ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Once Upon A Love [MarkBam]

    ลำดับตอนที่ #3 : นิทานบทที่ 2 :: เธอคนนั้น (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 320
      3
      22 เม.ย. 59




    นิทานบทที่ 2

    "เธอคนนั้น"



     

     

     

     

           เสียงใสของนกน้อยดังก้องกังวานไปทั่วผืนป่าต้อนรับเช้าวันใหม่ ฤดูใบไม้ร่วงย่างฤดูหนาวเช่นนี้ทำให้อากาศเริ่มเย็นลงหากกลับทำให้ธรรมชาติรอบตัวยิ่งอวดโฉมความสวยงามออกมามากยิ่งขึ้น ร่างน้อยในชุดกระโปรงแขนยาวสีครีมกำลังทอดน่องไปตามทางเดินในป่า เส้นผมสีทองประกายราวเส้นไหมต้องกับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปากอิ่มสีแดงสดขับขานเพลงโปรดแข่งกับเสียงของนกน้อยในขณะที่ขาเรียวก็ก้าวย่างไปตามทางเดินที่คุ้นเคยอย่างไม่รีบร้อน

     

     

                สีเทาเริ่มจางหาย ... เมื่อสีสันแต่งแต้มบนนภา ความหนาวเย็นเริ่มเปลี่ยนเป็นไออุ่น เมื่อดวงตะวันเริ่มฉายแสงเสียงใสดังไปตลอดทางที่เดินผ่าน ร่างน้อยถือตะกร้าสานใบโปรดเดินไปตามทางเรื่อยๆดั่งที่เป็นมาในทุกวัน สองข้างทางเต็มไปด้วยใบไม้แห้งสีแดงจากการผลัดใบของต้นไม้ใหญ่เริ่มสลัดใบไม้ตกลงมากองทับถมมากขึ้นทุกวัน

     

     

                หญิงสาวหลงทางค้นพบทางเดิน ... เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มฉายแสงจากด้านทิศตะวันออก ... ท้องฟ้ามืดมัวเปลี่ยนเป็นสีคราม ... ราวกับสีดวงตาคู่นั้นของเขาเสียงท่องบทกลอนประโลมโลกที่เจ้าตัวเคยได้ยินมาจากใครบางคนแถวร้านขนมปังในตัวเมืองดังออกมาเจื้อยแจ้ว ดวงตาคู่สวยราวดวงดาวยามค่ำคืนกวาดมองไปรอบกายเพื่อมองหาดอกไม้สีขาวที่เขามักจะมาเก็บมันไปปักแจกันในทุกๆเช้า หากทว่าฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้การจะหาดอกไม้สักดอกเริ่มกลายเป็นเรื่องที่ยากมากกว่าเมื่อก่อนยิ่งนัก

     

     

                “ความมืดเปลี่ยนเป็นแสงสว่าง ... สีเทาเปลี่ยนเป็นสีคราม ... หลงทางเปลี่ยนเป็นค้นพบ ... เมื่อยามที่ฉันพบเธอร่างน้อยยิ้มขำกับกลอนที่ตัวเองกำลังท่อง เคยได้ยินใครสักคนท่องผ่านๆแต่กลับมาติดซะเองช่างน่าขำ โคลงกลอนหรือนิยายปรัมปราคือสิ่งที่เจ้าตัวไม่คล้อยตามแต่กลับชอบอ่านอยู่บ่อยๆ อันที่จริงบางครั้งเขาก็อ่านเพื่อฆ่าเวลาเพราะเคยมีใครบางคนกล่าวว่า ภาษา บทกวี และสตรีคือของคู่กัน ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะทำตามคำกล่าวของใครคนนั้นซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร เพราะพิจารณาแล้วพบว่าชีวิตของเขาขลุกอยู่กับหนังสือปรัชญาและประวัติศาสตร์การเมืองมากเกินไปแล้ว แต่ในความเห็นของเขานิยายปรัมปราส่วนมากหรือเทพนิยายประโลมโลกก็มักจะจบในแบบคล้ายๆกัน แล้วทั้งคู่ก็ครองรักกันตราบชั่วนิจนิรันดร์

     

     

                อยู่ๆรอยยิ้มบางก็ปรากฏขึ้นมุมปากแต่ทว่าดวงตาประกายที่เคยสดใสกลับหลุบมองต่ำดูเศร้าลงไปถนัดตาเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ถ้าหากสุดท้ายแล้วทุกคนจะได้ครองรักและอยู่ข้างกันตราบชั่วนิจนิรันดร์ หากเป็นเช่นนั้นจริงทำไมพ่อแม่ของเขาจึงจากไปปล่อยให้เขากลายเป็นเด็กกำพร้าเช่นนี้ล่ะ

     

     

                ความรักแท้จริงคืออะไร สัมผัสได้หรือไม่ หรือแท้จริงแล้วมันไม่เคยมีอยู่เลย ...

     

     

                ฮึก ... ฮือออเสียงสะอื้นจากใครบางคนที่ได้ยินมาจากที่ไม่ไกลทำให้สาวน้อยหลุดออกจากความคิด ใบหน้าสวยหวานหันมองหาต้นกำเนิดเสียง สองเท้าที่กำลังย่างเปลี่ยนเส้นทางเพื่อตามเสียงที่ดังขึ้นนั้นไปตามสัญชาติญาณ

     

     

                ฮึก ... ตาเสียงที่ตามมาชัดเจนขึ้นเมื่อภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือหญิงชราใบหน้าเปียกโชกไปด้วยน้ำตา บนตักนั้นมีชายชราใบหน้าซีดเซียวหลับตานอนแน่นิ่ง สาวน้อยใจกระตุกวูบก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าออกจากหลังพุ่มไม้ที่ยืนหลบอยู่ เสียงย่ำพื้นดินดังขึ้นทำให้หญิงชราหยุดร้องไห้และเงยหน้าขึ้นมามองผู้มาใหม่ ร่างเล็กค่อยๆนั่งลงข้างๆสองตายาย มือเรียวจับฮู๊ทของเสื้อคลุมตัวยาวถอดออกเผยให้เห็นใบหน้างดงาม ผิวขาวดุจดังหิมะตัดกับริมฝีปากแดงดั่งกุหลาบ งดงามราวกับนางฟ้า หญิงชราคิดได้เพียงเท่านั้น

     

     

                เกิดอะไรขึ้นหรือคะคุณยายเสียงใสเอื้อนเอ่ยถามอย่างห่วงใยจนน้ำตาของหญิงชรากลับมาไหลอีกครั้ง ใบหน้าเหี่ยวย่นจากริ้วรอยของช่วงอายุดูเศร้าแทบขาดใจ

     

     

                ตาเค้าจะไม่อยู่กับยายแล้วแม่หนู ... แม่หนูรู้ไหมว่ายายมันเป็นเมียที่ไม่ได้เรื่องเลย ตาเค้าป่วยหนักแต่ยายพาตาไปรักษาไม่ได้เพราะพวกเราไม่มีเงินพอ ฮึกกก ... แค่ข้าวกินไปวันๆยังไม่มีจะกินเลย ชีวิตมันลำบากแต่เราก็อยู่ข้างกันมาตลอด แต่ตอนนี้ตาเค้าไม่ไหวแล้วยายคงจะต้องปล่อยเค้าไป ฮึก ... แต่ยายจะอยู่ยังไงล่ะแม่หนู ยายจะอยู่ยังไงต่อไป ฮือออ ... เสียงร่ำไห้ราวกับใจจะขาดดังออกมาพร้อมกับคำพูดตัดพ้อต่อโชคชะตาชีวิต มันพรั่งพรูออกมาอย่างเหลือเก็บเมื่อตรงหน้ามีใครสักคนมารับฟังคนแก่อย่างเขา ร่างเล็กที่นั่งฟังเงียบๆด้วยความสะเทือนใจจนพูดไม่ออกค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือคุณยายไว้แน่นเป็นการส่งกำลังใจแม้ไม่ได้พูด แรงบีบเบาๆเพื่อให้กำลังใจทำให้คุณยายแนบหน้าลงกับฝ่ามือน้อยนั้นตัวสั่นจากแรงสะอื้นและเรี่ยวแรงก็แทบจะหมดลงไปตามผู้เป็นสามี

