ตอนที่ 24 : Alpha Red hood : 23
[kookv] Alpha Red hood #กุกวีหมวกแดง
Alpha Red hood : 23
ยังไม่ได้ตรวจสอบคำผิดนะจ๊ะ
สายลับหนุ่มมือฉมังหนึ่งในองค์รักษ์ข้างกายขององค์ชายรัชทายาท กำลังใช้วิชาย่องเบาเข้ามาให้ตำหนักกลางของพระราชวังหลวงในยามวิกาล หลังจากที่เขาตัดสินใจผิดพลาดโดยเลือกหาทางเข้ามาในตำหนักผิดทางไปหน่อย – ถึงได้บังเอิญไปเป็นก้านขวางคอที่คนยืนพลอดรักกันอยู่ริมระเบียงที่ลับตาคนที่สุดของพระราชวังหลวงเข้า
โฮซอกเปิดประตูในห้องประชุมลับเข้าไป ก่อนจะพบว่านัมจุน ซอกจิน และคนที่เขาบังเอิญเข้าไปเป็นก้านขวางคอเข้ามานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มยิ้มแห้งให้กับสายตาคมกริบของยุนกิที่มองมาเป็นการขอโทษขอโพย ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนเก้าของโต๊ะประชุมตัวกลมที่ตรงอยู่กลางห้อง
“องค์ชายล่ะ องค์ชายเป็นยังไงบ้าง”
“ปลอดภัยแล้วแหละ อยู่กับแทฮยองที่ตำหนักน่ะ”
“อืม – หมอนั่นน่ะแสบใช่ย่อยจริงๆ ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวีถึงเคียดแค้นเจ้านั่นได้ขนาดนี้” สายลับหนุ่มว่า พลางหยิบคุกกี้ตรงหน้ามากิน
“แล้วทำไมเจ้าถึงเรียกพวกเรามาประชุมลับๆกันล่ะ มีเรื่องอะไรเหรอ” ซอกจินถามขึ้น
ทำเอาโฮซอกต้องเม้มปากแน่นด้วยความอึดอัดใจ ไล่สบตากับสหายทีละคนๆ ก่อนจะพูดขึ้น “วี ... จับได้แล้วว่าข้าเป็นสายลับขององค์ชาย”
!!!
“เจ้าว่ายังไงนะ! แล้ววีทำอะไรเจ้าหรือเปล่า”
ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ “เปล่า วีกับโบกอมบอกกับข้าว่าพวกเขารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าเป็นสายลับ – ที่ปล่อยข้าไว้ เพราะว่าต้องการจะให้พวกเราช่วยอะไรบางอย่าง”
“ช่วยอะไรเหรอ เจ้ารู้หรือเปล่า” นัมจุนถามขึ้นแต่ทว่าก็ต้องได้รับกับความผิดหวังเมื่อใบหน้าของสายลับหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย
“ข้ารู้แต่ว่าวีต้องการล้างแค้นที่วิคเตอร์ฆ่าแทฮยองด้วยชีวิต แล้วฝากสิ่งนี้มาให้เจ้าด้วยยุนกิ”
พ่อมดหนุ่มรับกล่องใส่ของจากโฮซอกมา ก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าสิ่งที่อยู่ในนั้น คือสิ่งที่สร้างจากเวทมนต์และพลังที่แข็งแกร่งแบบที่พ่อมดไม่มีทางสร้างมั่นขึ้นมาได้ – ประตูมิติ แบบเดียวกับที่เขาเจอมันที่ปราสาทไดทานอฟ
“มันคืออะไร”
“ประตูมิติ ... ไปปราสาทของวี” ยุนกิพูดขึ้นว่าปิดกล่องที่ได้รับมาให้เหมือนเดิม – เห็นทีว่าจะถึงเวลาแล้วที่เขาต้องชดใช้และแก้ไขในสิ่งที่ครอบครัวของเขาเคยทำผิดพลาดไว้ในอดีต
พรุ่งนี้จะเป็นวันที่การล้างแค้นที่แสนยืดเยื้อและนานยาวของปีศาจร้ายต้องจบลง เขาจะเป็นคนชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้บ่วงแห่งความแค้นนี้ต้องเกิดขึ้นด้วยตัวของเขาเอง
เพราะชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต
“แล้ววีต้องการให้เจ้าไปที่นั่นทำไมกัน ต้องการอะไรกันแน่”
พ่อมดหนุ่มยกยิ้มมุมปาก พลางเสกพลังสีทองของตัวเองบนฝ่ามือ นัยน์ตาดำขลับสะท้อนภาพพลังสีทองเขาจับจ้อง “วี ... – ต้องการให้ข้าจบเรื่องทุกอย่างยังไงล่ะ”
อัลฟ่าหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมาช่วงสายของวัน นัยน์สีเงินสอดส่องไปรอบๆห้องเพื่อมองหาคู่ชีวิตของเขา วันนี้ครบสามวันที่วิคเตอร์กำหนดไว้แล้ว แม้ว่าสภาพทางกายที่โดนกาฝากนั่นปั่นป่วนจนได้รับบาดเจ็บจะได้รับการเยียวยาจากคู่ชีวิตจนหายเป็นปริทิ้งแล้ว แต่ทว่าความวิตกกังวลในจิตใจของจองกุกก็ไม่ได้สลายหายไปด้วย เพราะยังไม่มีใครค้นพบวิธีที่จะแยกวิคเตอร์ออกจากตัวเขาได้เลย
ชายหนุ่มคว้าเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่อย่างลวกๆ เตาผิงที่ยังคงระอุไฟอยู่บ่งบอกได้ดีว่าโอเมก้าตัวน้อยเพิ่งจะเข้ามาเพิ่มฟืนใส่เตาผิงได้ไม่นานเท่าไหร่นัก กลิ่นไหม้ของเปลือกไม้ผสมเคล้าไปกับกลิ่นของหิมะ และกลิ่นกายหอมละมุนของคู่ชีวิตที่ฟุ้งอยู่เต็มห้องได้อย่างลงตัว
‘แทฮยองอยู่ไหนครับ’ จองกุกส่งข้อความลิ้งค์ผ่านกระแสจิตไปหาคนเป็นคู่ชีวิตของตัวเอง หากให้เขาเดาเจ้าตัวเล็กต้องอยู่ที่ห้องหนังสือ ไม่ก็อยู่ที่ตำหนักรับรองที่จีมินใช้พักอยู่ทุกครั้งที่มาวังหลวงเป็นแน่ หลังจากที่ออกไปเที่ยวตลาดด้วยกัน แทฮยองกับจีมินก็แทบจะตัวติดกันตลอดเวลา
ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะความสดใสของแทฮยองก็จะช่วยให้จีมิน ได้หลงลืมความเจ็บปวดในจิตใจไปได้บ้าง แทฮยองน่ะเปรียบได้ดั่งความสดใสของโลกใบนี้ด้วยซ้ำ จองกุกไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากโลกใบนี้ไม่มีแทฮยองอยู่ โลกจะมืดมนขนาดไหน เขาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง – เขาไม่แปลกใจว่าทำไมการที่วีสูญเสียแทฮยองไปครั้งก่อน วีถึงได้เสียใจและโกรธแค้นได้มากถึงเพียงนี้
‘พี่จองกุกตื่นแล้วเหรอครับ แทมาช่วยเสด็จแม่ทำขนมเค้กอยู่ครับ – ลูกบอกว่าอยากกินน่ะ’
กระแสจิตที่ส่งผ่านมา บ่งบอกให้รู้ว่าโอเมก้าตัวน้อยกำลังเพลิดเพลินและมีความสุขอยู่กับบรรดาขนมหวานขนาดไหน แม้ว่าจะผิดคาดไปหน่อยที่ได้รู้ว่าคนตัวเล็กจับตะหลิวเข้าครัว แทนที่จะนั่งอ่านหนังสือแบบที่ชอบทำอยู่ทุกวัน แต่ก็อดชอบใจในกิจกรรมที่คนตัวเล็กเลือกทำไม่ได้ จองกุกคิดว่าคนที่อยากกินขนมเค้กจริงๆน่ะไม่ใช่ลูกน้อยในท้องหรอก แต่เป็นแม่ของลูกต่างหากล่ะที่อยากจะกิน
‘งั้นแททำขนมกับเสด็จแม่ไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะไปประชุม อาจจะนานหน่อยนะครับ ... จะคุยเรื่องคืนนี้น่ะ’
