คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่2 : The Cover Of Darkness ยุคมืดแห่งศตวรรษ (1)
The Cover Of Darkness
บทที่2: ยุคมืดแห่งศตวรรษ
เด็กสาวมองผู้ชายตรงหน้า เขาดูไว้ใจได้แต่ก็ไม่ใช่เวลานี้กับอีกคนที่ดูน่าไว้ใจยิ่งกว่า เขาสองคนเป็นใครกัน? ทำไมถึงเข้ามาคุยก็เธอและน้องชาย รถม้าวิ่งผ่านตรอกซอยที่มืดแห่งหนึ่ง แอนทริคมองเข้าไปที่คาดว่าเป็นต้นเหตุของเสียงนกหวีดเมื่อสักครู่
“เอ๊ะ! พวกนั้นมุงอะไรกันนะ?” แอนทริคเผลอหลุดปากถามออกไป เธอรู้ตัวอีกทีก็เมื่อฝ่ายชายนิรนามตอบคำถาม
“คดีน่ะ ย่านนี้เกิดคดีขึ้นบ่อยครั้ง”
“จริงสิ! ว่าแต่ที่นี่ที่ไหนครับ? ขอละเอียดด้วย”
“หืม? พวกเธอไม่รู้หรอกเหรอ...?” ชายสวมแว่นถาม เขากระตุกแว่นของตัวเอง ไอกระแอ่มสองสามที
“ที่พวกเธออยู่คือ ประเทศอังกฤษ เขตย่านไวต์ชาเปล” ชายหนุ่มตรงหน้าแอนทริคตอบแทน สิ้นสุดการตอบเขายิ้มให้
“จริงสิ! ว่าแต่คุณหนูชื่ออะไรกันเอ่ย?” เขาพูดดูเหยียดในความคิดของมาร์ส เขาไม่ใช่เด็กแล้วโตพอที่จะแยกแยะออกอย่ามองเขาเป็นเด็กสิอย่างน้อยมองแค่พี่สาวคนเดียวก็พอ
“ฉันชื่อ แอนทริค ส่วนนี่ มาร์ส เราเป็นพี่น้องกัน แล้วก็อีกอย่างเราไม่ใช่เด็กหรือคุณหนูนะคะ” แอนทริคกล่าวอย่างหัวเสียก่อนที่มาร์สจะพูดออกไป ชายหนุ่มทั้งสองหัวเราะน่าหมั่นไส้สำหรับแอนทริค เด็กสาวคิดว่าเมื่อไรรถม้าจะหยุดแล้วจะหยุดเมื่อไรกัน ที่ที่เขาจะพาไปคือที่ไหน
“คุณมีธุระอะไรเหรอคะ?”
“เอาเป็นว่าถ้าถึงบ้านพักแล้วผมจะอธิบายแล้วกัน”
“บ้านพักอะไรกันคะ?!” แอนทริคกล่าวอย่างหัวเสียใบหน้าไม่สู้ดี เป็นครั้งที่เธอเริ่มเอ็ดตะโรออกมาบ้าง คู่สนทนาของเธอเงียบลงก้มหน้านิ่งไม่พูดอะไรกับชายสวมแว่นที่มองออกไปด้านนอกหน้าต่างไม่มีใครพูดกับเธอเลยแม้กระทั่งน้องชายของเธอก็เหมือนกัน
วิวด้านนอกไม่สวยเท่าไรมีหมอกเลือนลาง ผู้คนหายไปกันหมด บนถนนนี้อาจจะเหลือแค่รถม้าคันนี้คันเดียวก็มีทางเป็นไปได้ แอนทริคเอาแต่นั่งก้มหน้าไม่พูดอะไรอีกกับมาร์สที่เงียบสงบตั้งแต่แรก
กึก!!!
รถม้าหยุดลง จู่ๆก็มีคนมาเปิดประตูรถม้าให้เหมือนกับในเทพนิยายไม่มีผิด นี่คือประเทศอังกฤษ เขตย่านไวต์ชาเปล ไม่ผิดที่แน่ ดูจากการแต่งกายที่แตกต่าง หมวกใบสูง รถม้า กับอากาศที่มีละอองพร้อมหมอกในช่วงกลางคืน แสงไฟตามทางสลัวๆ ที่นี่คือ ประเทศอังกฤษสมัยยุควิคตอเรียเป็นแน่!
