ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The magician Devil Twins รัตติกาลแห่งกรุงลอนดอน

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1 : Gems of Time อัญมณีแห่งกาลเวลา

    • อัปเดตล่าสุด 4 ม.ค. 58







    Gems Of Time

    บทที่1: อัญมณีแห่งกาลเวลา


     

         ความรู้สึกที่เหมือนกับคนมากรีดควักสมองออกมา แน่นอนว่ามันเจ็บปวดเหลือเกิน มันเริ่มต้นจากเสียงเพลงในยามเช้าที่กำลังคว้าตัวเด็กสาวออกมาจากห้วงมิติหนึ่งที่ถูกผู้คนขนานนามว่า ความฝัน เสียงนาฬิกาที่ร้องดังเป็นจังหวะ เด็กสาวไม่ได้ยินมันเลย แผ่นหลังชุ่มเหงื่อ เสื้อสีขาวคอกว้างที่เผยให้เห็นร่องอกสีขาวกับเหงื่อที่ย้อยตามใบหน้าลำตัวของเธอ ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างหวาดกลัวบางสิ่งในใจของเธอเอง

         “พี่ครับ! ได้เวลาแล้วนะครับ!” เสียงเลือนลางอยู่หน้าประตูห้องนอนของเธอ เธอมักได้ยินเกือบทุกวันในช่วงนี้ ฝันร้ายแปลกๆ ไม่ดีเอาซะเลย

         “กำลังแต่งตัวอยู่น่า!” เธอตะโกนอกไปทั้งๆที่ร่างกายเพิ่งจะโทรมอยู่บนเตียง เธอเอนหลังนอนลงเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลมหายใจถี่รัวเมื่อห้านาทีก่อน และเริ่มเป็นปกติเหมือนเดิม

         เด็กสาวชาวอังกฤษรสนิยมชอบของแปลกของเก่า จำพวกเครื่องเรือนสมัยยุคโบราณพันปี พ่อแม่ถูกส่งตัวไปทำงานที่ฝรั่งเศส ทั้งคู่เป็นนักมายากลแนวหน้าที่เริ่มทำงานตั้งแต่ยังศึกษาแล้วจึงมารู้จักที่กรุงลอนดอนในขณะที่ฝ่ายหญิงทำงานเป็นผู้ช่วยคณะโรงละคร เขามีลูกกันสองคนชื่อ   เจสเตอร์ล๊อต แอนทริค และ มาร์ส พวกเขาเป็นพี่น้องกัน หน้าตาคล้ายคลึง นิสัยเหมือนกัน แอนทริคโตกว่าสองปี ทุกอย่างแถบลงตัวไปหมดทุกอย่างสำหรับตระกูล เจสเตอร์ล๊อตนี้

         แอนทริคดีดตัวขึ้นจากที่นอนเดินไปหยิบผ้าขนหนูมุ่งเข้าห้องน้ำ เธอก็ต้องเรียนหนังสือเหมือนกันนะ...

          ในขณะดียวกันน้องชายผมสีครีมอ่อนนั่งกินขนมปังยามเช้าพร้อมชุดสูทสีดำผ้าพันคอสีแดงตัดกับน้ำเงิน นั่งบดเคี้ยวขนมปังคำโตในปาก เขานั่งมองเศษแก้วใสๆที่วางอยู่บนโต๊ะพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

         “ก็แค่เพชรฟลอเรนไทน์ อย่าคิดมาก” แอนทริคเดินลงบันไดพลางหวีผมไปด้วย

         “เพชรฟลอเรนไทน์เนี่ยนะ บ้าหรือเปล่าเนี่ย มันหายสาบสูญไปแล้วไม่ใช่หรอ?

         “ไม่ใช่สักหน่อย จำลองเศษเพชร”

         “มีแบบนี้ด้วยหรอครับ?

         แอนทริคยิ้ม เธอหยิบเนคไทขึ้นมาผูก รวบผมขึ้นมัดหางม้า เสร็จจากธุระส่วนตัวถึงเข้ามานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับน้องชาย เธอหยัดขนมปังเข้าท้องให้เร็วที่สุด แน่นอนเลยว่าสายแน่สำหรับการไปโรงเรียนในวันนี้

         “พี่ครับ พ่อกับแม่บอกว่าเดือนนี้คงกลับไม่ได้อีกแล้วครับ”

         “งั้นหรอ ไม่ต้องกลับมาเลยก็ได้นะแบบนี้นะ”

         “อย่าพูดแบบนั้นสิครับ แต่ก็ดีเหมือนกันผมเริ่มเบื่อกับการรอคอยแล้วละ” ชายหนุ่มยิ้มทั้งที่ๆมันเป็นเรื่องที่ไม่ควนยิ้มเอาเสียเลย

         แอนทริคส่ายหัวไปมา อารมณ์ของเขาเดาไม่ออกเลยว่าเป็นแบบไหน แม้กระทั้งพี่สาวก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าโกรธยังไงก็ยังคงเดิมใบหน้าเสแสร้งนั่นอีกแล้ว เขายิ้มเวลาที่ไม่ควรยิ้ม เขานิ่งเวลามีคนมายิ้มให้ เหมือนพระเจ้าสร้างให้เขาเกิดมาตรงข้ามกับความรู้สึกภายในจิตใจ แต่ในตอนนั้นแอนทริคก็เช่นกัน เธอไม่สนใจใคร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีความรู้สึกที่นิ่งราวกับก้อนหินที่มองดูส่วนข้างในได้ยาก การกระทำของเธอแปลกไปหมด เวลากินข้าวกลับนั่งเขี่ยโทรศัพท์ เวลานอนกลับตื่นขึ้นมาเพื่อรวบรวมเศษแก้วที่เธอยังโกหกตัวเองว่ามันคือของที่ประหลาดและโบราณ นี่คือความพึงพอใจของพระเจ้า....