‘ก็ได้ครับ งั้นแทไม่กวนแล้วนะ’
‘แล้วเจอกันครับ อย่าลืมแบ่งขนมเค้กมาให้พี่กินด้วยนะ’ จองกุกยกยิ้มให้กับบทสนทนาผ่านกระแสจิต แม้ว่าจะเป็นการพูดคุยกันสั้นๆ แต่ทว่ามันก็ทำให้จองกุกมีกำลังใจที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับปัญหาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
คืนนี้ปัญหาทุกอย่างจะจบลง
คืนนี้วีจะได้แก้แค้นสมดั่งที่ใจปรารถนา
และถึงแม้ว่าคืนนี้เขาอาจจะต้องตาย จองกุกก็จะไม่นึกเสียใจเลยเพราะเขาได้ทำในสิ่งที่ผู้ชายคนหนึ่งควรจะปฏิบัติต่อคนรักและลูกของตัวเองแล้ว – นั่นคือการทำหน้าที่ในฐานะคนรักและในฐานะพ่อที่ปกป้องเมียและลูกของตัวเองให้ปลอดภัย
อัลฟ่าหนุ่มเปิดประตูห้องประชุมห้องเดิมที่พวกเขาทั้งหกใช้เป็นที่นัดพบกันทุกครั้งเข้าไป ก่อนจะพบว่าคนอื่นๆได้เข้ามานั่งรอเขาอยู่ก่อน ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นการทักทาย ก่อนจะทรุดตัวบนเก้าอี้ที่หัวโต๊ะประชุมตัวยาว ความตึงเครียด ก่อตัวโดยรอบห้องจนคนที่อยู่พากันรู้สึกอึดอัดกันไปตามๆกัน
“พี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันโฮซอก จะมาไม่เห็นบอกกันเลยนะ”
ชายหนุ่มถามขึ้น พลางมองหน้าองค์รักษ์ของตัวเองที่มีเรือนผมสีส้มโดดเด่นกว่าใคร อันที่จริงคนที่เป็นสายลับควรจะต้องพรางตัวไม่ให้เป็นที่สังเกตของ คนอื่น แต่ทว่าดูเหมือนว่าตรรกะนี้จะใช้ไม่ได้กับโฮซอกเพราะเจ้าน่ะภาคภูมิใจในสีผมที่โดดเด่นของตัวเองเสียเหลือเกิน
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น โฮซอกก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยสักครั้ง
“ข้าเพิ่งมาถึงเมื่อน่ะองค์ชาย มันค่อนข้างกะทันหัน พอรู้ว่าเจ้าบาดเจ็บ ก็เลยรีบมา แต่สภาพเจ้าดูดีกว่าที่ข้าคิดนะ”
“ต้องขอบคุณแทฮยองที่ช่วยรักษาให้ข้า ไม่งั้นข้าก็ยังคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่บนเตียง – หมอนั่นน่ะ แสบเป็นบ้า”
“อันที่จริงตอนข้ามาถึงเมื่อคืน ข้าได้เห็น – ”
“หุบปากของเจ้าไปซะโฮซอก ก่อนที่ข้าจะเสกให้เจ้ากลายเป็นกบ”
“อุ๊บ – ไม่พูดก็ได้จ้า”
จองกุกหลุดยิ้มให้กับการเหย้าแหย่ของบรรดาสหายของเขาที่ชอบเล่นกันเป็นเด็กๆ เขาเองก็พอจะเดาได้บ้างว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ยืนยันได้จากใบหน้าแดงก่ำของดยุคแห่งฟรานเชสกับหูแดงๆของพ่อมดยุนกิ และตำแหน่งที่นั่งของคนทั้งสองที่ปกติจะนั่งห่างกันคนละมุมห้อง แต่พอมาวันนี้กลับย้ายมานั่งข้างกันอย่างน่าผิดสังเกต
คำกล่าวที่บอกว่า ทามกลางเรื่องร้ายๆ มักมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นอยู่เสมอ คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ
“ขะ ข้าว่าข้าไปอยู่ไปเพื่อนแทฮยองดีกว่า” ดยุคแห่งฟรานเชสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอึกอัก ก่อนจะรีบชิงหนีสถานการณ์ตรงหน้าออกไปหาแทฮยองตามที่พูด ทำเอาคนที่เหลืออยู่ในห้องอดอมยิ้มให้กับท่าทางน่าเอ็นดูของดยุคแห่งฟรานเชสไม่ได้
ทันที่อัลฟ่าหนุ่มที่มีรูปร่างอรชนอ้อนแอ้นผิดจากอัลฟ่าทั่วไปเดินออกไปพ่อมดหนุ่มก็พูดขึ้น “องค์ชาย ข้ารู้ว่ามันอาจจะไม่เหมาะสมที่จะถามเจ้าในช่วงที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่กับสถานการณ์หน้าสิวหน้าขวานแบบนี้”
พ่อมดหนุ่มตัดสินใจถามเรื่องที่ยังกวนใจของเขามาตั้งแต่เมื่อคืนไม่หาย เมื่อเห็นว่าน้องชายนอกสายเลือดของตัวเองพยักหน้าเป็นการอนุญาต จึงถามขึ้น “เจ้ารู้เรื่องคู่เมทของจีมินหรือป่าว”
“อะไรนะ! จีมินเจอเมทแล้วเหรอทำไมข้าไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ” นัมจุนถามขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนที่จะโดนสายตาตำหนิของคู่ชีวิตของตัวเองที่ติเตียนข้อหาที่เขาโวยวายเสียงดัง
มันฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลกมากกว่าเรื่องเกิดขึ้นจริง แต่ซอกจินเป็นคนที่เจ้าระเบียบเกินกว่าใคร ดันมาเป็นคู่ชีวิตกับคนที่ขึ้นชื่อว่าซุ่มซ่ามที่สุดในกองทัพอย่างคิมนัมจุน จึงเห็นได้บ่อยครั้งที่นัมจุนจะถูกซอกจินดุเข้า
แต่ถึงนัมจุนจะเป็นคนซุ่มซ่ามมากมายขนาดไหน ข้อตำหนิเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจหักล้างยความเก่งกาจในด้านการรบและความไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใดได้
“พี่รู้เรื่องแล้วเหรอ”
“อืม จีมินเล่าให้ฟังเมื่อคืนน่ะ”
“จริงๆข้าก็เพิ่งรู้ไม่นานนี้ แล้วเรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครรู้หรอก เพราะจีมินเองก็ไม่ได้บอกใคร ที่ข้ารู้มาได้ก็เพราะถูกข้าเค้นคอ ถึงได้ยอมเปิดปากเล่าให้ข้าฟัง”
“มิน่าล่ะ ข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“ไหนๆพี่ก็รู้เรื่องแล้ว – ยังไงก็ฝากดูแลจีมินด้วยนะพี่ จีมินต้องเผชิญกับความเจ็บปวดมากมายพี่ก็รู้”
จองกุกว่าพลางสบตากับผู้เป็นพี่ชายบุญธรรม เขามั่นใจว่าพี่ชายของเขาคนนี้จะสามารถรับไม้ต่อจากเขาในการดูแลและปกป้องญาติของเขา จองกุกเชื่อว่ายุนกิจะสามารถทำให้จีมินก้าวออกมาจากบ่วงของความเจ็บปวดได้ ถึงแม้ว่าเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้อยู่ถึงวันที่ญาติของเขาได้พบกับความสุขจริงๆ ก็ตาม แต่จองกุกก็ไม่รู้สึกห่วงอะไรดยุคจีมินแล้วล่ะ ตราบใดที่ยังมียุนกิอยู่
