ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (FIC.KNB) NEXT ROOM ; AKAKURO

    ลำดับตอนที่ #3 : ♡ C H A P T E R 3. ป้ายเชียร์

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 60



    CHAPTER 3.
    ป้ายเชียร์ ?





                   “ฮ่าๆ ช่ายๆ อาโอมิเนจจิก็ชอบทำแบบนี้บ่อยๆเหมือนกัน”



                   “ฉันว่ามีแฟนดีกว่าโสดอีกเนอะ ไม่เหงาด้วย แถมยัง....” ฟุริฮาตะ โควคิ เพื่อนสนิทของคิเสะเว้นคำไว้ไม่พูดออกมา



                   “ใช่แล้วฟุริฮาตะ! อยู่โสดๆแล้วมันช่างเหงาเปล่าเปลี่ยวหัวใจ~”


      
                   “คงจะเหงาน่าดูเลยเนอะคิเสะ”


     
                   “ถ้าเป็นฉันคงเหงาจนเหี่ยวเฉาตายแน่ๆ” คิเสะว่าแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่กลับต้องสะดุ้งเมื่อเสียงเพื่อนสนิทอีกคนเข้าร่วมสนทนา



                   “ผมโสดผมก็ไม่เหงานะครับ”



                   เหมือนคนผมเหลืองจะลืมไปว่ามีเพื่อนอีกหนึ่งคนไม่มีแฟน คิเสะรีบรูดซิบปากแล้วยิ้มแหยๆออกมา แต่ก็ยังไม่สลด



                   “โธ่ๆ นายก็อย่าพูดแบบนั้นสิคุโรโกจจิ อ่าใช่.. พวกนายสองคน ฉันมีเรื่องจะเล่าให้พวกนายฟังด้วยแหละ” คิเสะว่าแล้วมองเพื่อนสนิทสองคนที่กำลังนั่งเหม่อสลับกันไปมา



                   เดี๋ยวครับ สต๊อปเลย หยุดก่อน! ใครกันแน่ที่อย่าพูด ไม่ใช่คนตรงหน้านี้หรอกเหรอ!?



                   “มีอะไรเหรอครับ คิเสะคุง” คุโรโกะจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมามองอีกคนที่กำลังทำหน้าดี๊ด๊าอยู่อย่างไม่เต็มใจนัก



                   “เมื่อคืนน่ะ..เป็นครั้งแรกของฉันแหละ!”



                   “ครั้งแรก!” ฟุริฮาตะเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ต่างกับคุโรโกะที่กำลังทำหน้ามึนโลกเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร



                   “ครั้งแรก ?”



                   คิเสะพยักหน้าแล้วยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม นั่นทำให้คุโรโกะยิ่งงงเข้าไปใหญ่



                   “ตอนแรกฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าอาโอมิเนจจิจะมาไม้นี้ แต่ว่าฉันเหนื่อยมากเลยแหละ จัดไปตั้งหลายยก”



                   “ชกกันทำไมครับ ?” คุโรโกะขมวดคิ้วไม่เข้าใจเพื่อนตรงหน้า



                   เขาไม่เข้าใจว่าเป็นแฟนกันแล้วจะชกกันทำไม แล้วชกกันตั้งหลายยกไม่เหนื่อยสิแปลก แต่เอาความจริงก็แปลกอยู่อย่าง.. ชกกันแล้วทำไมหน้าถึงไม่ช้ำ



                    “ชก ?” คิเสะถึงกับตาเหลือกมือไม้อยู่ไม่สุข รีบโบกมือไปมาปฏิเสธทันที เขาไม่ใช่พวกsmที่จะมาทำอะไรกับแฟนแนวนี้สักหน่อย



                    “ฮ่าๆ สงสัยคุโรโกะคุงจะไม่รู้ล่ะมั้ง ถ้างั้นนายเล่าให้ฟังเลยสิ” ฟุริฮาตะว่าแล้วเท้าคางเตรียมฟังคิเสะเล่าอย่างตั้งใจ



                    ครั้งแรกอะไรของเขา(วะ)ครับ



                    “เรื่องมันมีอยู่ว่า...”











