ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Once Upon A Love [MarkBam]

    ลำดับตอนที่ #2 : นิทานบทที่ 1 :: เจ้าชายคนนั้น (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 334
      6
      22 เม.ย. 59









    นิทานบทที่ 1

    "เจ้าชายคนนั้น"




     


     

                ค่ำคืนอันหนาวเหน็บในพระราชวังหลวงแห่งอาณาจักรลูเซียโน่อันยิ่งใหญ่ บัดนี้คบเพลิงที่เรียงรายไปตามโถงทางเดินถูกจุดขึ้นทีละดวงหลังจากที่มันเพิ่งถูกดับไปไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว แสงสีส้มอ่อนจากดวงไฟสะท้อนกับแชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่ที่ห้อยอยู่บนเพดานยกสูงประดับด้วยลวดลายวิจิตรงดงามตามโถงทางเดินยาว แก้วใสที่ประดับอยู่กับโคมไฟต้องแสงสีส้มระยิบระยับ ตัดกับใบหน้าเรียวสวยได้รูปของหญิงสูงศักดิ์ที่กำลังก้าวเท้ายาวอย่างเร่งรีบไปตามพรมลาดสีแดงกำมะหยี่ ตามหลังด้วยนางกำนัลตามเสด็จสองคน

     

                ตามโถงทางเดินยาวบัดนี้ข้าหลวงที่อยู่ถวายการรับใช้ตอนกลางคืนต่างกำลังจับกลุ่มและกระซิบกระซาบถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเช่นนี้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบเชียบและสำรวมเนื่องจากในที่แห่งนี้มีผู้สูงศักดิ์ประทับอยู่ถึงสามพระองค์

     

                "พระชนนี" เพียงแค่ร่างเล็กของผู้เป็นเจ้าชีวิตเดินผ่าน หนึ่งในข้าหลวงที่ยืนอยู่ตามทางต่างรีบสะกิดเพื่อนให้หยุดบทสนทนา เหล่าข้าราชบริพาลที่ยืนจับกลุ่มกระซิบกระซาบกันอยู่ต่างพากันถวายความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียงราวต้นอ้อลู่ลมงดงามดั่งที่ถูกสอนมา รองเท้าหนังเนื้อดีของพระชนนีแห่งอาณาจักรลูเซียโน่หยุดลงหน้าประตูไม้บานใหญ่

     

                "พระชนนี เสด็จมาถึงนี่ได้อย่างไรเพคะ!" หญิงท้วมร่างเล็กที่ยืนสนทนาอยู่หน้าห้องอุทานขึ้นมาเมื่อเห็นพระชนนีปรากฏกายขึ้นต่อหน้า เหล่าขุนนางที่ยืนอออยู่หน้าห้องรีบถวายความเคารพทันที

     

                "นม ทำไมถึงไม่ส่งคนไปตามฉัน นี่คิดจะไม่ให้ฉันรู้ใช่ไหม" น้ำเสียงทรงอำนาจกล่าวออกมาทำให้หญิงท้วมที่ถูกเรียกว่านมหน้าเจื่อนลงไปทันที

     

                "ทูลหม่อมฟ้าหญิงรับสั่งกับหม่อมฉันไว้ว่าห้ามใครไปทูลเรื่องนี้กับพระชนนีเพคะ หม่อมฉันต้องทำตามคำสั่ง"

     

                "แล้วคำสั่งของฉันที่เคยบอกไว้ว่าหากมีอะไรต้องบอกทันทีล่ะนมไม่ทำตามบ้างหรือ อ๋อฉันลืมไป คำสั่งใครจะไปสำคัญเท่าทูลหม่อมของนมล่ะ เข้าข้างกันมาตลอดนิ หลีกไปฉันจะเข้าไปในห้อง" พระชนนีก้าวเท้าเพื่อหวังเข้าไปในห้องที่ประตูไม้บานใหญ่ปิดกั้นอยู่ แต่ทว่าร่างท้วมของพระนมของเจ้าฟ้าหญิงแห่งลูเซียโน่กลับเข้ามาขวางไว้ซะก่อน

     

                "แต่ พระชนนีเพคะ ...."

     

                "หลีกไปนะนม ฉันจะเข้าไป"

     

                "หม่อมฉันว่า ..."

