ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟาร์มรักสวนเสน่หา

    ลำดับตอนที่ #2 : สวนเสน่หา

    • อัปเดตล่าสุด 5 ต.ค. 53


    ฟ้าผ่ารอบที่สองหลังจากที่วางแก้วน้ำให้หนุ่มสัตวบาลแล้ว เด็กสาวที่บัดนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่เจเนรัลเบ๊ เดินอ้อมมานั่งที่โต๊ะ ประชันหน้าเขา ท่าทางเธอคุ้นเคยกับโต๊ะตัวนี้ สิ่งแรกที่เธอทำนั้นเป็นการเปิดโน๊ตบุ๊ค มันคงเป็นของเธอ ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มคิดว่าคนสัมภาษณ์น่าจะเป็นชายเชื้อจีนในรูป แต่ตาแป๊ะนั่นหายไปไหน     
     
    ระหว่างรอเครื่องเปิด เด็กสาวหันมามองลูกจ้างหน้าใหม่แล้วบอกเบาๆ ว่า “ขอดูเอกสารคุณได้ไหมคะ”
     
    นายจ้างหน้าอ่อนมองหน้าคนที่จะมาเป็นผู้จัดการฟาร์มขณะรับซองเอกสารมาดู อาของเธอที่ช่วยสัมภาษณ์ให้โทรบอกวันก่อนว่า คนนี้ดูท่าจะซื่อที่สุดในบรรดาคนที่มาสมัครงาน และท่าจะใช้งานง่าย ไม่เรื่องมาก แถมตบท้ายว่ายังไม่ได้บอกเงินเดือนเพราะว่าอาของเธอไม่แน่ใจว่าควรจะให้เท่าไหร่ และไม่ใช่สิทธิของอาเธอที่จะระบุ เงินเดือน จึงให้นายจ้างโดยตรงพูดกันเองกับลูกจ้าง ทนายความก็อย่างนี้
     
    แต่เธอกำลังสงสัยว่า เขาก็ช่างยอมมาได้ โดยที่ยังไม่รู้ค่าจ้าง แบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่อังกฤษ 
     
    เมื่อเอกสารเปิดออกเธอก็เพิ่งเข้าใจ เพิ่งจบมาสดๆ เหมือนขนมปังออกจากเตาอบ มิน่าเล่าถึงไม่เกี่ยงงอน แต่เมื่อสายตากวาดไปตามเอกสาร เธอก็ร้องขึ้นเบาๆ “คุณจบทางด้านสัตว์มา”
     
    เมื่อคนที่กำลังจะเป็นนายจ้างนึกคำภาษาไทยไม่ออก ลูกจ้างจึงแก้ให้ “สัตวบาลครับ”
     
    พูดแล้วคิดได้จึงยิ้มแหยๆ เธออาจไม่เอาก็ได้ ขณะเดียวกันก็นับถือว่าสาวที่อยู่เบื้องหน้าสามารถแปลได้ คำนี้หากเขาไม่ได้เรียนเอกนี้ก็ไม่มีวันแปลถูกหรอก
     
    ฝ่ายหญิงเงยหน้าขึ้น ด้วยแววตาไม่แน่ใจ คุณอาของเธอที่วานให้สัมภาษณ์คนให้หน่อยทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ฟาร์มนี้เลี้ยงไก่ไม่กี่ตัว หมาสองตัว และแมวชื่อถิงถิงเอาไว้ให้ลูกสาวเจ้าของฟาร์มกอดเล่น ดังนั้นจึงไม่ต้องการสัตวบาล แต่จะทำอย่างไรดี ตอนนี้เขามานั่งทำหน้าเหมือนผีหลอกในห้องนี้แล้ว
     
    เด็กสาวที่ทำงานใหญ่เกินตัวเม้มปากขบคิด มองออกไปนอกห้อง ไม่มีใครอยู่หน้าห้องเลย หากชายผู้นี้ผิดหวังที่ไม่ได้งานอาจโกรธและทำร้ายเธอได้
     