แต่แทฮยองกับลูกต่างหากล่ะที่จองกุกเป็นห่วงสุดหัวใจ แม้จะรู้ว่าวันหนึ่งหากเขาไม่อยู่แล้ว วีและทุกๆคนจะช่วยกันดูแลโอเมก้าตัวและลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมาของเขาเป็นอย่างดี แต่ทว่าเขาก็ยังอดห่วงไม่ได้
และจองกุกก็รู้ดีว่าเจ้าตัวน้อยรู้ในสิ่งที่เขาคิดจะทำแล้ว
"ข้าฝากเอาสิ่งนี้ให้แทฮยองด้วยนะพี่นัมจุน" อัลฟ่าหนุ่มหยิบหีบขนาดกลางที่เจ้าตัวถือติดมือเข้ามาในห้องนี้ด้วย
"ทำไมไม่ให้เองล่ะองค์ชาย ข้าว่าแทฮยองน่าจะดีใจกว่านะถ้าได้รับมันจากตัวเจ้าเอง"
"ไม่ล่ะ ข้าคิดว่าข้าคงจะไม่อยู่ถึงตอนนั้นหรอก"
นัยน์สีเงินเป็นประกายจ้องมองสิ่งที่อยู่ในหีบ ประกายวิบวับของเพชร พลอย และอัญมณีพากันส่องแสงเจิดจรัสในยามที่กระทบกับแสง – มงกุฏ รัดเกล้า เข็มกลัด รวมไปถึงชุดเครื่องเพชรมากมาย ที่เป็นของประจำตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาทและบุตรของพวกเขา
โดยปกติแล้วแทฮยองจะได้รับสิ่งของพวกนี้ในวันอภิเษกสมรส แต่ทว่าด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าเขาจะมีชีวิตรอดพ้นจากคืนนี้ไปได้หรือไม่ ทำให้อัลฟ่าหนุ่มตัดสินใจที่จะจัดแจงมอบของพวกนี้ให้แทฮยองกับลูก ในตอนที่เขายังมีลมหายใจอยู่
"ไม่เอาน่าองค์ชาย ข้าว่ามันต้องมีทางออกที่ดีกว่าการจบชีวิตของเจ้าสิ" นัมจุนพูดขึ้นเพื่อหวังให้คนอายุน้อยกว่าเปลี่ยนความคิด
แม้ว่าจะเคยเจอฤทธิ์ความร้ายกาจของวีมาบ้าง แต่ที่วีทำไปทั้งหมดก็เพื่อปกป้องแทฮยองไม่ใช่เหรอ ยังไงนัมจุนก็เชื่อว่าวีไม่มีทางจะปล่อยให้แทฮยองต้องเผชิญกับความเจ็บปวดและความเสียใจแน่ – วีจะไม่มีทางฆ่าจองกุก
“ข้าเองก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ – ”
ตู้มมมมมมมมมมม!
พลันอัลฟ่าหนุ่มทั้งสี่และอีกหนึ่งพ่อมดต้องแตกตื่น เมื่อเสียงโครมครามคล้ายการระเบิดอย่างรุนแรงดังขึ้น เสียงสั่นสะเทือนของการระเบิดทำให้เกิดรอยร้าวที่กระจกหน้าต่างของตำหนักองค์ชาย
“เกิดอะไรขึ้น”
“เสียงมาจากตำหนักกลาง”
!!!
“แทฮยองอยู่ที่นั่น!”
พ่อมดหนุ่มและหมาป่าหนุ่มทั้งสี่รีบแปลงกายแล้วมุ่งไปยังจุดเกิดเหตุด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่หัวใจของจองกุกจะชาวาบ เมื่อเห็นภาพตำหนักกลางที่เคยงดงามกำลังถูกเปลวเพลิงลุกไหม้ เสียงหวีดร้องของนางกำนัลที่พากันวิ่งหนีตายกันออกมาจากตำหนักกันจ้าระหวั่น
“จีมิน มันเกิดอะไรขึ้น” อัลฟ่าหนุ่มถามผู้เป็นญาติของตัวเองกำลังยืนตัวสั่นไม่ต่างจากลูกนกอยู่ที่หน้าทางเข้าตำหนัก แววตาสั่นระริกกับเนื้อตัวที่สั่นเทาของ ดยุคแห่งฟรานเชสบ่งบอกได้ดีว่า จีมินกำลังถูกความหวาดกลัวครอบงำจิตใจมากแค่ไหน
“พะ พวกเขามา”
“ใครกันจีมิน” ยุนกิจับบ่าคนตัวเล็กแน่นเพื่อหวังเรียกสติ
“ทะ ท่านพี่กับวี – ทะ ที่มีปีก”
!!!