     

     

                สาวน้อยก้มมองหญิงชราด้วยแววตาสลดก่อนจะละความสนใจหันไปมองยังใบหน้าของชายชรา แววตาใสสั่นระริกอย่างคนที่กำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง ใบหน้าซีดเซียวของชายชราที่กำลังจะลาลับโลกใบนี้ไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติยิ่งย้ำเตือนให้คนตัวเล็กเข้าใจโลกมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อยามที่ละสายตากลับมามองหญิงชราที่อิงตัวร้องไห้อยู่กับเขาแทบจะขาดใจก็ยิ่งให้ทำสาวน้อยอดคิดไม่ได้ว่าทำไมโลกนี้ถึงไม่ยุติธรรม

     

     

                ใบหน้าสวยลากสายตากลับไปมองยังชายชราที่นอนนิ่งหายใจรวยรินอีกครั้ง ก่อนที่แววตาวูบไหวคู่นั้นจะแปรเปลี่ยนกลับมานิ่งสงบราวผืนน้ำในทะเลสาบ ปากอิ่มเผยออกก่อนจะตัดสินใจเอื้อนเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา ...

     

     

    คุณยายหยุดร้องไห้เถอะค่ะ เดี๋ยวหนูจะช่วยคุณยายเองเพียงเท่านั้นใบหน้าสะอื้นไห้ก็กลับกลายเป็นสงสัยทันที หญิงชราเงยหน้าขึ้นมามองด้วยใบหน้าที่น้ำตายังไม่หยุดไหล

     

     

    หนูจะช่วยอย่างไงลูก

     

     

     

    ----- Once upon a love -----

     

     

     

     

     

     

           มือเรียวคู่สวยประคับประคองตะกร้าสานที่มีช่อดอกไม้สีขาวช่อโตวางอยู่อย่างดี แสงแดดตอนสายสาดส่องให้ความอบอุ่นมากขึ้นกว่าเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ร่างเล็กในกระโปรงครีมอ่อนเดินยิ้มไปตามทางเดิมที่เดินมา เส้นผมสีทองสยายเต็มแผ่นหลังบาง หลังจากที่ตกปากรับคำว่าจะช่วยหญิงชราที่น่าสงสารไป เขาก็พยายามสุดความสามารถจนในที่สุดคุณตาที่เกือบจะถูกพระเจ้าพรากลมหายใจไปจากคุณยายก็กลับรอดตายได้อย่างปาฏิหาริย์สร้างความดีใจให้กับหญิงชรามากกว่าสิ่งอื่นใด ก่อนแยกจากมาคุณยายได้มอบดอกไม้ช่อโตที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้เป็นของตอบแทนที่ได้มอบชีวิตใหม่ให้คนชรา ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีราคาค่างวดใดๆ แต่หญิงสาวก็รับมันไว้ด้วยความเต็มใจ

     

     

                จากที่เชื่อไม่สนิทใจว่ารักแท้นั้นมีอยู่จริง พอได้เห็นความรักที่คุณยายมีให้คุณตาครั้งนี้ ความคิดที่ว่าการอยู่ข้างกันชั่วนิจนิรันดร์ด้วยความรักนั้นก็ดูเหมือนจะมีน้ำหนักขึ้นมานิดหน่อย ...

     

     

                รักแท้อาจจะมีอยู่จริงก็ได้ แต่คงไม่ใช่กับทุกคน ...

     

     

                เขาเคยอ่านปรัชญาความรักจากหนังสือเล่มหนึ่งที่วางตั้งไว้ในห้องสมุดที่บ้าน มันกล่าวว่าบนโลกใบนี้นั้นมีความรักมากมายและล้วนแตกต่างกันไป ความรักต่อเพื่อนร่วมโลก รักของพ่อแม่  รักของพี่น้อง หรือรักที่มีต่อสิ่งที่หลงใหล เช่นเวลาที่เรารักที่จะทำอะไรสักอย่างเหมือนที่เขารักการอ่านหนังสือ รวมถึงรักสุดท้ายที่ดูจะมีค่าเหลือเกินก็คือความรักของคู่รัก แต่ทำไมในความคิดขวางโลกน้อยๆของเขากลับคิดว่ามันดูเป็นความรักที่ ... สัมผัสไม่ได้ และพิสูจน์ได้ยาก

     

     

                อย่างน้อยความรักอื่นๆก็ยังพอจะพิสูจน์ได้บ้าง

     

     

                พิสูจน์ได้อย่างไร ... นี่คงจะเป็นคำถามที่เกิดขึ้นตอนนี้

     

     

    ยกตัวอย่างความรักที่มอบให้เพื่อนร่วมโลก ตั้งแต่เด็กเขาถูกปลูกฝังมาว่าให้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ทุกข์ยาก หรือเจ็บปวดจากการเจ็บป่วย แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเขาคือหมอที่เที่ยวรักษาคนไปทั่วเลย

     

     

    เพราะความจริงแล้วเขามีสิ่งหนึ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

     

     

    เป็นสิ่งที่บางครั้งคุณหมอบางคนก็ยังทำไมได้

     

     

    แล้วมันคืออะไรล่ะ ...

     

     

    สาวน้อยก้มมองดอกไม้ในตะกร้าก่อนจะยกนิ้วเรียวสวยขึ้นมาลูบเบาๆ นิ้วชี้ข้างซ้ายที่มีรอยบาดบางๆปรากฏต่อสายตาทำให้คำสอนของกวีท่านหนึ่งผุดขึ้นมา กวีท่านนั้นได้กล่าวไว้ว่า รอยแผลเป็นคือร่องรอยของการใช้ชีวิต และการใช้ชีวิตคือการมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นไม่ใช่ตัวเอง

     

     

    ใช่ ... การใช้ชีวิตคือการมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นอย่างที่เขาทำมาตลอดนั่นไง

     

     


    .

    .

    .

    .

    .

     

     

    แล้วหนูจะช่วยยังไงล่ะลูกร่างน้อยไม่ตอบหากมีแต่เพียงใบหน้าที่กำลังมองคุณยายเท่านั้นที่ยิ้มให้เพียงเบาๆ หญิงชรานึกฉงนในใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีกเมื่อเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้ากำลังหยิบมีดเล็กในตะกร้าสานที่เธอถือขึ้นมาเพื่อทำอะไรสักอย่าง และในทันใดนั้นเองปลายมีดคมวาวก็ถูกกดลงไปที่ปลายนิ้วเรียวสวยเบาๆก่อนที่เลือดจะไหลซึมออกมาสร้างความตกใจให้หญิงชรายิ่งนัก และยิ่งสร้างความตกใจมากขึ้นเมื่อเลือดที่ไหลรินออกมานั้นเป็นสีขาว !

     

     

    หญิงชรามองเลือดสีขาวบริสุทธิ์ที่ไหลรินออกมาเพิ่มขึ้นด้วยความตกใจสลับกับมองใบหน้าเรียบเฉยของคนตรงหน้า ใบหน้าเรียบเฉยดูไม่ตกใจหรือเจ็บปวดใดๆราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ ร่างเล็กค่อยๆพยุงชายชราขึ้นมาก่อนจะค่อยๆยื่นนิ้วเรียวที่มีหยดเลือดสีขาวแตะเบาๆที่ริมฝีปากแห้งของชายชรา คุณยายมองใบหน้าของสามีสลับกับใบหน้านิ่งของหญิงสาวอย่างช่างใจและประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น 



    รอบตัวเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมยามเช้าพัดหวีดหวิวในป่ากว้าง ได้ยินเสียงฝูงนกที่บินออกมาหากินดังมาจากท้ายป่าไกลๆ และแล้วในตอนนั้นเองสิ่งที่หญิงชราไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อเมื่อสิ่งที่เหลือเชื่อปรากฏต่อหน้า ใบหน้าซีดของผู้เป็นสามีค่อยๆซับสีเลือดฝาด ก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆเปิดออกช้าๆเพียงแค่ได้สัมผัสกับเลือดสีขาวบริสุทธิ์ของหญิงสาวปริศนาคนนี้ ...

