ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟาร์มรักสวนเสน่หา

    ลำดับตอนที่ #1 : สลัม

    • อัปเดตล่าสุด 5 ต.ค. 53


    เสียงออดแอดของกระดานไม้ดังขึ้นหน้าบ้านทำให้หญิงวัยกลางคนหันไปมอง รู้ว่าเป็นเสียงของคนเดินมาที่หน้าประตู หนุ่มร่างสูงโปร่งดันประตูไม้เข้ามาข้างในด้วยความเคยชิน ในมือมีกระเป๋าเอกสาร ครั้นเขาเห็นนางกำลังนั่งหั่นผักอยู่กับพื้นก็ร้องลั่น “ได้งานแล้วแม่”

    หญิงวัยกลางคนวางผักในมือลงทันที ใบหน้าที่ผจญโลกมาหนักพอดูพลันยิ้มแก้มปริ  “งานอะไร ป๋อ”

    ฝ่ายคนชื่อป๋อก้มหน้าก้มตาถอดรองเท้าแล้วยัดไว้ในชั้นวางรองเท้าเก่าๆ ในชั้นเดียวกันนั้นมีรองเท้าผ้าใบที่ผ่านการใช้งานมาแล้วสองคู่ขนาดเดียวกัน และคัชชูที่เพิ่งยัดเข้าไป คู่นี้เพิ่งซื้อมาเพื่อการสมัครงานโดยเฉพาะ เขาตั้งใจบอกช้าๆ เพราะไม่รู้ว่าคนเป็นแม่จะยินดีกับงานนี้หรือเปล่า ไม่ยอมหันมาสบตาอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ฟาร์มที่เพชรบูรณ์ แม่”

    อีกฝ่ายพลันนิ่งอึ้ง จรดมีดค้างบนเขียง หญิงวัยกลางคนเม้มริมฝีปากก่อนแล้วถามใจลอยว่า “ก็ต้องไปทำงานที่นั่นสิ”

    “ใช่แม่ แต่เดี๋ยวป๋อส่งตังค์มาให้แม่ใช้ครับ” หนุ่มร่างโปร่งตอบด้วยอารมณ์ดีใจที่ได้งาน แต่คนเป็นแม่กำลังคิด ลูกจบมาทางเกษตรก็ต้องได้งานแบบนี้อยู่แล้ว แต่ตอนเรียนแกก็แอบหวังว่าน่าจะได้งานอะไรสักอย่างในกรุงเทพ เมื่องานแรกที่ได้หลังจบมาสองเดือนเป็นงานแบบนี้นางจึงกะพริบตาถี่ๆ   

    “กินอยู่ยังไง..” เสียงหญิงวัยกลางคนเอ่ยซัก แต่เสียงวินมอไซค์วิ่งผ่านหน้าบ้านกลบหมด อีกฝ่ายจึงไม่ได้ยิน มัวแต่ปลดเสื้อออกใส่ตะกร้า เมื่อเขาหันกลับมาแกจึงถามซ้ำ

    “เขาบอกว่ามีบ้านพักคนงาน อาหารกินกับคนงานด้วยกัน หึๆ คนสัมภาษณ์บอกว่า... ถ้าไม่รังเกียจข้าวเหนียว” เขาพูดแล้วหัวเราะหึๆ คนสัมภาษณ์งานไม่รู้ว่าแม่ของเขาขายข้าวเหนียวส้มตำในสลัมแห่งนี้ แต่คนฟังไม่ยิ้มไม่แย้ม

    “นี่ละน๊า ดันไปเลือกเอกเกษตร...” แกบ่นเท้าความไปถึงการตัดสินใจของลูกชายเมื่อหลายปีที่แล้ว จริงๆ แกก็ไม่ได้ว่าอะไรหนักหนา แต่ขอบ่นไปตามประสาคนเป็นแม่ ฝ่ายลูกชายคุ้นเคยกับการบ่นอยู่แล้วจึงสวนกลับ