    “คุณ...” เธอขยับริมฝีปากจุ๋มจิ๋มจะพูดแต่หยุดเอาไว้แค่นั้น ไม่ง่ายเลยที่จะปฏิเสธลูกจ้างคนแรกหลังจากที่ตัวเองเพิ่งมารับหน้าที่ดูแลฟาร์มได้ไม่กี่วันแทนพ่อที่ป่วยหนัก และแทนแม่ที่ไปนั่งเฝ้าคนป่วยหนัก กระเป๋าและลังสองสามใบที่ติดป้าย ‘ระวังแตก’ จากลอนดอน ยังรื้อของออกมาไม่หมดเลยเสียด้วยซ้ำ
     
    อีกฝ่ายนั่งตัวลีบ หากไม่กังวลเรื่องจะโดนไล่กลับหรือไม่เขาน่าจะมีความสุขกับการมองแก้มใสๆ ปากจุ๋มจิ๋มของเธอมากกว่านี้ สงสัยโตมาในขั้วโลกเหนือ ผิวใสปิ๊ง ฝ่ายชายคิด
     
    ฝ่ายหญิงไม่ขวยเขินกับการมอง แต่กำลังอึดอัดกับการตัดสินใจที่ไม่มีประสบการณ์รองรับ จึงเลี่ยงไปจัดการกับคอมพ์ของตัว เข้าเอ็มเอสเอ็นเพื่อหาตัวช่วย ฝ่ายคนมาจากกรุงเทพพอเข้าใจสิ่งที่เด็กสาวคิด จึงโพล่งไปว่า “ผมจบโทเคมีการเกษตร”
     
    ที่โพล่งไปได้ผล เธอชะงักแล้วหันมามองใบหน้าเรียวยาวของเขา หน้าตาไม่น่าเรียนเกษตร หน้าแบบนี้จะทนแดดเมืองเพชรบูรณ์ไหวไหมนะ แล้วกลับมาที่เคมีการเกษตร เธอจึงเอียงคอน่ารักแล้วถามว่า “เรียนเกี่ยวกับอะไรคะ”
     
    ท่าเอียงหน้าทำให้เห็นลำคอเรียวระหง เนื้อตรงนั้นอ่อนๆ ของโปรดแดรกคิวล่า ผมบ๊อบที่เชยไปแล้วในสมัยนี้แต่ทำไมเหมาะกับยายตุ๊กตาจีนคนนี้จัง เขาจึงคิดคำตอบได้ช้ากว่าปกติ ก่อนจะค่อยๆ อธิบายช้าๆ แล้วก็ไหลต่อเป็นคุ้งเป็นแคว ฝ่ายคนสัมภาษณ์พยักหน้าหงึกๆ ตามตลอด ฟังแล้วมันช่างแตกต่างจากที่เธอเรียนมา แต่ไม่จบ...
     
    “คงไม่ถึงขนาดผลิตระเบิดจากปุ๋ยใช่ไหมคะ” เธอกล่าวตบท้ายด้วยมุขตลกแบบฝรั่งแต่ฝ่ายชายไม่เข้าใจ เขากำลังลุ้นว่าเธอจะพอใจไหมกับความรู้ความสามารถของเขา ยังไม่นับสิ่งผิดพลาดที่ดันไปขอน้ำกับ ‘น้อง’ อีก ดังนั้นจึงตอบกลับด้วยใบหน้าเป๋อเหลอ
     
    โชคดีที่เด็กสาวเอากิริยาของเขาไปเชื่อมโยงกับการบอกเล่าของคุณอาตน บางทีหากใช้งานง่ายก็อยู่ได้นาน บางคนที่ป๋าเคยจ้างมาอยู่ได้สองเดือน ป๋าเล่าว่าพอรับเงินเดือนแล้วหายไปเลย ไม่มีใบลา ไม่แจ้งก่อนสักคำ 
     