         “พี่ครับ ยังคิดไม่ออกหรอว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยอะไร?” 

         “ไม่รู้สิ อีกตั้งสองปีอย่าคิดมาก” เด็กสาวตอบอย่างเบื่อหน่าย พร้อมกับมองโทรศัพท์ที่ถืออยู่บนมือ

         เวลาใกล้เข้ามาพวกเขาลุกขึ้นยืนเก็บโต๊ะเรียบร้อย ปล่อยจานสองสามใบไว้บนโต๊ะ หวังว่าเช้านี้แม่บ้านจะมาทำงานหลังจากที่ลาหยุดไปเป็นเวลาหลายวัน นอกจากจะอยู่กับแม่บ้าน บ่อยครั้งที่มีลุงข้างบ้านมาแวะเวียนยืมของหรือไม่ก็นำของมาฝากพี่น้องฝาแฝดคู่นี้

        “ว่าไง จะไปโรงเรียนกันแล้วหรอ?” ลุงโรเบิร์ตทักยามเช้าทุกๆวัน เขาชอบออกมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้านนอกตากลมหนาวแถมยังต้องมีดอกกุหลาบตั้งโต๊ะตลอดเวลาทั้งๆที่เป็นช่วงฤดูหนาว จะมีถ้วยกาแฟลายสวยต้องตาแอนทริคจนบางครั้งเธอก็ขโมยมาเป็นของตัวเอง และน้องชายที่ชื่นชอบมาหยิบดอกกุหลาบสีแดงที่ตั้งโต๊ะไป เวลาคุณลุงเผลอเข้าบ้านไป

         “ถ้วยกาแฟสวยจังนะคะ คุณลุง”

         “งั้นหรอๆ สมัยนี้ก็แปลกเนอะ มีพวกชอบขโมยถ้วยกาแฟของลุงเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ถือว่าหายากมาเลยนะนั้นระดับจักพรรดิใช้เลยก็ว่าได้”

         “งั้นหรอครับ ถ้าจับได้คุณลุงจะทำยังไงดีครับ”

         “อืม...คงต้องให้เอามาคืนแล้วจับเข้าคุกละมั้งนะ”

         มาร์สเหล่มองพี่สาวตัวเองด้วยใบหน้าเย้ยหยันแบบเงียบๆแฝงด้วยนัยน์ตากวนๆนิดๆจนแอนทริคอยากจะจับกดน้ำเสียเหลือเกินในเวลานี้ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยทะเลาะกันทั้งสองยังชอบหยอกล้อกันเล่นอีกด้วยเหมือนเมื่อครู่นี้เอง...

         “อีกไม่กี่นาทีก็จะสายแล้วคะ ขอตัวนะคะ คุณลุง ลาก่อนคะ”

         “โชคดีๆ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงกังวาน แอนทริคกับมาร์สเดินไปสักสองสามก้าวได้ยินเสียงคุณลุงโรเบิร์ตไอสองสามทีแล้วก็เงียบหายไปสองพี่น้องไม่คิดสนใจอะไรเดินต่อไปเพื่อไปยังจุดหมายที่อยู่ข้างหน้า ข้ามทางม้าลายก็เจอกับตึกขนาดใหญ่ สีน้ำตาลทำด้วยอิฐมีวงแหวนอยู่ตรงกลางพร้อมกับน้ำพุรูปกามเทพน้อยสีไวโอลินอีกกับน้ำที่พุ่งออกมาตามลำตัวสวยงาม จัดด้วยสวนดอกกุหลาบในฤดูหนาว หิมะที่ถูกจับไปรวมตัวเป็นสโนแมน

         “ดูน่าเกลียดจัง ว่าไหมครับพี่” เด็กชายชี้นิ้วไปที่สโนแมนตัวเบี้ยวบูด จมูกหาย แขนทำจากกิ้งไหมหักๆ ตาหลุดไปข้างหนึ่ง ไม่สมกับเป็นสโนแมนเอาเสียเลย อยากรู้จริงๆว่าใครเป็นคนปั้นกันแน่

         “นั่นสิ น่าเกลียดจริงๆสินะ” แฝดสาววิจารณ์บ้าง

         ผ่านจากตุ๊กตาหิมะไปพี่น้องคู่นี้เดินคู่กันเข้าไปในโรงเรียนซึ้งดูแปลกหูแปลกตา นักเรียนบางรายไม่ใส่สูทมาเรียนแต่แต่งกายด้วยชุดไปรเวทธรรมดาจนแอนทริคอดสงสัยไม่ได้กับน้องชายที่ทำหน้านิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านอะไร

         “ทำไมใส่ชุดแบบนี้มากันเนี่ย?” แอนทริคสงสัย

         “นายรู้ไหม?