     

                "นม ข้างในนั้นลูกชายฉันนะ" น้ำเสียงที่ข้าหลวงทุกคนยำเกรงกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงติดสั่นเล็กน้อย ทำให้พระนมต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยไม่ค่อยได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้บ่อยนัก มือที่กั้นกางขวางประตูไว้ค่อยๆลดลงก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างจำยอมที่ต้องขัดคำสั่งของหญิงสูงศักดิ์อีกคนที่อยู่ด้านในตอนนี้

     

                "ถ้าอย่างนั้น ... เชิญเสด็จเพคะ" พระนมค่อยๆยกมือขึ้นแล้วหมุนบานประตูใหญ่ก่อนจะผลักเข้าไปเบาๆ ร่างเล็กของพระชนนีก้าวเท้าเข้าไปก่อนที่ประตูจะปิดลงโดยมีพระนมตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ส่วนข้าหลวงที่ตามเสด็จมาถูกสั่งให้ยืนรออยู่ด้านนอก

     

    ................................................................

     

                บรรยากาศในห้องยามนี้แตกต่างจากภายนอกโถงทางเดินยิ่งนัก บรรยากาศข้างนอกที่ว่าเงียบแล้วยังสู้ไม่ได้หากเทียบกับบรรยากาศภายในห้อง เสียงใสเล็กๆดังขึ้นมาจากข้างเตียงใหญ่ที่มีหญิงสาววัยดรุณีกำลังยืนสนทนากับชายวัยกลางคนที่เธอเรียกว่าหมอ

     

                "หญิง" เสียงคุ้นหูดังขึ้นด้านหลังทำให้บทสนทนาหยุดชะงักก่อนที่เธอจะหันหลังกลับไปมองด้วยความรวดเร็ว สีหน้าเคร่งเครียดแปรเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็นว่าใครเข้ามาในห้อง เจ้าหญิงองค์น้อยและข้าหลวงที่อยู่ในห้องรีบถวายคำนับทันที

     

                "แม่!"

     

                "ชายเป็นอะไร ทำไมถึงไม่ส่งคนไปตามแม่เลย" น้ำเสียงติดดุบวกหน้าตาไม่พอใจของผู้เป็นแม่ทำให้เจ้าหญิงแห่งลูเซียโน่หน้าเจื่อนพอๆกับพระนมที่ยืนส่งยิ้มแหยๆให้กำลังใจอยู่ด้านหลังพระชนนี

     

                "แม่มาทีนี่ได้อย่างไรคะ" เจ้าหญิงองค์น้อยเดินไปหาผู้เป็นแม่อย่างรวดเร็ว ความจริงไม่ต้องถามให้เสียแรงเธอก็พอเดาออกอยู่แล้วว่าใครเป็นคนส่งข่าวไปรายงานพระชนนี สายตาคมของเจ้าหญิงตวัดมองไปที่ราชเลขาหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเตียงทันที ทำให้ผู้เป็นราชเลขาต้องรีบก้มหน้างุดลงอย่างช่วยไม่ได้

     

                "ไม่ต้องรู้หรอกว่าแม่มาได้อย่างไร แม่ต้องถามหญิงมากกว่าว่าทำไมต้องปิดแม่"

     

                "แม่คะ หญิงขอประทานอภัยที่ต้องปิด แต่เพราะหญิงไม่อยากให้แม่เป็นห่วง แม่ไม่สบายอยู่นะคะ" ลูกอ้อนที่ใช้ได้ดีเสมอในยามคับขันถูกงัดขึ้นมาใช้อีกครั้ง พระชนนีมองหน้าเรียวสวยของพระธิดาก่อนจะถอนหายใจแล้วส่ายพระพักตร์ไปมาอย่างยอมจำนนกับลูกไม้เดิมๆ

     

                "เอาเถิด แม่ไม่โกรธ แต่คราวนี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม ปิดแม่เรื่องอื่นแม่ยอมได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องลูกชายของแม่ อย่าปิดแม่ได้ไหม ถือว่าแม่ขอร้อง"

     

                " .... ได้ค่ะแม่" พระธิดาองค์น้อยต้องจำยอมรับปากผู้หญิงตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้

     