     

     

    ตา!’ หญิงชราตัวสั่นด้วยความตกใจและดีใจผสมปนเปกันไปหมด หญิงสาวค่อยๆพยุงคุณตาส่งให้คุณยายในอ้อมอกก่อนจะผละออกมามองดูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

     

     

    แม่หนู! มันเป็นไปได้ยังไงกัน ฮึก ... แม่หนูทำได้ยังไงกัน!’ หญิงชราประคองสามีไว้แล้วมองหน้าพูดกับสาวน้อยด้วยความตื่นเต้นจนแทบจะระงับตัวเองไว้ไม่อยู่ สาวน้อยลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินเข้าไปประคองทั้งสองสามีภรรยาให้ลุกขึ้นพร้อมกัน

     

     

    ไว้หนูส่งคุณตาคุณยายกลับบ้านก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังนะคะ

     

     

     

     

     

     

    ร่างเล็กเดินออกมาจากกระท่อมเล็กๆท้ายป่า ตามมาด้วยคุณยายที่บัดนี้ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มผิดกับก่อนหน้านี้ สาวน้อยหันหลังมาเผชิญหน้ากับคุณยายเพื่อกล่าวคำร่ำลาขอตัวกลับบ้านเนื่องจากเห็นว่ามันเริ่มสายแล้ว

     

     

    คุณยายส่งหนูตรงนี้ก็ได้ค่ะ

     

     

    เอางั้นเหรอจ๊ะ

     

     

    จริงๆค่ะคุณยาย ส่งหนูแค่ตรงนี้แล้วกลับไปดูแลคุณตาต่อเถอะนะคะ หนูกลับบ้านเองได้ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะปากอิ่มยกยิ้มให้หญิงชราตรงหน้าเพื่อย้ำให้คุณยายรู้ว่าเขาพูดจริงๆ

     

     

    ถ้าอย่างนั้นก่อนกลับแม่หนูช่วยรับสิ่งนี้ไปด้วยนะ ถึงมันจะไม่มีราคาอะไรแต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งแทนคำขอบคุณของเราสองคนตายายแล้วกันนะ มือเหี่ยวกร้านของคนตรงหน้ายกขึ้นมาจับมือของสาวน้อยแล้ววางช่อดอกไม้สีขาวลงบนมือนุ่ม

     

     

    สวยมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะคุณยาย แล้วก็ที่เราสัญญากันไว้คุณยายห้ามบอกเรื่องนี้กับใครนะคะ

     

     

    ได้สิจ๊ะ ยายสัญญา

     

     

    ขอบคุณนะคะ ดูแลตัวเองดีๆนะคะคุณยาย หนูกลับบ้านแล้วนะคนอายุน้อยกว่าก้มหัวโค้งให้หญิงชราแล้วเงยหน้ามายิ้มให้ก่อนจะค่อยๆหมุนตัวเดินออกไป หญิงชรายืนยิ้มมองดูนางฟ้าตัวน้อยที่มาชุบชีวิตใหม่ให้เขาค่อยๆเดินจากไป เส้นผมสีทองราวเส้นไหมสะท้อนต้องแสงแดดจนเขาอดยืนมองเงียบๆไม่ได้ แต่เดี๋ยวนะ ... มีเรื่องหนึ่งที่เขายังไม่รู้นี่

     

     

    เดี๋ยวก่อนแม่หนูคนถูกเรียกหันกลับมามองด้วยใบหน้าฉงนทันที

     

     

    หนูชื่ออะไรจ๊ะ

     

     

    ใบหน้าของร่างเล็กคลี่ยิ้มสดใสภายใต้แสงแดดอบอุ่น ก่อนที่เสียงใสกังวานจะดังออกมาจากปากก้องไปทั้งผืนป่าและหัวใจของคนฟัง ...

     

     

    แบมแบมค่ะ เรียกหนูว่าแบมแบม

     

     

    หญิงชราขอสาบาน ว่าชื่อนี้จะตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขาตราบนานเท่านาน ...

     

     

     

    ----- Once upon a love -----

     

     

     

    โอ๊ยยยยยยยยคุณหนู หายไปไหนมาตั้งนานสองนานคะเนี่ยเพียงแค่ก้าวขาเข้ามาในตัวบ้านได้เพียงแค่ข้างเดียว เสียงแหลมของหญิงอวบที่วิ่งหน้าตื่นแทบถลาเข้ามาหาเขาก็ดังขึ้นมาต้อนรับทันที แบมแบมหัวเราะกับตัวเองแล้วส่ายหน้าช้าๆกับความตกใจใหญ่โตของคุณป้าที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กๆ คุณป้ามาธาคือหัวหน้าแม่บ้านในบ้านหลังนี้ ไม่สิ ... ต้องเรียกว่าคฤหาสน์หลังนี้จึงจะถูก คฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าห่างจากตัวเมืองแสนวุ่นวาย มีอดีตขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ที่ลาออกจากความวุ่นวายมาใช้ชีวิตเรียบง่ายเป็นผู้ครอบครอง ความจริงคฤหาสน์หลังนี้เป็นมรดกที่ตกทอดต่อๆกันมาหลายช่วงอายุคนแล้ว และชายชราที่เป็นผู้ครอบครองคนปัจจุบันก็คือคนเดียวกับคุณปู่ที่เก็บเขามาชุบเลี้ยงหลังจากถูกพ่อแม่แท้ๆของตัวเองทิ้งแล้วจากไปนั่นเอง

     

     

    คุณหนู! ไหนบอกว่าแค่จะไปเดินเล่นไม่ไกลแล้วทำไมหายไปนานขนาดนี้คะ ป้าอยู่นี่ก็เป็นห่วงกลัวว่าจะเป็นอะไร นี่ถ้าเกิดไม่กลับมาป้าเกือบส่งคนไปหาแล้วนะคะ

     

     

    ป้ามาธา แบมก็กลับมาแล้วนี่ไงแบมแบมยิ้มให้คุณป้าที่กำลังช่วยเขาถอดเสื้อคลุมออกด้วยสีหน้ายุ่งๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ทายาทหรือลูกหลานแท้ๆของตระกูลนี้ เป็นเพียงแค่เด็กที่ถูกเก็บมาชุบเลี้ยงจนได้ดี แต่คุณปู่และป้ามาธารวมถึงทุกคนในบ้านหลังนี้ก็ดูแลเทิดทูนเขาอย่างดีราวไข่ในหินก็ไม่ปาน ไม่เคยให้หยิบจับทำงานหนักแม้เขาจะชอบแอบช่วยทำอยู่บ่อยๆ ไม่เคยว่ากล่าวรุนแรงจนเขาเกือบจะเป็นเด็กนิสัยเสียไปแล้ว ตั้งแต่เด็กจนโต เด็กกำพร้าที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่ตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไรหรือหัวนอนปลายเท้ามาจากไหนคนนี้ก็มีชีวิตราวเจ้าหญิงหลังจากจากคุณปู่ได้มอบชีวิตใหม่ให้เขา ทั้งเกียรติยศชื่อเสียงในฐานะหลานสาวของคุณปู่ มีผู้คนรายล้อมคอยให้ใช้สอย มีคุณครูชั้นดีจากในรั้วในวังคอยขัดเกลาวิชาความรู้ ทั้งภาษา วรรณกรรม ดนตรี ปรัชญา การเมือง รวมถึงงานผู้หญิงชั้นสูงที่มีคุณป้ามาธาคอยสอน และอื่นๆอีกมากมายที่เขาได้รับ เขารู้สึกขอบคุณทุกคนอยู่เสมอที่ไม่เคยเห็นว่าเขาเป็นคางคกขึ้นวอและรู้สึกขอบคุณและเทิดทูนคุณปู่ของตัวเองเหนือสิ่งอื่นใดที่หยิบยื่นแต่ชีวิตดีๆมาให้ 



    หากแต่ลึกๆแล้วในใจกลับมีสิ่งหนึ่งที่ตะโกนออกมาจากความเงียบเสมอ ...

     

     

    เขาไม่ได้ต้องการชีวิตแบบนี้ ...

