอาลิ้นเลียริมฝีปากเพื่อทำความสะอาดคราบลื่นๆ
“ฉันเกิดในกล่องกระดาษ” หางกระดิกพูดต่อ “พ่อกับแม่ของฉันเป็นจิ้งจกฉลาด พวกท่านเลือกวางไข่ในที่สะอาดและแห้ง แต่ซ่อนจากสายตาผู้คนได้ดีนักเชียว ไข่ฉันเป็นสีขาวกลมๆมีขนาดเล็กเท่าลูกปัด แต่ก็เปราะบาง ดังนั้นแม่ฉันจึงมีที่ซ่อนที่สุดแสนจะวิเศษ เพื่อให้ฉันกับพี่น้องปลอดภัยที่สุด” หางกระดิกพูดพลางโบกมือวาดภาพจินตนาการไปในอากาศ
“คุณหางกระดิกมีพี่น้องด้วยหรือฮะ” จิโบ้รีบถามอย่างกระตือรือร้นเพราะเขาคิดว่าจะได้พบกับญาติของหางกระดิกอีกหลายตัว แล้วเขาจะขอเป็นเพื่อนกับทุกคน
“แน่นอน ฉันมีพี่น้องหลายคน ถ้าฉันจำไม่ผิดนะ แม่ฉันวางไข่ทั้งหมดหกฟองแน่ะ”
“โอ้โฮ คุณมีพี่น้องคราวเดียวกันตั้งหกตัวเลยเหรอฮะ แล้วพวกเขาไปไหนกันล่ะฮะ ทำไมผมถึงไม่เห็นพวกเขาเลย” จิโบ้พูดพลางทำตาโตตื่นเต้นที่จะได้เจอกับจิ้งจกอีกห้าตัว แต่แล้ว จิโบ้ก็ต้องเก็บความตื่นเต้นนั้นเอาไว้ เพราะแววตาของหางกระดิกมีแต่ความเศร้า จิโบ้เห็นน้ำตาเม็ดโตของหางกระดิกไหลออกมาแล้วหางกระดิกก็ร้องไห้โฮสะอึกสะอื้น
“ผมขอโทษฮะ ถ้าผมพูดอะไรผิดไป” จิโบ้พูดอย่างเห็นใจหางกระดิกและรู้สึกผิด
“เธอไม่ได้พูดอะไรผิดหรอกจิโบ้” หางกระดิกเอามือเช็ดน้ำตา “แค่ฉันคิดถึงพี่น้องของฉันเท่านั้นเอง ฉันคิดถึงพวกเขาเพราะ
ฮื้อๆๆ” หางกระดิกร้องไห้อีก คราวนี้น้ำตาของมันพุ่งเป็นสายน้ำพุออกมาไม่หยุด
“
เพราะอะไรหรือฮะ บอกผมได้ไหม?” จิโบ้อยากรู้จับใจ จึงพยายามถามเบาๆ อย่างมีมารยาท
“เพราะ
เพราะพวกเขาจากฉันไปหมดทุกคนแล้วนะซิ” หางกระดิกยังสะอื้นเป็นพักๆ
“หมายความว่ายังไงหรือฮะ พวกเขาจากไปหมดแล้ว พวกเขาทิ้งคุณไปหรือฮะ?”
“ใช่ พวกเขาทิ้งฉันไป แต่ฉันหมายถึงพวกเขาตายจากฉันไปหมดแล้วต่างหาก” หางกระดิกสะอึกสะอื้นอีกครั้ง
“อะไรนะฮะ! พวกเขาตายไปหมดแล้ว” จิโบ้ทวนคำอย่างตกใจ “ผมเสียใจด้วยฮะ แล้วพวกเขาเป็นอะไรถึงตายหมดทุกตัวล่ะฮะ”
“เรื่องมันเศร้าจิโบ้ ก็อย่างที่ฉันบอกเธอนั่นแหละ ว่าพวกฉันไม่มีอาวุธอะไรไว้ป้องกันตัวเองได้เลย พวกฉันเป็นสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กๆ ที่รักสงบ แต่ก็ถูกสัตว์ที่ตัวใหญ่กว่ารังแกอยู่เสมอ โดยเฉพาะ
” หางกระดิกพูดเบาลงในช่วงท้ายประโยค และมองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวใครจะได้ยินการสนทนากันในครั้งนี้
“โดยเฉพาะเจ้าตาโตน่าเกลียดน่ากลัว...”
“ใครหรือฮะเจ้าตาโต?
” จิโบ้ถามพลางมองซ้ายมองขวาเหมือนหางกระดิก
“อย่าพูดเสียงดังนะ จิโบ้” หางกระดิกทำเสียงเบาเหมือนกระซิบ “ฉันจะบอกเธอให้รู้ว่า เจ้าตาโตนี่แหละคือศัตรูของฉัน และมันนี่แหละที่ฆ่าพี่น้องของฉันจนหมด เจ้าตาโตคือฆาตกร”
“เจ้าตาโตคือฆาตกร!