                "ขอบคุณนะมิลา แต่ตอนนี้แม่ขอไปดูชายหน่อยได้ไหม" เจ้าหญิงมิลาด้าค่อยๆพาผู้เป็นแม่เดินไปยังเตียงกว้างซึ่งบนนั้นมีร่างของใครบางคนนอนสงบนิ่งอยู่ มีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอเท่านั้นที่บ่งบอกว่าเขายังมีชีวิต

     

                หมอหลวงและผู้ช่วยที่ยืนถวายการรักษาค่อยๆถอยออกมาจากเตียงเพื่อให้พระชนนีได้เข้าไป แต่ทว่ามือเล็กกลับยกขึ้นมาสั่งห้าม

     

                "ไม่ต้องหรอกหมอ ดูแลองค์ชายต่อเถิด"

               

                "พระเจ้าค่ะ" หมอหลวงค่อยๆขยับเข้าไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ โดยมีพระชนนีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้และพระธิดาที่ยืนอยู่คอยมองตลอดเวลา

     

                "เจบี"

     

                "พระเจ้าค่ะ" อยู่ๆเสียงของพระชนนีก็ดังแหวกความเงียบในห้องขึ้นมา ทำให้ราชเลขาที่ยืนอยู่ข้างเตียงต้องขานรับ

     

                "ช่วยตามท่านอาจารย์มาพบฉันหน่อย"

     

                "ว่า ... ว่าอย่างไรนะพระเจ้าค่ะ" คำสั่งที่พระชนนีรับสั่งออกมาทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบมากกว่าเดิม ไม่เพียงแต่เจบีที่อึ้งกับคำสั่งที่ได้รับ หากแต่เจ้าหญิงมิลาด้าที่อยู่ข้างๆก็อึ้งไม่แพ้กัน

     

                "แม่คะ แม่พูดจริงหรือคะ" แววตาที่มั่นใจกับคำพูดที่ตนสั่งออกไปหันมาสบกับลูกสาว เพียงแค่นี้เจ้าหญิงมิลาด้าก็รู้คำตอบได้ในทันทีว่าผู้เป็นแม่ต้องการจะสื่อถึงสิ่งใด เจ้าหญิงยืดตัวเต็มความสูง ก่อนจะเอ่ยกำชับราชเลขาอีกครั้ง

     

                " ... ถ้าอย่างนั้น เจบี ช่วยตามพระอาจารย์มาทีเถอะนะ" ราชเลขาหนุ่มโค้งถวายความเคารพก่อนจะรีบรุดออกจากห้องไป หลังเสียงประตูปิดลง พระชนนีจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนและก้าวเท้าเล็กไปหยุดที่ข้างเตียงอีกฟาก ก่อนจะประทับลงบนที่นอนนุ่ม มือเล็กยกขึ้นมาจับข้อมือซีดเซียวของคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงบีบ ก่อนจะเอ่ยเสียงเล็กๆออกมาหวังให้คนที่หลับสนิทได้รับรู้

     

                "มาร์ค อดทนไว้นะลูก" ใบหน้าซีดเซียวของเจ้าฟ้าชายแห่งลูเซียโน่ฉายชัดอยู่ตรงหน้าผู้เป็นแม่ หญิงสูงศักดิ์ต้องพยายามข่มน้ำตาที่ทำท่าว่าจะไหลลงมา ภาพของลูกชายที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวดุจคนไร้เลือด ริมฝีปากไร้สีสันและแห้งผาก ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของคนเป็นแม่ให้เจ็บปวดมากขึ้น ทำไมเรื่องร้ายๆจะต้องมาเกิดกับลูกของเธอด้วย ถ้าทำได้แม่อย่างเธอก็อยากจะรับมันไว้เอง

     

                คำสาปนั้นให้เธอรับมันไว้เองได้ไหม ...