    “โหย.. แม่ เลือกแพทย์เหมือนกันแต่สอบไม่ติด” ลูกชายสวนกลับน้ำเสียงกวนๆ ว่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำหายไป ฝ่ายคนเป็นแม่ค้อนให้ตามหลัง ปากคอแบบนี้ระวังเถอะ จะโดนเจ้านายเบิ๊ดกะโหลก

    “แม่...” เสียงลูกชายแหกปากตะโกนมาจากห้องน้ำหลังจากเสียงราดน้ำฉู่ฉ่าเงียบลง แกจึงขานตอบ

    “ถ้าเข้าท่า แม่ไปขายส้มตำที่โน่น เอาไหม” เขาสระผมไปพูดไป แล้วเงี่ยหูรอฟัง

    หญิงวัยกลางคนแอบดีใจที่ลูกชายเป็นห่วงอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน แต่หอบกันไปพะรุงพะรังอย่างนี้ลูกชายจะอายเขาเปล่าๆ ที่มีแม่ขายส้มตำ เสียงของนางที่ตอบกลับไปจึงเป็น “ในฟาร์มจะขายได้วันละกี่ครกกันเชี๊ยว... อยู่นี่ยังได้มั่ง ขาประจำเพียบ”

    คนในห้องน้ำชะงัก รู้ว่าแม่ของเขาขายดีพอสมควร แต่เขาอยากให้แกได้พัก ได้อยู่ในโลกที่ไม่ใช่สลัมบ้าง ตัวเองโตมาในสลัมแห่งนี้ สุขสบายดีตามอัตภาพ แต่ก็แอบฝันว่าอยากเห็นทุ่งกว้างๆ แบบในหนังสือ ปลูกผักข้างบ้านไว้กินเอง ทำสวนทำไร่แบบชนบท เขาอยากเลี้ยงสัตว์ ด้วยเหตุนี้จึงดันทุรังเลือกเกษตร เอกสัตวบาล

    เอกสัตวบาล ใช่ เมื่อกลางวันเขาไม่ได้บอกคนสัมภาษณ์ ปล่อยให้คนสัมภาษณ์เก๊กท่าฉลาดๆ อ่านเอกสารเอาเอง แต่ว่าคงดูผ่านๆ ถึงไม่ได้ทักสักคำว่าเขาจบเอกสัตวบาล

    เท่าที่คุยกันเหมือนว่าฟาร์มแห่งนั้นจะทำสวน แต่เขากลัวจะไม่ได้งานหากโพล่งออกไปว่าเอกสัตวบาล เอาน่า... วิชาโทเคมีการเกษตรอาจช่วยได้

    ตักน้ำราดรดตัวแล้วคิด วันนี้ต้องไปสัมภาษณ์งานในบริษัททนายความ แต่งานที่เขาจะทำกลับเป็นฟาร์มที่เพชรบูรณ์ คนสัมภาษณ์ก็ดูจะไม่รู้เรื่องฟาร์มทางนั้นมากเท่าไหร่ บอกแต่ว่าทำสวนหลายอย่างและกำลังหาทางขยับเป็นเกสต์เฮาส์ ฟังดูแล้วไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ แต่งานที่ได้ตอนนี้คือเซลขายประกันกับงานนี้ ยังไงก็ต้องฉวยแล้วค่อยชิ่งทีหลังหากไม่ชอบ

    แต่ที่ชอบคือคนสัมภาษณ์ดูไม่รู้ว่าเขาจบเอกสัตวบาล คำว่าคณะเกษตรศาสตร์ก็คงเป็นที่พอใจแล้วสำหรับชายผูกเนคไทคนนั้น