         “นั่นสิครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน” ใบหน้านิ่งบอก

          “ทำหน้านิ่งเหมือนรู้เลยนะนายเนี่ย”

         เด็กหนุ่มคว้าตัวคนที่เดินมาทางเขา ยังไม่ทันเดินผ่าน ก็ได้ถามอย่างลึกซึ้งด้วยใบหน้านิ่งมองตรงไปข้างหน้าไม่สบตาผู้สนทนาอยู่ตรงหน้า เขากระชากเสื้อกระตุกคนตรงหน้าสองสามครั้ง เป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กกว่าเขา มาร์สปล่อยเขาลงเพราะเห็นพี่สาวตัวเองจ้องเหมือนกับกระซิบว่าหยุดเถอะ มือทั้งสองข้างจับบ่าของร่างเตี้ยจนได้ทราบว่า ผู้คนที่ใส่ชุดไปรเวทมาวันนี้แค่มาเยี่ยมเยียนโรงเรียนเก่าหลังจากออกไปเป็นตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดชื่อดังแห่งกรุงลอนดอน สุดยอดตำรวจที่ในประเทศต่างยอมรับกันมากมายอย่างยิ่ง มาร์สปล่อยเด็กชายไปเป็นอิสระ เจ้าตัวก็หวาดกลัวในตัวมาร์สใช่เล่น...

         “ตำรวจหรอ...ฉันก็อยากจะเป็นเหมือนกันนะ”

         “ถ้าพี่เป็นละก็ คงจบทุกคดีนะครับ”

         “ชมหรอเนี่ย”

         “เปล่าครับ คนร้ายอาจจะฆ่าพี่ตายก่อนพี่จะสืบคดี พี่อาจจะจบชีวิตก็ได้นะครับ”

         แอนทริคนิ่งเงียบอยากจะยิ้มออกมาแล้วจิกหัวน้องชายกดลงกับพื้นกราบเท้าเสียเหลือเกินในเวลานี้ ช่างหาบทสนทนามาต่อกรกันดีนัก เจอแบบนี้คงหายกันนะ...

        นาฬิกาเรือนใหญ่ตีดังบอกเวลาหกโมงครึ่งเข้าเรียนพอดี อาจารย์ตั้งเวลาไว้เพื่อการเข้าเรียนโดยเฉพาะจึงจะไม่เหมือนที่อื่นนอกจากที่นี้ ช่างเป็นความคิดที่ดีสำหรับอาจารย์จริงๆ

         “งั้นแล้วเจอกันนะครับ”

         “งั้นพี่ไปแล้ว”

          พี่น้องแยกย้ายเข้าคลาสเรียนของตัวเองเป็นปกติเหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา เมื่อแอนทริคเข้าคลาสเรียนของตัวเองนั่งโต๊ะเรียนด้านหน้าตรงกลางซึ่งวิวไม่ค่อยดีสำหรับเธอเสียเท่าไหร่ เพราะเวลาถูกเรียกเธอจะเป็นคนแรกๆที่ต้องลุกขึ้นมาช่วยเพื่อนทั้งห้องตอบคำถามก่อนกลับบ้านเสมอๆ เพราะไอคิวแสนสุดยอดของเธอจึงสามารถสยบเพื่อนเก่งๆทั้งหลายไว้รวบเดียว แต่ก็ใช่ว่าน้องชายจะไม่เก่ง แต่แอบเป็นเสือซ่อนเล็บ ภายนอกดูเฉื่อยสุดยอด แต่เมื่อถึงคราวจริงๆแล้ว ไม่ไว้หน้าใครถึงแม้ว่าจะไอคิวน้อยกว่าพี่สาวตัวเองก็ตามที แต่มักจะใช้เค้นความโง่ออกมาใช่กับพี่สาวเพื่อยั่วโมโหเธออยู่ตลอดเวลา จนไม่เหลือความโง่ในเวลาสอบเลย

         เวลาผ่านล่วงเลยไปนานคนในห้องเรียนรวมถึงมาร์สที่ดูง่วงงุนสุดๆ เด็กชายนั่งริมหน้าต่างที่สุดโปรดที่กว่าเขาจะได้มาต้องหาเรื่องกับเพื่อนร่วมชั้น แต่ในท้ายที่สุดก็ได้มาครอบครองสมใจอยากของเด็กหนุ่ม เขามักจะแอบหลับในวิชาวิทยศาสตร์มากที่สุด และโง่ในเรื่องนี้มากที่สุดฝีมือดีที่สุดเช่นกันในช่วงทดลอง ทฤษฎีอย่าพูดเลยดีกว่า ต้องมาขยันในตอนใกล้สอบเท่านั้น สำหรับเขาถ้าไม่อยากทำอะไรก็ไม่มีใครสามารถดึงเขากลับมาได้ นี่คือสุดยอด ลูกชายคนเดียวของตระกูลนักมายากลเจสเตอร์ล๊อต ครอบครัวนักมายากลที่ดังในระดับหนึ่ง

         แต๊ง! แต๊ง! แต๊ง!