“พี่ครับ แล้วบ้านเราละ?”
“อะ..อืม...ไม่รู้สิ”
พวกเขาชะงักลงเมื่อชายหนุ่มมาขัดจังหวะ ชายหนุ่มสองคนลงไปก่อนหน้านี้แล้วเหลือเพียงแฝดพี่น้องที่ยังนั่งระแวงกันอยู่ในตัวรถ
เด็กหนุ่มก้าวเดินลงมาจากรถม้าและหันหลังรับตัวพี่สาวตัวเองลงมาเช่นกัน ดวงตาเบิกกว้างของแอนทริคทำให้เด็กหนุ่มหันหลังกลับไปมองตามสายตาของเธอไป ผู้ชายวัยกลางในชุดสีน้ำเงินหมวกสูงถือปืนหลายคนเรียงรายกันอยู่ตรงหน้าเสียงพูดคุยพวกเขาฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียวสำหรับพี่น้องเจสเตอร์ล๊อต ดวงตาสีฟ้าของสองพี่น้องจดจ่ออยู่กับเหล่าพวกเขาและสองหนุ่มที่เดินเข้าไปร่วมวงด้วย เด็กสาวและเด็กหนุ่มรู้สึกหูอื้อไปชั่วขณะ ปวดหัวคล้ายกับว่าถูกเข็มฉีดยาเข้าไปทิ่มมัน
แอนทริคใช้มือกุมที่ศีรษะอย่างรวดเร็วทรุดตัวลงไปกองกับพื้นใบหน้าปวดร้าวร่างกายชาไปหมด ในขณะที่มาร์สเองก็รู้สึกเช่นกันแต่เหมือนกับว่ามีบางสิ่งเข้ามาเปิดอ้าสมองของเขาให้กว้างออกมา ชายหนุ่มเดินถอยหลังเซล้มลงก้นจ้ำกับพื้น หายใจหอบ ภาพที่คล้ายฟิล์มหนังเก่าๆฉายขึ้นมาในสมองราวกับกำลังเปิดซีรีย์ให้เขาดูอยู่
“เฮ้! ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”ชายสวมแว่นเดินเข้ามาหาตัวเขาพยุงแอนทริคขึ้นมา ตามด้วยดึงมือมาร์สให้ลุกขึ้น ความปวดร้าวหายเป็นปลิดทิ้ง เสียงวิ้งๆยังดังก้องอยู่ในหูแล้วก็หายไปทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมร่างกายที่เคยชาเปลี่ยนเป็นปวดตามร่างกายมากกว่า
“เอาละ ก่อนที่จะดึกไปมากกว่านี้ พวกเราไปคุยข้างในกันเถอะ” ชายอีกคนชักชวน
................................................................................................................................
“เชิญนั่งครับ!”