” จิโบ้ทวนคำด้วยเสียงตกใจ หางกระดิกรีบทำปากจุ๊ๆ
“แล้วเจ้าตาโตคือสัตว์อะไรหรือฮะ” จิโบ้ถาม
“เจ้าตาโตคือตุ๊กแก ตุ๊กแกเกเรที่น่าเกลียดน่ากลัวที่สุดที่ฉันเคยเห็นมา” หางกระดิกทำท่าขยะแขยงด้วยอาการตัวสั่นสะท้าน “เจ้าตาโตนี่แหละจิโบ้ ที่กินพี่น้องของฉันจนหมด”
“อะไรนะฮะ ตุ๊กแกกินจิ้งจก!!” จิโบ้กลืนน้ำลายลงคออย่างพะอืดพะอม “เจ้าตาโตกินพี่น้องของคุณหางกระดิกหรือฮะ” จิโบ้ทบทวนความเข้าใจของตัวเองอีกครั้ง
“ใช่แล้วล่ะจิโบ้ ฉันจะบอกให้เธอรู้นะว่าฉันเกลียดตุ๊กแกมากที่สุด แต่เจ้าตาโตก็ไม่เคยทำอะไรฉันได้หรอก มันพยามไล่กินฉันมาหลายครั้งแล้ว แต่ฉันก็รอดมาได้ทุกครั้ง” หางกระดิกเอามือกอดอกเชิดหน้าขึ้นสูงอย่างวางที
“ฉันเป็นจิ้งจกที่ฉลาดที่สุดในพี่น้องหกตัว และห้าวหาญที่สุดที่เคยมีจิ้งจกอยู่ในบ้านหลังนี้ ดังนั้นฉันขอบอกให้เธอรู้ไว้นะว่าเอิ้ก“ หางกระดิกอ้าปากเรอและส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งออกมาอีกครั้ง
“ฉันไม่เคยกลัว และไม่เคยหนีเจ้าตุ๊กแกอัปลักษณ์ตัวนั้นแม้สักครั้งเดียวเอิ้ก
” คราวนี้หางกระดิกอาเจียนออกมาเป็นแมลงวันหัวเขียว จิโบ้มองซากแมลงวันที่มีเมือกลื่นเกาะเต็มตัวด้วยสีหน้าขยะแขยง หางกระดิกแลบลิ้นยาวๆ สีชมพูเลียริมฝีปากตัวเองเพื่อทำความสะอาดคราบเมือกที่ติดอยู่ใต้คาง
“ฉันพูดถึงไหนแล้วนะ” หางกระดิกทำตาเจ้าเล่ห์ไม่สนใจกับซากแมลงวัน “อ้อ! ฉันบอกว่าฉันห้าวหาญที่สุด ใช่ ๆ ฉันนี่แหละจิ้งจกที่ไม่กลัวตุ๊กแก
” หางกระดิกกับหยุดพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะสอดส่ายสายตาเจ้าเล่ห์มองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง
“มีอะไรหรือฮะ” จิโบ้ถามเมื่อเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของจิ้งจกผู้ห้าวหาญที่สุด
“เธอได้ยินเสียงอะไรไหม? เสียงหนึบหนับๆ เหมือนเสียงวิ่งของตุ๊กแก” หางกระดิกพูดเบาเหมือนกระซิบแต่ในน้ำเสียงนั้นก็แฝงไว้ด้วยอาการกลัวจนสั่นเครือ
“ฮะ ผมได้ยิน เหมือนมีอะไรกำลังวิ่งอยู่หลังฝากระดานตรงนั้น” จิโบ้ชี้ไปที่ไม้กระดานแผ่นหนึ่งที่ได้ยินเสียงแปลกๆ จึงทำให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นอาการสะดุ้งตกใจของหางกระดิก
“เสียงพิลึกกึกกืออะไรก็ช่างเถอะจิโบ้ ฉันต้องไปแล้วล่ะ” หางกระดิกทำทีเป็นพูดปกติด้วยท่าทางห้าวหาญแล้วค่อยๆ เดินจากไปอย่างวางท่า
“อะไรนะฮะ คุณหางกระดิกจะไปแล้วหรือฮะ?”
“ใช่ ฉันมีธุระเยอะแยะ” จิ้งจกตอบห้วนๆ
“คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณรู้จักชื่อผมได้ยังไง” จิโบ้พยายามรั้งหางกระดิกเอาไว้
“โธ่! จิโบ้ ก็ฉันเกิดที่นี่ในบ้านของเธอ ฉันย่อมจะรู้ชื่อของเธอซิ”
“แล้วเมื่อไหร่คุณหางกระดิกจะมาหาผมอีก” จิโบ้พูดพร้อมกับแววตาอ้อนวอน
“เอ่อ ไม่รู้ซินะว่าฉันจะมีเวลามาได้ตอนไหนบ้าง ถ้าฉันมีเวลาจะมาหาเธอก็แล้วกัน” หางกระดิกบอกจิโบ้ขณะเดินเข้าไปใกล้รอยแยกของกระดานไม้แผ่นหนึ่ง
“แล้วคือคือว่า ผมอยากมีเพื่อนนะฮะ คุณหางกระดิกเป็นเพื่อนกับผมได้ไหมฮะ?..” หางกระดิกหันมามองอีกครั้ง และส่งยิ้มให้เด็กน้อยเหมือนจงใจแกล้งให้จิโบ้มีความหวัง
“ไม่ได้หรอกจิโบ้ ฉันเป็นเพื่อนกับเธอไม่ได้ เราไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกัน” หางกระดิกตอบเศร้าๆ แล้วก็เดินหายลงไปในรอยแยกของกระดานไม้แผ่นนั้น
“ทำไมฮะ ทำไมคุณหางกระดิกถึงเป็นเพื่อนกับผมไม่ได้ ทำไมเราถึงไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกัน ทำไมหรือฮะ?..” จิโบ้ได้แต่มองรอยแยกของแผ่นไม้ตรงที่จิ้งจกหายเข้าไปอย่างเศร้าใจ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาอีกเลย นอกจากเสียงวิ่งดังหนึบหนับอยู่หลังกระดานไม้แผ่นหนึ่งดังมาให้ได้ยินก่อนที่เสียงนั้นจะค่อยๆ เงียบหายไป จิโบ้จึงต้องคลานกลับมานั่งบนที่นอนอีกครั้ง แล้วเด็กน้อยก็ล้มตัวลงนอนพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่คนเดียวเพียงลำพังตามเดิม
บทที่ 4 ตุ๊กแกผู้น่าเกลียด