     

     

    ชีวิตที่ต้องถูกบังคับให้เดินไปตามทางที่เขาไม่ได้เป็นคนวาง

     

     

    แต่สาวน้อยก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะเขาสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะทำทุกอย่างตามที่คุณปู่ต้องการ เพื่อตอบแทนพระคุณของท่านให้ถึงที่สุด

     

     

    แล้วนี่ไปได้ดอกไม้อะไรมาเยอะแยะคะคุณป้ามาธาพับเสื้อคลุมพาดกับแขนไว้แล้วลากสายตาไปมองยังดอกไม้ขาวในตะกร้าที่คุณหนูของเขาถืออยู่ แบมแบมก้มลงมองช่อดอกไม้ที่นอนแน่นิ่งแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วค่อยๆยกมือข้างซ้ายแบออกตรงหน้าหญิงอวบ

     

     

    ว๊ายตายแล้วคุณหนู อีกแล้วเหรอคะ!”

     

     

    ไม่เป็นไรหรอกป้า นิดเดียวเอง

     

     

    เห้อ บอกเท่าไหร่ก็ไม่ฟังสักที ถ้าคนอื่นรู้เข้าจะทำยังไงกันคะเนี่ย อีกอย่างถ้าคุณท่านทราบเข้าจะไม่เป็นเรื่องใหญ่โตเหรอคะ

     

     

    ก็อย่าบอกคุณปู่สิ ไม่บอกคุณปู่ก็ไม่รู้แบมแบมทำหน้าทะเล้นใส่คนตรงหน้าจนใบหน้าที่ยุ่งอยู่แล้วของป้ามาธายิ่งยุ่งเข้าไปมากกว่าเดิม

     

     

    คุณหนูนี่นะ! ดื้อก็เท่านั้น

     

     

    ว่าแต่คุณปู่กลับมาแล้วยังคะป้าแบมแบมหาได้สนใจฟังเสียงบ่นของคนตรงหน้า กลับมองสอดส่ายสายตาหาชายชราที่ออกจากบ้านไปเมื่อกลางดึกเพื่อเข้าวังตามคำสั่งด่วนของพระชนนีแห่งอาณาจักร ไม่รู้ว่าคำสั่งนั้นคืออะไร แต่ดูจากอาการร้อนลนของคนที่ทางวังส่งมาก็พอจะเดาได้ว่าไม่น่าจะใช่เรื่องเล็กๆ

     

     

    กลับมาแล้วล่ะค่ะ กลับมาตั้งแต่คุณหนูออกไปได้ราวสิบนาทีนั่นแหละ นี่สั่งถามหาคุณหนูบอกว่าให้เข้าไปพบที่ห้องทำงานด้วยถ้ามาถึง เหมือนว่าพระชนนีจะมีรับสั่งบางอย่างถึงคุณหนูนะคะ เอ ... เรื่องอะไรกันนะร่างเล็กได้ฟังก็สะดุดใจเมื่อได้ยินว่าตัวเองมีส่วนในเรื่องนี้ด้วย ใบหน้าเรียวมองลงที่พื้นพรม คิ้วขมวดน้อยๆพร้อมด้วยสายตาครุ่นคิด แต่อย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเรื่องอะไรกันที่เกี่ยวโยงกับเขา

     

     

    ความจริงคุณปู่ของเขาคืออดีตเจ้าคุณอธิการ ผู้เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของพระราชาผู้ครองอาณาจักรมาถึงสองบัลลังก์ ตระกูลนี้สืบทอดกันโดยเชื้อสายขุนนางตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน แว่วว่าความจริงแล้วนั้น หนึ่งในสามผู้ร่วมก่อตั้งแคว้นก็คือผู้นำตระกูลคนแรกนั่นเอง

     

     

    อาณาจักรลูเซียโน่แสนยิ่งใหญ่และมั่งคั่ง ชื่อของมันมีความหมายว่าแสงสว่าง อาจะเกี่ยวโยงถึงสัญลักษณ์ของอาณาจักรนั่นก็คือดวงจันทร์ คนลูเซียนนับถือและมีความเชื่อเกี่ยวกับดวงจันทร์มาก พวกเขาเชื่อกันว่าพระราชาและพระราชวงศ์คือคนที่พระเจ้าส่งลงมาจากพระจันทร์ที่ห่างไกล เปรียบเสมือนเป็นแสงสว่างแก่บ้านเมืองและประชาชน และคนลูเซียนก็ยังเชื่ออีกว่าตระกูลผู้ก่อตั้งทั้งสามคือคนที่พระเจ้าส่งลงมารับใช้เชื้อพระวงศ์และเป็นผู้ที่จะดูแลบ้านเมืองในเจริญรุ่งเรือง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมคนลูเซียนรู้จักสามตระกูลนี้กันทุกคน

     

     

    หากจะกล่าวถึงตระกูลทั้งสามก็คงต้องเริ่มที่ตระกูลแรก ตระกูลบาร์ธาซาร์ ตระกูลที่ชื่อมีความหมายว่า ผู้คุ้มครองพระราชา ดังนั้นตระกูลนี้จึงมีเชื้อสายของนักรบ เก่งกาจด้านการทำสงครามและคุ้มครองราชวงศ์ด้วยชีวิต มีความสัตย์จริงว่าชีวิตที่เกิดมาของคนในตระกูลนี้คือชีวิตของพระราชา นั่นคือคติประจำใจของคนในตระกูลบาร์ธาซาร์ และทุกๆครั้งที่มีสมาชิกคนใหม่ของราชวงศ์ประสูติ บุตรชายหรือเด็กชายสักคนของบาร์ธาซาร์จะต้องถูกส่งตัวเข้าวังหลวงเพื่อเป็นราชองค์รักษ์ของเชื้อพระวงศ์พระองค์นั้นตราบจนชีวิตจะไร้ลมหายใจ

     

     

    ตระกูลที่สองคือ ตระกูลบาร์นาบี้ ความหมายของชื่อคือบุตรชายแห่งความสบายใจ หรือถ้าจะพูดให้ง่ายคือตระกูลแห่งนักปราชญ์ ผู้ที่จะจรรโลงราชวงศ์และอาณาจักรให้มีแต่ความสงบสุข คนในตระกูลนี้ขึ้นชื่อเรื่องความฉลาดปัญญาเฉียบแหลม อาจารย์หลายท่านที่เป็นผู้อบรมสั่งสอนเจ้าหญิงเจ้าชายน้อยในราชวงศ์มาอย่างยาวนานก็ล้วนมาจากคนในตระกูลนี้ทั้งนั้น

     

     

    และตระกูลสุดท้ายก็คือตระกูลที่เขากำลังอยู่ ตระกูลบาสเตียน ความหมายคือ ความน่าเคารพนับถือ ซึ่งนั่นเดาได้ไม่ยากเลยว่าตระกูลนี้คือตระกูลของขุนนางผู้มีอำนาจและรับใช้ราชวงศ์มาอย่างยาวนาน คนในตระกูลบาสเตียนเก่งกาจด้านงานเมืองและมีเสน่ห์เรื่องความเจ้าเล่ห์และฉลาดเป็นกรด นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผู้นำตระกูลทุกรุ่นจึงได้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาราชการแผ่นดินส่วนพระองค์มาอย่างยาวนาน อีกหนึ่งเรื่องที่คนลูเซียนรู้ดีคือ บุตรชายแห่งบาสเตียนเมื่อโตขึ้นจะได้เป็นขุนนางที่เต็มไปด้วยอำนาจล้นมือ ส่วนบุตรสาวนั้นกล่าวกันว่าคือหญิงสาวที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปโฉม ความรู้ ความสามารถ และฐานันดร จึงไม่แปลกถ้าหากหลายตระกูลจะต้องการได้ไปเป็นสะใภ้เสริมบารมีให้ตระกูลตัวเอง แต่บาสเตียนมักจะมีหญิงสาวอยู่คนหนึ่งซึ่งเปรียบดั่งเพชรล้ำค่า ผู้นำตระกูลจะเฝ้าเจียระไนเพชรเม็ดนี้เป็นอย่างดีเพื่อรอวันให้เพชรเม็ดนี้ได้ไปประดับอยู่บนมงกุฎราชินีของอาณาจักร สมเกียรติของตระกูล !