         เสียงนาฬิกาดังอีกครั้งเวลาความสุขของหลายๆคน

         “ฉันมีงานอยากจะทำหน่อย”

         “ผมก็มี” พี่น้องนัดกันมาเจอที่หน้าโรงเรียน

         “ฮึ! เอาจริงดิ”

         “คิดว่าผมล้อเล่นหรอครับ?

         “คงจะต้องวางแผน...”

         ยังไม่พูดขาดคำชายหนุ่มก็ลากพี่สาวตัวเองมาจอดอยู่หน้าบ้านของคุณลุงโรเบิร์ต มีงานที่พวกเขาต้องทำอีกแล้ว ขโมยของไงละ!!

          “อืม...ของฉันถ้วยกาแฟ”

         “ของผมคงต้องสวนกุหลาบที่หลังบ้านละมั้งครับ”

         “มาร์สนายนี่อะไรนักหนากับดอกกุหลาบนะ”

         “เรื่องของผมครับพี่ บางครั้ง คุณลุงก็ชอบทิ้งเงินไว้ตรงนั้นด้วยสิครับ”

         เริ่มแผนการ...เด็กสาวที่ยืนกดกริ๊งอยู่หน้าประตูบ้านใบหน้าเหนื่อยกับการเรียนมาก คุณลุงเริ่มเดินย่องๆออกมาจากบ้านที่อยากจะซักถามเธอเหลือเกิน

         “ลุงคะ คือว่ากุญแจบ้านอยู่กับน้องชายหนูคะ แต่มาร์สยังไม่กลับมาเลยคะ แม่บ้านก็กลับไปแล้วแถมไม่รับโทรศัพท์ด้วยคะ หนูขออยู่กับคุณลุงซักพักได้ไหมคะ?” น้ำเสียงอ้อนวอน กับการบังคับหุบยิ้มออกมา มันทำได้ง่ายเสียหลือเกินสำหรับตัวเด็กสาว เพราะเธอมักทำเป็นประจำไงละ

         “อีกแล้วหรอเนี่ย? แต่ช่างมันเถอะนะ เข้ามาสิ”

         ยังโง่เหมือนเดิม คนแก่นี่รู้สึกตัวช้าจังเลยน้า...

         เด็กสาวกับคุณลุงเดินเข้าไปในบ้าน ภายในหอมกลิ่นการทำอโรมาเธอราพี  มันสร้างความผ่อนคลายเป็นเอามาก และเมื่อแอนทริคได้สูดดมกลิ่นนี้เข้าไป เธอเกือบจะลืมสิ่งที่เธอต้องการจะทำ

         “หอม...”

         “แหม...ใช่ไหมละ ลุงเพิ่งได้สูตรมาจากญาติลุงเมื่อวันก่อนเอง”

         “งั้นหรอค่ะ...”

         “เอ้า นั่งตรงนี้สิ เดี๋ยวลุงเอาอะไรมาให้กิน”

         “คะ คุณลุง ขอบคุณมากคะ”

         ชายแก่เดินเข้าไปในห้องครัวที่อยู่หลังบ้านและถัดจากห้องครัวก็จะเป็นสวนดอกไม้ของเขา ซึ่งในขณะเดียวกันที่มาร์สยืนพิงรั้วสีขาวอยู่ท่ามกลางสวนดอกกุหลาบอย่างชิวๆพร้อมกับดอกกุหลาบสีแดงเข้มมาแตะที่ริมฝีปาก ชื่นชมความงดงามของมัน จนในที่สุดก็สำเร็จไปได้หนึ่งแล้ว เหลือเพียง ถ้วยชา

         “คุณลุงคะ ขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะค่ะ” แอนทริคลุกขึ้นยืน ตรงไปที่ห้องน้ำที่อยู่ในห้องด้านซ้ายมือของเธอ ห้องน้ำสีขาวดูสะอาดตาชักโครกสะอาด ไม่น่าเชื่อตั้งแต่แรกที่เธอเข้ามา ที่นี้คือบ้านของผู้ชายจริงๆหรอ สะอาดยิ่งกว่าบ้านของเธอซะอีก เด็กสาวปิดฝาชักโครกลง เหยียบปีนขึ้นไปพร้อมกับค่อยๆดันเพดานขึ้นไป ถอดรองเท้าไว้บนชักโครก เธอเคยใช้มันขโมยของที่บ้านของคุณลุงโรเบิร์ตครั้งแรกเริ่ม แอนทริคเป็นอัจฉริยะโจร เธอเริ่มขโมยของตั้งแต่อายุสิบสามปีเท่านั้น เด็กสาวฝึกกับพ่อของเธอโดยเริ่มจากขโมยผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บอยู่ที่เอวของคุณพ่อทุกวันในขณะที่เขากำลังรับประทานอาหารเช้าอย่างไม่รู้ตัว ขโมยสร้องเพชรของคุณแม่ในขณะที่นางกำลังทำความสะอาดบ้าน โดยมักใช้วิธีที่ดูเรียบง่ายจนต้องมองเลยข้ามไป ส่วนเรื่องโกหกนั้นเป็นใครไม่ได้นอกจากผู้สมรู้ร่วมคิดก็คือน้องชายของเขาที่สร้างความเชื่อถือเบี่ยงเบนความสนใจไปยังคนอื่น จนบางรายถึงกับต้องเข้าคุกโดยไม่มีความผิดอันใด ตำรวจน้อยคนที่มักคิดว่าเป็นฝีมือเด็กแต่สุดท้ายก็ได้แพะรับบาปไป