จิโบ้เสียใจและร้องไห้อยู่พักหนึ่งหลังจากหางกระดิกจากไป และไม่ยอมตอบรับเป็นเพื่อนกับเขา จิโบ้จึงนอนหลับหลังจากน้ำตาเม็ดสุดท้ายแห้งเหือด เขานอนหลับไปนาน ก่อนจะสะดุ้งตื่นอีกครั้งในเวลาบ่ายสามโมง เพราะมีเสียงวิ่งหนึบหนับๆ อยู่ที่ข้างฝาบนหัวนอนของเขา จิโบ้ลุกนั่งพลางเอามือสีตาไปมาอย่างรำคาญที่เสียงไม่น่าฟังนี้ปลุกเขาให้ตื่น แต่แล้วจิโบ้ก็เปลี่ยนสีหน้ายุ่งๆ มาเป็นรอยยิ้มเมื่อเขาเห็นตัวอะไรซักอย่างเกาะอยู่ที่ข้างฝา ซึ่งเขาคิดว่าควรจะพูดกับใครสักคนดีกว่าจะนอนเหงาอยู่คนเดียวเพียงลำพัง
“สวัสดีฮะ ใช่เสียงวิ่งของคุณหรือเปล่าที่ดังเมื่อซักครู่นี้ แล้วคุณเป็นใครหรือฮะ” จิโบ้พูดกับสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้น ซึ่งมีลักษณะเหมือนหางกระดิกแต่ตัวใหญ่กว่าหลายเท่า และมีดวงตาคู่โตสีเหลืองอำพันเหลือบไปมา เจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้ยังมีลายสีเขียวสีขาวสีแดงสลับกันบนผิวหนังที่ขรุขระเป็นตุ่มตะปุ่มตะป่ำ และเป็นด่างเป็นดวงดูน่าเกลียดน่ากลัว เหมือนโรคผิวหนังชนิดน่าเกลียดที่สุดเท่าที่จิโบ้เคยเห็นมา
“สวัสดี จิโบ้ ฉันขอโทษที่ทำเสียงเอะอะ เสียงวิ่งของฉันเองแหละที่ดังหนึบหนับๆ เพราะฉันกำลังล่าเหยื่ออยู่น่ะ” เจ้าตุ๊กแกทักทายจิโบ้ขณะที่ดวงตาสีเหลืองคู่โตของมันจ้องเขม็งอยู่ที่แมลงสาบตัวหนึ่งที่บินปร๋อข้ามห้องไป
“คุณเป็นใครหรือฮะถึงรู้จักชื่อของผม? และคุณกำลังวิ่งล่าเหยื่ออะไรอยู่หรือฮะ?” จิโบ้ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก เพราะเขาเห็นดวงตาคู่โตนั้นจ้องมองแมลงสาบที่เพิ่งบินผ่านไปด้วยแววตาอาฆาต
“อ้อ! ฉันเป็นตุ๊กแก ฉันชื่อตาโตและกำลังไล่กินแมลงสาบอยู่นะ” จิโบ้ตกใจที่ได้ยินชื่อตาโต เพราะเขาเชื่อตามที่จิ้งจกบอก ว่าเจ้าตาโตเป็นฆาตกรที่กินจิ้งจกไปแล้วห้าตัว
“คุณเองหรือที่ชื่อตาโต!” จิโบ้ถามแล้วรีบคลานออกห่างตาโตพร้อมกับทำท่าทางรังเกลียด
“ผมไม่อยากพูดกับคุณ จิ้งจกบอกว่าคุณเป็นตุ๊กแกเกเร และเป็นฆาตกร
” ตาโตมองหน้าจิโบ้พลางส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ
“แถมคุณก็น่าเกลียดน่ากลัวอย่างที่คุณหางกระดิกพูดจริงๆ” จิโบ้เบ้ปากให้ตาโต ตาโตถอนหายใจแล้วกระดิกหางตัวเองไปมาเหมือนตัวหนอนที่กำลังชูหัวส่ายไปมาในอากาศ
“จิโบ้ เธอคงเชื่อเจ้าจิ้งจกเปลี่ยนสีได้จนหมดหัวใจแล้วซินะ
” ตาโตมองจิโบ้ด้วยท่าทางเป็นมิตรกว่าคนอื่นๆ ที่จิโบ้เคยพูดด้วย
“เธอถึงได้มองหน้าฉันอย่างเกลียดชัง ฉันจะบอกให้เธอรู้นะจิโบ้ ว่าถึงแม้ฉันจะน่าเกลียดน่ากลัว แต่ฉันก็ทำประโยชน์ให้บ้านของเธอนะ” เจ้าตาโตเชิดหน้าขึ้นนิดๆพร้อมกับรอยยิ้มของมัน
“จิโบ้ เธอคงไม่รู้ซินะว่าฉันมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?” จิโบ้ทำหน้ายุ่งและขมวดคิ้วมองตาโตอย่างใช้ความคิด
“คุณตาโตฮะ คุณทำประโยชน์อะไรให้กับบ้านของผม? ผมไม่เคยเห็นคุณทำอะไรให้กับบ้านของผมเลยนะฮะ” จิโบ้พยายามนึกและพยายามนึกอีกหลายครั้งว่าตาโตทำประโยชน์อะไรบ้าง แต่ทุกครั้งที่จิโบ้พยามนึกเขาก็ต้องทำหน้ายุ่งคิ้วขมวดเข้าหากันเพราะคิดไม่ออกจริงๆ
“ผมไม่เชื่อคุณหรอกฮะ คุณตาโต แต่ผมเชื่อคุณจิ้งจกมากกว่า ว่าคุณเป็นตุ๊กแกเกเรแถมน่าเกลียดน่ากลัวที่สุดและยังชอบไล่กินจิ้งจกอีกต่างหาก”
“โธ่ๆ! จิโบ้
” ตาโตรีบพูดขัดขึ้น “จิโบ้เอ๋ย เธอคงฟังจิ้งจกเปลี่ยนสีเจ้าเล่ห์ตัวนั้นไม่หมดต่างหากล่ะ จิ้งจกคงบอกเธอไม่หมดแน่ๆ ว่าฉันไม่ได้กินแต่จิ้งจกเท่านั้น”
“อะไรนะ! คุณยังกินสัตว์อย่างอื่นอีกเหรอ!” จิโบ้ตกใจจนหน้าถอดสีเมื่อคิดได้ว่าตาโตเป็นตุ๊กแกเกเรและเป็นฆาตกรที่กินสัตว์อื่นๆ อีกด้วย
“แน่นอน
ฉันชอบกินแมลงและสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างอื่นอีกหลายชนิด แต่เธอไม่ต้องตกใจหรอกจิโบ้ฉันจะอธิบายให้ฟังแล้วเธอจะเข้าใจฉันเอง” ตาโตโบกไม้โบกมือในอากาศและกระดิกหางตัวเองไปมา
“ไม่หรอก ผมไม่ฟังคนเกเรอย่างคุณหรอก แม่เคยบอกผมว่าคนเกเรชอบโกหก และคุณจิ้งจกก็บอกว่าคุณเป็นสัตว์เกเรและน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด ซึ่งผมก็เห็นแล้วว่าคุณน่าเกลียดน่ากลัวจริงๆ ด้วย” จิโบ้พูดแล้วก็ขยับตัวถอยห่างออกไปอีก
“จิโบ้ เธอควรฟังฉันอธิบายก่อนซิ
