สงครามวันสุริยะดับ
สงครามระหว่างชนอารัญผู้ตกเป็นทาสกับชนมูตูผู้นิยมสงคราม ซึ่งมีตำนานวันสุริยะดับเป็นจุดเริ่มต้นที่ชนอารัญเฝ้ารอบุตรผู้ลิขิตที่จะถือกำเนิดขึ้นเพื่อมาปลดปล่อยทาสทั้งแผ่นดิน
ผู้เข้าชมรวม
225
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
สงครามวันสุริยะดับ
ตอน กำเนิดบุตรผู้ลิขิต
เขียนโดย บ.บรรจง ศรีโย
บทที่ 1 ทายาทบัลลังก์อารัญ
ใบต้นรากไทรสะบัดลมเบาๆ ขณะที่เปลวแดดนอกร่มเงาของมันยังคงเต้นระยับ นกพญาเหยี่ยวดำกางปีกกว้างบินร่อนลมอยู่เหนือทุ้งหญ้าดอกกระจาย สายตาคมกริบของมันสอดส่ายหาเหยื่อจำพวกหนูทุ่ง และเสียงร้องแหลมเล็กแต่ดังก้องกังวานดังแทรกอากาศมาให้ได้ยินเป็นบางครั้ง อาริชอนมองเงาดำเล็กๆ ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ เขามองดูเหยี่ยวดำตัวนี้ตั้งแต่เห็นมันบินร่อนมาจากทิศเหนือใกล้ยอดเขาเนติ อาริชอนไม่ได้กล่าวคำพูดใดๆ ออกมานอกจากชำเลืองดูอิริยาบถของฟูจิเป็นบางครั้งเท่านั้น ฟูจิเป็นเด็กหนุ่มผู้น่านับถือในสายตาของอาริชอน ฟูจิผู้มีเรือนผมสีดำขลับเป็นมันเงายาวหยักศกปะบ่า มีดวงตาสีเข้มเป็นประกาย แต่แฝงเร้นด้วยความลี้ลับยากแก่การหยั่งใจรับกับใบหน้าคมเข้ม และมีสรีระสูงใหญ่แข็งแรง ช่างสมกับบุรุษทั้งที่เขามีอายุแค่ 16 ปีเท่านั้น ซึ่งต่างจากกาดอนและยังเตที่มีอายุมากกว่าถึง 2 ปี หรือแม้แต่ตัวอาริชอนเองที่เป็นเพื่อนและเกิดในวันเดียวกันก็ตาม กับมีรูปร่างผอมเล็กเหมือนคนที่เกิดห่างกันหลายปี และด้วยลักษณะรูปร่างอันดีเช่นนี้ของฟูจิ จึงทำให้เขาดูโดดเด่นที่สุดท่ามกลางเด็กหนุ่มในหมู่บ้านเอดัง และทำให้หญิงสาวหลายต่อหลายคนหลงใหลในรูปลักษณะอันงามนี้ ในจำนวนนั้นก็รวมถึงอิลีลี่หญิงสาวที่งดงามที่สุดในสายตาของอาริชอนด้วย แม้อิลีลี่จะไม่เคยเอ่ยปากกล่าวถึงฟูจิด้วยน้ำจิตมิตรไมตรีฉันท์ชู้สาวให้ได้ยินเลยสักครั้งก็ตาม แต่อาริชอนก็ยังมองเห็นนัยน์ตาคู่งามของอิลีลี่ที่แสดง ออกถึงไมตรีจริตที่นางมีความต้องการผูกมิตรกับสหายของเขา อิลีลี่เป็นหญิงสาวอายุไล่เลี่ยกับคนทั้งสอง และนางผู้มีผิวเนื้อสีน้ำผึ้งนัยน์ตาสีเข้มงามซึ้ง กับริมฝีปากอวบอิ่มรับกับใบหน้าเรียวงามรูปไข่ ซึ่งเวลาที่ อิลีลี่ระเริงยิ้มนางจะงามพริ้มพรายด้วยเสน่หา อาริชอนคิดด้วยหัวใจของเขาว่า อิลีลี่เป็นดังบุบผาแย้มงามที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางขุนเขาและพงไพรที่มีค่าเลิศเลอต่อโลกใบนี้ พร้อมกับเสน่ห์สะดุดตาที่ยากแก่การละทิ้งจากสายตาของชายใดๆ ที่ได้จ้องมอง อิลีลี่มีเสน่ห์โดดเด่นที่สุดท่ามกลางผองเพื่อนผู้หญิงในชุมชนเอดัง ถึงแม้จะมีโกรีเพื่อนหญิงอีกคนที่มีความงดงามไม่น้อยไปกว่ากันก็ตาม แต่เสน่ห์เย้ายวนของโกรีกับด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด โกรีชอบชายตามองและคงแอบชื่นชมฟูจิอยู่ในใจไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ เช่นกัน แต่กิริยาเฉยเมินของผู้ซึ่งเป็นสหายอาริชอน ก็ดูจะมีพลังทัดทานมากพอที่จะตัดความปรารถนาของผู้หญิงทุกคนได้ คงมีแต่อิลีลี่เท่านั้นที่ยังวางท่าทีด้วยความสม่ำเสมอต่อฟูจิ แต่จะแตกต่างจากฟูจิก็คงเป็น อาริชอนต่างหากที่มีความพึงพอใจทุกครั้งที่เขาได้เข้าใกล้อิลีลี่ หัวใจอาริชอนจะพองโตเสมอเมื่อความงดงามของอิลีลี่เปล่งปลั่งอยู่ในความคิดของเขา ซึ่งมันได้ทำให้เขาเป็นสุขล้นเมื่อได้จ้องมองนาง แต่ความนิ่งเฉยของอิลี่ลี่และสายตาที่ไม่เคยค้นหาแววตาของอาริชอนเลยสักครั้ง มันก็ไม่ได้แตกต่างจากการวางท่าทีเฉยเมินเช่นที่ฟูจิแสดงออกต่อผู้หญิงคนอื่นๆ เลย