         มีเชือกหย่อนลงมาจากด้านบน เด็กสาวเกาะเชือกแน่นใช้แรงของตัวเองดึงตัวเองขึ้นไป เชือกที่ผูกติดกับคาไม้บนห้องใต้หลังคาที่มีฝุ่นเกาะจนทำให้แอนทริคเกือบจะจามออกมา

         “ไอ้น้องเวรนี่ ไม่ช่วยกันเลย คอยดูเดี๋ยวจะเด็ดกลีบกุหลาบให้เหลือแต่ก้านเลย” เด็กสาวบ่นพึมพำ มือทั้งสองข้างปัดเสื้อผ้าเบาๆ ที่ห้องใต้หลังคาบนพื้นไม้มีรอยแผ่นไม้ที่ขุดขีดด้วยสีแดงเล็กๆ เธอค่อยๆยกแผ่นไม้สี่แผ่นที่เรียงติดกันออกมาเหลือช่องที่เป็นปูนถูกเจาะจนทะลุเป็นวงกลมพอดีตัวของเธอ แอนทริคค่อยๆใช้มือของเธอยกเพดานขึ้นมา มีเศษฝุ่นละอองเต็มไปหมด สองเดือนกว่าแล้วที่เธอไม่ขโมยจนมาถึงวันนี้ 

         เธอค่อยๆหย่อนตัวลงไปในขณะที่คุณลุงกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมชาร้อนๆสำหรับแอนทริคโดยไม่รู้เลยว่าเธอก็กำลังขโมยถ้วยชาของเขาด้วยเช่นกัน 

         “อ่าว...แล้วใบชาฉันเก็บไว้ไหนแล้วละเนี่ย” คุณลุงโรเบิร์ตที่กำลังงุนงงกับตู้เก็บของบนหัวเขา

         กริ๊งงงง

         “อ่าวแล้วนั่นใครมาอีกละ”

         จังหวะเดียวกันขณะที่คุณลุงหันหลังมาเด็กสาวถึงกับสะดุ้ง

         พรึบ!!

        “เอ๊ะ! แอนทริคหรอ? คงไม่ใช่แหละ”

         เฉียดฉิวแอนทริคจับเชือกเหวี่ยงตัวเก็บเชือกเกาะอยู่ที่กำแพงหายใจหอบเหนื่อย แล้วค่อยๆหย่อนตัวลงอีกครั้งเพื่อทำภารกิจส่วนตัวของเธอให้สำเร็จ

    ..................................................................................................

         แกร๊ง!

         “อ้าว มารับหนูแอนทริคเขาหรอ?

         “ครับ คิดว่าน่าจะเข้าบ้านไม่ได้”

          “หนูแอนทริคเข้าห้องน้ำอยู่เพราะฉะนั้นเข้ามาก่อนไหม?

         “ไม่เป็นไรหรอกครับสักพักเดี๋ยวก็มาเอง...อะนั่น!!” เด็กสาวเดินออกมาจากห้องน้ำเหงื่อตกเธอรวบผมขึ้นมัดให้เรียบร้อย

         “ขอโทษนะคะ คือว่าปวดท้องไปหน่อยก็เลยช้า มาร์ส พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้เอากุญแจบ้านไว้ที่ลับนะ ทำไมไม่ฟังเลยห่ะ!?"

         “ผมลืม”

         เด็กสาวแสดงสีหน้าอารมณ์เสียแต่ก็หันมายิ้มให้กับคุณลุงก่อนที่เธอจะกล่าวลา

         “ขอบคุณนะคะคุณลุง ส่วนเรื่องน้ำชาคุณลุงคงจะไม่ว่านะคะ?

         “ช่างมันเถอะ อีกอย่างผมหนูไปโดนอะไรมานะ หยักไย่เปราะผมแบบนั้น”

         แอนทริคเริ่มใช้มือคลำที่ศีรษะตัวเองพบกับเศษฝุ่นที่เกาะอยู่บนเส้นผม

          แย่แล้ว ทำไงดีถ้าเป็นแบบนี้ ต้องรู้แน่ว่าเราขโมยถ้วยชาไป เวรเอ้ย!!

         “พี่เขาชอบไปไปคุ้ยหากุญแจแถวๆรั่วหลังบ้านนะครับ ก่อนหน้านี้คุณลุงไม่เห็นหรอครับ?