” ตาโตถอนหายใจอย่างท้อแท้ เมื่อนึกถึงใบหน้าและรูปร่างอัปลักษณ์ของตัวเอง “ถึงฉันจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานน่าเกลียดน่ากลัวอย่างที่เธอว่า และชอบกินแมลงอื่นๆ อีกหลายชนิด แต่ฉันก็กินแต่พวกตัวเล็กๆ ที่น่ารำคาญและไม่ทำประโยชน์อะไรให้กับบ้านของเธอนะ” ตาโตก้มหน้าพลางจะเดินจากไปเพราะไม่อยากอธิบายให้จิโบ้ฟัง และตาโตก็คิดว่าจิโบ้คงจะเห็นแต่ความน่าเกลียดน่ากลัวและเกเรของเขาอย่างที่จิ้งจกพูดจริงๆ
“เดี๋ยวก่อนซิฮะ คุณตาโตจะรีบไปไหน? คุณยังไม่ได้อธิบายให้ผมฟังเลยนะฮะ ว่าคุณทำประโยชน์อะไรให้กับบ้านของผม” จิโบ้ขยับเข้ามาใกล้เมื่อเห็นดวงตาคู่โตสีเหลืองอำพันของตุ๊กแกมีแววเศร้าๆ เหมือนดวงตาของจิโบ้ในเวลาที่เขาร้องไห้
“ฉันนึกว่าเธอไม่อยากฟังเสียอีก” ตาโตยิ้มแล้วมองหน้าจิโบ้
“ผมควรฟังคุณอธิบายก่อน ไม่ซิ ผมอยากฟังคำอธิบายของคุณนะฮะ คุณตาโต” จิโบ้พูดอย่างเป็นมิตรมากขึ้นแม้เขาจะเชื่อจิ้งจกมากกว่าก็ตาม
“ฉันชอบกินแมลงและสัตว์ตัวเล็กๆ” ตาโตเริ่มต้นอธิบาย “เช่นจิ้งจกน่ารำคาญที่ชอบขับถ่ายไม่เลือกที่ และฉันก็กินแมลงสาบตัวพาหนะเชื้อโรคที่ใครๆ ต่างให้สมญาว่าไอ้ตัวเหม็น แต่เธอคงไม่ค่อยเห็นตัวมันนักหรอก แต่จะได้กลิ่นเหม็นสาบตามตู้เสื้อผ้า และฉันก็กินแมลงวันสกปรกที่ชอบบินตอมอาหารและขยะโสโครก ซึ่งจะนำเชื้อโรคแพร่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง” จิโบ้ทำหน้าขยะแขยงเมื่อนึกถึงอาหารของตุ๊กแก และนึกถึงซากจิ้งหรีดกับแมลงวันที่หางกระดิกเรอออกมา และนึกเลยเถิดไปว่า ปากกว้างๆ ที่น่าเกลียดของตาโตคงจะเขมือบแมลงสาบทั้งตัวกินเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อยแน่ๆ เมื่อคิดแล้วจิโบ้ก็อยากร้องยี้ออกมา
“แล้วเธอคิดอย่างไรกันล่ะจิโบ้ กับการกินของฉันที่มีแต่แมลงสกปรกและสัตว์ตัวเล็กๆ ไม่มีประโยชน์ เธอรู้ไหมจิโบ้ว่าแมลงวันน่ะ เป็นตัวนำเชื้อโรคต่างๆ มาสู่คนนะ เมื่อฉันช่วยกำจัดพวกมันให้เธอแล้วฉันยังจะเป็นตัวเกเรอยู่อีกหรือเปล่า?” ตาโตได้ทีคุยโวและกระดกหัวตัวเองอย่างลำพอง
“ส่วนแมลงสาบ เธอก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นตัวสกปรกที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา แมลงสาบชอบกัดแทะเสื้อผ้า กลิ่นเยี่ยวของมันเหม็นสาบอย่างอะไรดี และพวกมันยังชอบไต่ไปทั่วทุกซอกทุกมุมโดยเฉพาะซอกที่สกปรกที่สุด มันจะเอาเชื้อโรคติดไปกับเท้าของมันด้วย ก่อนจะแอบไต่ไปบนอาหารของเธอ มันจะกินอาหารของเธอด้วยล่ะ คิดดูเถอะว่าเชื้อโรคจะแพร่กระจายไปไหนได้บ้าง” จิโบ้พยักหน้าเห็นด้วยกับคำอธิบายของตุ๊กแก
“จิโบ้ เธอลองคิดดูซิว่า เมื่อฉันกำจัดพวกมันให้เธอแล้วฉันยังจะเป็นตุ๊กแกฆาตกรอยู่อีกหรือเปล่า?” ตาโตยิ้มกรุ่มกริ่มพลางผงกหัวอย่างสำคัญตัวเอง ส่วนจิโบ้ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ตาโตมากขึ้น และไม่ทำท่าทางรังเกลียดตาโตอีกแล้ว จิโบ้กำลังเพลิดเพลินไปกับคำพูดของตุ๊กแก จนลืมนึกถึงการที่ตาโตไล่กินพี่น้องของหางกระดิกทั้งห้าตัวไปทันที แต่แล้วความสุขของจิโบ้ที่ได้พูดคุยและชื่นชมกับความดีของตุ๊กแกก็จบลงง่ายๆ เพราะแมลงสาบตัวที่บินข้ามห้องไปปรากฏตัวให้ตาโตเห็นอีกครั้ง แมลงสาบตัวนั้นมีปีกสีน้ำตาลเข้มเป็นมันวาว มันกำลังไต่และกระดิกหนวดคู่ยาวส่ายไปมาในอากาศอยู่ที่อ่างน้ำที่แม่แช่จานอาหารเอาไว้
“จิโบ้ ฉันคงพูดคุยกับเธอนานไม่ได้หรอก” ตาโตอ้าปากสีแดงเถือกกว้างอย่างน่ากลัวครั้งหนึ่งแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
“ทำไมหรือฮะ คุณตาโตจะไปแล้วหรือฮะ?” จิโบ้พูดเศร้าๆ เหมือนทุกครั้งที่คนอื่นๆ จะจากเขาไป
“ฉันหิวน่ะจิโบ้ ท้องไส้มันปั่นป่วนทุกทีที่ฉันเห็นอาหารอยู่ตรงหน้า” ตาโตจ้องเขม็งไปที่แมลงสาบตัวนั้น “ฉันต้องไปแล้วล่ะ ฉันไม่อยากพลาดการเขมือบแมลงสาบในวันนี้”
“เดี๋ยวก่อนซิฮะคุณตาโต” จิโบ้รีบรั้งตุ๊กแกเอาไว้ “หลังจากคุณกินแมลงสาบแล้วคุณจะกลับมาหาผมอีกไหม? คือผมอยากมีเพื่อนพูดด้วยน่ะฮะ”
“ฉันไม่แน่ใจนะจิโบ้ เพราะเวลาว่างของฉันมีไม่มากนักหรอก” ตาโตตอบอย่างไม่เต็มใจ
“เอ่อ! ถ้าอย่างนั้นคุณตาโต จะ จะเป็นเพื่อนกับผมได้ไหมฮะ?