อาริชอนชำเลืองดูฟูจิทางปลายตาอีกครั้ง ขณะที่สหายของเขาเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็นเอนกายลงนอนกับพื้น ใต้ร่มต้นรากไทรต้นนี้คงเป็นที่แห่งเดียวเท่านั้นที่อาริชอนและเพื่อนผู้รู้ใจเช่นฟูจิ ได้หลบหน้าผู้คนในหมู่บ้านออกมาพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผย แต่ความจริงแล้วอาริชอนกับเชื่อว่าเขาไม่เคยเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของฟูจิที่มีต่อกิริยาของอิลีลี่เลย และไม่เคยเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งเลยด้วยซ้ำว่า ฟูจิคิดอย่างไรกับความเป็นทาสของชาวอารัญที่ตกเป็นเบี้ยล่างต่อชนเผ่ามูตูมาเนินนาน อาริชอนเข้าใจดีว่าความหวาดหวั่นต่อทหารมูตูที่ชาวอารัญทั้งหลายมีต่อกษัตริย์อารังนาชินเชนั้น เป็นแค่เพียงความกลัวตาย ทั้งที่ความหวาดกลัวนี้เป็นสิ่งที่ชาวอารัญคิดไปเอง และยอมศิโรราบต่อบัลลังก์มูตูที่อยู่ห่างไกล ชาวอารัญหวาดหวั่นต่ออำนาจที่สั่งมากับสายลม และยอมก้มหัวให้กับทหารมูตูผู้เหี้ยมโหด เมื่อพวกมันย่างกรายเข้ามาในหมู่บ้านเพียงปีละครั้ง อาริชอนเองก็รู้สึกหวาดกลัวเมื่อเห็นทหารมูตูผู้มีผิวเนื้อสีดำเข้ม และมีรูป ร่างสูงใหญ่กว่าชนเผ่าอารัญทั่วไปถึง 2 คืบ ควบม้าเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อถึงวันส่งมอบผลผลิตในฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งวันนั้นชาวอารัญต้องยอมส่งมอบเด็กหนุ่มในวัย 17 ปี ไปยังแผ่นดินมูตูเพื่อไปเป็นทาสรับใช้กษัตริย์อารังนาชินเช ทาสที่ส่งไปต่างมีหน้าที่ใช้แรงงานตามแต่ความปรารถนาของผู้เป็นเจ้านาย และต้องยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างตามแต่ใจของชนมูตูที่เรียกชนเผ่าอารัญว่าทาสเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอดจากความตาย แต่ทุกครั้งใต้ร่มเงาของต้นรากไทรต้นนี้ ที่ยืนสะบัดใบโต้ลมอยู่เพียงลำพังกลางทุ่งข้าวบาร์ที่มี ฟูจิและอาริชอนอยู่ด้วยกัน ฟูจิมักจะพูดถึงภูเขาเนติที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเสมอว่า ภูเขาลูกนี้แหละอาริชอนคือเส้นทางเริ่มแรกสำหรับปลดปล่อยชาวอารัญทั้งแผ่นดินให้หลุดพ้นจากความเป็นทาส ฟูจิมักจะเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เกี่ยวกับตำนานของท่านฟูจิดอน เขาคิดเสมอว่าท่านฟูจิดอนไม่ได้หลบหนีหัวซุกหัวซุนอย่างไร้เกียรติบนภูเขาลูกนี้ ฟูจิคิดว่าท่านฟูจิดอนยังมีชีวิตอยู่ หลังจากบาบาร์และโอรสอารังนาล้มเลิกการติดตามนำคัมภีร์วันสุริยะดับของชาวอารัญกลับมา ท่านฟูจิดอนต้องซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในหุบเขาเนติ เพื่อรอคอยให้ชนอารัญผู้กล้าหาญรวบรวมชาวอารัญทั้งแผ่นดินลุกฮือขึ้นก่อกบฏอีกครั้ง แม้ความคิดของฟูจิจะเป็นเช่นเดียวกันกับความนึกคิดของอาริชอนก็ตาม แต่เมื่อครั้งที่ทหาร มูตูได้ตัดศีรษะของพ่อเฒ่าเยรูหัวหน้าใหญ่แห่งหมู่บ้านเอดังในฤดูส่งมอบทาสและผลผลิตเมื่อปีที่แล้ว อาริชอนก็หวาดหวั่นต่อความคิดของตนเอง ความตายของพ่อเฒ่าทำให้ความคิดแข็งกร้าวของอาริชอนอ่อนแอ แต่สำหรับฟูจิแล้วเขากับเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ และไม่เคยแสดงความอ่อนแอใดๆ ออกมาให้เห็นเลย ฟูจิสามารถเก็บกุมเอาความหวาดกลัวซุกซ่อนไว้หลังม่านตาสีเข้มได้อย่างมิดชิด ซึ่งต่างจากอาริชอนที่ยัง คงหวั่นผวาต่อคมดาบเงาวาบเล่มใหญ่ที่บั่นคอพ่อเฒ่าเยรูจนขาดกระเด็น เพียงแค่ทหารดำผู้นั้นเหวี่ยงท่อนแขนของมันผ่านลำคอของพ่อเฒ่าไป ภาพโลหิตสีแดงพุ่งกระเซ็นเป็นสายน้ำพุออกจากบาดแผลเหวอะหวะยังคงประทับตรึงตราอาริชอนไม่เคยลบเลือน อาริชอนยังจำได้ดีเมื่อศีรษะของพ่อเฒ่าหล่นลงไปกลิ้งรุนๆ เปื้อนพื้นดินเฉอะแฉะก่อนที่ร่างของชายชราจะล้มลง เสียงกรีดร้องแทบขาดใจของผู้หญิงในหมู่ บ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นดังระงมแทรกอากาศชื้นฝน และกลบความอลหม่านไปทั่วลานส่งมอบผล ผลิตของหมู่บ้าน หลายคนทรุดเข่าล้มลงเกลือกกลิ้งข้างๆ ศพเมื่อเห็นความตายอยู่เบื้องหน้า สายตาของเด็กๆ ที่แอบมองลอดช่องไม้เล็กๆ อยู่ในหลุมหลบซ่อนใต้ถุนเรือนต่างอกสั่นขวัญแขวนต่อเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้น และโลหิตสีแดงฉานที่ไหลนองอาบพื้นดินแฉะๆ ก็ช่วยเพิ่มให้ภาพนั้นสยดสยองยิ่งขึ้น แต่ถ้าความตายของพ่อเฒ่าเยรูไม่เกิดขึ้นในวันนั้น ชีวิตอิสรภาพของฟูจิและอาริชอนก็คงจบสิ้นลงแล้วเช่นกัน เพราะปีนั้นทหารมูตูต่างต้องการทาสอายุน้อยอย่างพวกเขา เพื่อนำไปชดเชยจำนวนทาสที่ขาดแคลน เมื่อร่างไร้ วิญญาณของพ่อเฒ่าเยรูล้มลง นายทหารผู้นำความตายมาสู่ชายชราก็ร้องสั่งจะเอาอาริชอนและฟูจิไปเป็นทาสทันที แต่ยังดีที่ตาเฒ่าชุชาสะถุนรับใช้ทหารมูตูได้ร้องขอเอาไว้ ชุชายกข้ออ้างว่าฤดูส่งทาสในปีถัดไปกษัตริย์อารังนาชินเชจะทรงสมปรารถนา