แต่ทว่ายังไม่ทันที่ทุกคนจะทันได้ตกใจ เสียงโครมครามสลับกับเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมาจากด้านในตำหนัก ก็ทำให้อัลฟ่าหนุ่มแปลงกายกลับไปเป็นหมาป่า กระโจนเข้าไปในกองเพลิงที่กำลังลุกท่วมทันทีอย่างไม่คิดถึงชีวิต เมื่อครู่จองกุกเห็นว่ามีองค์รักษ์คุ้มกันเสด็จพ่อและเสด็จแม่ออกมาจากตำหนักอย่างปลอดภัยแล้ว
– แล้วแทฮยอง แทฮยองอยู่ที่ไหน
ขณะเดียวกันริมฝีปากหยักของพ่อมดหนุ่มก็ขยับปากขยุบขยิบเพื่อร่ายคาถาเวทมนต์ที่มีพยายามดับไฟที่กำลังลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับนัมจุน ซอกจิน และโฮซอกที่แปลงกายเป็นหมาป่าที่พากันวิ่งตามองค์ชายจองกุกเข้าไปตามหาแทฮยองที่อยู่ด้านใน
แม้ว่าหมาป่าจะมีความหนาของเส้นขนที่ปกคลุมลำตัวแน่นหนาขนาดไหน แต่ทว่าเปลวเพลิงที่มอดไหม้เกือบทั้งตำหนัก ก็ทำให้อัลฟ่าหนุ่มรู้สึกปวดแสบปวดร้อนได้ไม่น้อย แต่ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ให้ความสนใจกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเองเท่าไหร่ เพราะจิตใจของเขากำลังพะวงอยู่กับความปลอดภัยของโอเมก้าตัวน้อยและลูกในครรภ์
กลิ่นกายหอมฟุ้งของแทฮยองช่วยทำให้จองกุกและคนอื่นๆสามารถแกะรอยตามหาคนตัวเล็กได้ไม่ยาก อัลฟ่าหนุ่มพุ่งทะยานไปตามเส้นทางที่มีกลิ่นของโอเมก้าตัวน้อยลอยมาตามลม ก่อนที่จองกุกในร่างหมาป่าจะต้องชะงัก อุ้มเท้าทั้งสี่ของหมาป่าหยุดลงที่ท้องพระโรงของตำหนัก นัยน์ตาสีเงินของหมาป่าหนุ่มเบิกกว้าง รู้สึกลำตัวชาวาบจนแทบขยับตัวไม่ได้
ภาพตรงหน้าเป็นภาพที่ทำเอาจองกุกแทบหยุดหายใจ ร่างหมดสติของแทฮยองที่กำลังถูกอุ้มโดยปีศาจร้ายที่กำลังแสยะยิ้มร้ายกาจมาให้เขา เนื้อตัวของโอเมก้าตัวน้อยเต็มไปด้วยเลือดที่เปลี่ยนสีของชุดให้กลายเป็นสีแดงฉาน ข้างกายของปีศาจร้าย มีญาติผู้ล่วงลับของเขายืนอยู่มองเขาด้วยแววตาเรียบนิ่งและไร้ความรู้สึก
และนั่น ... ที่ด้านหลังของวี – มีปีกขนนกสีดำขนาดใหญ่กำลังกางสยายอยู่
วีได้ปีกคืนไปแล้ว
“จะ เจ้า – เป็นไปได้ยังกัน”
“จุ๊ๆ อย่าเสียงดังไป เดี๋ยวแทฮยองของข้าจะตื่น” นัยน์ตาสีลาแวนเดอร์สบกับนัยน์ตาสีเงินของอัลฟ่าหนุ่มที่แปลงกายกลับมาเป็นมนุษย์แล้ว
“เจ้าทำอะไรแทฮยอง เจ้าทำร้ายแทฮยองงั้นเหรอ! – อั่ก!”
พลันร่างของอัลฟ่าหนุ่มก็ลอยไปชนกับร่างหมาป่าของนัมจุนที่เพิ่งเดินเข้ามาในท้องพระโรง จนทั้งคู่ลอยไปกระแทกกับผนังหินอ่อนของห้องอย่างเต็มแรง
“ข้าบอกว่าอย่าเสียงดัง ไม่เข้าใจที่ข้าพูดเหรอ!”