          “งั้นหรอๆ ลุงไม่ได้สังเกต โชคดีนะ มาร์สก็อย่าลืมเรื่องกุญแจอีกละ”

         แอนทริคเริ่มถอนหายใจใบหน้าสีขาวนวลเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เป็นครั้งแรกที่แผนการของเธอเกือบจะพังก็ว่าได้ แต่เพราะมีน้องชายช่วยเหลือเอาไว้นั้นเป็นความน่าอายครั้งใหญ่แต่ความดีใจมันมีมากจนเกินไปจนแสดงออกจากสีหน้าท่าทาง

         ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มบรรยากาศเย็นยะเยือกบวกกับพยากรณ์อากาศที่บอกว่าจะมีหิมะตกในช่วงตอนเที่ยงคืนตรงถ้าดูเวลาจาก หอนาฬิกาบิ๊กเบน ของกรุงลอนดอน แอนทริคที่อาบน้ำพร้อมเข้านอนกำลังยืนคอยอยู่ที่หน้าต่าง วันนี้ท้องฟ้ามีเมฆมากเสียจนมองไม่เห็นดาวสักดวง พวกเขาหวังว่าพ่อและแม่จะมองท้องฟ้าสีเทาหม่นๆนี่พร้อมกัน

         “จริงสิ! พี่ครับ ผมเจอสร้อยอัญมณีสีน้ำผึ้งนี่ตกอยู่ที่สวนกุหลาบนั่น”

         “สร้อย? อัญมณี? สร้อยอัญมณีเนี่ยนะ!!!

        เพราะความอยากรู้อยากเห็นเด็กสาวไม่รอช้าเดินตรงดิ่งเข้าไปหาน้องชายที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา เด็กสาวแสยะยิ้มบางๆดูอัญมณีสีน้ำผึ้งที่ไม่มีรอยขูดขีดหรือแตกใดๆเหมือนเพิ่งเจียระไนเสร็จออกมา

         “สวยจริงๆ ฉันขอนะ!

         “ผมเป็นคนเจอนะครับ” ใบหน้านิ่งเฉยพูด

          “นายก็ไม่ได้ใช้อะไรอยู่แล้วนี่นา ว่าแต่อยากรู้ตั้งแต่จะเกิดโลกนี้แล้ว ทำไมนายต้องเอาดอกกุหลาบมาด้วยละเกือบทุกวันเลย แถมต้องเป็นดอกที่บานสะอย่างกับก้นขวด?

         “จะบอกให้เอาบุญก็ได้นะครับ เพราะผมสร้างการทดลองที่เป็นความลับอยู่บอกแค่นี้ก็เหลือเฟือยแล้วครับ”

         “แต่เดี๋ยวนะเจ้าวิ้งวับนี่มัน!?” แอนทริคเหงื่อตกกระทันหันใบหน้าซีดแต่เพียงน้อยมองดูสร้อยที่ตัวเองถือไว้ในมือ

          “ไม่ได้ฟังผมเลยหรือครับ? หืม”

         “เพชรนี่มัน...ลอนดอนสมัย ปี 1888 ยุควิคตอเรียแถมยัง...บ้าน่า!!

         “อะไรเกิดอะไรขึ้นกันแน่บอกมาเร็วๆสิ!” มาร์สขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพลางยืนขึ้นทำให้เขาสูงกว่าแอนทริคจึงต้องก้มหลังนิดๆมามองสร้อยที่แอนทริคถืออยู่ในมือ


           “แจ็ก เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรโหดแห่งกรุงลอนดอนในยามรัติกาล!

          “แจ็ก เดอะ ริปเปอร์....ใคร?

         แอนทริคเริ่มอธิบายใบหน้าของเธอไม่สู้ดีนัก แต่ก็มีมาร์สที่ช่วยควบคุมสติให้จดจ่ออยู่กับเขาอยู่

         “แจ็ก เดอะ ริปเปอร์ คือ ฆาตกรโหดที่อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษเหมือนกับเรา เขาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ฆ่าหญิงโสเภณีในย่านสลัม ไวต์ชาเปล และที่กังวลคือ อัญมณีเม็ดนี้...เป็นของโสเภณีที่ แจ็ก เดอะ ริปเปอร์ได้สังหารนั่นเอง แถมตำรวจชาวสก๊อตแลนด์ยาร์ดก็ยังจับกุมฆาตกรโหดนี่ไม่ได้”

          “งั้นทำไม? อัญมณีเม็ดนี้ถึงตกอยู่ที่สวนกุหลาบของคุณลุงละ?

         ความเงียบสงัดมาเยือนพวกเขาใบหน้านิ่งเฉยของเด็กหนุ่มแต่แฝงด้วยความสงสัยกับใบหน้าขมวดคิ้วของแอนทริคที่ก็สงสัยไม่แพ้กัน แอนทริคหลับตาสูดลมเข้าปอด

         “อืม...มีความเป็นไปได้อยู่ยี่สิบเปอร์เซ็นที่ทวดของทวดคุณลุงอาจจะเป็นตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีแจ็กก็เป็นได้นะ”

         “แต่มันควรจะเก็บไว้ที่เดียวกับแฟ้มคดีแจ็กนี่ครับ?

         แอนทริคหน้ามุ่ย ริมฝีปากที่เผยยิ้มของเธออาจจะเป็นคำตอบก็ได้

         “ฉันอาจจะดูผิดก็ได้มั้ง”

         มาร์สเริ่มทำหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อแอนทริคพูดประโยคดังกล่าวออกมา เขาเดินเข้าห้องอย่างเงียบๆทิ้งแอนทริคไว้ยิ้มแห้งๆที่โซฟาคนเดียว เธอถืออัญมณีกำมันแน่นลุกขึ้นปิดไฟแล้วเข้าห้องที่อยู่ติดกันกับน้องชายของเธอ ในขณะที่มาร์สก็กำลังปิดไฟเข้านอนเช่นกัน

         “กรี๊ด!!!