ขอ! ขอเพียงนายท่านรอให้ไอ้เด็กสกปรกสองคนนี้เจริญวัยแข็งแรงพอสำหรับการเดินทางไกลเพื่อไปศิโรราบต่อแผ่นดินมูตูเท่านั้น ชายชราพูดระรัวด้วยอาการสั่นสะท้าน
ไอ้สุนัขชุชา! นายทหารผู้ที่ตัดหัวพ่อเฒ่าเยรูตวาดทันทีที่ชุชาอ้าปากร้องขอ
แกเป็นแค่ทาสของข้า มีชีวิตเยี่ยงสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น กล้าดียังไงถึงคิดมาต่อรองร้องขอต่อแผ่นดินของกษัตริย์อารังนาชินเช หรือแกปรารถนาจะไปเป็นทาสรับใช้แทนพวกมัน มันขยับม้าเข้ามาใกล้พร้อมกับปลายดาบคมกริบที่ชี้มาที่ลำคอของทาสชรา ชุชาสะดุ้งตกใจด้วยอารามหวาดกลัวจนถอยหลังไปหลายก้าวเมื่อเห็นความตายเข้ามาใกล้แค่ปลายจมูกของตน และมือที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกที่ถือสมุดบัญชีรายการผลผลิตและจำนวนทาสก็สั่นระริก ก่อนที่แขนขาจะอ่อนปวกเปียกหมดเรี่ยวหมดแรงจนทำให้สมุดปกไม้หล่นลงไปกองอยู่ที่พื้น ร่างชราผอมกรังภายใต้เสื้อหญ้าคลุมฝนตัวเก่าๆ ที่ปกไหล่แคบๆ นั้นสั่นงันงก ชุชาลุกลี้ลุกลนลงก้มเก็บบัญชีปกไม้ขึ้นมากอดเอาไว้แนบอก และแสดงอาการหวาดกลัวสะทกสะท้านต่อความตายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตนเองอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นท่าทางอันน่าขบขันยิ่งนักสำหรับผู้พบเห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ จนทหารมูตูต่างพากันหัวเราะเยาะด้วยอารมณ์สนุก และเป็นที่พออกพอใจของพวกมันทุกคน
ไม่เลยขอรับนายท่าน - ข้าน้อยชุชาสุนัขรับใช้นายท่านไม่เคยมีความคิดต่อรองใดๆ ต่อแผ่นดิน มูตูเลยแม้แต่น้อยขอรับนายท่าน... ชายชราย่อตัวลงและก้มหน้าต่ำแทบจะติดพื้นขณะที่พูด
ข้า! ข้าน้อยเห็นว่าไอ้เด็กสกปรก 2 คนนี้เป็นแค่เด็กอ่อนเพิ่งลืมตามาดูโลก แม้ร่างกายจะเติบใหญ่เกินวัยอยู่บ้างก็ตามnbsp; แต่ก็คงไม่แข็งแรงหรอกขอรับ หากไล่ต้อนพวกมันไปด้วยข้าน้อยแน่ใจว่าพวกมันจะสิ้นใจตายระหว่างการเดินทาง จะทำให้เราต้องเสียเสบียงอาหารเลี้ยงดูไปเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าปล่อยพวกมันเอาไว้ทำไร่ไถนาช่วยผู้หญิงขี้โรคพวกนี้ ( ชุชาชี้ไปที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่รายรอบศพ) เก็บเกี่ยวผลผลิตในไร่นาจะไม่ดีกว่าหรือขอรับนายท่าน เมื่อถึงฤดูส่งมอบในปีหน้าค่อยไล่พวกมันไปกับฝูงวัวก็ยังไม่เสียหายอะไรข้าน้อยมีความคิดที่จะเสนอเพียงเท่านี้แหละขอรับ ชายชราเสนอความคิดอันตื้นอับอย่างนอบน้อมต่อนายของตน ทหารดำผู้เป็นนายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มพอใจกับความคิดต่อรองของทาสชรา
ดี ! ความคิดสุนัขของข้าช่างเข้าท่าดี ทหารผู้นั้นพูดด้วยภาษามูตูแล้วหันไปมองทหารคนอื่นๆ เพื่อสื่อให้รู้ว่ามันเห็นด้วยกับความคิดของชุชา
ถ้าเช่นนั้น! ปีหน้าค่อยไล่ต้อนไอ้เด็กโสโครก 2 คนนี้ไป เอ็ง! มันชี้ปลายดาบมาที่ศีรษะของชุชาอีกครั้ง
บอกพวกมันเลี้ยงดูกันให้ดี อย่าให้โรคระบาดมาแย่งทาสของข้าไปได้ไปกันได้แล้ว นายทหารผู้นั้นตะโกนสั่งให้ขบวนเกวียนออกเดินทาง ชุชาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแทบจะคุกเข่าลงกับพื้นเมื่อความตายไม่เกิดขึ้นกับตน และทาสหนุ่มทั้งสองก็ยังมีอิสรภาพอยู่ในหมู่บ้านเอดังต่อไป แต่ในปีนั้นหมู่บ้านเอดังได้ส่งมอบวัวจำนวน 30 ตัว ข้าวบาร์ 20 เกวียน ฝ้ายอีก 10 เกวียน และทาสผู้ชายจำนวน 6 คนไปยังแผ่นดินมูตู ซึ่งทาสทั้งหมดจะถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนร้อยที่ข้อมือทั้งสองข้าง และมีหน้าที่จูงวัวเทียมเกวียนเดินไปตามเส้นทางที่มีทหารมูตูขี้ม้านำทาง การเดินทางในช่วงแรกเป็นการรวบรวมผลผลิตที่เก็บได้ทั้งหมดไปรวมกันที่เมืองท่าริมทะเล ก่อนจะขนถ่ายลงเรือเพื่อข้ามไปยังแผ่นดินมูตูอีกทอดหนึ่ง