ปีศาจร้ายส่งร่างไร้สติของแทฮยองให้อัลฟ่าหนุ่มผู้หนีจากความตายรับไปอุ้มต่อ ก่อนที่ปีกขนนกสีดำอันใหญ่จะพาร่างสีน้ำผึ้งของเฮเลล วี มายังตำแหน่งที่จองกุกกับนัมจุนล้มลง นัยน์ตาสีลาแวนเดอร์ลุกโชนไปด้วยประกายไฟแห่งความแค้น ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกับชายหนุ่มตรงหน้า
มือเรียวบีบเข้าที่ปลายคางของจองกุกอย่างเต็มแรง พลางใช้พลังงานปิดประตูทางเข้าของท้องพระโถงและลงกลอนแน่น เมื่อหางตาชำเรืองเห็นว่าเคานต์ยุนกิกำลังเดินจ้ำอ้าวมาทางนี้
“ถ้าอยากได้แทฮยองคืน ก็ตามมาเอาที่ปราสาทของข้าก็แล้วกันนะองค์ชาย”
“แล้วปราสาทของเจ้าอยู่ที่ไหนกัน”
“– หึ อยากรู้ก็ถามไอ้คนขี้ขลาดที่เอาแต่หลบซ่อนอยู่แต่ในมุมมืดสิองค์ชาย วิคเตอร์น่ะ” ปีศาจร้ายหัวเราะร่า ก่อนจะปล่อยให้ปีศาจอีกตนในร่างของจองกุกกัดฟันกรอด พลางแสยะยิ้มร้ายเมื่อเห็นนัยน์ตาของจองกุกเริ่มเปลี่ยนสีสลับไปสลับมาระหว่างสีเงินซึ่งเป็นสีนัยน์ของจองกุก กับสีทองซึ่งเป็นสีตาของลูกครึ่งปีศาจที่แสนขี้ขลาดอย่างวิคเตอร์
ก่อนที่ปีกขนนกสีดำจะกระพือขึ้นจนเกิดลมแรง พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่โบกอมที่อุ้มโอเมก้าตัวน้อยอยู่ก็หายไปเช่นกัน ทันทีที่วีและโบกอมจากไป ไฟที่ลุกไหม้ทั่วทั้งตำหนักอยู่ที่มอดดับลง ทิ้งให้เหลือแต่รอยไหม้เกรียมตามจุดต่างๆเท่านั้น
“องค์ชาย! องค์ชาย!” องค์รักษ์หนุ่มเขย่าตัวผู้เป็นเจ้านายของตัวเองที่ตอนนี้กำลังมีท่าทางเหม่อลอย แสงสีทองกลืนกลิ่นนัยน์ตาเดิมของชายหนุ่มไปจนหมด
“พาองค์ชายไปที่ห้องใต้ดินในตำหนักข้าแล้วใส่นี่ไว้” ยุนกิเข้ามารักษาอาการฟกช้ำเบื้องต้นให้กับจองกุกและนัมจุน ก่อนจะส่งโซ่ตรวนเวทมนต์ให้ องค์รักษ์หนุ่มนำไปจัดการต่อ สิ่งๆนี้จะช่วยให้ถ่วงเวลาเขาให้มีเวลาจัดอะไรๆให้เรียบร้อย ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าพลังของพ่อมดไม่ได้แข็งแกร่งเท่าพลังของวิคเตอร์ – คงจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่อย่างน้อย ... แค่ช่วยถ่วงเวลาก็ยังดี
“นั่นเจ้าจะไปไหนยุนกิ” นัมจุนถามขึ้นเมื่อเห็นยุนกิร่ายคาถาให้ประตูมิติปรากฏขึ้น
“ข้าจะไปชดใช้ความผิดและแก้ไขสิ่งที่ครอบครัวของข้าทำไว้ ข้าจะรีบกลับมาให้ทัน ก่อนที่วิคเตอร์จะออกมาอาละวาด”
“ทำแบบนี้จะได้ผลจริงๆเหรอวี” น้ำเสียงที่แสดงถึงความวิตกกังวลอย่างชัดเจนของโอเมก้าตัวน้อยที่เพิ่งเดินเข้ามา ทำให้คนที่นั่งจิบไวน์อยู่บนบัลลังก์ใหญ่ต้องแอบยิ้มยกเอ็นดูให้กับความขี้กังวลเป็นหนูติดจั่นของคนตัวเล็ก
“เจ้าไม่เชื่อใจข้าเหรอแทฮยอง” ปีศาจร้ายแกล้งถามเสียงเข้ม