                    คิเสะนั่งบนโซฟาตัวประจำของห้องแล้วเปิดทีวีดูรอแฟนเจ้าตัวกลับมา มันจะเป็นแบบนี้ทุกวันที่ต้องมานั่งรอแฟนผิวแทนกลับหอ



                    เขาสองคนเป็นแฟนกันตั้งแต่มัธยมปลายปีสาม ซึ่งได้เป็นกันได้ยังไงคงไม่ต้องบอกก็รู้ เจ้าตัวเล่นตามตื๊อแถมยังปล่อยมารยาใส่จนจีบติดยังไงล่ะ และไม่ใช่ติดธรรมดา มันติดชนิดที่ว่าโงหัวไม่ขึ้น!



                    แกร๊ก



                    อาโอมิเนะเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยไม่ได้เคาะ คิเสะหันไปมองแล้วทักร่างสูงกว่าอย่างที่ทำเป็นประจำทันทีที่อาโอมิเนะกลับมา



                    “อาโอมิเนจจิ ทำไมวันนี้กลับเย็นจังล่ะ ?”



                    “พอดีคณะของฉันเริ่มทำป้ายเชียร์กันแล้วน่ะ ก็เลยต้องกลับเย็นหน่อย”



                   อาโอมิเนะว่าพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเดินมานั่งข้างชายผมเหลือง คิเสะพยักหน้าแล้วหันกลับไปดูทีวีเหมือนเดิมไม่สนใจคนเป็นแฟนข้างๆเลยอย่างนึกงอน



                    ทำไมถึงงอนน่ะเหรอ ?

                    .


                    .


                    .

                    ก็(ไอ่)แฟนคนนี้ไม่โทรมาบอกกันเลยว่าจะกลับเย็น ปล่อยให้เขานั่งรอแบบนี้ ไม่นึกถึงใจคนรอเลย!




                    “ไม่โทรมาบอกกันเลยนะ”



                    “ทำไม กลัวฉันกลับเย็นแล้วหนีไปควงสาวเหรอ ?”



                    “เปล่าสักหน่อย!”



                    “จริงปะ ?”



                    “จริงสิ! ทำไมฉันจะต้องกลัวนายหนีไปควงสาวด้วยล่ะ!” คิเสะพูดอย่างร้อนรนเมื่อคนตรงหน้าจี้ได้ตรงจุด



                    ความจริงมันมีอยู่ว่า.. คิเสะ เรียวตะผู้นี้กลัวแฟนมีกิ๊กยังไงล่ะ



                   “ก็เพราะว่านาย…”



                   “….”



                    “.…”



                    มือหนาผลักคิเสะนอนราบบนโซฟาก่อนร่างสูงของอาโอมิเนะจะทาบทับตามลงมา แขนแกร่งวาดกอบกุมคนใต้ร่างเสียจนหนีไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบค่อยๆเคลื่อนลงมากระซิบข้างใบหูเสียงแหบพร่า


                    .

                    
                    .


                    .

                    “ก็เพราะว่านาย..เป็นแฟนฉันยังไงล่ะ” อาโอมิเนะยกยิ้มขึ้นมุมปากก่อนจะค่อยๆกดจูบบดขยี้ปากอวบอิ่มรุนแรงเสียจนเริ่มขึ้นสีช้ำ



                    “อะ..อื้อ!”



                    “….”



                    “ฉะ ฉันไม่ได้หวงสักหน่อย!”



                   “อย่าปากแข็งน่าคิเสะ”



                   “อื้มม..อาโอมิเนจจิ~”











                   “คิเสะคุง ผมว่าคุณน่าจะเล่าเบาๆหน่อยนะครับ”



                   คุโรโกะมองไปรอบห้อง ระหว่างที่รออาจารย์เข้าคลาสคิเสะก็เล่าเรื่องเมื่อคืนที่เจ้าตัวมีอะไรกับแฟนเสียงดังเสียจนนักศึกษาร่วมคลาสหันมามองกันเป็นแถบด้วยสายตายากจะคาดเดา บางคนหัวเราะ บางคนปิดหู บางคนอ้าปากหวออย่างไม่เชื่อหูตัวเองว่าคนตรงหน้าจะมีเรื่องอย่างว่ากับเขาด้วย อย่างเช่น..ฟุริฮาตะ โควคิ



                    “จะ..จริงเหรอคิเสะ!?”