         เด็กชายถึงกับผงะ ในที่นี้หมายถึงสะดุ้งอย่างประหลาดใจ เสียงพี่สาวของเขาเองไม่ผิดแน่ เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ชายหนุ่มเปิดประตูห้องของเขาออกมา แล้วตรงไปห้องแอนทริค

         ก๊อกๆ

         “เป็นอะไรหรือเปล่าครับพี่?!”

         ไม่มีเสียงตอบกลับมา มาร์สเริ่มไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นในนั่นถึงกับต้องใช้แรงของตัวเองผลักประตูเข้าไป แสงสีขาวแสบตาปรากฏตรงหน้าเข้าพร้อมกับแอนทริคที่ถอยกรู่ติดกำแพง

         “เกิดอะไรขึ้น!” มาร์สถาม

         “อะ...อะ..อัญ..อัญมณีนั่น จู่ๆมันก็ร้อนที่มือพี่ไปหมดแล้วมันก็ ..ก็เป็นอย่างที่เห็นแหละ”

         เด็กชายเดินเอี้ยวตัวถอยห่างจากสร้อยมาหาแอนทริคที่ตัวติดอยู่กับหน้าต่าง แสงสีขาวสว่างจ้ากว่าเดิมและมันก็ยิ่งทำให้พวกเขายิ่งแสบตาไปใหญ่ หนักกว่าตอนที่ตื่นจากฝันแล้วโดนพระอาทิตย์ส่อง แอนทริคเริ่มขยับตัวแต่แล้ว

         พรึบ!

         แสงสีขาวก็ดับลง

         พรึบ!!

         กรี๊ด!!” เด็กสาวกรีดร้องอย่างไม่เป็นภาษา

         หลอดไฟที่สว่างไสวกับลงเช่นกัน ไฟในบ้านพวกเขาดับหมด มีเพียงแสงไฟจากบ้านตรงข้ามส่องมาเล็กน้อย

         “เงียบสักทีได้ไหมพี่ แก้วหูผมจะแตกแล้วนะ!

         ทันใดนั้นหลังจากที่มาร์สสยบพี่สาวตนเองให้เงียบ ก็มีประกายไฟที่อัญมณีสีน้ำผึ้งแสงสีทองสว่างไสว มันค่อยๆมาล้อมรอบตัวแอนทริคและน้องชาย สวยงามราวกับเป็นผงทรายที่มาเล่นกับพวกเขา ยังกับมนุษย์ทรายที่คุณแม่เล่าให้ฟังตอนเด็ก แสงเริ่มสว่างอีกครั้งคราวนี้มันไม่ดับลงเลย ในความมืดที่มีเพียงสองพี่น้องยืนตะลึงอยู่ กระทั้งมันสว่างจนต้องหลับตาปี๋กันเลยทีเดียว พวกเขาเนื้อตัวชาไปทั้งร่างกาย หัวใจเต้นเร็ววูบ สมองเหมือนกำลังถูกดูด ความปวดร้าวทั้งร่างกายฉุดให้พวกเขาทรุดลงกับพื้น แสงสีทองเริ่มละเลือนหายไป ลมหนาวเย็นวูบพัดเข้าร่างกายทั้งสองคน ร่างกายที่ชาเริ่มหายจนกลับมาเป็นเหมือนเดิม แอนทริคขยี้ตาตัวเอง

         “ที่นี่...มัน..”

        “อะไรกันเนี่ย!” มาร์สอุทานขึ้นพร้อมกับสบถคำหยาบต่างๆนานา เมื่อเห็นว่าร่างกายตัวเองมายืนอยู่ริมถนนใต้โคมไฟ อากาศหนาวเย็นพร้อมหมอกที่สกปรกกลิ่นเหม็นควันบางอย่าง เด็กหนุ่มมองพี่สาวตนเองที่กำลังยืนเหงื่อตกทั้งๆที่บรรยากาศรอบข้างควรจะหนาวแท้ๆ

         “นั่น!” เด็กชายชี้ไปที่คอของแอนทริค เธอค่อยๆคล้ำที่คอ สร้อยอัญมณีสีน้ำผึ้งเมื่อตอนนั้น มันกลายเป็นของเธอไปแล้ว

         “เธอก็เหมือนกัน!” เด็กสาวชี้นิ้วทไปที่คอของเด็กหนุ่มเช่นกัน

         อัญมณีถูกแบ่งครึ่งกันระหว่างพี่กับน้อง สร้อยคอสองเส้น

          “ทำไมเป็นแบบนี้!