“ปะ เปล่าสักหน่อย ข้าแค่เป็นห่วงองค์ชาย” โอเมก้าตัวน้อยพูดขึ้นพลาง ก้มหน้างุด แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นส่วนหนึ่งในแผนที่ใช้ล่อให้องค์ชาย พาวิคเตอร์มาที่นี่ แต่ทว่าแทฮยองก็ยังอดเป็นห่วงคู่ชีวิตของตัวเองไม่ได้อยู่ดี
“ไม่ต้องห่วงหรอกที่รัก ... ยังไงองค์ชายก็ต้องมาช่วยเจ้า – แล้วก็จะพา เจ้าคนชั่วนั้นมาให้ข้าฆ่าถึงที่นี่ด้วย” วีเหยียดยิ้มร้าย พลางยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบต่อ
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ มานั่งตรงนี้สิแทฮยอง เล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
โอเมก้าตัวน้อยยอมเดินไปนั่งข้างปีศาจร้ายบนบัลลังก์อย่างว่าง่าย สีหน้าไม่สู้ดีของแทฮยองทำให้วีต้องรั้งคนตัวเล็กเข้ามาใกล้ พลางใช้ปีกโอบกายบางเอาไว้ “เรื่องทุกอย่างจะจบลงในคืนนี้ นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปจะไม่มีอะไรมาทำร้ายและทำให้แทฮยองของข้าต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว”
“แล้ววีจะฆ่าเขาจริงๆเหรอ”
“อย่าห้ามข้าเลยแทฮยอง หากวิคเตอร์ไม่ได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำไว้ ข้าก็ไม่สามารถให้อภัยตัวเองที่ปกป้องเจ้าในตอนนั้นไว้ไม่ได้”
วีลูบผมนิ่มของแทฮยองอย่างเบามือ เด็กคนนี้เป็นเด็กที่มีหัวใจบริสุทธิ์จนเกินไป การที่แทฮยองเห็นอกเห็นใจคนอื่นแม้กระทั่งคนที่คร่าชีวิตของตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องที่ดีกับตัวของแทฮยองเลยสักนิด แทฮยองน่ะไม่ได้รู้เลยว่าโลกใบนี้ ยังมีอะไรที่โหดร้ายมากมายขนาดไหน – แน่นอนว่าวีจะไม่มีวันยอมปล่อยให้ดอกไม้ของเขาต้องบอบช้ำหรือถูกทำลายเป็นครั้งที่สองแน่
“ข้าไม่อยากให้ความแค้นครอบงำจิตใจของวี มันจะทำให้ – ”
“ข้าเป็นปีศาจนะแทฮยอง ข้าไม่ใช่คนดีที่จะปล่อยผ่านอะไรแบบนี้ไปได้”
“ตะ แต่ว่า – ”
“ชู่วววว เงียบหน่อยเด็กดี ดูเหมือนว่ามีจะแขกมาพบข้า”
ทันทีที่สิ้นเสียงของปีศาจร้าย อยู่ๆก็มีเสียงแสงสว่างจ้าขึ้นจนโอเมก้าตัวน้อยต้องหยีตา ยกมือทั้งสองข้างป้องแสงสว่างที่ส่องตาของเขาจนรู้สึกแสบตา ไปหมด เพียงไม่นานแสงสว่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ดับลง พร้อมๆกับนัยน์ตาของโอเมก้าตัวน้อยที่เบิกกว้างขึ้นมา เมื่อมองไปยังตำแหน่งที่เกิดแสงสว่างขึ้นเมื่อกี้ปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
!!!
“พี่ยุนกิ – นี่มันเรื่องอะไรกัน”
TBC
ติดตามอ่านฉาก yoonmin และฉากวีได้ปีกคืนในเล่มนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อ๋อยยยยยยย คุณวี คุณวีจะฆ่ายังงายยยย