” ตาโตเงียบไปพักหนึ่งเพราะใช้ความคิด แล้วดวงตาคู่โตสีเหลืองอำพันของมันก็จ้องมองจิโบ้สลับกับมองแมลงสาบเหมือนจะเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
“ฉันขอโทษนะจิโบ้” ตาโตเริ่มพูด “ฉันเป็นเพื่อนกับเธอไม่ได้หรอก” ตาโตยักไหล่ปฏิเสธ
“ทำไมล่ะฮะ ทำไมคุณตาโตถึงเป็นเพื่อนกับผมไม่ได้?” น้ำเสียงของจิโบ้ฟังดูเศร้าสร้อยจับใจ แต่ตาโตไม่ได้สนใจที่จะฟังนัก เพราะมันเลือกที่จะเฝ้ามองแมลงสาบตัวนั้นไม่ให้คลาดสายตามากกว่าอย่างอื่น
“อ้อ!...” ตาโตหันกลับมา “ไม่รู้ซิ ฉันไม่รู้เหมือนกันจิโบ้ ฉันรู้แค่ว่าเราไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกัน คงมีคนอื่นที่เหมาะจะเป็นเพื่อนกับเธอมากกว่าฉัน”
“ทำไมฮะ ทำไมเราไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกัน?” จิโบ้รบเร้า “คุณตาโตช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจบ้างซิฮะ คุณพูดเหมือนคุณหางกระดิกพูดเลย พวกคุณพูดเหมือนกันทุกคำ ที่บอกว่าเราไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกัน
” น้ำตาใสๆ ของจิโบ้ไหลออกมาคลอทำให้ภาพที่เขามองเห็นเริ่มพร่ามัว
“ขอโทษนะจิโบ้ ฉันบอกหรืออธิบายอะไรไม่ได้หรอก” ตาโตยักไหล่เหมือนไม่อยากพูดอะไรอีก แล้วเดินช้าๆจากไป “ฉันขอโทษนะจิโบ้
” ตาโตหันกลับมาพูดอีกครั้ง ก่อนที่มันจะคลานหายเข้าไปในรอยแยกของกระดานไม้แผ่นหนึ่ง
“ถ้าคุณตาโต--” จิโบ้ร้องตะโกนตามหลัง “จะ-กะ-รุ-ณา ช่วยบอกผมหน่อยว่าใครเหมาะจะเป็นเพื่อนกับผม
” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสนิท แม้แต่เสียงวิ่งหนึบหนับๆ จากฝีเท้าของตุ๊กแกที่จากไป หรือเสียงกระดานไม้ลั่นดังออดแอดๆ จิโบ้จึงล้มตัวลงนอนอย่างผิดหวังอีกครั้งขณะที่ดวงตาของเขามีน้ำใสๆ ไหลออกมา แล้วจิโบ้ก็ร้องไห้และสะอื้นเบาๆ อยู่คนเดียวเพียงลำพัง
บทที่ 5 ของขวัญปีใหม่
เช้าวันนี้แม่บอกจิโบ้ว่าเป็นวันปีใหม่ แต่แม่ก็ยังไปทำงานและไม่มีวันหยุดเหมือนทุกปีที่ผ่านมา จิโบ้ไม่รู้หรอกว่าวันปีใหม่สำคัญอย่างไร เพราะเขาไม่เคยไปร่วมงานเฉลิมฉลองในวันปีใหม่เลยสักครั้งเดียว แม่บอกจิโบ้ว่าในเมืองหลวงจะจัดงานเฉลิมฉลอง ทุกหนทุกแห่งจะประดับประดาไปด้วยดวงไฟปีใหม่ จิโบ้ถามแม่ว่าไฟปีใหม่เป็นอย่างไร แม่ยิ้มอย่างแช่มชื่นด้วยดวงตาเป็นประกายแล้วอธิบายให้จิโบ้ฟังว่า
“ไฟปีใหม่เป็นดวงไฟเล็กๆ หลายหลากสีและส่องแสงสว่างระยิบระยับ ผู้คนจะเอาไปประดับไว้ในที่ต่างๆ ตามแต่ใจชอบ พวกเด็กๆ จะวิ่งเล่นหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน และแลกเปลี่ยนของขวัญให้กันและกัน” จิโบ้รู้สึกเศร้าเมื่อแม่พูดถึงเด็กๆ ที่วิ่งเล่นหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน แต่เขาก็ยังมีรอยยิ้มและตั้งใจฟังเรื่องที่แม่เล่า
“ดวงไฟปีใหม่ส่องแสงระยิบระยับเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าในเวลากลางคืนใช่ไหมครับแม่?” จิโบ้ถาม แม่จึงเอามือที่อบอุ่นลูบศีรษะจิโบ้เบาๆ และจุมพิตที่หน้าผากของเด็กน้อย ก่อนจะออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด และบอกจิโบ้ว่าแม่จะกลับมาในรุ่งเช้าของวันใหม่ เพราะวันนี้ที่ทำงานของแม่จะต้องทำงานทั้งคืน และก่อนที่แม่จะเดินออกจากประตูบ้านไป แม่ก็บอกว่า
“แม่ทิ้งกล่องกระดาษใบหนึ่งไว้ข้างๆ ที่นอนของลูกนะ เผื่อลูกสนใจที่จะเปิดดู” แม่พูดเป็นปริศนาให้ จิโบ้คิด แต่จิโบ้คิดว่ามันยังเช้าเกินไปที่จะตื่นขึ้นมานั่งเหงาอยู่คนเดียว ยิ่งจิโบ้คิดไปถึงแสงไฟระยิบระยับในวันปีใหม่ และเสียงหัวเราะสนุกสนานของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกัน มันก็ยิ่งทำให้จิโบ้อยากจะนอนต่อไปและลืมวันปีใหม่ไปซะ
แต่แล้วแสงสว่างของวันปีใหม่ก็มาเยือนอย่างรวดเร็ว เสียงนกกระจาบทองขนขาวกับขนสวยสองสามีภรรยาร้องเพลงคลอเคลียกันตั้งแต่เช้า “พวกเขาคงมีความสุขในวันปีใหม่ซินะ” จิโบ้คิด แล้วแสงแดดอ่อนๆ ในวันที่อากาศแสนดีก็ส่องลอดรอยแยกของฝาไม้เข้ามาในตัวบ้าน พร้อมกับสายลมเย็นๆ ในฤดูหนาว ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน บ้านยังอยู่ในสภาพทรุดโทรมเหมือนวันก่อนๆ และข้าวของต่างๆ ก็ยังอยู่ที่เดิม ยกเว้นกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีน้ำตาลมอๆ ขนาดใหญ่ใบหนึ่งวางอยู่ข้างที่นอนทางปลายเท้าของจิโบ้ จิโบ้มองดูกล่องกระดาษใบนั้นนิดหนึ่ง แล้วก็นอนตะแคงหันหลังให้มัน เพราะลักษณะของกล่องไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษเลย แต่แล้วจิโบ้ก็ได้ยินเสียงดังกุกกักออกมาจากกล่องกระดาษ เด็กน้อยจิโบ้จึงหันกลับมามอง เขาจ้องมองกล่องใบนั้นอย่างไม่แน่ใจนัก ว่าเขาได้ยินเสียงอะไรจริงๆ หรือเปล่าหรือว่าเขาหูฝาดไป แต่แล้วทุกอย่างก็เงียบสนิท กล่องใบนั้นไม่กระดุกกระดิกมันยังวางอยู่เช่นเดิม “สงสัยหูแว่วแน่ๆ คงได้ยินเสียงตาโตวิ่งไล่แมลงสาบอยู่ข้างฝาที่ใดสักแห่ง” จิโบ้คิด แล้วเด็กน้อยก็นอนหันหลังให้กล่องกระดาษใบนั้นอย่างไม่คิดสงสัยอะไรอีกเลย ขณะที่จิโบ้กำลังจะหลับและเคลิ้มฝันไปเขาก็ได้ยินเสียงดิ้นดังกุกกักออกมาจากกล่องใบนั้น จิโบ้จึงหันกลับมามองอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจนัก แต่แล้วสักพักหนึ่งเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีก คราวนี้จิโบ้แน่ใจแล้วว่าต้องมีอะไรสักอย่างกำลังดิ้นอยู่ในกล่องกระดาษใบนี้แน่ๆ แต่อะไรกันล่ะอยู่ในนั้น กล่องขยับดิ้นกุกกักๆ แรงขึ้นเหมือนมีชีวิต จนจิโบ้ต้องรีบพยุงตัวเองลุกนั่ง จิโบ้ตื่นเต้นระคนหวาดๆ กับของในกล่องใบนี้ เด็กน้อยจิโบ้คิดไปต่างๆ นานาว่าจะเป็นสัตว์หรือตัวพิลึกพิลั่นอะไรที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นถี่แรง และแล้วทันใดนั้นเองฝากล่องก็เปิดออก หัวใจของจิโบ้เต้นแรงตึกตักจนได้ยินชัดเจน และเหมือนมันจะกระโดดออกมาเต้นข้างนอกหน้าอกของเขาด้วยซ้ำ ดวงตาจิโบ้เบิกโพลงเมื่อเห็นอะไรสักอย่างโพล่พ้นออกมาจากฝากล่อง สิ่งที่จิโบ้เห็นในครั้งแรกเป็นมือเล็กๆ นุ่มหนุบหนับและรกปุกปุยด้วยขนสีน้ำตาลอ่อนๆ ที่ยื่นออกมาจับฝากล่องเอาไว้ และแล้วตัวที่ว่าก็โผล่หัวพ้นฝากล่องขึ้นมาให้เห็น ตัวประหลาดที่จิโบ้ไม่เคยเห็นมาก่อนนี้มีขนรกปุกปุยตลอดลำตัวสีเดียวกันหมด และมีนัยน์ตาสีดำกลางดวงตาสีน้ำตาลกลมๆ ดูบ้องแบ๊ว จมูกเจ้าขนปุกปุยมีสีดำยื่นออกมาสั้นๆ เข้ากับหัวกลมๆ ของมันที่มีใบหูกลมสั้นเหมือนกัน จิโบ้จ้องมองตัวประหลาดด้วยความรู้สึกหวั่นๆ ที่บัดนี้มันปีนฝากล่องขึ้นมาได้แล้ว และทำให้เด็กน้อยเห็นรูปร่างของเจ้าตัวประหลาดได้อย่างชัดเจน และเห็นว่าเจ้าขนปุกปุยตัวนี้มีกระเป๋าใบเล็กๆ น่ารักจุ๋มจิ๋มห้อยคอมาด้วย และทันทีที่เจ้าตัวประหลาดหันมามองเจ้าของบ้าน ความรู้สึกของจิโบ้ก็หายจากอาการหวาดกลัว เพราะรอยยิ้มเป็นมิตรของเจ้าตัวประหลาดนั่นเอง เจ้าขนปุกปุยพยามจะเหนี่ยวฝากล่องเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของมันเพื่อจะลงมายืนที่พื้นให้ได้ แต่แล้วกล่องกระดาษก็พลิกล้มหกคะเมนคว่ำลงมา ทำให้เจ้าตัวประหลาดหล่นหัวคะมำลงมาทำปากเหยเกนอนแผ่หราอย่างไม่เป็นท่าอยู่ที่พื้น จิโบ้หัวเราะจนท้องขดท้องแข็งเมื่อเห็นท่าพลัดตกจากกล่องกระดาษของเจ้าขนปุกปุย ตุ๊กตาหมีจึงค่อยๆ กะโผลกกะเผลกลุกขึ้นนั่งทำตาบ้องแบ๊วอย่างประหม่า
“ฉันขอโทษ” จิโบ้ยังหัวเราะ “ท่าที่นายพลัดตกลงมาจากกล่องนะ มันตลกดีจริงๆ” ตุ๊กตาหมีขนสีน้ำตาลเก่าๆ ทำหน้ามุ่ยแสดงอาการไม่พอใจนักที่จิโบ้ยังหัวเราะมัน
“เหอะ! หัวเราะไปเถอะ อย่าให้นายเจอบ้างก็แล้วกัน” ตุ๊กตาหมีพูด จิโบ้จึงหยุดหัวเราะ
“สวัสดี ฉันชื่อจิโบ้ นายเป็นใครเหรอ แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ในกล่องใบนี้ได้” จิโบ้ถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรอย่างเดียวกันกับที่เขาพูดกับคนอื่นๆ
“สวัสดีเช่นกัน ฉันชื่อปุกปุย ฉันเป็นตุ๊กตาหมีนายน่าจะรู้อยู่แล้ว เด็กทุกคนรู้จักตุ๊กตาหมีโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง” ปุกปุยพูดพลางใช้มือสั้นๆ ปัดฝุ่นออกจากขนของมัน
“คงยกเว้นฉันคนเดียว ที่ไม่รู้จักตุ๊กตาหมี” จิโบ้พูดเศร้าๆ “แล้วนายมาอยู่ในกล่องได้ยังไงปุกปุย?”
“ก็แม่ของนายนั่นซิ ซื้อฉันมาจากร้านขายของเก่าข้างถนน แล้วเธอก็ยัดฉันลงในกล่องใบนี้ น่าจะหากล่องดีๆ กว่านี้หน่อยก็ไม่ได้” ปุกปุยบ่นพึมพำ
“แม่ฉันซื้อนายมาเหรอ” จิโบ้ทวนคำ “ทำไมแม่ฉันต้องซื้อนายมาด้วย” จิโบ้มองหน้าปุกปุยขณะที่ตุ๊กตาหมีถือกระเป๋าใบเล็กๆ ไว้ในมือ
“โธ่! จิโบ้ นายไม่น่าถาม ก็แม่ของนายซื้อฉันมาเป็นของขวัญปีใหม่ให้นายไงล่ะ และฉันก็แปลกใจว่าทำไมแม่นายถึงซื้อตุ๊กตาหมีเป็นของขวัญให้เด็กผู้ชาย เพราะที่ฉันรู้น่ะว่าเด็กผู้ชายชอบเล่นอะไรแผลงๆ เช่น ปืน รถ จรวด อะไรทำนองนั้นมากกว่าตุ๊กตา ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง แต่ก็ช่างเถอะยังไงก็ยังดีกว่าที่ฉันจะต้องทนอุดอู้อยู่บนชั้นวางของสกปรกในร้านขายของเก่าซอมซอที่นั่น”