                    “จริงสิ ตอนเอาเข้าไปน่ะฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรค่อยๆดุนเข้าไปแหละ”



                     “….”



                     “แล้วมันทำให้ฉันรู้สึก..อ๊าส์~”



                     “….”



                     “คิเสะคุง อายเขานะครับ” คุโรโกะว่าแล้วก้มหน้ามองหนังสือบนโต๊ะอย่างเก้ๆกังๆเมื่อเจอเข้ากับสายตาของนักศึกษาร่วมคลาสมองกันเป็นตาเดียวเหมือนไมค์วาซอว์สกี้



                     “จะอายทำไมเล่า ในเมื่อเรามีคอนฟิเดนท์น่ะคุโรโกจจิ”



                     มันก็ใช่อยู่หรอกที่ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง แต่แบบนี้มันเกินไปรึเปล่า เกินไปชนิดที่เรียกได้ว่า ไร้ยางอาย -____-













                     หลังเลิกคลาส



                     ทั้งสามต้องมานั่งจมปักแถวม้าหินเพื่อทำป้ายเชียร์ที่จะต้องใช้ออกงานแคมป์ในอาทิตย์ข้างหน้า เวลาอันน้อยนิดกับป้ายมหึมามันทำให้คุโรโกะถึงกับทำหน้าเต่าป่วย เพราะมันจะเป็นเหตุให้เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนแล้วต้องมานั่งปั่นงานนี่สิ



                     แคมป์เชียร์เป็นขนบธรรมเนียมของมหาลัยเทย์โค งานรับน้องใหม่สำหรับพวกปีหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นผู้ดูแล พี่สตาฟปีสองกับปีสามที่เคยผ่านประสบการณ์อันโชกโชนในแคมป์นี้นี่เอง



                     “นี่คุโรโกะ นายทำป้ายนี้เสร็จแล้วก็ทำป้ายนี้ต่อนะ” มิโยกิ ชุน วางฟิวเจอร์บอร์ดลงบนโต๊ะม้าหินแล้วมองงานบนโต๊ะ ระบายยิ้มออกมาบางๆกับงานที่คืบหน้าอย่างรวดเร็ว “ดีนะเนี่ยที่มีน้องปีหนึ่งอย่างพวกนาย ค่อยรู้สึกโล่งหน่อยว่างานจะเสร็จ”



                     “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ทำไปแล้วก็เพลินดี” เพลินที่ไหนล่ะ..



                     แอบเติมประโยคหลังในใจ คุโรโกะยิ้มให้พี่คนสนิทอย่างใจเย็น แต่ในใจนั้นเหมือนภูเขาไฟพร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ




                    กองกระดาษแข็งตรงหน้ามันทำให้เขาแทบอ้วก ไหนจะงานที่ได้มาเพิ่มจากมิโยกิอีก เขาอยากจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วยกธงขาวขึ้นยอมแพ้เสียให้รู้แล้วรู้รอด



                   “พี่มิโยกิ ผมไปต่อไม่ไหวแล้วฮะ” คิเสะว่าแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะพร้อมกับสีหน้าเหมือนโดนทรมานมา



                   “ใช่แล้ว งานมันเยอะมากเลยพี่มิยูกิ” ฟุริฮาตะก็ไม่ต่างกัน..