เมื่อทหารมูตูได้ทิ้งความตายของพ่อเฒ่าเยรูเอาไว้ ให้เป็นสิ่งย้ำเตือนถึงความโหดร้ายของพวกมันเพื่อให้ชาวอารัญได้ตระหนักแล้ว ขบวนเกวียนขนผลผลิตจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจากหมู่บ้านท่ามกลางละอองฝนที่ตกโปรยปราย เลือดสีแดงที่ยังไหลรินออกจากบาดแผลตรงลำคอของพ่อเฒ่าที่ขาดออกจากกันส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง ร่างที่เป็นลมหมดสติของการีตันนอนเหยียดอยู่ที่พื้น โดยมีแม่เฒ่ายังยังเตประคองศีรษะของการีตันเอาไว้ แม่เฒ่ายังยังเตนั่งอาลัยบนพื้นดินแฉะๆ รับรู้ถึงความสยดสยองกับเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ บางครั้งนางก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้มด้วยเมฆฝนสีเท่า พร้อมกับคำพูดคร่ำครวญฟังไม่ได้ศัพท์อยู่คนเดียว แต่แม่เฒ่าก็ยังเป็นหญิงชราที่มีจิตใจเข้มแข็งและเป็นบุคคลที่เคารพของทุกคนในหมู่บ้านเอดังในฐานะหญิงชราผู้อาวุโสที่สุด ดังนั้นภาพเหตุการณ์อันเหี้ยมโหดที่เกิดจากการขัดขืนต่ออำนาจของทหารมูตูยังยังเตจึงเห็นมานักต่อนักแล้ว ซึ่งต่างจากการีตันที่เพิ่งแตกเนื้อสาว และทุกครั้งในฤดูส่งมอบนางจะต้องลงไปหลบซ่อนในหลุมใต้ถุนเรือน เพื่อให้พ้นจากภาพความตายที่มักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ การีตันในวัย 16 ปีกำลังตั้งท้องได้สี่รอบพระจันทร์กับพ่อเฒ่าเยรูผู้เป็นสามี หลังจากที่นางตกเป็นเหยื่อต่อกิเลสตัณหาของตาเฒ่าชายวัยชรา ดังนั้นภาพความตายของสามีที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของการีตันจึงเป็นอะไรที่สลดหดหู่ และน่าขยะแขยงชวนให้ขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก ซึ่งทำให้จิตใจของการีตันทนรับกับภาพอันสยดสยองที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้ แต่ก็ยังมีหญิงหม้ายอีกหลายคนที่ผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง จึงทำให้พวกนางตั้งสติได้รวดเร็วและฉุดรั้งความเข้มแข็งขึ้นมาต่อสู้กับความหวาดกลัวได้อย่างไม่ยากนัก มาปามาก็เป็นหญิงหม้ายผู้หนึ่งที่ประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาแทบทุกปี และนางก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอใดๆ ออกมาให้ฟูจิและอาริชอนบุตรชายทั้งสองของนางได้เห็นเลย มาปามามองมายังเด็กหนุ่มทั้งสองที่ยืนแอบอยู่หลังรางน้ำใต้ชายคาบ้านไม้หลังหนึ่ง แล้วพยักหน้าเรียกคนทั้งสองให้เข้ามาหา
ฟูจิ อาริชอน ลูกสองคนช่วยกันลากศพพ่อเฒ่าขึ้นไปฝังที่สุสาน มาปามาบอกกับบุตรชายของนาง ฟูจิเดินเข้ามายืนใกล้ๆ มารดา แม้เขาจะรู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้างเมื่อมองดูศพที่ไม่มีหัวของพ่อเฒ่าเยรู แต่ความหนักแน่นภายในจิตใจก็ทำให้เขากล้าเผชิญกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าโดยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา ซึ่งแตกต่างจากอาริชอนที่แสดงความหวาดกลัวออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
ท่านแม่จะให้พวกข้าลากศพพ่อเฒ่าไปเช่นนั้นหรือ?.. อาริชอนยืนหลบอยู่ด้านหลังของฟูจิ เขายื่นใบหน้าเพียงซีกหนึ่งพ้นไหล่ของฟูจิออกมาพูดกับารดาด้วยน้ำเสียงที่ยังตื่นตระหนก และเห็นแววตาหวั่นวิตกได้อย่างชัดเจน อาริชอนไม่กล้ามองดูศพที่นอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้า แม้ร่างไร้วิญญาณนั้นจะอยู่ห่างจากปลายเท้าของเขาไม่ถึงสามก้าวก็ตาม แต่ภาพจากสายตาของเขาก็ยังมองเห็นเลือดสีแดงไหลรินไปกับทางน้ำสีขุ่นเป็นแนวยาว
เจ้าทั้งสองจะทำอย่างไรก็ได้เพื่อฝังศพให้เสร็จ ก่อนที่ความมืดจะลงมาจากยอดเขาและปิดบังท้องฟ้า หลังจากฝังศพเสร็จเรียบร้อยแล้วก็อย่าลืมกล่าวคำขอบคุณที่ความตายของพ่อเฒ่าช่วยลูกเอาไว้ มาปามาบอกกับบุตรชายทั้งสอง ก่อนที่นางจะดึงผ้าคลุมหน้าของตนออกมาห่อศีรษะของพ่อเฒ่าเยรูเอาไว้ เพื่อซ่อนภาพสะอิดสะเอียนอุจาดนั้นให้พ้นจากสายตาของทุกคน ฟูจิมองมารดาที่กำลังห่อศีรษะชุ่มเลือดด้วยผ้าคลุมหน้าอย่างทะมัดทะแมง เขาเห็นความเด็ดเดี่ยวของมาปามาแม้แววตาคู่นั้นจะซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ไม่มิดชิดก็ตาม มาปามาขมวดชายผ้าเข้าหากันแล้วรวบมัดจนแน่น ก่อนจะบอกฟูจิยกขาข้างหนึ่งของศพขึ้น แล้วนางก็ผูกชายผ้าที่เหลือมัดไว้ที่ข้อเท้าเปลือยเปล่าที่เริ่มเหลืองซีดของพ่อเฒ่าเยรู