     

     

    และพระชนนีองค์ปัจจุบันก็เป็นบุตรสาวที่ถูกขัดเกลามาจากตระกูลบาสเตียนเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นหลานสาวแท้ๆของคุณปู่อีกด้วย

     

     

    คุณหนูคะ ป้าว่าเราเลิกคุยกันแล้วไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยดีกว่าค่ะเดี๋ยวคุณท่านจะรอนาน คุณหนูอยากจะรับชาหรือไปเปลี่ยนชุดก่อนดีคะหญิงอวบถามคุณหนูของเขาไปด้วยพร้อมทั้งเอื้อมไปหยิบตะกร้าส่งให้คนรับใช้นำไปเก็บ แบมแบมส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเอื้อนเอ่ยอย่างคนเอาแต่ใจเหมือนทุกครั้ง

     

     

    ไม่รับทั้งชาและก็ไม่เปลี่ยนชุดด้วยค่ะป้า แบมขอเข้าไปหาคุณปู่เลยแล้วกันนะคะ แบมแบมพูดจบก็หันหลังก้าวฉับๆหายลับไปยังโถงทางเดินมุ่งสู่ห้องทำงานของคุณปู่ที่ตั้งอยู่ปีกซ้ายของตัวคฤหาสน์ทันที ทิ้งไว้เพียงเสื้อคลุมผ้าเนื้อดีให้คุณป้าดูต่างหน้า

     

     

    “อ้าว คุณหนู!”

     

     

    ----- Once upon a love -----

     

     

     

     

     

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก



    เข้ามาสิเสียงอนุญาตของชายชราผู้เป็นเจ้าของห้องและเจ้าของชีวิตของคนในคฤหาสน์หลังนี้ดังขึ้น แบมแบมจึงผลักประตูไม้เข้าไปแล้วปิดลงอย่างเบามือ ห้องนี้มืดเล็กน้อยเมื่อเทียบกับข้างนอกเนื่องจากคุณปู่สายตาไม่ค่อยสู้แสงนักจึงมักชอบปิดม่านไว้เสมอ สองเท้าในรองเท้าเนื้อดีก้าวมาหยุดลงข้างๆโซฟาบุหนังกำมะหยี่ตัวโปรดของคุณปู่ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ชายชราเหลือบมองหลานสาว มือเหี่ยวย่นพับหนังสือเล่มหนาที่อ่านอยู่แล้ววางไว้บนโต๊ะ

     

     

    หายไปไหนมาหลายชั่วโมง มาธาบ่นโวยวายซะปู่รำคาญเลยคุณปู่ถามคนตัวเล็กพลางรินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วยื่นให้หลานสาว ไอร้อนระเหยออกมาพร้อมกลิ่นของชาทำให้ภายในห้องรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แบมแบมรับถ้วยชามาถือไว้แล้วเดินไปนั่งที่โซฟาอีกตัวตรงข้าม

     

     

    ไปเก็บดอกไม้ในป่ามาค่ะคุณปู่ แบมว่าจะเอามาเปลี่ยนใส่แจกันในห้องทำงานของคุณปู่นี่แหละค่ะ เพราะของเก่าเหี่ยวหมดแล้วสาวน้อยพูดพรางหันไปมองแจกันใหญ่ที่มีดอกไม้เหี่ยวจนแทบจะแห้งปักอยู่ แต่ฤดูใบไม้ร่วงอย่างนี้หาดอกไม้ยากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากเลยนะคะคุณปู่

     

     

    ถ้ามันหายากนักแล้วเจ้าจะลำบากไปหาทำไมกันเล่า ไปซื้อไม่ง่ายกว่าหรือ

     

     

    แบมไม่อยากซื้อค่ะ เพราะตามร้านขายดอกไม้ในเมืองดอกไม้ก็มักจะเหมือนๆกันไปหมด แบมอยากให้ดอกไม้ที่จะปักให้คุณปู่เป็นดอกไม้ที่ไม่เหมือนใคร เวลาที่คุณปู่มองคุณปู่จะได้รับรู้ว่าดอกไม้ดอกนี้แบมตั้งใจให้คุณปู่มากแค่ไหน

     

     

    ได้ฟังคำบอกเล่าของหลานสาวก็ทำเอาชายชรายิ้มไม่หุบ สายตาคมของคนมองเห็นโลกมาเยอะลอบมองใบหน้างดงามของหลานสาวที่ตนเฝ้าดูแลขัดเกลามาเป็นอย่างดี กิริยามารยาทก็งดงามสมกับเป็นคนชั้นสูง ความรู้ความสามารถก็หลักแหลมเกินสตรี หน้าตาผิวพรรณก็งดงามราวคนในรั้วในวัง ไม่มีสิ่งใดด้อยไปกว่าสตรีชั้นสูงจากตระกูลอื่นเลยสักนิด คิดอยู่คนเดียวชายชราก็เผลอยิ้มกว้างมากขึ้นด้วยความภูมิใจ

     

     

    แบมแบมเสียงเรียกชื่อตัวเองดังขึ้นทำให้คนร่างเล็กที่กำลังดื่มชาอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง

     

     

    คะคุณปู่

     

     

    ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว

     

     

    17 ย่าง 18 ค่ะดวงตากลมโตกระพริบอย่างไม่เข้าใจความคิดของคุณปู่ อยู่ๆจะมาถามอายุเขาทำไมกัน

     

     

    เกือบ 16 ปีแล้วสินะ ... ตอนนั้นเจ้าเพิ่งอายุได้ราวๆ ... 2 ขวบเองกระมังแบมแบมมองหน้าคุณปู่ของตัวเองเงียบๆ ก็พอจะเข้าใจถึงเรื่องที่คุณปู่กำลังพูดอยู่ คุณปู่คงหมายถึงตอนที่ท่านไปพบเขาถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง คุณปู่เคยเล่าว่าตอนนั้นท่านออกไปราชการที่เมืองใต้สุดของอาณาจักร ดินแดนที่ติดกับทะเลและเป็นเมืองท่าสำคัญของลูเซียโน่ แล้ววันหนึ่งคุณปู่ก็ได้พบเขาถูกวางทิ้งไว้ใกล้ชายฝั่งห่างไกลผู้คน

     

     

    ถ้าตอนนั้นคุณปู่ไม่เก็บแบมมาเลี้ยง ... แบมอาจจะตายไปแล้วก็ได้แบมแบมพูดขึ้นพลางมองดูไอระเหยออกจากถ้วยชาด้วยสีหน้าที่ไม่ยินดียินร้าย

     

     

    แต่พระผู้เป็นเจ้าคงยังไม่อยากให้เจ้าตาย ท่านคงอยากให้เจ้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบาสเตียน ท่านคงเห็นว่าเจ้าเหมาะสมและคู่ควรที่จะเป็นหลานสาวของปู่

     

     

    แบมแบมไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป หากเพียงแค่ยิ้มและนั่งฟังสิ่งที่ชายชราจะพูดต่อไปเท่านั้น

     

     

    แบมแบม คนเราเกิดมาเพื่อสิ่งใดนะ

     

     

    มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นค่ะ

     

     

    แล้วการมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นคืออะไร

     

     

    คือการช่วยเหลือให้เขาพ้นจากความทุกข์ค่ะ

     

     

    ฉลาดมากชายชรายิ้มมุมปากแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ แบมแบมยังคงนั่งถือถ้วยชามองหน้าผู้เป็นปู่ด้วยความเงียบ รอว่าสิ่งที่คุณปู่ต้องการจะพูดนั้นคืออะไรกันแน่

     

     

    ลูเซียโน่เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ...อยู่ๆคุณปู่ก็เปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมาเสียเฉยๆ ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยได้พูดอะไรค้างไว้เลย แบมแบมจากที่ยิ่งสงสัยอยู่แล้วคราวนี้ก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยมากขึ้น

     

     