“แม่คงคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงมั้ง” จิโบ้ออกความเห็น ปุกปุยยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินไปมามองสำรวจไปทั่วบ้านของเด็กน้อย
“ทำไมนายไม่ลุกขึ้นเดินเสียบ้างล่ะจิโบ้ นายน่าจะลุกขึ้นมาทำความสะอาดบ้านโสโครกนี้สักหน่อยนะ มันไม่น่าดูเอาเสียเลย ฉันว่าฉันต้องมาผิดที่แน่ๆ เลย เพราะฉันเหมาะที่จะอยู่กับเด็กผู้หญิงน่ารักๆ ที่มีบ้านสะอาดสะอ้านและหรูหรามากกว่านี้” ปุกปุยพูดไปเรื่อยเปื่อยเพราะมันยังไม่ทันสังเกตเห็นความพิการของจิโบ้
“ลุกขึ้นมาเดินได้แล้วนะจิโบ้ เด็กๆ อย่างนายน่าจะตื่นนอนตั้งแต่เช้าเพื่อหัดให้เป็นนิสัย
หรือนายจะไม่ยอมลุกออกจากที่นอนเลยหรือไง ฉันเห็นดวงตะวันลอยสูงแล้วนะ” ปุกปุยก้มมองลอดรอยแยกของฝาบ้านออกไปข้างนอก
“ฉันเดินไม่ได้
” จิโบ้พูดเบาๆ ปุกปุยหันมามองแล้วก็สังเกตเห็นขาพิการของจิโบ้
“โอ้! ไม่นะ นายอย่าบอกฉันนะว่านายพิการ ฉันขอพูดตามตรงว่าฉันไม่ชอบใจเลยล่ะที่ต้องมาอยู่กับเด็กพิการ และก็ยากจน
” ปุกปุยหยีหน้าเดินไปมาไม่มองจิโบ้ และกระเป๋าใบน้อยๆ ของมันก็แกว่งไปมา
“นายรังเกียจฉันหรือที่ฉันเป็นเด็กพิการ?” จิโบ้พูดและในน้ำเสียงนั้นก็ทำให้ปุกปุยหยุดเดินแล้วหันมามองเด็กน้อยจิโบ้ที่ขณะนี้ในแววตามีแต่ความปวดร้าว
“เพราะฉันพิการใช่ไหม? ใครๆ ถึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉันน่ะปุกปุย” จิโบ้เริ่มคิดได้ว่าที่ใครๆ ต่างไม่ตอบรับเป็นเพื่อนกับเขา ก็คงเป็นเพราะทุกคนเห็นว่าเขาเป็นเด็กพิการเดินไม่ได้นี่เอง
“นายพูดอะไรจิโบ้ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยนะ” ปุกปุยเกาหัวอย่างสงสัย
“ก็! ทุกคนที่ฉันพูดด้วยและฉันขอเป็นเพื่อน ต่างปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนกับฉัน” คราวนี้ปุกปุยเห็นน้ำตาของเด็กน้อยไหลออกมาเป็นทาง “นายก็คงจะเป็นเหมือนคนอื่นๆ ซินะ” จิโบ้เอามือเช็ดน้ำตาก่อนจะเบือนหน้าหนี แล้วมองเลยจากหน้าต่างออกไปไกลในเวิ้งกว้างของท้องฟ้าสีครามอ่อนๆ ในฤดูหนาวของวันนี้
“ฉันขอโทษ
” ปุกปุยพูด “ก็ฉันไม่รู้นี่ ว่าฉันจะมาเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับนายเพราะชีวิตของฉันเคยเจอแต่เด็กผู้หญิงน่ารักคนหนึ่ง ที่พ่อแม่ร่ำรวย และฉันก็หวังว่าจะได้เจอกับเจ้านายคนใหม่ที่ร่ำรวยไม่แตกต่างกัน” ปุกปุยนั่งมองจิโบ้ที่ตอนนี้หันหน้ากลับมาแล้ว
“แต่บางทีฉันก็วาดฝันไว้สูงเกินไป ลืมคิดไปว่าฉันเป็นแค่ตุ๊กตาหมีเก่าๆ ตัวหนึ่งที่ถูกวางขายในร้านขายของเก่าเท่านั้น
” ปุกปุยถอนหายใจ
“แล้วทำไมนายไม่อยู่กับเด็กผู้หญิงคนนั้นล่ะ?” จิโบ้ถาม
“เรื่องมันยาว แต่ถ้านายอยากฟังฉันก็จะเล่าย่อๆ ให้นายฟัง” จิโบ้รีบพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “ฉันเกิดในโรงงานทำตุ๊กตาแห่งหนึ่ง” ปุกปุยเริ่มเล่า “ซึ่งเป็นโรงงานเล็กๆ ทำเฉพาะในครอบครัว คนที่ทำฉันขึ้นมาตั้งใจจะขายฉันในวันปีใหม่ แล้วเขาก็เอาฉันมาโชว์ไว้ในตู้กระจกหน้าร้าน วันที่ฉันถูกขายฉันยังจำได้ดี วันนั้นเป็นวันปีใหม่ที่มีแสงแดดอ่อนๆ สาดผ่านกระจกเข้ามาในร้าน ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาตั้งแต่เช้า เด็กผู้หญิงหลายคนหยุดยืนมองดูฉัน ฉันรู้ว่าเด็กๆ พวกนั้นคิดอย่างไรกับฉัน ทุกคนมีแววตาเป็นประกายและรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่ไม่มีพ่อแม่คนไหนกล้าจ่ายเงินซื้อฉันหรอก จนมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาน่ารักมายืนเกาะที่ตู้กระจกหน้าร้าน เธอมองผ่านกระจกเข้ามาด้วยแววตาสดใสและส่งยิ้มให้ฉัน เธอมองดูฉันด้วยดวงตาเป็นมิตรและรอยยิ้มหวานๆ จนฉันรู้สึกอาย เราทั้งสองต่างจ้องมองกันและกันอยู่นาน มันนานมากเลยทีเดียวล่ะ
” ปุกปุยพูดแล้วก็ยิ้มพร้อมกับเคลิ้มฝันอย่างมีความสุขไปกับภาพที่งดงามของอดีต
“แล้วเป็นยังไงต่อล่ะปุกปุย?” จิโบ้ถาม ทำให้ตุ๊กตาหมีสะดุ้งน้อยๆ ตื่นจากภาพความฝันของวันวาน
“เย็นวันนั้นเอง พ่อของเธอก็ซื้อฉันไป ฉันกลายเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ในกล่องสีแดงผูกโบสีชมพูสดใส และกลายเป็นตุ๊กตาหมีตัวโปรดของคุณหนูในบ้านหลังใหญ่หรูหรา ฉันอยู่ในห้องนอนของคุณหนู อยู่บนเตียงนอนของเธอ และทุกค่ำคืนคุณหนูจะนอนกอดฉันไว้ด้วยอ้อมแขนอันอบอุ่นของเธอ มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ฉันมีความสุขเหลือเกิน
แต่แล้ว
” ปุกปุยถอนหายใจแล้วก้มหน้าเศร้าๆ
“แต่แล้วอะไรหรือปุกปุย?”