                   ดูเหมือนจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่จะยกธงขาวขึ้น มนุษย์สองคนที่กำลังนั่งปั่นงานด้วยสีหน้าเหมือนกำลังจะตายก็เตรียมพร้อมจะยกธงขาวขึ้นเหมือนกัน



                   “ก็เข้าใจนะ ผอ.เขาสั่งแค่ปีหนึ่งทำป้ายนี่น่า เพราะอีกไม่นานพวกนายก็จะได้ไปค่ายรับน้องแล้ว ฉันก็ผ่านประสบการณ์แบบนี้มาเหมือนกับพวกนายนั่นแหละ แต่ว่า..จะช่วยให้หน่อยก็แล้วกัน” มิยูกิว่าแล้วนั่งลงข้างๆคุโรโกะ



                   “เอ๊ะ..พี่มิยูกิ ไหนว่าให้ปีหนึ่งทำยังไงล่ะครับ ?” คุโรโกะกระพริบตาปริบๆ คนเป็นพี่คว้ากระดาษแข็งมาแปะฟิวเจอร์บอร์ดอย่างใจเย็นแล้วคลี่ยิ้มออกมา



                   “เขาไม่ได้ให้ทำ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ให้แอบทำนี่จริงมั้ย”



                   “ระ..รุ่นพี่มิยูกิ” คิเสะเริ่มบ่อน้ำตาแตกไม่ต่างจากฟุริฮาตะ



                   “ทำเพื่อพวกเรา..ฮึก!”



                   คุโรโกะมองรุ่นพี่ที่แอบเข้ามาช่วยงานแล้วก็นึกขอบคุณที่มีพี่ในคณะนิสัยดีมาช่วยดูแลเรื่องงาน ทั้งที่พี่รหัสของเขาสามคนไม่ได้เข้ามาดูเลยด้วยซ้ำ คิเสะกับฟุริฮาตะน้ำตาไหลพรากเมื่อมิยูกิช่วยตัดกระดาษแข็งที่ตัดโคตรจะยากสำหรับพวกเขา



                     “ขอบคุณนะครับ พี่มิยูกิ!”












                     18.05 น.



                     ทั้งสามยกมือบิดขี้เกียจแล้วถอนหายใจออกมาอย่างยากลำบาก ป้ายตรงหน้าเริ่มออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้วหากแต่เหลือเพียงแค่ลงสีเท่านั้น มิยูกิก้มมองนาฬิกาข้อมือของเจ้าตัวก่อนจะลุกขึ้น เรียกสายตาของรุ่นน้องสามคนได้ไม่ยาก



                     “หกโมงกว่าแล้ว ฉันว่าเอากลับไปทำที่หอดีกว่า”



                     “อ่า..หกโมงแล้วเหรอ” คิเสะล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรหาแฟนเจ้าตัวให้มารับอย่างปกติ



                     “นั่นสิคิเสะ ฉันว่าเรากลับหอกันดีกว่า.. ไว้เจอกันนะครับพี่มิยูกิ” ฟุริฮาตะลุกขึ้นแล้วหยิบงานที่แบ่งไว้ของตัวเองไปเพื่อจะเดินไปหาแฟนที่รออยู่หน้าตึกมาเป็นเวลานาน



                      คุโรโกะถึงกับกรอกตาเป็นเลขแปดรอบที่ร้อยของวัน ตั้งแต่เจอเพื่อนผมเหลืองกับน้ำตาลสองคนนี้ทีไร เขาก็มักจะเหมือนแกะดำทุกที สองคนกลับกับแฟน ส่วนเขากลับกับเวสป้าคู่ใจที่แม่ซื้อให้ มันก็ไม่ค่อยแย่เท่าไหร่ล่ะมั้ง..

                      .


                      .


                      .

                      ซะที่ไหนล่ะ!!!



                     “ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” มิยูกิว่าแล้วเดินจากไป



                     เหลือเพียงแค่คิเสะกับคุโรโกะยังคงนั่งอยู่ที่เดิม คุโรโกะถอนหายใจออกมาแล้วเก็บงานของตัวเองเข้ากระเป๋าเป้ และมันคงเป็นการถอนหายใจครั้งที่ร้อยของวันเหมือนกัน คิเสะเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนที่เอาแต่ถอนหายใจทิ้งมาตลอดทั้งวันจนเขาเองก็เริ่มรู้สึกเป็นห่วง



                      “เป็นอะไรเหรอคุโรโกจจิ ?”