    เป็นอาณาจักรที่มั่งคั่งไปด้วยทรัพย์สินและทรัพยากร อาณาเขตของเราใหญ่ไม่เป็นสองรองใคร อำนาจทางการเมืองของเราก็เป็นที่ยำเกรงของอาณาจักรอื่นๆ และอีกไม่นานเราก็จะรวมสมาพันธ์เพื่อเป็นหนึ่งแล้ว และเจ้ารู้ใช่ไหมว่าอาณาจักรของเราต้องการสิ่งใดแบมแบมพยักหน้ารับรู้ เหตุการณ์สำคัญของลูเซียโน่ตอนนี้คือการรวมสมาพันธ์กับแคว้นใหญ่เล็กที่รายล้อมให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งการรวมสมาพันธ์ผู้นำจากทุกอาณาจักรจะต้องลงมติเลือกแคว้นที่ดีที่สุดให้ขึ้นมาเป็นผู้นำสมาพันธ์ ซึ่งแน่นอนว่าลูเซียโน่คือตัวเก็งที่กำลังถูกจับตามองอยู่ตอนนี้

     

     

    รู้ค่ะ เราต้องการเป็นผู้นำสมาพันธ์

     

     

    ใช่ ... แล้วเจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้สิ่งที่แคว้นเรากำลังหวั่นวิตกอยู่คือสิ่งใด

     

     

    ไม่รู้ค่ะคุณปู่แบมแบมส่ายหน้าเมื่อคิดไม่ออกว่าแคว้นที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างแบบนี้จะมีสิ่งใดต้องน่าหวั่นวิตก



    "......" อยู่ๆชายชราก็เงียบไป มือเหี่ยวหมุนถ้วยชาในมือเล่น สายตาคมมองดูน้ำชากำลังวนไปมาในถ้วยชาราคาแพงก่อนจะค่อยๆตกตะกอน เสียงถอนหายใจดังออกมาทำให้แบมแบมที่นั่งรอฟังคำตอบต้องนึกฉงนใจ ราวกับว่าคุณปู่มีสิ่งที่อยากบอกแต่ลังเลว่าควรพูดดีหรือไม่

     

     

    แบมแบม ...” 


     

    คะคุณปู่

     

     

    .... เจ้ารู้ดีใช่ไหมว่าเจ้าเกิดมาพร้อมสิ่งใด

     

     

    .....

     

     

    เจ้าเคยสงสัยไหมว่าเหตุใดเลือดในกายของเจ้าถึงเป็นสีขาวบริสุทธิ์ไม่เหมือนสีเลือดของคนอื่นๆที่เป็นสีแดง

     

     

    “ค่ะ”

     

     

    ก็เพราะพระผู้เป็นเจ้าท่านกำหนดมาแล้วว่าเจ้าคือคนที่ท่านส่งลงมาให้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

     

     

    ไม่ใช่หรอกค่ะคุณปู่ แบมไม่ได้มีค่าอะไรขนาดนั้น

     

     

    มีสิ ... เจ้าน่ะมีค่ามากเสียด้วยชายชราพูดจบก็วางถ้วยชาลงแล้วเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักก่อนจะหยิบหีบเล็กๆใบหนึ่งขึ้นมา

     

     

    ลุกขึ้นมาหาปู่ตรงนี้สิแบมแบมแบมแบมวางถ้วยชาในมือไว้ที่โต๊ะแล้วลุกขึ้นเดินไปหาคุณปู่ตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ร่างเล็กเดินไปทรุดลงที่พื้นพรมตรงหน้าเก้าอี้ตัวโปรดของผู้เป็นปู่ ชายชรายื่นหีบใบเล็กๆแกะสลักด้วยรูปเถาวัลย์พันเกี่ยวกับดวงจันทร์ มีเพชรเม็ดเล็กๆฝังไว้ตรงกลางให้

     

     

    อะไรหรือคะคุณปู่แบมแบมเอื้อมมือไปรับหีบนั้นมาถือไว้แล้วเงยหน้ามองจ้องคุณปู่ของตัวเองด้วยสีหน้าสงสัย

     

     

    เปิดดูสิ” ร่างบางทำตามคำสั่ง นิ้วเรียวค่อยๆเปิดฝาออก ด้านในของหีบถูกบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงและในนั้นมีสร้อยเส้นหนึ่งวางอยู่ เขาค่อยๆหยิบมันขึ้นมาดู สร้อยเส้นเล็กน่าจะทำจากทองคำขาว มีจี้รูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวห้อยอยู่ พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีขาวแวววาวมีเพชรสีน้ำเงินซัพไฟร์ประกายวิบวับฝังอยู่ตรงกลาง

     

     

    สวยจังค่ะคุณปู่แบมแบมเอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆทว่าสายตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวจี้อย่างหลงใหลราวกับว่ามันมีมนตร์สะกดบางอย่างสามารถบังคับไม่ให้ผู้จ้องมองละสายตาไปที่ใดได้

     

     

    นั่นของเจ้า

     

     

    คะ ?” ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะละสายตาเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นปู่ด้วยความสงสัยเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ ชายชราค่อยๆก้มตัวลงมาหาหลานสาวที่นั่งอยู่กับพื้น สายตาคมมองไปที่ตัวจี้ด้วยแววตาบางอย่างที่มีความหมายแฝงอยู่ภายใน

     

     

    เจ้ารู้มั้ยว่ามันหมายความว่าอย่างไรแบมแบมได้แต่ส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ

     

     

    พระจันทร์เพียงครึ่งเสี้ยว นั่นหมายความว่าผู้ครอบครองจะต้องตามหาอีกส่วนที่หายไป

     

     

    .......

     

     

    สร้อยเส้นนี้มันเป็นของเจ้าตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ

     

     

    อะไรนะคะ

     

     

    แล้วรู้มั้ยว่าใครให้มา

     

     

    ไม่รู้ค่ะ

     

     

    พระชนนีเป็นผู้ประทานให้เจ้าแบมแบมตกใจกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ หัวใจเต้นรัวกว่าปกติเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าใครคือเจ้าของที่ให้สร้อยเส้นนี้กับเขา ถึงแม้ตนจะเป็นคนใกล้ชิดเสด็จลุงของอดีตพระราชินีแห่งลูเซียโน่ แต่ตั้งแต่เด็กจนวันนี้ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะได้เข้าเฝ้าพระองค์หรือแม้แต่จะรู้ว่าพระพักตร์นั้นเป็นเช่นไร จะงดงามสมคำร่ำลือหรือไม่เขาก็ไม่เคยรู้ หากแต่วันนี้คุณปู่ที่นั่งอยู่ตรงหน้ากลับบอกว่าพระองค์ประทานสร้อยเส้นนี้ให้เขาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งนั่นหมายความว่าพระองค์รู้จักเขา

     

     

    พระชนนี ? จริงหรือคะคุณปู่ พระองค์ประทานให้แบมทำไมกันชายชรายิ้มให้กับความฉลาดถามของหลานสาว ถามแบบนี้เขาจะได้เข้าเรื่องเลยเสียที

     

     

    ก็ประทานเพื่อเป็นของกำนัลให้ว่าที่พระสุณิสาของพระองค์ไงล่ะ” แววตาสั่นระริกวูบไหวเมื่อคำตอบหลุดออกมาจากปากของคนตรงหน้า ร่างน้อยพยายามควบคุมสติแล้วทวนสิ่งที่ได้ยินออกมาอีกครั้งถึงแม้ว่าเมื่อครู่จะได้ยินไม่ผิดเพี้ยนแล้วก็ตาม

     

     

    พระสุณิสา ... ลูกสะใภ้น่ะเหรอคะน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับคนเริ่มวิตกอะไรขึ้นมาสักอย่างดังขึ้นในความเงียบ ในหัวเริ่มรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะตามมา แบมแบมเป็นคนฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าคำพูดของคุณปู่หมายถึงอะไรและอะไรกำลังจะเกิดขึ้น



     ชายชรายืดตัวกลับมานั่งพิงเบาะโซฟาตัวโปรดแล้วถอนหายใจช้าๆอย่างใจเย็น

     

     

    พระจันทร์คือสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์ลูเซียน่าแห่งอาณาจักรลูเซียโน่ สร้อยที่เจ้ากำลังถืออยู่ในมือในอดีตมันเคยอยู่บนคอของพระราชินีแห่งลูเซียโน่มาแล้วทุกพระองค์ ..."