    “แม่...” เขาส่งเสียงออกไปจากห้องน้ำเมื่อนึกได้ คนเป็นแม่จึงส่งเสียงขานรับ

    “แม่เป็นคนอุบลไม่ใช่เหรอ... แม่น่าจะอยู่ได้” เขาถามตรงๆ หวังว่าจะช่วยให้แม่ของตนจะอยากไปอยู่แถวนั้น สองมือถูตัวพลางรอฟัง

    ข้างนอกห้องน้ำเงียบไปพัก แล้วเอ่ยกลับ “คนละโยชน์เลยป๋อ เพชรบูรณ์กับอุบลนะ”

    ฝ่ายผู้เป็นแม่วางผักในมือเมื่อโดนสะกิดความหลัง ตั้งแต่หนีตามผู้ชายมาจากอุบลไม่เคยย้อนกลับไปเลย ตั้งใจว่ารวยเมื่อไหร่จะกลับไปพิสูจน์ตัวเอง แต่ยังไงความรวยก็ยังไม่มาเยือนสักที แกจึงไม่เคยหอบลูกคนนี้กลับไปให้พ่อแม่ดูที่อุบล ส่วนผู้ชายแสนดีที่อุตส่าห์หอบผ้าหอบผ่อนวิ่งตามมาก็ชิงตายไปก่อนหลายปีดีดักแล้ว

    “แล้วเขาให้เงินเดือนเท่าไหร่” ผู้เป็นแม่เปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากได้ยินคำว่าอุบลให้แสลงใจ

    “เขาบอกไปต่อรองกันเอาเองเมื่อไปถึงฟาร์มแล้ว” คนตอบเสียงอ่อยๆ พิลึกดีรับเข้าทำงานแต่กลับไม่บอกเงินเดือน ให้ไปคุยกันเอาเองเมื่อไปถึงฟาร์ม หวังว่าคงไม่สองบาทห้าสิบตังค์

    หญิงวัยกลางคนเอียงหน้าสงสัย หลอกเอาลูกชั้นไปขายหรือเปล่าเนี่ย “มียังงี้ด้วยเหรอ...”

    แต่คนในห้องน้ำไม่ได้ยิน เพราะมัวแต่ตักน้ำซู่ๆ ราดหัว ปล่อยให้นางนั่งนึกเป็นห่วงลูกสารพัน สองตาที่มีริ้วรอยต่อสู้ชีวิตมองผักที่กำลังหั่นแต่ใจลอยละล่องไปกับความกังวล

    “แม่... เขาบอกว่าเริ่มงานต้นเดือนหน้า” คนพูดถูตัวไปพูดไป คนนอกห้องน้ำก็รับคำอือออ แล้วคิดเรื่องเก่าเรื่อยเปื่อยไม่พูดอะไรต่อ

    ฝ่ายคนในห้องน้ำเห็นคนเป็นแม่เงียบก็ย้ำอีกรอบ “อีกหกวันก็สิ้นเดือนแล้วนะแม่”

    “อ้าว...” หญิงวัยกลางคนเพิ่งนึกได้ มันจะสิ้นเดือนแล้วนี่นา คิดแล้วพลันใจหาย

    ...............................................

    รถกระบะปุโรทั่งขนปุ๋ย อุปกรณ์ก่อสร้างเพิ่งแล่นมาถึงฟาร์ม ชายหนุ่มนั่งในกระบะข้างหลัง เพราะในรถมีป้าๆ สองสามคนนั่งเบียดกันอยู่ก่อน ยามรถแล่นถึงหน้าฟาร์มเขามองป้ายหน้าฟาร์มทำด้วยแผ่นไม้เก่าคร่ำคร่า บ่งบอกอายุของฟาร์มว่าอยู่มายาวนาน บนป้ายเขียนว่า “สวนเสน่หา”

    ลิเกสุดขีด... ชายหนุ่มวิจารณ์ รถแล่นผ่านต้นไม้ต้นไร่ สวนผลไม้ มะขาม มะม่วง ปลูกผสมปนเปกันไปหมด สงสัยไร่นาสวนผสม หนุ่มคนนี้ยังวิจารณ์ต่อ