ฟูจิหันไปมองอาริชอนและพยักหน้าบุ้ยใบ้เป็นสัญญาณบอกให้อาริชอนทำเช่นเดียวกันกับเขา อาริชอนกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ก้มมองดูศพอย่างครั่นครามและไม่เต็มใจนักที่จะกระทำเช่นเดียวกันกับฟูจิ เขาละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะใช้สองมือของตนยกขาของพ่อเฒ่าขึ้นมา เมื่อมือของอาริชอนสัมผัสกับปลายเท้าเปลือยเปล่าของศพที่ยังมีไออุ่นอ่อนๆ หัวใจของอาริชอนก็หล่นลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มทันที แต่พอ ฟูจิขยับก้าวออกเดินแรงฉุดลากศพให้ติดตามไปด้วยก็ช่วยฉุดดึงสติของอาริชอนให้คืนกลับมา ศพพ่อเฒ่าเยรูในชุดเสื้อหญ้าคลุมฝนศีรษะขาดออกจากร่างจึงถูกลากไปตามถนนโคลนกลางหมู่บ้าน พร้อมกับทางเลือดที่ไหลเปรอะออกจากบาดแผลทิ้งรอยยาวติดตามร่างไปไม่หยุด ห่อศีรษะที่มัดไว้ตรงข้อเท้าก็ไกวไปมาตามจังหวะก้าวเดินของเด็กหนุ่มทั้งสอง และเสียงร้องไห้คร่ำครวญก็ดังแว่วๆ ไล่หลังฟูจิและอาริชอนมาให้ได้ยิน
สุสานบนเนินเขาอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปทางทิศเหนือไม่ไกลนัก เป็นที่ฝังศพของผู้คนในหมู่บ้าน เอดังมาช้านาน ทุกศพถูกฝังไว้ที่นี่ไม่ว่าศพนั้นจะตายด้วยโรคภัยตามธรรมชาติ หรือถูกทหารมูตูบั่นคอก็ตาม ฟูจิและอาริชอนเคยช่วยกันฝังศพที่นี่มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ไม่เคยทำให้พวกเขารู้สึกกระอักกระอ่วนเหมือนกับครั้งนี้ หรือเป็นเพราะว่าพ่อเฒ่าเยรูเป็นบุคคลที่ฟูจิและอาริชอนเคารพ ดังนั้นการตายของพ่อเฒ่าจึงทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองรู้สึกหวาดหวั่น แม้ฟูจิจะไม่แสดงอาการหวั่นกลัวอะไรออกมาก็ตาม แต่อาริชอนก็คิดว่าฟูจิต้องมีความคับข้องใจเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้อยู่ไม่มากก็น้อย เพราะเขาเห็นแววตาครุ่นคิดของสหาย แต่สำหรับอาริชอนแล้วเขากับไม่อาจปกปิดอาการหวั่นวิตกกังวลนี้ได้เลย อาริชอนจึงแสดงออกด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนขณะที่คนทั้งสองช่วยกันขุดหลุมฝังศพ และไม่กล้าหันไปมองร่างไร้วิญญาณของพ่อเฒ่าเยรูที่นอนแน่นิ่งอยู่ใกล้ๆ นอกจากชำเลืองมองฟูจิหลายต่อหลายครั้งเหมือนอยากให้ฟูจิพูดอะไรสักอย่างออกมาให้ได้ยิน แต่ฟูจิก็ยังทำตัวนิ่งเฉยต่อกิริยาของอาริชอนทั้งที่เขาเองก็รู้ถึงความกระสับกระส่ายของสหายดี และความเงียบสงัดของบรรยากาศในยามโพล้เพล้ ซึ่งทำให้ได้ยินเพียงเสียงจอบสับดินก็ยิ่งช่วยเร่งเร้าให้อาริชอนกระอักกระอ่วนทนกับความนิ่งเฉยของฟูจิต่อไปไม่ไหว เขาจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนว่า
ฟูจิ เจ้ารู้สึกยังไงกับเหตุที่เกิดขึ้นในวันนี้? อาริชอนวางจอบลงจากมือ ก่อนจะหันหน้ามาหาฟูจิซึ่งทำให้หางตาของเขามองเห็นปลายเท้าเหลืองซีดของพ่อเฒ่าเยรู
เจ้าถามความรู้สึกของข้าอย่างนั้นหรือ? ฟูจิย้อนถามขณะเอียงใบหน้ามองสหายที่ยืนอยู่ในหลุมศพด้วยกัน
ฟูจิ ข้าขอพูดด้วยใจระอายเลยนะ ว่าข้ารู้สึกหวาดกลัวกับความตายของพ่อเฒ่า... อาริชอนพูดแล้วรีบหันหน้าหนีจากภาพที่เขาเห็นเมื่อเขาเอ่ยถึงความตายของชายชรา
อาริชอน... ฟูจิหยุดยืน เจ้ากลัวความตายหรือกลัวการเดินทางไกลไปกับขบวนเกวียนกันแน่ ฟูจิพูดอย่างรู้ทันความคิดของเพื่อนสนิท
ข้ากลัวทั้งสองอย่างนั้นแหละ เจ้าก็รู้นี่ว่าฤดูส่งมอบในปีหน้าเราต้องเดินทางไปรับใช้แผ่นดินมูตู อาริชอนนึกถึงใบหน้าเศร้าสร้อยของกาดอนและยังเต ซึ่งถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนร้อยข้อมือทั้งสองข้างขณะมีหน้าที่จูงวัวเทียมเกวียนเพื่อไปเป็นทาสรับใช้กษัตริย์อารังนาชินเช
ข้าไม่เคยมีความคิดที่จะเดินทางไกลเพื่อไปเป็นทาสรับใช้ทหารมูตู ฟูจิกล่าวด้วยน้ำเสียงสะท้านก่อนจะกระโดดขึ้นมาจากหลุมฝังศพ
ฟูจิ! เจ้าพูดว่าอะไรนะเจ้าหมายความว่าจะหลบหนีอย่างนั้นหรือ? อาริชอนเงยหน้าถามขณะเดียวกันฟูจิก็ลากศพเข้ามาใกล้ปากหลุม ทำให้อาริชอนต้องมองดูร่างไร้วิญญาณที่ยังมีกลิ่นคาวเลือดอย่างไม่เจตนา ฟูจิยิ้มแทนคำตอบแล้วผลักศพลงหลุม อาริชอนรีบถอยหลังอย่างผวาก่อนจะปีนขึ้นมาจากหลุมศพ
เจ้าช่วยยืนยันคำพูดกับข้าได้ไหมว่าเจ้าจะทำเช่นนั้นจริงๆ...