                      “..เปล่าหรอกครับคิเสะคุง แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ”



                      คิดว่าเขาไม่อยากเป็นแกะดำ.. ไม่อยากเป็นอะไรที่แปลกแยกกับเพื่อน ถึงจะไม่ค่อยสนิทกับฟุริฮาตะเท่าคิเสะแต่คุโรโกะก็เข้ากับเจ้าตัวได้ คิเสะกับฟุริฮาตะต่างมีแฟนกันแล้ว และมันต่างจากตัวเขาที่โสดมานานแสนนาน… ชีวิตของคุโรโกะ เท็ตสึยะผู้นี้ช่างน่าสงสารเสียจริง



                     “รู้มั้ยว่านายกำลังโกหกฉันอยู่นะ” คิเสะเท้าคางมองคนผมฟ้าแล้วถอนหายใจออกมา นั่นทำให้คุโรโกะสะดุ้งเฮือกเพราะอีกคนนั้นรู้ทัน “เฮ้อ.. ก็บอกแล้วไงว่าให้หาแฟนสักคนน่ะคุโรโกจจิ”



                     มีเหรอที่คนเป็นเพื่อนกันมานานตั้งแต่มัธยมปลายจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ มันจะเป็นอย่างนี้ทุกทีหลังเลิกคลาสเพราะเจ้าตัวต้องกลับบ้านคนเดียว



                     ปกติแล้วตอนคิเสะยังไม่มีอาโอมิเนะเขาก็กลับบ้านกับเพื่อนคนนี้นี่แหละ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว.. เวลาเปลี่ยนทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนไปตามเวลา หากแต่คุโรโกะยังไม่เปลี่ยน ทั้งนิสัยและมิตรภาพของเพื่อนยังคงเหมือนเดิม แล้วจะไม่เปลี่ยนถ้าไม่มีคนไปเปลี่ยนมัน



                      “….”



                      “มันเป็นเพราะนายเอาแต่บ้าไอดอลหัวแดงนั่น มันก็เลยทำให้นายขึ้นคานจนตอนนี้ไงล่ะ” คิเสะพูดไปตามความจริง อย่างที่เคยบอกไว้ว่าถ้าเพื่อนคนนี้ไม่บ้าไอดอลในโปสเตอร์ก็คงจะมีแฟนอย่างเขาไปแล้ว



                      “...มันก็จริงอยู่หรอกครับ”



                      “ใช่มั้ยล่ะ”



                      “….”



                      “….”



                      “….”



                      กริบ



                     “จะบอกอะไรให้นะ ถึงนายจะอยู่ข้างห้องไอดอลนั่นแต่ถ้านายไม่ได้ทำอะไรเลยมันก็เปล่าประโยชน์ นายก็ได้แต่มองเขาไปวันๆไม่ต่างกับดูรูปในแมกกาซีนหรอก”



                      “….”



                      “ถ้าเกิดวันหนึ่งหมอนั่นมีแฟนแล้วล่ะก็—”



                      “ผมจะไม่ให้มีวันนั้นเด็ดขาด” คุโรโกะพูดเสียงหนักแน่น สีหน้าจริงจังนั้นทำให้คิเสะระบายยิ้มออกมาบางๆ



                      เขาไม่ได้จะดูถูกเพื่อนคนนี้หรอกนะ แต่ให้กำลังใจต่างหาก ใช่ว่าเพื่อนคนนี้จะหน้าตาแย่เสียที่ไหนล่ะ คุโรโกะน่ะหน้าตาจัดค่อนข้างไปทางน่ารักมากเลยทีเดียว



                      “แล้วถ้ามีวันนั้นล่ะ ?”