    แม่ไก่วิ่งพาลูกไก่ตัดหน้ารถ แล้วไปหลบข้างทาง ชายหนุ่มที่ชื่อป๋อมองแล้วคิดในใจว่า เจอแล้ว... ลูกค้าสัตวบาลตู

    เหลียวไปดูรอบๆ ฟาร์มก็ดูร่มรื่นดีแต่รายได้จากการเก็บเกี่ยวผลผลิตดูท่าจะไม่มาก ยกเว้นว่ามะขามหวานจะกิโลละแปดร้อยบาท ไม่พบร่องรอยสัตว์เลี้ยงที่เกี่ยวกับวิชาเอกของเขาเลยสักตัว นึกปอดๆ ว่าที่นี่จะเหมาะกับตัวเองไหม

    รถมาจอดหน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่ดูท่าจะเอาทำเป็นที่ทำงาน เพราะลึกเข้าไปเป็นตึกเก่าทรงผสมจีนอีกหลังหนึ่งซึ่งคงเป็นบ้านเจ้าของ หากพวกทำหนังมาเห็นคงต้องแย่งกันมาขอเช่าสถานที่ถ่ายทำ ดูเหมาะกับหนังพีเรียด หนังอาร์ต และหนังผี

    สงสัยอยู่กันมาตั้งแต่รุ่นทวด บัณฑิตหนุ่มกระโดดลงจากรถ ปัดฝุ่นออกจากตัวแล้วเสยผมเก๊กหล่อ คนขับเปิดประตูออกมาแล้วเอ่ยเป็นภาษาไทยสำเนียงอีสานว่า “พี่เข้าไปหาคุณแพร์เลย อยู่ในห้องนั้น”

    คนขับชี้ไปทางห้องกระจกสีชา มองตามไปแล้วนึกปอดๆ ว่าอีกห้านาทีคงต้องรู้แล้วว่าจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ แล้วหากให้น้อยล่ะ หากนายจ้างเปิดทรานสคริปต์ดูแล้วพบว่าเขาจบสัตวบาลล่ะ มีหวังนั่งกระบะคันเดิมกลับไปส่งที่บขส. ก่อนตะวันตกดิน

    เขาผลักประตูเข้าไปแล้วพบหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เมื่อเธอลดหนังสือพิมพ์ลงมาแล้วควรจะเรียกว่าเด็กสาวมากกว่า คงจะเป็นพนักงานทั่วไป ภาษาลูกจ้างเขาเรียกเจเนรัลเบ๊

    “ผมวิชิตครับ มาทำงานที่นี่” ชายหนุ่มเก๊กเสียงหล่อ เพราะตำแหน่งที่เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์หน้ารับสมัครงานคือ ผู้จัดการฟาร์ม

    เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างไม่ตื่นเต้นสักนิด แล้วรีบลุกขึ้น เขานึกแปลกใจเล็กน้อยกับการปฏิบัติต่อผู้จัดการฟาร์มคนใหม่แบบนี้ เธอบอกเบาๆ ด้วยเสียงราบเรียบว่า “วางกระเป๋าไว้ที่นี่ก่อนค่ะ แล้วเชิญที่ห้องด้านใน”

    เขาขยับตัวจะวางกระเป๋าที่เต็มไปด้วยฝุ่นบนโซฟา แต่สายตาของเธอวาดลงไปที่กระเป๋าฝุ่นเขรอะ เจ้าของกระเป๋ารู้ทันจึงวางมันลงกับพื้นแทน

    “เชิญค่ะ” เธอพูดโดยไม่มองแล้วเดินนำหน้าไปยังห้องข้างใน บัณฑิตหนุ่มเดินตามแล้วเหลียวสำรวจไปทั่ว คอมพิวเตอร์จอรุ่นเก่าเป็นหลอดภาพวางบนโต๊ะทำงานสองเครื่อง เอกสารมีประปราย ข้างฝามีภาพวาดแบบจีนรูปเสือ เห็นแล้วเจ้าของคงมีเชื้อจีนโดยไม่ต้องสงสัย