    “คนเป็นคนกรุงเทพนี่ จะอยู่บ้านนอกได้เหรอคะ” หลังจากกวาดสายตาดูในใบประวัติบุคคลแล้วจึงเอ่ยออกมา ขณะเดียวกันก็คีย์คุยกับคนในเอ็ม เธอกำลังทักคนๆ หนึ่งที่ใช้ชื่อว่า ‘savage_me’
     
    “ผมชอบที่โล่งๆ ธรรมชาติ ตอนฝึกงานที่ฉะเชิงเทราผมชอบมากเลย” ฝ่ายชายตอบ แต่สีหน้าของตุ๊กตาจีนเรียบเฉย เธอกำลังคีย์ข้อความคุยเอ็มเอสเอ็นมากกว่าสนใจฟังเขา แต่สิ่งที่เธอคุยนั้นเกี่ยวกับเขา ‘คุณแม็ค เอกสัตวบาล โทเคมีการเกษตรนี่จะเหมาะกับฟาร์มของแพร์ไหมคะ’
     
    ขณะที่เธอกำลังเขียนรายละเอียดของเขาให้คู่สนทนาในเอ็มเอสเอ็นอ่าน ปากเธอก็ถามไปพลางๆ “ทำอะไรบ้างคะ ตอนฝึกงาน”
     
    ฝ่ายบัณฑิตหนุ่มยิ้มพอใจที่ได้โฆษณาขายตัวเอง เขาจึงเล่าให้เธอฟังฉอดๆๆ ฝ่ายคนฟังก็ฟังไปพิมพ์ไป บัณฑิตสัตวบาลเล่าให้ฟังเกือบทุกเรื่องยกเว้น ‘ครั้งแรก’ ของเขากับแฟนต่างคณะ ที่ขับรถไปหาตนถึงฉะเชิงเทรา ครั้งแรกช่างสวยงาม และทั้งคู่สารภาพให้กันและกันด้วยอารมณ์ฟุ้งฝันว่าจะไม่ลืมคืนนั้น
     
    เธอไม่ลืมมันจริงๆ แต่เธอไปนั่งจำที่แอลเอ หลังจากจบปุ๊บ ญาติก็ซื้อตั๋วเรื่องบินให้ไปช่วยทำงานในร้านอาหารที่นั่นทันที ปล่อยให้หนุ่มสัตวบาลนั่งชีช้ำในสลัม เธอบอกเศร้าๆ ว่า ‘ไม่มีใครรู้อนาคต หากแต๊กไม่ตอบเมล์ป๋อนานเกินสองเดือน แปลว่าแต๊กเปลี่ยนไปแล้ว แล้วหากป๋อเปลี่ยนไป ป๋อก็ไม่ต้องตอบเมล์แต๊ก’
     
    คำถามของหมวยผมบ๊อบดึงเขาให้กลับมาที่เก้าอี้สัมภาษณ์งาน แต่เขาต้องขอฟังซ้ำ เธอจึงว่าอีกรอบ “เรื่องในฟาร์มบางอย่างเรียนรู้ได้หากคุณสนใจศึกษา แต่ว่าคุณไม่ได้จบมาทางนี้อาจไม่ชอบงานในฟาร์มที่นี่ คุณอาจจะอยากทำงานตามวิชาเอกของคุณมากกว่า”
     
    เธอพูดตามคำแนะนำของคนในเอ็มเอสเอ็น นึกหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เกมแบบนี้ไม่เคยเล่น ฝ่ายหนุ่มสัตวบาลฟังแล้วจึงกลืนน้ำลายลงคอ น้ำที่ซัดไปแล้วค่อนแก้วไม่ช่วยอะไรเลย คอแห้งผากอีกรอบด้วยความเครียด ค่อยตอบไปอย่างระมัดระวัง “ผมพร้อมจะเรียนรู้ครับ ไหนๆ ก็มาแล้ว”
     