บรรยากาศข้างในตกแต่งด้วยผนังสีเขียวแก่ดูทำให้มืดแต่ยังมีแสงของโคมไฟที่ประดับตามผนังพร้อมตั้งโต๊ะยังคงส่องสว่าง
“อันดับแรก ผมขอแนะนำตัวของผมก่อนละกัน กระผมชื่อ วัตสัน ‘จอห์น เอส วัตสัน’ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณแอนทริคคุณมาร์ส และนี่เพื่อนของผมชื่อ ‘เชอร์ล็อค โฮล์มส์’
“บ้าน่า!!” แอนทริคสบถขึ้น
“....คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? คุณแอนทริค” ชายหนุ่มที่ชื่อวัตสันเอ่ย น้ำเสียงดูโมโหหรืออะไรประมาณนั้น
“ปะ...เปล่าค่ะช่างมันเถอะ”
“เชอร์ล็อค โฮล์มส์...ชื่อคุ้นๆแฮะ” มาร์สหันไปกระซิบคุยข้างหูพี่สาวตัวเอง
“เขาเป็นนักสืบ ที่ดังที่สุดในประเทศอังกฤษช่วงนี้”
“งั้นคนคนนั้นก็คู่หูของโฮล์มส์ วัตสันสินะ”
“พูดชื่อห้วนๆแบบนั้น คุณคงคิดว่าคุณมีมารยาทมากสินะครับ” โอล์มส์ต่อว่าในความไร้มารยาทของสองพี่น้อง
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษค่ะ” เวลาล่วงเลยผ่านไป พวกเขารู้แล้วว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกับใครแล้วโผล่ในยามขับขันยิ่งกว่าอะไรเสียอีก ใบหน้าเสียขวัญของสองพี่น้องต่างพากันชวนหดหู่กับตกตะลึง ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้? พวกเขานิ่งเงียบเช่นเดียวกับชายสองคนที่พาตัวของพวกเขามาที่นี่เช่นกัน
“งั้นผมขอถามคุณมั่ง...สร้อยเส้นนั้น!” โฮล์มส์เอ่ยปากด้วยเสียงชวนสงสัย
“สร้อยเส้นนี้...” แอนทริคทวนคำอีกครั้ง
“ใช่ สร้อยที่พวกคุณสวมอยู่ คุณเอามาจากไหน?” ทั้งสองพี่น้องเงียบลงเขาจะบอกเรื่องราวยังไงดี มีแสงวูบมาจากสร้อยคอแล้วก็รู้ตัวอีกทีมาอยู่ที่นี่ หรือว่า เจอจากสวนหลังบ้านของเพื่อนข้างบ้าน แน่นอนต้องหาว่าเป็นบ้าแน่ๆ จะกล่าวยังไงดี ถึงจะสมควรกับยุคนี้
“ผมซื้อมาครับกับพี่สาว” มาร์สเฉลยพูดก่อน
“เอ๊ะ!?” แอนทริคสบถออกมา ใบหน้าเรียบนิ่งของมาร์สน่าจะเป็นฉากบังหน้าความลับได้ดี
“หืม...ร้านไหนเหรอครับ?”
เวรแล้วไง!! ตอบยังไงดีแบบนี้
พวกเขาเงียบครั้งใหญ่มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกฟืดฟัดของแอนทริค กับดวงตาของมาร์สที่จ้องตอบโฮล์มส์นิ่งราวกับหิน กับอีกฝ่ายที่โต้กลับที่แฝงแววตาแหย่เล่น
“อะ...เออ...ที่ที่ เออ...พวกเราลืมไปแล้วละค่ะ” แอนทริคตอบพร้อมเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นบนใบหน้า
“เอาตรงๆเลย สร้อยเส้นนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วน สร้อยสีน้ำผึ้งดูชวนหวานน่าลิ้มรส แล้วก็แถวนี้ไม่มีร้านอัญมณีซะด้วย เขตไวต์ชาเปลนะ เป็นย่านคล้ายๆสลัมที่ดูไม่เจริญหูเจริญตาเสียเท่าไรนัก”
“คุณซื้อมันเมื่อไรกัน?”
“ก็ เมื่อไม่นานนี้ละ” มาร์สตอบ
“งั้นเหรอครับ...อัญมณีนี้ดูดีๆแล้ว ของที่ซื้อมาใหม่ไม่ควรจะมีรอยแตกได้ โดยเฉพาะอัญมณีที่ดูแพงแบบนี้ไม่ควรจริงๆ”สมชื่อยอดนักสืบเขาอธิบายจนมาร์สถึงกับอึ้งพูดไม่ออก สีหน้าแปลกตาแปลกใจสำหรับแอนทริคเธอไม่เคยเห็นน้องชายแพ้ราบคาบเท่านี้มาก่อนเลย
“คุณจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะครับ เชอร์ล็อคโฮล์มส์” มาร์สถอนหายใจก้มหน้าแล้วเงยหน้ามองโฮล์มส์อย่างยอมแพ้
“จะบอกดีไหม? โฮล์มส์”
“ก็ดีเหมือนกันนะ วัตสัน บอกเลย”
“ช่วงนี้มีข่าวคดีนักฆ่าหั่นศพในเขตย่านไวต์ชาเปลซึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ชื่อว่า...”
“แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ใช่ไหมคะ?”
“ใช่แล้ว แจ็ค แปลว่าพวกเธอรู้แล้ว แต่ในคดีที่สอง สร้อยคอพวกเธอ...มันคล้ายกับหญิงสาวที่ถูกฆ่าในคดีที่สอง”
เด็กสาวและเด็กหนุ่มไม่พูดอะไรตอบกลับใบหน้าแสดงความตกใจพร้อมหวาดกลัวกับสร้อยที่เธอสวมใส่อยู่ ความจริงที่ฆ่าพวกเขาได้อยู่หมัด เขาไม่ได้ต้องการแบบนี้ ขอเป็นแบบเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม อย่ามายัดเยียดสิ่งที่ไม่อยากได้ให้พวกเราได้ไหม?
“..............”
“มีอะไรจะแก้ตัวหรือเปล่า?” วัตสันถาม ดวงตาของเขาฉายแววน่ากลัว น้ำเสียงซ่อนความน่าสงสัยแปลกๆไว้
“อะไร? คุณพูดเรื่องอะไรกัน? พวกคุณจะหาว่าพวกเราเป็นแจ็คอย่างนั้นหรือ?” มาร์สเป็นฝ่ายตอบและถามบ้าง
“พอเถอะวัตสัน เด็กเหลือขอพวกนี้ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอก เรายังไม่มีหลักฐานมากพอเพราะฉะนั้นเราจะมองพวกเขาเป็นเพียงแค่ผู้ต้องสงสัยและผมจะให้เขาอยู่ที่นี่” โฮล์มส์หันไปมองพวกเด็กๆเจสเตอร์ล๊อต
“ขอโทษนะผมต้องกลับบ้านของผม”
“มาร์ส...พี่คิดว่า...ตอนนี้เราคงยังกลับไปไม่ได้ ในเวลาแบบนี้แผ่นดินอังกฤษที่เราอยู่ในตอนนี้ไม่มีบ้านเราไม่มีที่พักให้เรา นอกเสียจากที่นี่อีกแล้ว”
“พูดบ้าอะไรนะพี่ครับ! เราต้องกลับไปตอนนี้”
“หัดมีสมองคิดซะบ้างสิน้องบ้านี่!! ที่นี่ตอนนี้!! นายคิดว่ามันศตวรรษเท่าไหร่กัน? กรุงลอนดอน ทั้ง เชอร์ล็อคโฮล์มส์ หมอวัตสัน แจ็คเดอะริปเปอร์ รถม้า ทางเท้า กับการแต่งกายบ้าๆพวกนี้! นายคิดว่าที่นี่เป็นบ้านที่ควรอยู่เหรอ?!!!” เด็กสาวลุกขึ้นยืนตะคอกน้องชายตัวเองอย่างหัวเสียใบหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธโมโห ดวงตาเธอระรื่นด้วยน้ำตาจนไม่แน่ใจว่าเธออยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่
“ช่วยสงบสติอารมณ์ทีคุณแอนทริค โวยวายในเรื่องไร้สาระแบบนี้คุณอาจจะบ้ากว่าน้องชายคุณด้วยซ้ำไป” วัตสันกล่าวพลางถอนหายใจ เด็กสาวนั่งลงเธอหลบสายตาจากทุกคนลูบแขนตัวเอง
“ถ้าพวกคุณอยากให้พวกเราอยู่ที่นี่มากนัก แล้วเราจะนอนกันที่ไหน?”