                     “ผมก็จะเป็นคนคนนั้นยังไงล่ะครับ











                      คุโรโกะกดปุ่มเลือกเมนูเครื่องดื่ม ตู้เครื่องดื่มอัตโนมัติเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ เพราะหลังจากคิเสะเพื่อนของเขากลับไปแล้วเขาก็เดินไปขึ้นตึกคณะ ขึ้นไปส่งงานให้อาจารย์นิดหน่อยแล้วก็ลงบันไดเนื่องจากลิฟท์พัง



                      มันเหนื่อยจริงๆ เหนื่อยที่ต้องขึ้นไปสี่ห้าชั้นแล้วเดินไปตามทางเดิน ขาลงมาก็อีกสี่ห้าชั้นเหมือนเดิม พอลงมาถึงปุ๊ปก็เพิ่งนึกได้ว่าลืมเอกสารไว้ในคลาสเรียนเมื่อตอนบ่าย นั่นทำให้เขาขึ้นไปอีกสามชั้นเพื่อเอาเอกสารการเรียน..



                       “เฮ้อ..ทำไมถึงสะเพร่าแบบนี้นะเรา” คุโรโกะบ่นกับตัวเองแล้วนวดขมับให้ใจเย็นลง



                       มือเรียวหยิบกระป๋องโค้กขึ้นมาแกะแล้วดื่ม ถึงจะไดเอทแต่เวลานี้มันไม่จำเป็นแล้ว และถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะนอนแผ่บนพื้นตรงนี้เลยด้วยถ้าไม่เกรงใจคนข้างหลัง



                      เดี๋ยวนะ



                      คนข้างหลัง..?

                      .


                      .

      
                      .

                     พรู้ดดดดดด!!!



                     “แค่กๆ! เชิญครับ” คุโรโกะถึงกับสำลักน้ำเพราะเขาเอาแต่ยืนบังตู้เครื่องดื่มไม่ให้คนที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังได้ใช้งานเลย



                     และเหมือนคนข้างหลังจะรอนานแล้ว คิ้วขมวดจนเป็นปมกับสีหน้าหงุดหงิดมันทำให้คุโรโกะทำหน้าไม่เข้าคายออกคายอย่างช่วยไม่ได้

                     .


                     .


                     .

                     ชิบไก่แล้วไง..เจอกล้ามปูแบบนี้ไม่ดีแน่!!



                     “นายขวางทางฉัน” เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างน่ากลัว คุโรโกะยิ้มให้แห้งๆแล้วจำเป็นต้องหลีกทางให้อีกคน เพราะไม่เช่นนั้นเขาคงจะโดนอัดเละเป็นโจ๊กแน่ๆ



                     “ขอโทษนะครับ คือเมื่อกี้ผมกำลังเหม่ออยู่น่ะ”



                     “ขอโทษแล้วมันหายมั้ย!?” ชายฉกรรจ์ตะหวาดเสียงดังลั่นจนทำให้คนที่กำลังเดินมายังตู้กดน้ำถึงกับต้องชะงัก



                     “มันจะหายไปได้ยังไง แถวนี้เขาไม่ปลูกมันกันสักหน่อยนี่ครับ ?” คุโรโกะว่าไปตามความจริง แถวนี้มันไม่ใช่ที่ที่ควรปลูกมันเลยสักนิด



                     “….”



                     “….”



                     เหมือนจะได้ยินเสียงกา

                     .


                     .

     
                     .

                     ไม่น่าเล่นเลยกู




                     “หนอย แก!”



                     “มีอะไรเหรอครับ ?”



                     “ยังจะมีหน้ามาถามอีก!!” ร่างกำยำง้างหมัดเตรียมจะชกคนตัวเล็ก 



                     เสี้ยววินาทีที่จะได้อัดเข้าหน้าอีกคน คุโรโกะหลับตาแน่นพร้อมรับชะตากรรมของตัวเอง ทว่าหมัดกลับหยุดอยู่เพียงแค่คืบหน้าเท่านั้น เสียงทุ้มเอ่ยถามชายฉกรรจ์เสียงดังจนคนรอบข้างแถวนั้นหันมามอง



                     “เฮ้ย! ทำอะไรน่ะลุง”



                     เสียงทุ้มเรียกสติของคุโรโกะ คนตัวเล็กค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะโฟกัสอีกคนที่มาใหม่ ผมสีแดงเพลิงกับใบหน้าหล่อเหลาเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวนั้นทำให้คุโรโกะจำเป็นต้องเบิกตากว้างจวนจะเป็นไข่ห่าน



                     “อาคาชิคุง..”