    ตุ๊กตาจีนพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก แล้วพิมพ์ข้อความบอกคู่สนทนาว่าคำตอบที่ได้รับคืออะไร ฝ่ายนั้นตอบกลับมาว่า ‘หมูเข้าอวยแล้ว คุณใช้จุดอ่อนที่เขาจบมาไม่ตรงสาขาที่คุณต้องการ กดเงินเดือนเขาได้’
     
    แต่คนอ่านข้อวามรู้สึกไม่ค่อยดี ประสบการณ์การเรียนมัธยมในโรงเรียนอินเตอร์และการเรียนในอังกฤษไม่ถึงสองปีดีสอนให้ไม่ควรทำแบบนี้ จึงขมวดคิ้วเส้นเล็กๆ สีน้ำตาลสองเส้น แล้วหันมามองหนุ่มสัตวบาลเขม็ง อีกฝ่ายจึงนึกว่าเธออาจจะไม่จ้างเขากระมัง จึงนึกเคืองขึ้นมาตงิดๆ
     
    เด็กสาวเม้มปากด้วยความยากลำบาก พยายามที่จะไม่หลุดความอ่อนประสบการณ์ออกมาให้เห็น เพื่อป๋าเธอต้องทำให้ได้ แล้วหาเรื่องอื่นคุยต่อ “คุณพอมีความรู้เรื่องก่อสร้างไหมคะ”
     
    คนถามนึกในใจถึงแผนปลูกเรือนพักรับนักท่องเที่ยว ยังมีที่เหลือที่จะทำตามความฝันสักสิบหลัง แต่ยังไม่กล้าบอกป๋าว่ามีแผนนี้ในใจ ก็ไปเรียนการโรงแรมและการท่องเที่ยวมาก็เลยยังอยากจะทำอะไรที่ใกล้ๆ กันอยู่ ดังนั้นเธอจึงพอเข้าใจว่าเขาอาจไม่อยากทำสวน น่าจะชอบอะไรแบบที่ตัวเองจบมา
     
    เขายังจบ แต่เธอไม่จบ
     
    เพราะเธอรักป๋า เธอจึงไม่จบ
     
    อีกฝ่ายส่ายหน้าตอบแบบละครซิตคอมที่ชอบดู แล้วเพิ่งนึกได้ว่าไม่สมควรจึงตอบออกมา “ไม่มีเลยครับ”
     
    ฝ่ายหญิงเห็นแล้วนึกถึงละครซิตคอมที่เพิ่งดูเมื่อวานเหมือนกัน จึงส่งประกายตาระริกแต่แวดล้อมด้วยสีหน้าที่พยายามทำให้เป็นงานเป็นการ จากนั้นรีบกลบเกลื่อนโดยการหันไปพลิกเอกสารของเขาเล่น ถ้าเขามีความรู้ความสามารถทางด้านก่อสร้างก็ดี จะได้ช่วยเธอดูเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่มี จึงหันไปปรึกษาต่อกับคนในจอคอมพิวเตอร์ ปล่อยให้เขามองตุ๊กตาจีนเงียบๆ เพลินๆ
     
    คำตอบกลับมาบอกว่ายังไงก็ต้องตกลงค่าจ้างอยู่ดี แต่ประโยคลงท้ายทำให้เธอสะอึก ‘รายได้ของฟาร์มคุณแต่ละเดือนจะโคเวอร์เงินเดือนเขาหรือเปล่า คุณต้องคำนวณด้วย’
     
    จริงๆ เขาพูดถูก รายได้จากฟาร์มไม่ได้ดีมากมายอะไร รายได้หลักมาจากผักสดที่ปลูกในที่ลุ่มข้างหลัง ส่วนสวนผลไม้รอบๆ นี้มีรายได้รายปีตามฤดูกาล ถ้าไม่มีค่าเช่าคูหาในเมืองซึ่งเป็นของป๊ากับมรดกของม๊าเธอคงไม่มีวันได้เรียนโรงเรียนอินเตอร์และไปเมืองนอก การจ้างคนมาช่วยในฟาร์มใหญ่ๆ แต่มีรายได้เล็กๆ จึงจะมาจ้างแบบซีพีไม่ได้ เธอคิดแล้วตัดสินใจ
     