“แต่แล้ว
” ปุกปุยเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ “ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ฉันหมายถึงเวลาน่ะที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป คุณหนูเริ่มเบื่อ เธอเริ่มเบื่อที่จะเล่นกับฉัน เธอโตขึ้นจากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กลายเป็นเด็กสาว เธอจึงสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉัน แล้วไม่นานฉันก็ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของ พอวันคืนผ่านไปเรื่อยๆ ทั้งฝุ่นเอยหยากไย่เอยก็รุมเกาะเต็มตัวฉันไปหมด แล้วมาวันหนึ่งคุณนายเจ้าของบ้านก็เก็บฉันยัดใส่ถุงขยะรวมกับของเก่าๆ ขายให้พ่อค้าซื้อของเก่าคนหนึ่ง ฉันต้องจากคุณหนูมาโดยไม่ได้เห็นหน้าเธออีกเลย และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็อยู่ในร้านขายของเก่าบนชั้นไม้ผุๆ ฉันอยู่ที่ร้านขายของเก่าอยู่กับเพื่อนหน้าตาแปลกๆ และข้าวของพิลึกพิลั่น ฉันอยู่ที่ร้านขายของเก่าเป็นเวลานานมาก นานจนถึงเมื่อวานนี้แหละก่อนที่แม่ของนายจะไปเจอฉันแล้วซื้อฉันมา
”
“ปุกปุย นายคงรักคุณหนูของนายมากซินะ”
“ใช่ ฉันรักคุณหนูมาก เธอเป็นเจ้านายของฉัน และเราก็เป็นเพื่อนกัน” ปุกปุยยิ้ม
“ฮือ
” จิโบ้ถอนใจ “นายยังโชคดีกว่าฉัน ที่นายยังมีคุณหนูเป็นเพื่อน แต่ฉันกับไม่เคยมีใครเป็นเพื่อนเลยสักคนเดียว
”
“พูดเป็นเล่นน่า นายเกิดมาไม่เคยมีเพื่อนเลยเหรอ?” ปุกปุยถาม
“ใช่ ตั้งแต่ฉันเกิดมายังไม่เคยมีเพื่อนเลย ฉันเคยขอนกกระจาบทองสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ทำรังอยู่บนกิ่งม่าเหมี่ยวเป็นเพื่อน แต่พวกเขาก็ปฏิเสธฉัน ฉันยังเคยขอคุณลุงลมฝนเป็นเพื่อนด้วยนะ แต่ลุงลมฝนก็ตอบปฏิเสธฉัน และจิ้งจกที่ชื่อหางกระดิกกับตุ๊กแกที่ชื่อตาโต ฉันก็เคยขอเป็นเพื่อนกับพวกเขาเหมือนกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ปฏิเสธการเป็นเพื่อนกับฉัน
” จิโบ้บอกปุกปุยอย่างเศร้าใจ
“
และฉันคิดว่าคงไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับเด็กขาพิการอย่างฉันหรอก ใช่ไหมปุกปุย?
แล้วถ้าฉันจะขอเป็นเพื่อนกับนายอีกคน นายก็คงปฏิเสธฉันเหมือนคนอื่นๆ ใช่ไหม?” ตุ๊กตาหมีไม่ได้ตอบคำถามจิโบ้ นอกจากหยิบกระเป๋าใบเล็กๆ น่ารักของมันขึ้นมาเขย่าเบาๆ แล้วเอาแนบหูเพื่อฟังเสียงอะไรบางอย่างในนั้น
“ในกระเป๋ามีอะไรหรือปุกปุย?” จิโบ้ถามอย่างสงสัย เพราะเขาเห็นตุ๊กตาหมีถือกระเป๋าใบนี้ไม่ยอมห่างมือ
“มีของวิเศษอยู่ในนี้น่ะ” ปุกปุยบอกแล้วทั้งสองก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกำลังส่งเสียงหาวนอนดังออกมาจากกระเป๋าใบนั้น “เพื่อนที่ร้านขายของเก่าให้ฉันมาน่ะ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรอยู่ในนี้ ทุกครั้งที่ฉันนึกสนุกฉันจะเขย่ามันเบาๆ เพื่อฟังเสียงหาวนอนอย่างที่นายได้ยินนี่แหละ” ปุกปุยบอก
“ของวิเศษเหรอ?” จิโบ้ถาม ปุกปุยพยักหน้ารับ “ทำไม่นายไม่เปิดมันออกดูล่ะ? จะได้รู้ว่าอะไรอยู่ในนั้น” จิโบ้แนะนำแต่ปุกปุยกับหัวเราะ
“ฉันลองทำดูมาหลายครั้งแล้วล่ะจิโบ้ แต่กระเป๋าใบนี้เป็นของวิเศษมันจึงเปิดไม่ออก และเพื่อนฉันในร้านขายของเก่าก็พยายามช่วยกันเปิดมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครสักคนเปิดมันได้ ผู้ที่รู้เรื่องกระเป๋าใบนี้ดีกว่าคนอื่นๆ บอกว่าผู้ที่จะเปิดกระเป๋าใบนี้ได้ จะต้องเป็นคนที่มีจิตใจดีงามเท่านั้น และผู้ที่เปิดได้จะได้รับพรวิเศษสามประการจากของที่อยู่ในกระเป๋าใบนี้” ปุกปุยยิ้มให้จิโบ้แล้วเขย่ากระเป๋าเบาๆ เพื่อฟังเสียงหาวนอนอีกครั้ง
“นายอยากลองดูไหมล่ะ จิโบ้” ตุ๊กตาหมียื่นกระเป๋าให้เด็กน้อย
“นายไม่ว่าฉันเหรอ
” จิโบ้ลังเลที่จะหยิบกระเป๋ามาจากมือปุกปุย
“ไม่เป็นไรหรอก
อาจเป็นนายก็ได้ที่มีจิตใจดีงามที่สุด และฉันก็อยากรู้เต็มที่แล้วเหมือนกันว่าอะไรอยู่ในนี้” จิโบ้จึงรับเอากระเป๋าจากมือปุกปุยมาเขย่าเบาๆ แล้วเอาหูแนบฟังเสียงหาวเล็กๆ ที่ดังออกมาจากกระเป๋าก่อนที่เสียงนั้นจะค่อยๆ เงียบหายไป แล้วจิโบ้ก็ลองหมุนเม็ดดุมโลหะสีเงินที่ติดอยู่ปากกระเป๋าเหมือนสลักกุญแจไปมา มีเสียงดังกิ๊กๆ หลายครั้งก่อนที่เม็ดดุมนั้นจะหลุดออก เด็กน้อยจิโบ้ขาพิการกับตุ๊กตาหมีขนสีน้ำตาลเก่าๆ ต่างมองหน้ากันและกัน เมื่อกระเป๋าใบนั้นค่อยๆ เปิดออก แล้วทันใดนั้นเอง แสงสว่างสีรุ้งเจิดจ้าก็พวยพุ่งออกมาจากปากกระเป๋า แสงสว่างสีรุ้งนี้ช่างงดงามนัก และความเจิดจรัสงดงามของมันก็ทำให้บ้านไม้โกโรโกโสทั้งหลังตกอยู่ในความวิจิตรพิสดาร แต่น่าประหลาดที่แสงสว่างจ้านี้กับไม่ได้ทำให้คนทั้งสองต้องหยีหน้าเพราะแสบนัยน์ตา จิโบ้และปุกปุยจึงเห็นร่างเล็กๆ ที่งดงามของใครคนหนึ่งที่มีขนาดสูงไม่เกินสี่นิ้ว และมีปีกกว้างสีม่วงเหมือนปีกผีเสื้อค่อยๆ ขยับปีกบินออกมา พร้อมกับเกร็ดเพชรแวววาวระยิบระยับกระเซ็นพรางพรายตามการสยายปีกเล็กๆ นั้น
ความคิดเห็น