                     เขา..เขามาช่วยผมครับคุณผู้อ่าน! ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย!!



                     คิดอย่างนั้นแล้วคุโรโกะก็ก้มหน้าแล้วตบหน้าตัวเองไปสองฉาดแรงๆที่แก้มซ้ายกับแก้มขวา อาคาชิมองคนตบหน้าตัวเองเหมือนคนบ้างงๆก่อนจะหันไปหาชายกล้ามปูตามเดิม



                     “ลุงทำแบบนี้มันไม่ดีเลยนะ นี่มันรังแกเด็กชัดๆ”



                     เด็ก ?



                     “ลุงอะไรของแกวะ ? กูอยู่ปีสี่” ร่างสูงกำยำขมวดคิ้วจนเป็นปมแล้วกอดอก “มึงคงจะเป็นอาคาชิ เซย์จูโร่ไอดอลหน้าใหม่ปลามันสินะ ?”



                     อาคาชิเพียงแค่พยักหน้าเป็นคำตอบ นั่นยิ่งทำให้คนตรงหน้าขมวดคิ้วยุ่งเข้าไปใหญ่ นิ้วชี้ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีแดงอย่างเกรี้ยวกราด



                     “อะไรของลุงครับ ?”



                     “ลุงอะไรล่ะ! บอกแล้วไงว่าอยู่ปีสี่เป็นรุ่นพี่แก! แกทำให้แฟนของฉันบอกเลิกเพราะหมอนั่นแอบชอบแก!” รุ่นพี่คนนั้นกัดฟันกรอดแล้วหันมาทางชายผมฟ้า “แล้วเรื่องนี้ฉันก็ไม่ผิดด้วย เพราะหมอนั่นมายืนขวางทางฉันเอง!!” ว่าแล้วชี้มายังคุโรโกะที่ยืนนิ่งไร้ตัวตนเป็นธาตุอากาศ



                     “คะ ครับ..รุ่นพี่” คุโรโกะยิ้มแห้งๆแล้วเอานิ้วชี้เกาแก้มแก้เก้อ นึกขอบคุณที่ยังเห็นเขามีตัวตนอยู่



                     “อ้าว คุโรโกะคุงเองเหรอ ?” อาคาชิเลิกคิ้วมองคนข้างห้องตัวขาวที่ยืนเกรงเป็นอะไรไม่รู้

                     .


                     .


                     .

                    โอโห! คุณผู้อ่านครับ รุ่นพี่กล้ามปูเห็นผมแต่อาคาชิกลับไม่เห็นผมมีตัวตน หมายความว่ายังไงครับ ตอบผมที พลีส!?




                      ปั้ก!!



                      ชายกล้ามปูเล่นทีเผลอ เขาชกหน้าอาคาชิแล้วรีบวิ่งหนีไปปล่อยให้คนโดนชกเซลงกับพื้น คุโรโกะเบิกตากว้างอย่างตกใจกับการกระทำเล่นทีเผลอเหมือนหมาลอบกัดก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาคนที่กึ่งนอนกึ่งนั่งบนพื้น



                      “อาคาชิคุงเป็นอะไรรึเปล่าครับ!!?”



                      “พี่ปีสี่นี่หมัดหนักจริงๆ..” อาคาชิเช็ดเลือดมุมปากแล้วมองคนตัวเล็กที่วิ่งมาช่วยพยุง “ไม่เป็นไร ฉันเดินเองได้”



                      “..ขอโทษนะครับ พาลหาเรื่องมาให้คุณจนได้” คุโรโกะก้มหน้าจนคางชิดอกอย่างรู้สึกผิด



                      นึกขอโทษในใจรัวๆ ถึงแม้คนตรงหน้าจะบอกไม่เป็นไรแต่การเอาเรื่องมาให้คนตรงหน้ามันคงไม่ดีแน่ เพราะเจ้าตัวเป็นไอดอล ถ้าเกิดมีเรื่องแบบนี้ต้องมีข่าวฉาวแน่ๆ และอีกอย่างคนคนนี้เป็นคนที่เขาแอบชอบอยู่ด้วย...