    “พอดีเรื่องเงินเดือนคุณอาฉันไม่ได้บอก เพราะไม่อยากตัดสินใจให้ อืม... ในฐานะที่คุณไม่ได้จบมาทางนี้โดยตรง คุณเพิ่งจบมาใหม่ๆ ไม่มีประสบการณ์ และ...” เธอกำลังจะหยิบเกรดเฉลี่ยเขามาอ้างตามประสาเด็กที่เพิ่งกระโดดออกมาจากโลกของการเรียน แต่พอหันไปดูเกรดเขาในเอกสารรายงานผลการเรียนก็นิ่ง เพราะมันสามจุดห้าสอง ไม่ได้... เธอจึงหลับตาแล้วคิดหาคำพูดต่อ
     
    “เรามีบ้านพักให้ จ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ มีข้าวสารให้ แต่กับข้าวหาเอง ที่นี่ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องแต่งตัว ดังนั้นคุณประหยัดเงินได้เยอะ” ตอนสาธยายรายการแต่ละรายการ เธอเผลอทำท่าแบบเด็กๆ นับนิ้วมือทีละนิ้ว แล้วยืดตัวตามทุกประโยค คนมองจึงรู้สึกผ่อนคลายอยู่บ้าง แต่ยังไงจะให้รับเงินเดือนสองบาทห้าสิบคงเป็นไปไม่ได้ บัณฑิตหนุ่มจึงขยับตัว
     
    แต่การขยับตัวของฝ่ายชายทำให้ตุ๊กตาจีนของเขาตกใจ เด็กสาวผงะไปข้างหลังทันที นึกในใจว่า จะเอาอยู่ไหมหากมาทำงานที่นี่ หากเป็นนักเลงก็อย่าเอาดีกว่า  
     
    “งานแบบนี้ก็ต้องทำทุกวัน ไม่มีวันหยุด” เขาแก้กลับ เมื่อไม่มีวันหยุดก็ต้องหาสวัสดิการแบบนี้แหละมาทดแทน ตอนฝึกงานวัวออกลูกตีสองก็ต้องตื่นมาทำคลอดให้ เขาจึงพอมองออก
     
    ฝ่ายหญิงทำปากจู๋ครู่หนึ่ง มัวแต่คิดคำพูดจึงไม่ได้หันไปดูจอคอมพิวเตอร์ว่ามีข้อความอะไรขึ้นเยอะแยะไปหมด จริงอย่างที่เขาว่า งานแบบนี้ไม่มีวันหยุด แล้วเขาจะขอวันหยุดไหมนะ แต่ไม่ยอมเอ่ยปากก่อนกลัวเขาขอจริงๆ ป๋า ม๊า ทำงานในฟาร์มไม่เคยมีวันหยุด ที่นี่คือชีวิตประจำวันของป๋ากับม๊า คนงานที่นี่ไม่มีใครมีวันหยุด มีแต่วันพาลูกเมียไปหาหมอ พาลูกไปสมัครเรียน หรือธุระอื่นๆ สองสามชั่วโมงหรือครึ่งวัน หากเป็นบริษัทคงเรียกว่าเป็นลากิจลาป่วย
     
    “ตกลงคุณอยากทำงานที่นี่ใช่ไหมค่ะ” เธอเริ่มสับสนจึงย้อนไปคุยใหม่ ฝ่ายบัณฑิตหนุ่มยิ้มแฉ่งเป็นคำตอบ ท่าทีที่เป็นกันเองมากขึ้นของเธอทำให้เขากล้าทำแบบนี้
     