ข้าจะหนีไปให้ไกล เพราะข้าเชื่อว่าแผ่นดินอันกว้างใหญ่แห่งนี้ต้องมีชาวอารัญอีกจำนวนมากที่ไม่ยอมก้มหัวเป็นทาสให้กับทหารมูตูอยู่แน่ๆ ฟูจิจ้องมองอาริชอนก่อนที่สหายของเขากับหลบสายตานั้น
อาริชอน ถ้าข้าจะหลบหนีไปให้ไกลตามใจของข้า แล้วเจ้าล่ะจะหนีไปกับข้าไหม? ฟูจิเอ่ยถามแต่อาริชอนกับปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนคำตอบ อาริชอนคิดว่าการหลบหนีของทาสเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กหนุ่มอย่างเขา เพราะความตายจะเกิดขึ้นเมื่อทหารมูตูรับรู้ ซึ่งพวกมันจะออกติดตามทาสและลงโทษด้วยการฆ่าอย่างโหดร้าย
หลังจากอาหารมื้อค่ำในวันนั้นผ่านไปเงียบๆ มาปามาก็เอ่ยถามกับบุตรชายทั้งสองของนางว่า
เอ่อ! เรียบร้อยดีใช่ไหมที่สุสานนะ? มาปามาฝืนยิ้มเจื่อนๆ เพื่อแกล้งกลบเกลื่อนความทุกข์กังวลที่ปรากฏบนใบหน้าของนาง
ครับท่านแม่ พวกเราช่วยกันขุดหลุมลึกถึงหน้าอกแล้วเอาก้อนหินกลบทับอีกทีหนึ่ง อาริชอนบอกกับมาปามาก่อนจะลากเก้าอี้ไม้เข้ามานั่งใกล้ๆ ผู้เป็นมารดาเมื่อเขาเห็นแววตาวิตกกังวลคู่นั้น
ท่านแม่มีอะไรจะพูดกับพวกเราหรือ? ข้าเห็นสีหน้าเป็นทุกข์ของท่านแม่ อาริชอนถามเบาๆ
แม่ แม่มีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดกับลูกทั้งสอง... มาปามามีท่าทีลังเล ลูกทั้งสองคิดยังไงกันบ้างกับเหตุที่เกิดขึ้นในวันนี้? หญิงหม้ายมองหน้าบุตรชายทั้งสองสลับกัน พวกลูกคิดว่ามันเลวร้ายมากไหมที่ความตายเกิดขึ้นทุกปี แม่หมายความว่าทหารมูตูโหดร้ายกับพวกเราทุกปี ความตายจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ขัดขืนต่ออำนาจของพวกมัน... มาปามาถอนหายใจเมื่อปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนคำพูด ฟูจิมองเศษอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งในวันนี้เขาไม่รับรู้ถึงความเอร็ดอร่อยของมันเหมือนทุกวันที่ผ่านมา ส่วนอาริชอนได้แต่ก้มหน้านิ่ง
แม่เข้าใจถึงความรู้สึกของลูก มาปามาพูดเบาๆ เราทุกคนต่างหวาดกลัว พวกเรากลัวทหารมูตูกลัวโรคระบาดและกลัวอาหารที่เก็บไว้ในฤดูแล้งจะไม่พอกิน จนต้องซ่อนข้าวบาร์บางส่วนไว้ตามป่าเขาเมื่อฤดูส่งมอบแต่ละปีมาถึง
เราต้องส่งผู้ชายในวัย 17 ปีไปเป็นทาสรับใช้พวกมัน โดยมีรอยสักบอกฐานะความเป็นทาสไว้ที่ข้อมือทั้งสองข้างอย่างนั้นหรือ? ฟูจิพูดแทรกขึ้น อาริชอนเงยหน้ามองมาปามาและอดที่จะพูดไม่ได้ว่า
พวกเขาต้องตายที่แผ่นดินมูตู หรือถ้ามีชีวิตรอดถึงอายุ 50 ปีก็จะถูกขับไล่ให้เดินทางกลับบ้าน ซึ่งต้องหาวิธีกลับมาเองด้วยสติปัญญาที่พวกเขามี และทุกคนก็ยอมเสี่ยงเป็นอาหารปลากลางทะเลและยอมศิโรราบเป็นที่ระบายอารมณ์ของทหารมูตู เพียงเพื่อให้ได้เป็นคนพายเรือส่งทหารผลัดใหม่มาเป็นนายของตนถึงแผ่นดินอารัญของเรา ทาสจำนวนมากต้องตายระหว่างการเดินทาง แต่ทุกคนก็อยากกลับบ้าน กลับมาเพื่อเป็นพ่อพันธุ์เหมือนวัวตัวผู้ที่ต้องการทับวัวตัวเมียเพื่อให้กำเนิดลูก ซึ่งจะได้เป็นทายาทสืบทอดความเป็นทาสต่อไป แล้วพวกเขาก็รอจนถึงฤดูส่งมอบผลผลิตในแต่ละปี เพื่อที่จะได้ขัดขืนต่ออำนาจของทหารมูตู ทั้งที่รู้ว่าการขัดขืนนั้นคือการเอาคมดาบมาปาดคอของตัวเองท่านแม่ช่วยบอกข้าหน่อยซิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา... อาริชอนพรั่งพรูคำประชดที่คับข้องจิตใจของตนเองออกมา ก่อนที่จะกุมหน้าตัวเองเอาไว้ และยอมรับผิดที่แสดงอารมณ์เช่นนี้ออกมา
ข้าขออภัยท่านแม่ ที่ข้าพูดก้าวร้าวเช่นนี้กับท่าน อาริชอนเอ่ยขึ้นเบาๆ แล้วยื่นมือของตนไปกุมมือมารดาเอาไว้
แม่เองก็เสียใจที่มันเป็นเช่นนี้ น้ำตาใสๆ หยดผ่านผิวแก้มของมาปามา
มันมีวิธีที่ข้าจะหลุดพ้นใช่ไหมครับท่านแม่ ถ้าข้าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับทหารมูตู... ฟูจิพูดแทรกขึ้นมา พร้อมกับความตะลึงของอาริชอน
ไม่ยอมอ่อนข้อให้ทหารมูตูอย่างนั้นหรือ? อาริชอนทวนคำพูดของฟูจิ แม้ว่าอาริชอนจะยอมรับในสิ่งที่ฟูจิพูดออกมาว่ามันตรงกับความคิดของเขาก็ตาม แต่เขาก็มองไม่เห็นหนทางว่าความคิดนี้จะเกิดขึ้นได้เลย แต่ถ้าฟูจิกล้าทำตามความปรารถนาของตนขึ้นมาจริงๆ ฟูจิก็จะเป็นเด็กหนุ่มคนแรกในวัย 16 ปีที่กล้าท้าทายอำนาจกษัตริย์อารังนาชินเชและทหารมูตูทั้งแผ่นดิน แต่มาปามากับไม่ประหลาดใจเลยสักนิดเดียวที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของฟูจิ เพราะนางคิดมาตลอดเวลาว่าผู้มีสายเลือดที่ยิ่งใหญ่ย่อมกล้าที่จะกระทำในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่กล้ากระทำ