           เสียงร้องไม่เป็นภาษาตะโกนพร้อมนกหวีดดังลั่น เด็กสาวกับเด็กหนุ่มเงียบนิ่ง ยืนแข็งทื่อราวกับก้อนหิว นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ที่นี่มันที่ไหนกันแน่ ทั้งๆที่มันควรจะอยู่ที่ห้องของเขานอนหลับกันอย่างมีความสุข ตื่นเช้าไปโรงเรียน ขโมยถ้วยน้ำชากบดอกกุหลาบด้วยซ้ำไป นั่งเถียงกันอยู่ทั้งวัน ทั้งๆที่มันควรเป็นแบบนี้ ทุกคนยังคงเดินไปเรื่อยๆไม่รู้สึกอะไรเหมือนผีดิบ ยกเว้นสองพี่น้องที่สะดุ้งกับเสียงนกหวีด 

         “สงสัยเราจะมา...ผิดที่แล้วละ” แอนทริคบอกกล่าว ใบหน้าผงะตื่นตกใจเล็กน้อยพร้อมกับผิวสีซีดเหมือนผีดิบ 

          “อัญมณีเม็ดนี้ ที่พาเรามา” มาร์สทำหน้าวิตก เขายืนกอดอกคดตัวของตัวเองเพราะความหนาวเหน็บของอุณหภูมิ

          รอบข้างยังมีผู้คนส่วนน้อยที่ยังเดินอยู่บ้างรถม้าที่วิ่งฉิวไปบนถนน

         ทางขวามือเป็นตึกเรียงกันเหมือนแถวขนมปังยาว ส่วนทางซ้ายมือเป็นร้านอาหารสวยหรูกับร้านขายเสื้อผ้ายุคโบราณที่ปิดร้านไปแล้ว เด็กหนุ่มหันซ้ายหันขวามองดูสิ่งที่เคลื่อนไหวรอบกายเขา ผู้คนต่างพากันมองพวกเขา ที่ไม่ใส่ร้องเท่ากับเสื้อผ้าแปลกสำหรับพวกเขา เสียงซุบซิบเริ่มดังคล้ายกับว่าพูดถึงตัวตลกแอนทริคและมาร์สอยู่เลย ใบหน้าน่าหมั่นไส้ของพวกเขาชักจะทำให้มาร์สเริ่มทนไม่ไหวกับแอนทริคที่กดดันเอามากๆไม่กล้าสบตาพวกเขาเลย

         “ไปกับผมนะครับเด็กน้อย” ชายส่วมสูทกับหมวกใบสูง ใบหน้าหล่อเหลาเกรี่ยงเกลามองด้วยสายตาอ่อนโยนกับชายหนุ่มอีกคนที่เดินตามหลังมาเขาใส่แว่นกับหมวกสูงสวมสูทเช่นกันพร้อมเรียกรถม้าให้มาทางเขา สายตาผู้คนอึ้งชั่วครู่แล้วพากันเดินเลี่ยงหนีอย่างไม่สนใจอีกต่อไปเพราะรถม้าที่ชายหนุ่มแว่นเรียกมาบังตัวแอนทริคและมาร์สออกจากสายตาผู้คน

         “คุณเป็นใคร??

         “สร้อยเส้นนั้น ผมมีอะไรต้องคุยกับคุณอีกมากเลยครับเด็กน้อย” เขาไม่สนใจใยดีสำหรับคำถามของแนทริคเพียงแต่ตอบสิ่งที่ตัวเองพึงใจ สำหรับความคิดของมาร์ส เขาต้องเป็นพวกสนใจแต่ตัวเอง

         “เอาเป็นว่าคุณอยู่กับผมแล้วปลอดภัยเชิญขึ้นรถม้าเลยครับ” เขาผายมือไปที่รถม้าพร้อมเปิดประตูให้ด้วย แอนทริคยังคงระแวงและมาร์สที่จับแขนพี่สาวตัวเองไว้ ทั้งสองมองหน้ากันสุดท้ายความไว้ใจทำให้ขาข้างซ้ายของแอนทริคก้าวผ่านชายหนุ่มไปขึ้นรถม้า

          “ไม่ต้องกังวลครับ นั่งให้สบายเลย” ชายหนุ่มแว่นดำขึ้นตามมาหลังสุดยิ้มให้กับพวกเขาถอดหมวกวางไว้บนตักกระตุกแว่นหนึ่งครั้งแล้วยิ้มให้พวกเขาอีกที

         “คดีของเราคงต้องอีกนาน...”

         

    ขอบคุณที่ปรึกษา : KuroTenshi 




    คะ คุยกันก่อน ไรต์มาเรื่อง 'ขอบคุณ' ถึงแม้อาจจะเป็นนักอ่านเงา
    แต่ไรต์ก็ยินดีอย่างยิ่ง ถึงไม่มีคนอ่านแต่ไรต์ก็อยากจะเขียนลงในนี้ว่า
    ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ทุกคนมอบให้ ครอบครัว เพื่อนๆ และคนรู้จัก
    ขอบคุณมากคะ ปีใหม่นี้มีความสุขเยอะๆนะ

    .
    .
    .
    .

    บทที่1 แนวเรื่องเป็นยังไงมั้งคะ? อยากรู้ว่าคนอ่านจะคิดเหมือนกันมั้ยว่า สองหนุ่มสุดท้ายเนี่ย...ใครกันนะ?
    ไรต์ว่าทุกคนน่าจะรู้จักดีถ้าไรต์แสดงชื่อออกไป ^^ บทที่2 จะเต็มที่นะคะ เพราะเรื่องนี้ไรต์ว่าไรต์แต่งดีนะ -3-

     


    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×