“ที่นี่คือห้องเช่านะแม่คุณ ผมจะให้คุณนอนห้องเดียวกับเรา”
“มันจะพอได้ยังไงครับ นอนอัดกันสี่คน”
“นั่นสิ”
“ผมจะนอนกับวัตสัน ส่วนพวกคุณจะนอนห้องวัตสัน เชื่อผมสิคุณนอนกันได้แน่ๆ ห้องเช่านี้ออกจะกว้างพอสมควรอยู่กันสิบๆคนยังนอนได้เลย” คำพูดดูโอ้อวดเหมือนกำลังคิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอแบบนี้เป็นสิ่งที่พี่น้องเกลียด และมองโฮล์มส์ด้วยสายตาเมินเฉยท่าทีไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด ผิดกับหมอวัตสันที่ทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย แต่ภายในใจลึกๆ เขาก็หึงหวงห้องของตัวเองเป็นพิเศษแต่ฝืนใจยอมเพราะหน้าที่ที่ควรจะทำ
“จริงสิวัตสัน...ผมขอใช้ห้องรับแขกนี้หน่อย ผมคงต้องคุยธุระกับแม่สาวและพ่อหนุ่มนี่สักพักผมอยากให้คุณไปเตรียมจัดการสมบัติอันล้ำค่าของคุณให้เรียบร้อย”
“งั้นขอตัวก่อนนะครับคุณเจสเตอร์ล็อต”
ชายตรงหน้าพวกเขามองด้วยนัยน์ตาเป็นประกายวาวในขณะที่กำลังพูดอะไรบางอย่างออกมา
“เรื่องของพวกคุณน่าสนใจมากครับ เรื่องที่คุณแอนทริคเอ็ดตะโรน้องชายคุณเมื่อสักครู่ ช่วยเล่าให้ผมฟังด้วยก็จะเป็นผลลัพท์ที่ดีสำหรับตัวพวกคุณเองนะครับ?”
เชอร์ล็อคโฮล์มส์เริ่มขออนุญาตและหยิบไปป์ขึ้นมาสูบ ใบหน้าของเขาดูจริงจังแบบหลอกๆ
“พวกคุณคงเป็นพวกหลอกลวงสินะ...” พี่น้องทั้งสองนิ่งอึ้ง ไม่เข้าใจสิ่งที่เชอร์ล็อคโฮล์มส์กล่าวถึงเมื่อสักครู่
“คุณดูไม่เหมือนฆาตกร ใช่! ผมคิดว่าคุณไม่ใช่แน่ๆ ถ้าคุณเป็นแจ็ค คุณคงจะฆ่าผมไปนานแล้วคุณเจสเตอร์ล็อต พูดง่ายๆก็คือทั้งร่างกายและท่าทางกิริยาคุณไม่เหมือนกับฆาตกรเลยสักนิดเดียว แต่อย่างว่า สร้อยเส้นนั้นก็เป็นแค่หลักฐานเดียวที่ผมจะจับพวกคุณไปประหารก็ยังได้ ขอความกรุณาพวกคุณร่วมมือกับผมด้วย” เขาปล่อยควันมอร์ฟินคลุ้งไปทั่ว ชวนเวียนหัวและให้ความรู้สึกเหมือนบุหรี่ในยุคที่พวกเขาอยู่
“และที่ผมบอกคุณว่าพวกคุณเป็นพวกหลอกลวง เพราะท่าทางของคุณ” ชายหนุ่มชี้นิ้วไปที่น้องชายแอนทริค
“คำโกหกที่แนบเนียนแต่ถ้าเป็นคนอื่นผมคิดว่าคุณชนะขาดรอยแต่ถ้าอยากมาเทียบกับผมละก็คุณอย่าเลยดีกว่า ปกติถ้าคนไม่โกหกจะพูดฉะฉานและหาข้อแก้ตัวได้เร็วที่สุด ไม่เหมือนพวกคุณ จากประสบการณ์....”
“เงียบได้หรือยังครับ?” มาร์สยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่อง
“จากประสบการณ์ของผม ผมคิดว่าคนที่พูดโกหกนั่นแหละจับตัวได้ง่ายที่สุด”เชอร์ล็อคโฮล์มส์ยังพูดมากอยู่ น้ำเสียงของเขาคล้ายกับตัวเองกำลังถือไพ่ตายอยู่ในมือหรือกำหนูทั้งเป็นในมือ ท่าทางสบายหูสบายตา สูบไปป์จนควันลอย จมูกโด่งๆของเขาหน้าหมั่นไส้
-
ความคิดเห็น