ท่านแม่ช่วยบอกข้ามาเถิดว่าข้าจะต้องทำยังไงบ้าง ฟูจิมองมาปามาเพราะเขาเชื่อว่ามารดาจะเป็นผู้ให้คำตอบแก่เขาได้ มาปามารู้สึกอึดอัดและลังเลใจที่จะตอบคำถามนี้ แม้ว่านางจะมีแผนการผลักไสบุตรทั้งสองของนางให้เดินไปสู่เส้นทางอันตรายนั้นแล้วก็ตาม แต่มันก็เป็นเรื่องยากและสร้างความลำบากใจในการตัดสินใจครั้งนี้ เพราะมาปามารู้ดีว่าหนทางเบื้องหน้านั้นมีแต่ความทุกข์ทรมานและความตายที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งที่จะเกิดแก่ตัวของนางเองและบุตรชายทั้งสองของนางด้วย อาริชอนเห็นความสับสนในแววตาของมารดาต่อสิ่งที่ฟูจิต้องการ
ท่านแม่บอกพวกข้ามาเถิด บอกเส้นทางเริ่มแรกที่จะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับทหารมูตู อาริชอนช่วยฟูจิอ้อนวอน เมื่อเขาตระหนักแล้วว่าเวลาแห่งการเดินทางใกล้เข้ามาแล้ว
ลูกทั้งสองได้เรียนรู้อะไรมาบ้างแล้วเกี่ยวกับ เอ่อ! ก่อนที่พ่อเฒ่าเยรูจะตาย มาปามาพยามเริ่มต้นที่จะพูด
หลายสิ่งหลายอย่างที่พ่อเฒ่าสอนให้เรารับรู้ อาริชอนตอบ มาปามาพยักหน้า
แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ ก่อนที่พ่อเฒ่าจะมาแม่หมายถึงคนอื่นๆ ที่กลับมาจากแผ่นดินมูตูพวกเขาเล่าอะไรให้ฟังบ้าง อาริชอนหันไปมองฟูจิครั้งหนึ่งก่อนจะตอบว่า
พวกเรารู้เรื่องแผ่นดินมูตูดีพอๆ กับที่พวกผู้เฒ่าที่เดินทางกลับมารู้ ข้ารู้ถึงกิตติศัพท์ของกษัตริย์อารังนาชินเช ข้ารู้จักนิสัยใจคอของเจ้านายมูตูและรู้จักการปกครองของพวกมัน ร่วมถึงอาณาเขตสองฟากแผ่นดินมูตู และข้าก็รู้-- อาริชอนถอนหายใจ ข้ารู้ถึงความทุกข์ยากของชีวิตทาสที่ต้องตายจากการถูกข่มเหงรังแกและความหิวโหยอดอยาก ซึ่งทาสจำนวนมากต้องนอนรอมัจจุราชมาเอาวิญญาณเมื่อพวกเขาหมดค่าสำหรับการรับใช้ทหารมูตู ข้ารู้ถึงความทรมานที่พวกเขาได้รับ... อาริชอนหยุดพูดแล้วมามองหน้าฟูจิอีกครั้ง
อาริชอนรู้เรื่องตำนานวันสุริยะดับ (มาปามาตะลึง) พวกเราอ่านและเขียนภาษามูตูได้ ฟูจิพูดขึ้นแล้วมองหน้ามารดาที่ทำท่าประหลาดใจ มาปามารู้สึกฉงนที่บุตรของนางรู้เรื่องตำนานวันสุริยะดับ และนางก็อดอัศจรรย์ใจไม่ได้ที่พวกเขาสามารถอ่านและเขียนภาษามูตูได้
พวกเจ้ารู้เรื่องตำนานวันสุริยะดับและภาษามูตูได้ยังไง? มาปามาถามด้วยท่าทีกระตือรือร้นก่อนจะรีบเดินไปปิดบานประตูหน้าต่างและลงสลักกลอน พลางมองซ้ายแลขวาเหมือนกลัวว่าใครจะได้ยินเรื่องที่นางใคร่จะรู้จากปากของบุตรชายทั้งสอง มาปามาได้ซักถามเรื่องต่างๆ จากฟูจิและอาริชอน และมีหลายเรื่องที่นางประหลาดใจเกี่ยวกับบุตรชายของนาง เช่น เรื่องภาษามูตูที่ชนชั้นทาสอย่างชาวอารัญและชนเผ่าอื่นๆ ไม่มีใครได้เรียนรู้ แม้พวกทาสที่มีชีวิตรอดกลับมาจะสามารถพูดและฟังภาษามูตูได้ แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะเขียนและอ่านภาษามูตูได้ เพราะจารีตประเพณีที่เคร่งครัดของชาวมูตูจะไม่ยอมให้ทาสของตนอ่านหรือเขียนภาษาใดๆ ยกเว้นภาษาพูดเพียงอย่างเดียวเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมและออกคำสั่ง ซึ่งจารีตในเรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อทหารมูตูเริ่มรุกรานชนเผ่าอื่นๆ และจารีตนี้ก็มีความเข้มงวดต่อชนเผ่าต่างๆ ที่เคยมีภาษาเขียนเป็นของตนเอง จนภาษาของทุกเผ่าที่ตกเป็นทาสเริ่มสูญหายไป มาปามารับรู้มาว่าการกระทำของกษัตริย์มูตูทุกพระองค์ที่มีต่อชนเผ่าอื่นๆ นั้น ก็เพื่อเป็นการลิดรอนอำนาจของชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่ใต้การปกครองของตนให้ตกเป็นเบี้ยล่างอยู่ตลอดไป ส่วนเรื่องตำนานวันสุริยะดับมาปามาเคยรับรู้มาบ้างจากตำนานของขุนเขาเนติ ที่บรรพชนได้เล่าถ่ายทอดเอาไว้ให้รับรู้ แต่ทุกคนที่รู้เรื่องนี้ก็มักจะปิดปากเงียบไม่กล้าเล่าอย่างเปิดเผยให้ใครรับรู้ เพราะนั่นหมายถึงชีวิตจะต้องดับสิ้นถ้าหากรู้ไปถึงหูทหารมูตู เรื่องตำนานวันสุริยะดับ มาปามาเข้าใจว่าผู้เฒ่าใกล้ตายคนใดคนหนึ่งที่มีชีวิตรอดกลับมาจากการเป็นทาสคงจะถ่ายทอดเรื่องราวเก่าๆ ให้กับบุตรของนางได้ฟังแน่ๆ รวมถึงพ่อเฒ่าเยรูที่ฟูจิและอาริชอนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ส่วนประเพณีการปกครองและแผ่นดินสองฟากของชนมูตูนั้น ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับมาปามา แต่ความรู้ที่ฟูจิและอาริชอนมีอยู่ก็ยังถือว่าน้อยนิดเกินไป หากเด็กหนุ่มทั้งสองต้องออกเดินทาง มาปามาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากฟังเรื่องต่างๆ จากบุตรชายทั้งสอง ก่อนจะตัดสินใจบอกถึงภาระหน้าที่ของฟูจิและอาริชอนในเวลาที่เหลืออยู่ ว่านางจะเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาการต่างๆ ให้แก่พวกเขา ฟูจิและอาริชอนต่างพากันฉงนสงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ของมารดาที่นางแอบซ่อนเร้นเอาไว้ เมื่อนางเริ่มเล่าเรื่องราวบาง อย่างให้พวกเขาฟัง แต่มาปามาก็ไม่ได้เอ่ยปากบอกถึงพ่อแม่ที่แท้จริงของฟูจิและอาริชอนให้เด็กหนุ่มทั้งสองได้รับรู้เลยสักนิดเดียว และนางก็ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าทำไมนางถึงรู้เรื่องราวต่างๆ มากมายถึงเพียงนี้ มาปามาบอกแก่บุตรชายทั้งสองเพียงแค่ว่าเวลาที่เหลืออยู่นี้มันช่างน้อยนิด หากแต่คำทำนายในตำนานนั้นเป็นจริง ชาวอารัญทั้งแผ่นดินจะหลุดพ้นจากการเป็นทาสและรวบรวมอาณาจักรอารัญได้อีกครั้ง