                      “ทีแรกฉันก็นึกว่าลูกอาจารย์โดนรังแก ที่ไหนได้เป็นคนข้างห้องซะงั้น” อาคาชิว่าแล้วหัวเราะกลบเกลื่อนความเจ็บที่มีอยู่ตรงมุมปาก นั่นทำให้คุโรโกะกระพริบตาปริบๆอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ทั้งที่โดนต่อยแท้ๆแต่กลับหัวเราะได้ คนคนนี้อึดจริงๆ..



                      “...ผมคิดว่าคุณน่าจะกลับบ้านเองไม่ได้นะครับ”



                      “หืม.. กลับได้สิ แค่โดนชกเองนะ ว่าแต่นายจะกลั



                      “กลับกับผมมั้ยครับ ?”



                      อาคาชิเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าจะเป็นฝ่ายโดนชวนเสียเอง ทีแรกเขาก็จะเอ่ยปากชวนให้กลับพร้อมกันพอดีถ้าอีกคนไม่พูดตัดหน้าเสียก่อน...






                        “จะบอกอะไรให้นะ ถึงนายจะอยู่ข้างห้องไอดอลนั่นแต่ถ้านายไม่ได้ทำอะไรเลยมันก็เปล่าประโยชน์ นายก็ได้แต่มองเขาไปวันๆไม่ต่างกับดูรูปในแมกกาซีนหรอก”



                      “….”



                      “ถ้าเกิดวันหนึ่งหมอนั่นมีแฟนแล้วล่ะก็—”



                      “ผมจะไม่ให้มีวันนั้นเด็ดขาด” 

                     

                      “แล้วถ้ามีวันนั้นล่ะ ?”



                      “ผมก็จะเป็นคนคนนั้นยังไงล่ะครับ”






                      เพราะคำพูดของคิเสะ จึงทำให้คุโรโกะเริ่มกระตือรือร้นและเริ่มทำตามวิธีพิชิตใจฉบับคุโรโกะ เท็ตสึยะ!!!














    คุณจะรู้หรือป่าวนะ..
    ว่าผมคอยเป็นห่วงคุณอยู่เสมอ
    แอบเฝ้ามองอยู่ห่างๆไม่ให้คุณรู้















    หัวข้อ : ต๊ายตาย ตายแล้ววว! อาคาชิคุงโดนลุงหนวดต่อยค่ะทุกคน!!!

    ‘จริงเหรอคะ! แล้วเขาเป็นอะไรบ้างรึเปล่า ?’
    ‘จริงค่ะ มีคนถ่ายคลิปไว้’
    ‘หวังว่าจะไม่เป็นอะไรนะคะ’
    ‘คิดว่าน่าจะแค่ปากแตกเฉยๆนะคะ ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง’
    ‘อยากซื้อพลาสเตอร์ให้จัง’
    ‘ได้ข่าวมาว่าช่วยเด็กที่หลงเข้ามาในมหาวิทยาลัยเทย์โคน่ะค่ะ’
    ‘นี่คลิปค่ะ – Spoil คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ –



                     คุโรโกะก็เพิ่งรู้..



                     ว่าคนอื่นมองว่าเขาเป็นเด็กหลงทางจริงๆ







    TBC.



    “มันจะหายไปได้ยังไง แถวนี้เขาไม่ปลูกมันกันสักหน่อยนี่ครับ ?”


    (น้องครกมีความกวนเวลร้อยอัพ)



    ~ อย่าลืมเม้นท์เปงกำลังใจให้เค้าด้วยน้า ~



    #ฟิคข้างห้องแดงดำ






    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×