    "........"



    "เลือดสีน้ำเงินคือเลือดของเชื้อพระวงศ์ และสีน้ำเงินของเพชรที่ประดับอยู่ก็หมายถึงเลือดขัตติยา ดังนั้นการที่สร้อยเส้นนี้ตกอยู่ที่ใครนั่นหมายความว่าคนๆนั้นได้ถูกคัดสรรและเลือกให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเชื้อพระวงศ์แล้ว ..." ชายชรามองดูหลานสาวที่นั่งนิ่งฟังสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่ด้วยสีหน้าและแววตาที่เขาก็ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้



     "นี่คือสร้อยคอที่ตกทอดต่อกันมาในสายราชินี พระราชินีทุกพระองค์ล้วนแต่เคยสวมใส่เมื่อตอนที่ยังเป็นพระคู่หมั้น และอีกเสี้ยวที่หายไปก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล หากแต่อยู่ที่องค์ชายรัชทายาทผู้เป็นว่าที่สามีนั่นแหละ" 



    "........"



    "ตอนนี้ทุกอย่างดำเนินมาถึงเวลาที่ควรจะเป็นแล้ว ปู่อยากจะถามเจ้าว่า ..."



    "....." แบมแบมยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง



     "เจ้าพร้อมจะเป็นเลือดสีน้ำเงินหรือไม่แบมแบมคนฉลาดอย่างแบมแบมไม่ต้องอธิบายอะไรมากไปกว่านี้เขาก็เข้าใจทุกอย่างได้อย่างง่ายได้ ร่างบางยืดตัวเต็มความสูงแล้วเก็บสร้อยเส้นนั้นลงในหีบตามเดิม ใบหน้างดงามเงยขึ้นสบตากับคนเป็นปู่



    นี่คงจะเป็นคำตอบว่าทำไมเขาถึงถูกเลี้ยงดูราวเจ้าหญิงมาตลอดสินะ ...

     

     

    นี่คือสิ่งที่ควรต้องทำหรือเปล่าคะคุณปู่คำตอบฟังดูเหมือนตัดพ้อแต่จริงๆแล้วบนใบหน้านั้นกับเรียบนิ่งและแววตาใสก็ไม่หวั่นเกรง แบมแบมกำลังใช้ความคิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่อยากทำกับสิ่งที่ควรทำ เขาควรเลือกทางไหนกัน

     

     

    องค์ราชินีของอาณาจักรหลายพระองค์ล้วนเป็นสตรีชั้นสูงที่มาจากตระกูลของเรา หากขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีของบาสเตียนย่อมหมายความว่านั่นคือสตรีที่เหมาะสมจะนั่งอยู่บนบัลลังก์เคียงข้างพระราชามากที่สุดชายชราไม่ตอบให้ตรงคำถาม หากแต่พูดเพื่อให้แบมแบมคิดเอง เขารู้ดีว่าคนฉลาดอย่างแบมแบมรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั่นหมายถึงอะไร

     

     

    แต่แบมไม่ใช่สายเลือดบาสเตียนแท้ เลือดที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของแบมอาจจะทำให้เลือดสีน้ำเงินของราชวงศ์ลูเซียน่าเปลี่ยนสีก็ได้นะคะคุณปู่

     

     

    ไม่หรอก เลือดของเจ้าเป็นเลือดบริสุทธ์แบมแบม เลือดสีขาวของเจ้าไม่ว่าจะอยู่ร่วมกับสีใดก็มิอาจทำให้สีนั้นผันแปรหรือแปดเปื้อนไปได้ มีแต่ยิ่งทำให้สีนั้นแวววาวมากขึ้นต่างหาก” หมดข้อโต้แย้งใดๆ แบมแบมนั่งฟังเสียงทุ้มที่กังวานอยู่ในห้องอย่างนิ่งงัน คำพูดมากมายของคุณปู่วนเวียนอยู่ในหัว ร่างบางมองพื้นพรมนิ่งอย่างใช้ความคิด ตั้งแต่เกิดมาเขาก็มีชีวิตที่ต้องอยู่ในกรอบเสมอไม่เคยได้ใช้ชีวิตธรรมดาอย่างเด็กสาวคนอื่นๆ แม้แต่เลือดข้นที่มีในกายก็ผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วก็ได้ อาจจะมีใครบางคนกำหนดมันมาแล้วให้เป็นแบบนี้ ซึ่งเขาก็ควรที่จะเดินไปตามทางที่ใครคนนั้นวางไว้ แม้ในใจที่ลึกที่สุดมันจะตะโกนเรียกร้องออกมาอีกครั้งแต่แน่นอนว่าเขาก็มิอาจทำตามมันได้อยู่ดี ยังไงก็ตามชีวิตที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่สามารถกำหนดอะไรได้อยู่แล้ว ชินเสียแล้วล่ะ

     

     

    บันไดชีวิตที่ต้องเลือกก้าวขึ้นไปอีกขั้นมันคงไม่มีอะไรน่ากลัวมากไปกว่านี้หรอก

     

     

    มันก็เป็นแค่อีกครั้งที่เขาต้องจำใจเดินเข้าไปไขกุญแจทองคำเพื่อล็อคกรงขังให้ตัวเองอีกชั้นเท่านั้นเอง ...

     

     

     

     

    ค่ะคุณปู่ ... แบมเข้าใจทุกอย่างแล้ว ถ้ามันเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่กำหนดไว้แล้ว แบมก็พร้อมที่จะทำตามโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ สุดแล้วแต่คุณปู่จะเห็นควรเถอะค่ะ

     

     

     

    ----- Once upon a love -----

     

     

     

     

     

     

    หลังจากบทสนทนาที่กำลังจะเปลี่ยนชีวิตของคนสองคนจบลงเมื่อตอนกลางวัน ตลอดทั้งวันนี้ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอของแบมแบมก็ยิ้มไม่ค่อยออกเท่าไหร่นัก แต่ทว่ายามที่ค่ำคืนดึกสงัดมาถึง ใครหลายคนคงเข้าสู่นิทรากันหมดแล้วรวมถึงร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงกว้างด้วยเช่นกัน แบมแบมกลับกำลังหลับตาพริ้ม รอยยิ้มที่วาดลงบนใบหน้ากำลังยิ้มอย่างคนฝันดี ในโลกแห่งความฝันคือโลกเดียวที่เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้และเป็นสถานที่เดียวที่ทำให้เขาไม่ต้องคิดอะไร

     

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    เสียงเปียโนใสที่ดังก้องกังวานในสวนสวยคลอไปกับเสียงน้ำพุสาดกระเซ็นโดนดอกไม้กอน้อยด้านล่างทำให้แบมแบมพยายามตามหาเสียงไพเราะจับใจนั้นให้เจอ สองเท้าน้อยที่คราวนี้ไร้รองเท้าคู่สวยเช่นทุกครั้งกำลังเหยียบย่ำไปตามพื้นหญ้าสีเขียวขจีให้ความรู้สึกดีมากกว่าการเหยียบพื้นพรมราคาแพงยิ่งนัก แสงแดดสดใสสาดส่องไปทั่วทุกบริเวณ แบมแบมเดินลึกเข้าไปในสวนดอกไม้นานาพันธ์ที่เขามักจะได้เข้ามาเป็นประจำทุกๆคืน สวนที่มักจะมีใครคนหนึ่งเฝ้ารอเขาอยู่เสมอ

     

     

    เสียงเปียโนกับบทเพลงประหลาดที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนหากแต่เพราะจับใจยังดังอยู่ต่อเนื่องและเริ่มดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนในที่สุดร่างบางในชุดกระโปรงสีขาวธรรมดาไร้ลวดลายก็เดินมาถึงศาลาสีขาวที่ถูกรายล้อมไปด้วยเถาวัลย์และดอกไม้ ภาพตรงหน้าทำให้เขาเผลอยิ้มกว้างออกมา ชายหนุ่มในชุดสีขาวไม่ต่างจากเขาหากทว่าใบหน้ากลับบึ้งตึงคือคนที่เล่นเปียโนสีขาวหลังใหญ่นั่นเอง แบมแบมยิ้มจนตาหยีแล้วรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหา

     

    ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปปั้นแกะสลักสะท้อนกับแสงแดดอ่อนที่สาดส่องประทะใบหน้า แบมแบมเดินมานั่งลงที่นั่งตรงข้ามแล้วถอนหายใจช้าๆ รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้เข้ามาที่แห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนบนโลกใบนี้ แต่ทุกครั้งที่หลับตาลงสถานที่ลึกลับแห่งนี้ก็จะเด่นชัดอยู่ในความทรงจำทุกครั้งไป รวมถึงเขาคนนี้ด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มลึกลับที่แบมแบมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าคือใคร

     

     

    ตึ้ง!