     

     

    -------------------



    -



        เสียงฝีเท้าม้ากระทบลานหินเป็นจังหวะตัดกับความเงียบยามรัตติกาล ม้าสีดำมันขลับตัวใหญ่สองตัวค่อยๆลากรถม้าเคลื่อนเข้าสู่ลานหินอ่อนหน้าพระราชวังก่อนจะหยุดเทียบลงตรงหน้าเลขาหนุ่มที่กำลังยืนรอผู้มาเยือนอยู่บนชานบันไดกว้างพอดี ประตูรถม้าค่อยๆเปิดออกก่อนที่ชายชราในชุดคลุมสีดำทั้งตัวจะค่อยๆก้าวลงมา เท้าทั้งสองข้างหยัดลงพื้นมั่นคง สายตาเฉียบคมกวาดมองไปยังบุคคลสองสามคนที่มารอรับตน เจบีรีบก้มถวายความเคารพพอเป็นพิธีก่อนจะนำชายชราเข้าไปยังโถงมุ่งหน้าสู่ห้องประทับทันที





        พรมลาดกำมะหยี่สีแดงทอดยาวไปตลอดทางเดินสู่ห้องที่นัดหมายกันไว้ เจบีหยุดลงหน้าประตูไม้บานใหญ่แกะสลักลวดลายวิจิตรก่อนจะใช้หลังมือเคาะเป็นเชิงขออนุญาติคนด้านใน สักพักนางกำนัลเฝ้าประตูคนหนึ่งก็เปิดประตูให้ เจบีจึงผายมือเชิญชายชราเข้าไปด้านในก่อนที่ตนเองจะเข้าไปตาม





        "ถวายบังคมฝ่าบาท" ชายชราก้าวเท้าไปหยุดลงตรงโซฟาที่มีหญิงสูงศักดิ์นั่งอยู่ พระชนนีมองหน้าพระอาจารย์ก่อนจะอนุญาติให้นั่งลง





        "เชิญนั่งท่านอาจารย์" ชายชราก้มหัวแล้วนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามพระชนนี ถ้วยชาราคาแพงถูกยกมาเสริฟตรงหน้า ก่อนที่เสียงทรงอำนาจของอดีตพระราชินีจะดังเรียกความสนใจให้หันไปมอง






        "เรารู้ว่าท่านรู้ ..ว่าเหตุใดเราถึงให้เจบีไปเชิญท่านมาตอนดึกดื่นเช่นนี้" ไม่เกริ่นให้มากความ พระชนนีพูดเข้าเรื่องได้ตรงตามความต้องการของทั้งผู้พูดและผู้ฟัง ชายชราเผยยิ้มเล็กมุมปากก่อนจะค่อยๆหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างใจเย็น พระชนนีนั่งทอดสายตามองนิ่งเหมือนลองเชิงว่าใครจะใจเย็นได้มากกว่ากัน ชายชราวางแก้วชาลงแล้วจึงเงยหน้าขึ้นสนทนาต่อไป





        "ฝ่าบาทต้องการให้หม่อมฉันรับใช้อะไรหรือกระหม่อม"





        "เรามิกล้าใช้ท่านหรอก ท่านก็น่าจะรู้ดี" พระชนนีและชายชราสบตากันอย่างมิหวั่นเกรง เจบีเหลือบสังเกตุอาการของบุคคลทั้งสองอย่างเก็บข้อมูล ทุกสิ่งในห้องเงียบ ทุกคนในห้องนิ่ง แต่ไม่นิ่งเท่ากับท่าทีของพระชนนีและชายชรา





        "แต่หม่อมฉันยินดีรับใช้ฝาบาทด้วยความจงรักภักดี ขอเพียงพระองค์สั่งมา"





        "จงรักภักดีงั้นหรือ" หญิงสูงศักดิ์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆแล้วถอนหายใจออกมาก่อนจะเงยหน้าสบตาคนตรงหน้าด้วยแววตาและท่าทีที่จริงจัง





        "เราว่า เราสองคนเลิกล้อเล่นกันได้แล้วท่านอาจารย์ มาเข้าเรื่องกันเลยเถอะ"





        "หม่อมฉันพร้อมรับใช้แล้วกระหม่อม"





        "อีกไม่กี่เดือน ลูกชายจะครบกำหนดอายุ 20 ปีแล้ว"





        ".........."





        "ท่านอาจารย์ก็รู้อยู่แล้วว่าตอนนี้องค์ชายอาการทรุดหนักหมอหลวงที่มีอยู่ก็ทำได้เพียงแค่พยุงอาการให้อยู่รอดไปวันๆ"





        "หม่อมฉันทราบกระหม่อม"





        "เราคิดว่าถึงเวลาแล้ว" ราวกับทั้งห้องตกอยู่ในความมืดเพียงแค่คำพูดประกาศิตออกมาจากปากของผู้เป็นใหญ่ที่สุดในที่แห่งนี้ เจ้าหญิงมิลาด้าที่ประทับนั่งฟังอยู่ใกล้ๆกับราชเลขาหนุ่มลอบถอนหายใจอย่างยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป หากผู้เป็นแม่ได้ตัดสินใจไปแล้ว นั่นหมายความว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนใจได้อีกต่อไป ...