    เธอนำเขาไปในห้อง ผายมือให้นั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานเจ้าของฟาร์ม แล้วขยับตัวเดินไปเปิดม่านให้สว่างขึ้น เมื่อเธอหันหลังให้ก็เปิดโอกาสให้เขามองเธอเต็มตา ใส่เสื้อยืดเรารักในหลวงกางเกงแสล็คสีดำ เห็นแล้วเผลอกลืนน้ำลายเอื้อก เลยรู้ว่าลำคอตนเองแห้งผาก หนุ่มเอกสัตวบาลจึงเอ่ย “น้องครับ พี่ขอน้ำสักแก้วได้ไหม”

    เด็กสาวหันมาเลิกคิ้วสูงดูแล้วเหมือนตุ๊กตาจีน แต่เมื่อเห็นสารรูปชายหนุ่มเบื้องหน้าแล้วพอเข้าใจ จึงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มแบบเอ๋อๆ จากนั้นก็เดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้เขานั่งรอแล้วฆ่าเวลาโดยการสำรวจไปทั่วห้อง บนโต๊ะมีโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่วางอยู่ ขอบคุณพระเจ้า ในฟาร์มนี้ยังมีความศิวิไลซ์ ชายหนุ่มคิด

    วาดสายตาไปรอบๆ มีภาพติดฝาผนังสองสามภาพ ภาพแรกเป็นภาพเก่า ชายหน้าตามีเชื้อจีนกอดผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กผู้หญิงที่กำลังยิ้มจนตาหยี ท่าทางคงเป็นพ่อแม่ลูกไปเที่ยวที่ไหนด้วยกันสักแห่ง

    เขาเลื่อนสายตาไปยังภาพต่อไปครอบครัวนี้ไปเที่ยวเมืองนอก เด็กสาวโตขึ้นกว่าเดิมท่าทางมีความสุขระหว่างกลางพ่อแม่ที่มีการแต่งกายโอ่อ่ากว่าภาพแรก เขาเผลอยิ้มตามคนทั้งสามไปด้วย

    แล้วไล่สายตาไปยังภาพสุดท้าย คู่สามีภรรยาคู่นี้ดูแก่กว่าเดิม อ้วนกว่าเดิม คงถ่ายได้ไม่กี่ปีมานี้ แต่เด็กสาวคนนี้โตขึ้นเป็นสาวแล้ว แต่ดูคุ้นๆ บัณฑิตหนุ่มจึงขยับตัวไปชะโงกดูในภาพชัดๆ

    พุทโธ่พุทถัง.. เด็กสาวคนนี้คืออาหมวยตุ๊กตาจีนที่เพิ่งขอน้ำไปเมื่อกี้นี้ ชายหนุ่มตาเหลือกอ้าปากหวอ ตายล่ะ.. ช่วยนายป๋อลูกยายนวลด้วย

    เสียงฝีเท้าฉับๆ ก้าวเข้ามาใกล้แล้ว เสียงเปิดประตูเข้ามาช่างดังเหมือนเสียงฟ้าผ่า เขาไม่กล้าหันไปดูเลยด้วยซ้ำ

    “น้ำค่ะ” เรือนร่างของเธอขยับเข้ามาใกล้แล้ววางน้ำไว้เบื้องหน้าเขา น้ำเสียงยังเป็นเช่นเดิม คราวนี้รู้แล้วว่าทำไมน้ำเสียงของเธอจึงราบเรียบเย็นชากับเขา ที่แท้แล้วเธอกำลังสนทนากับลูกจ้างที่ยังไม่ตกลงค่าจ้างรายเดือนต่างหาก

    ฯ 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×