     

     

    เสียงเปียโนกังวานใสที่กำลังขับกล่อมคนฟังอยู่ๆก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงดังฟังน่าใจหาย แบมแบมสะดุ้งลืมตาแล้วหันมองคนบรรเลงทันที ชายหนุ่มคนนั้นปล่อยมือลงจากแป้นแล้วก้มหน้า แววตาไร้ความรู้สึกจดจ้องไปที่ฝ่ามือของตัวเองนิ่งเสียจนแบมแบมต้องร้องถาม

     

     

    เป็นอะไรไป ทำไมอยู่ๆถึงหยุดเล่นล่ะ

     

     

    ต่อไปนี้เราคงไม่ได้พบกับเธอแล้วนะอยู่ๆชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าเขา แววตาสีนิลที่เคยไร้ความรู้สึกวูบไหวไม่มั่นคง ใบหน้านั้นดูเศร้าลงไปถนัดตา

     

     

    ทำไมกัน

     

     

    เราต้องไปแล้ว

     

     

    ไปไหน นายจะไปไหน

     

     

    เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เราต้องไปแล้ว เค้าเรียกเราแล้ว

     

     

    ใครเรียก บอกฉันสิว่าใครเรียกนายแบมแบมผุดลุกขึ้นเต็มความสูงด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆภาพตรงหน้ากำลังจะเลือนหายไป ชายหนุ่มในชุดสีขาวค่อยๆจางหายแทบจะมลายหายไปหมด แบมแบมตกใจและตั้งตัวไม่ถูกสองขารีบวิ่งเข้ามาจะคว้าร่างนั้นเอาไว้ แต่ทว่าสุดท้ายสิ่งที่คว้าได้คือความว่างเปล่า

     

     

    เดี๋ยวสิ! จะไปไหนน่ะ นายหายไปแบบนี้ไม่ได้นะแบมแบมยืนคว้างอยู่กับที่ ปากอิ่มร้องเรียกคนที่เพิ่งหายไปให้กลับมา แต่แม้จะส่งเสียงออกมาดังสักแค่ไหนรอบตัวก็เงียบสงบดังเช่นเดิม ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งกับพื้น สีหน้าสับสนและแววตาใจหายนั้นแสดงชัดออกมาบนใบหน้างดงาม ก่อนที่สุดท้ายน้ำตาเม็ดใหญ่จะร่วงหยดลงบนฝ่ามือน้อย

     

     

    นอกจากจะเกิดมามีความสามารถที่แปลกไปจากคนอื่นแล้วนั้น แบมแบมยังมีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่งในชีวิตก็คือ ในทุกๆค่ำคืนที่เขาหลับไหล ในความฝันเขามักจะได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งในสถานที่แห่งนี้เสมอ ทุกครั้งที่ได้พบกัน ความรู้สึกที่ว่าโลกใบนี้ช่างโหดร้ายก็จะสลายหายไป เป็นโลกที่มีแต่ความสบายใจ แต่เมื่อสุดท้ายเขาลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความจริงก็จะลืมภาพทุกอย่างในความฝันรวมถึงใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นจนหมดสิ้น

     

     

    เพราะยังไงความฝันมันก็คือความฝัน ...

     

     

    แบมแบมนั่งนิ่งอยู่กับที่ แววตาเลื่อนลอยกวาดมองไปรอบๆตัว ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่อยู่ที่นี่แล้ว ต่อไปโลกใบนี้จะมีความหมายอะไร เพื่อนคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเป็นตัวเองหายไปไม่มีวันกลับแล้ว โลกความฝันนี้ก็คงจะเงียบเหงาชอบกล

     

     

    เราจะได้เจอกันอีกครั้งมั้ย ...’ ร่างบางพึมพำกับตัวเองก่อนจะหลับตาลง

     

     

     

     

     

     .

    .

    .

    .


    ร่างน้อยที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงลืมตาโพรงท่ามกลางความมืด แบมแบมผุดลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงแล้วยกมือมายีผมอย่างงงๆ นี่เขาตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างไม่มีสาเหตุหรือ สมองพยายามประมวลผมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหลับไปก็จำได้แค่ตอนที่เขาอ่านหนังสือแล้วเผลอหลับก็เท่านั้น คนตัวเล็กนั่งงงกับตัวเองแล้วกวาดตามองไปรอบๆห้องด้วยความรู้สึกโหวงแปลกๆ ใบหน้าเรียวหันไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดผ้าม่านขาวทิ้งไว้จนแสงจันทร์สีนวลผ่องสาดส่องเข้ามาในห้องกว้าง ดวงตาคู่สวยมองออกไปนอกหน้าต่างจับจ้องไปยังพระจันทร์และท้องฟ้าของฤดูใบไม้ร่วงที่ถูกประดับไปด้วยดวงดาวพร่างพราย บัดนี้พระจันทร์ที่ส่องแสงอยู่คงใกล้จะเต็มดวงในเร็ววันนี้เสียแล้ว

     

     

    อยู่ๆแบมแบมก็นั่งเหม่อมองดวงจันทร์นิ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุด้วยความรู้สึกแปลกๆที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่ทว่าแล้วสุดท้ายคนตัวเล็กก็ตัดสินใจละสายตากลับมาก่อนจะสะบัดหัวไล่ความรู้สึกแปลกๆที่กำลังเกาะกุมจิตใจให้ออกไป สงสัยจะคิดมากถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกับคุณปู่ไปหน่อย ร่างบางปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้แล้ววางไว้ข้างเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง หากทว่าดวงตากลมโตก็ยังคงนอนมองดวงจันทร์สีนวลนอกหน้าต่างไม่วางตา

     

     

    ทำไมถึงรู้สึก ... เหมือนมีใครบางคนกำลังมองเราลงมาจากบนนั้นเลยนะ

     

     

     

     

     

     

    และนั่นคือความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่เขาจะเข้าสู่นิทราไปอีกครั้ง

     

     

     

    ----- Once upon a love -----

     

     

     

    PIN PIN TALK

    ฮิ้วววววว จบแล้วตอนสอง *จุดพลุ*

    ก่อนอื่นขอสารภาพเลยว่าการแต่งฟิคเรื่องนี้ยากมากกกกกก *ก.ไก่แปดล้านตัว*

    นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมไรท์ถึงอัพช้าเหลือเกิน เพราะต้องเกลาแล้วเกลาอีกให้ภาษาสวยงามที่สุดค่ะ

    เรื่องนี้แบมแบมเป็นผู้หญิงจ๋าเลยอ่ะ รีดรู้สึกแปลกๆมั้ยเอ่ย -3- วิจารณ์ได้น้าเค้าอยากรู้

    เพราะเค้าไม่มั่นใจแนวนี้เท่าไหร่เลย แต่งยังไงให้คนอ่านเข้าใจพล็อต โคตรยาก T0T

    แต่สุดท้ายก็หวังว่าจะชอบกันนะคะ เราตั้งใจมากเลยกับเรื่องนี้

    ฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ถ้ามีเวลาว่างฝากติชมผ่าน แท็ก #เทพนิยายมบ ในทวิตด้วยน้า ><

    เค้าจะได้เอาคำติชมไปพัฒนา นี่จริงจังนะรู้ยัง ! -3- จุ๊บุ ><

    CR.SHL
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×