มาปามานั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ไม้ริมหน้าต่าง สายลมยามดึกหอบเอาไอเย็นยามค่ำคืนเข้ามาในห้องนอน เคชันและปาเรลูกสาวฝาแฝดอายุ 8 ควบนอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเก่าๆ เสียงลมหายใจของเด็กน้อยทั้งสองดังเบาๆ แต่ก็ดังพอจะกลบความเงียบสงัดภายในห้องนอนได้ แสงสุกสกาวแวววาวของดวง ดาวที่จับเต็มท้องฟ้าช่างงดงาม หลังจากเมฆฝนที่ปกคลุมมาตลอดทั้งวันเคลื่อนผ่านไป การพูดคุยกันในคืนนี้ระหว่างมาปามากับบุตรชายทั้งสองผ่านพ้นไปด้วยดี แม้มาปามาจะยังวิตกกังวลกับวันพรุ่งนี้ที่จะเริ่มต้นแสดงบทบาทอีกบทหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากการเป็นแม่ที่ดีอยู่บ้างก็ตาม แต่มาปามาก็ยังมั่นใจในตัวบุตรชายทั้งสองของนางว่าพวกเขาจะปรับัวได้อย่างรวดเร็ว และไว้วางใจได้ว่าจะเป็นความลับสำหรับสามคนแม่ลูกเท่านั้น
ฟูจินอนอยู่อีกมุมหนึ่งภายในห้องนอนของโรงนา โดยมีอาริชอนครอบครองอีกมุมหนึ่งตรงกันข้าม เสียงอาริชอนถอนหายใจดังๆ หลายครั้งและขยับตัวอยู่ไปมา เพราะเขาตั้งใจที่จะแสดงความทุกข์กังวลของตนให้ฟูจิรับรู้ แต่ฟูจิกับนอนนิ่งอยู่เงียบๆ โดยไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรออกมา เพราะฟูจิยังคงประหลาดใจเกี่ยวกับตัวของมารดา ซึ่งเขาไม่เคยระแวงสงสัยมาก่อนเลยว่าหญิงหม้ายผู้ที่เลี้ยงตนมาจะเป็นผู้รอบรู้ได้ถึงเพียงนี้ จนมาถึงวันนี้ฟูจิจึงได้รู้ว่าแม่ผู้ที่มีแต่โอบอ้อมอารีได้เก็บกุมความลับต่างๆ ไว้มากมาย ขณะที่มาปามาเล่าเรื่องต่างๆ ให้เขาฟังนั้น ฟูจิอยากจะถามมารดาเหลือเกินว่านางเป็นใครกันแน่ ถึงได้รู้เรื่องราวต่างๆ ดีเกินกว่าที่ทาสธรรมดาคนหนึ่งจะรู้ และทำไมนางถึงต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองด้วย แต่ฟูจิก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา ซึ่งคงเป็นเพราะเขาเคารพมารดาและเชื่อฟังนางมาเสมอ แต่เขาก็คิดว่าสักวันหนึ่งอาริชอนอาจจะถามคำถามเหล่านี้แทนเขาก็ได้ เพราะอาริชอนเองคงมีความสงสัยไม่ต่างจากเขาเท่าใดนัก แล้วอาริชอนก็กระแอมไอเป็นเชิงเชิญชวนให้เพื่อนร่วมห้องนอนสนทนา
ฟูจิ เจ้าคิดเช่นไรเกี่ยวกับท่านแม่?... แล้วเจ้าล่ะอาริชอน? ฟูจิย้อนถาม
ท่านแม่ทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าท่านแม่จะเป็นผู้หญิงที่รอบรู้ได้ถึงขนาดนี้
ข้าก็ประหลาดใจเช่นกันที่ท่านแม่มีเรื่องปิดบังเรามากมาย ฟูจิขยับตัว พลางมองขึ้นไปที่เพดานหลังคาของโรงนา
ฟูจิ แล้วเราจะทำยังไงต่อไปกันดีล่ะกับเวลาที่เหลืออยู่ก่อนฤดูส่งมอบในปีหน้าจะมาถึง
อย่ากังวลไปเลยอาริชอน เพราะท่านแม่จะสอนพวกเราเอง และแนะนำการเดินทางไปสู่เทือกเขากบฏได้เองนั่นแหละ
เงาดำเล็กๆ ของพญาเหยี่ยวดำปรากฏอยู่ในอากาศทางทิศใต้ใกล้กับยอดเขาเนติ เหมือนจุดดำนั้นลอยนิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่ภาพที่เห็นก็ค่อยๆ ขยับเลือนหายไป อาริชอนหันมามองฟูจิที่นอนเอนกายอยู่กับพื้นอีกครั้ง ฟูจิสบตากับอาริชอนเพื่อบ่งบอกว่าเขารอคอยให้เพื่อนผู้รู้ใจกล่าวคำพูดใดๆ ออกมาก่อน
คืนนี้เจ้าจะไปหานางไหม? ข้าหมายถึงอิลีลี่ อาริชอนเริ่มต้นสนทนา
อาริชอน เจ้าคิดว่าข้าควรไปหานางอย่างนั้นหรือ? ฟูจิย้อนถามเบาๆ
มันก็แล้วแต่ใจของเจ้าว่าจะคิดเช่นไร เพราะเจ้าย่อมรู้ดีที่สุด เวลาของเราเหลือเพียงค่ำคืนนี้แล้วเท่านั้นที่จะได้อยู่ที่นี่และข้าคิดว่าอิลีลี่คงจะเสียใจ... อาริชอนหยุดพูด เมื่อนึกถึงใบหน้างดงามของหญิงสาว ข้าหมายความว่านางคงจะเสียใจมาก ที่ไม่รู้เลยว่าผู้ชายที่นางหลงรักได้จากหมู่บ้านเอดังไปแล้วโดยไม่ได้บอกนางซักคำ ฟูจินิ่งเงียบกับคำกล่าวและน้ำเสียงจริงจังของอาริชอน ฟูจิคิดว่าตั้งแต่วันที่ท่านแม่วางแผนการเดินทางให้กับพวกเขาอาริชอนก็เปลี่ยนแปลงไปมาก จนบางครั้งฟูจิคิดว่าตัวเขาเองยังด้อยกว่าอาริชอนมากนัก คงมีเพียงพละกำลังและฝีมือในเชิงอาวุธเท่านั้นที่เขาทำได้ดีกว่าอาริชอน แต่ภาษาของชนเผ่าต่างๆ ที่ท่านแม่สอนให้กับเป็นอาริชอนที่เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและจดจำได้อย่างแม่นยำ
ผลงานอื่นๆ ของ บ.บรรจงศรีโย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ บ.บรรจงศรีโย
ความคิดเห็น