    “เงินเดือนข้าราชการบรรจุใหม่เท่าใหร่คะ” เธอถามซื่อๆ แต่ฝ่ายชายใจแป้ว โหย.. ถ้าแค่นี้ งั้นเอาค่ารักษาพยาบาลพ่อแม่มาเลย แม่ยิ่งเป็นเบาหวานอยู่ด้วย
     
    “เจ็ดพันเก้าร้อยสี่สิบบาทครับ” เขาตอบเสียงอ่อยๆ ถ้าให้เท่านี้กลับไปขายประกันจะดีไหม
     
    “ฉันจะให้คุณเกินจากอัตราข้าราชการยี่สิบห้าเปอร์เซนต์” นายจ้างหน้าอ่อนหลบหน้าหลบตาขณะพูด แล้วกดเครื่องคิดเลขอย่างถนัดมือ
     
    “เก้าพันเก้าร้อยยี่สิบห้า” นายจ้างหน้าใหม่เอ่ยออกมา แต่แล้วกลับอ่อนใจเอง เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่อังกฤษอยู่ได้อย่างเก่งอาทิตย์เดียว เธอจึงเงยหน้าขึ้นค้นหาคำตอบใบหน้าเขา ว่าควรจะเป็นเท่าไหร่ดี แต่วูบหนึ่งก็นึกถึงบิลที่ส่งไปเก็บค่าผักทุกอาทิตย์ในโรงแรมกลางเมือง และยอดขายสินค้าเกษตรในตลาดชุมชนวันเสาร์ ก็ใช่ว่าจะได้มากมาย เธอต้องช่วยป๋าประหยัด
     
    เจ้าของใบหน้าที่กำลังจ้องอยู่รู้สึกอึดอัด โหย... เก้าพันเก้าร้อยยี่สิบห้า หมื่นเลยก็ไม่หมื่น ได้ท๊อบวิชาคณิตศาสตร์เหรอไง
     
    คำนวณใหญ่ว่าอยู่นี่ไม่ต้องเช่าห้องอยู่ มีข้าวให้กิน เก็บผักเก็บหญ้ากินแถวนี้อาจประหยัดได้เยอะ แต่ได้เท่านี้แล้วเมื่อไหร่ป๋อจะได้เมีย เขาคิดตลกๆ ตามคำพูดเวลาอยู่กับเพื่อนฝูง
     
    “ผมว่า....” ชายหนุ่มกำลังเอ่ยด้วยความยากเย็น แต่ทันใดมีเสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้นมันเป็นเพลงกล่อมเด็กน่ารักๆ ซึ่งบอกบุคลิกของเจ้าของ นายจ้างที่กำลังพยายามจริงจังอยู่จึงทำหน้าไม่ถูกที่เสียงร้องของโทรศัพท์ทำให้เธอดูน่าเชื่อถือน้อยลง รีบกดรับทันควัน
     
    “ป๋าอาการหนัก.. คะ หนูจะไปเดี๋ยวนี้เลยม๊า” เธอว่าแล้วผุดลุกขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไปอีกแบบ แต่เมื่อลุกขึ้นแล้วเห็นหนุ่มสัตวบาลจึงกะพริบตาถี่ๆ จะเอายังไงดีกำลังสัมภาษณ์คนอยู่
     
    “เอาอย่างนี้ เราไปคุยต่อบนรถ หากคุณไม่พอใจเงินเดือนและข้อตกลงจะได้แวะส่งคุณกลับที่ บขส. เลย” ตุ๊กตาจีนเอ่ยแล้วขยับตัวคว้ากระเป๋า หันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งว่าลืมอะไร เมื่อหันกลับมาเขากลับนั่งเฉย
     
    “เร็วสิคะ พ่อฉันอาการหนัก” เธอเร่งเร้าจริงจัง ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นตามด้วยความงุนงง งานนี้สงสัยกลับไปช่วยแม่ขายส้มตำไก่ย่างเหมือนเดิม ไอ้ป๋อเอ๊ย... มาเที่ยวเพชรบูรณ์สนุกไหม
     
    ฯ  
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×