        เพราะสิ่งที่ผู้เป็นแม่ตัดสินใจลงไป





        มันคือการช่วยชีวิตของน้องชายที่กำลังนอนหลับไหลให้ฟื้นมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ...





        หากจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป หล่อนก็คงต้องยอมรับ







        "เวลาอะไรหรือกระหม่อม" ชายชราเป็นคนที่ไม่เกรงกลัวอำนาจของใคร แม้คนที่กำลังสนทนาด้วยกันตรงนี้จะเป็นถึงอดีตองค์ราชินีของแคว้นและเป็นพระชนนีขององค์รัชทายาทในปัจจุบันก็ตาม





        "เฮ้อ ... ท่านลุง เลิกล้อเล่นเสียที ข้าเหนื่อยจะล้อเล่นด้วยแล้วนะ" รอยยิ้มมุมปากเผยบนใบหน้ากร้านโลกของชายชรา สายตาเฉียบคมที่มองเห็นอะไรมาเยอะวิบวับ เมื่อในที่สุดก็ได้แกล้ง 'ผู้เป็นหลานสาว' ให้เผยตัวจริงออกมา เพราะสำหรับหญิงตรงหน้า ต่อให้ตำแหน่งจะสูงสักเพียงใด สำหรับเขาก็ยังเป็นหลานสาวตัวน้อยที่น่าเอ็นดูอยู่ดี





        "โอเค ลุงเลิกแกล้งแล้ว" พระชนนีหลับตาลงเพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ เหนื่อยใจเรื่องลูกชายไม่พอ ยังจะต้องมารับมือกับลุงแท้ๆขี้แกล้งของตัวเองอีก





        "เอาล่ะท่านลุง ท่านต้องฟังข้า เพราะเวลานี้ความมั่นคงของบ้านเมืองกำลังต้องให้ท่านช่วยเหลือเสียแล้ว"





        "พูดเกินไปพระชนนี คนแก่อย่างลุงหรือจะไปช่วยบ้านเมืองได้ ก็มีแต่ 'เด็กคนนั้น' นั่นแหละ ที่จะช่วยท่านและบ้านเมืองของท่านได้"





        "ข้ารู้ท่านลุง และอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงพิธีราชาภิเษกขององค์ชายแล้ว หากไม่รีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จไป ถ้าความลับนี้รั่วไปถึงหูของ 'แคว้นนั้น' เราจะถูกเล่นงานเอาได้" สีหน้าและสายตาอันหวั่นวิตกของพระชนนีที่มีเพียงชายชราเท่านั้นที่ได้เห็นแสดงออกฉายชัดอยู่ตรงหน้า พระชนนีถึงจะเป็นคนเข้มแข็งสักเพียงใด แต่ลึกๆในใจก็ยังต้องการความช่วยเหลืออยู่ดี




       ไร้คำพูดหรือคำตอบใดๆหลุดออกมาจากผู้เป็นลุง พระชนนีทำได้เพียงนั่งนิ่งรอฟัง





        "เด็กผู้มีเลือดสีขาวบริสุทธิ์ เส้นผมสีทองราวเส้นไหม ผิวขาวดุจหิมะ และริมฝีปากแดงสด รวมถึงแววตาทอประกายเหมือนดวงดาว คนๆนี้เท่านั้นที่จะช่วยพวกเราได้"





        ".........." พระชนนียืดตัวนั่งตรงอีกครั้ง แววตามั่นคงเหมือนคนเก่า ใบหน้างดงามแม้วัยจะร่วงโรยพยักหน้าช้าๆ





        "หากพระชนนีพร้อม ลุงจะจัดการนำเด็กคนนั้นมาถวายให้ถึงที่เลยทีเดียว เพียงแค่รับสั่งมา"





        "ข้าพร้อมแล้วท่านลุง" เพียงคำพูดเดียว กำลังจะทำให้โชคชะตาของคนสองคนเปลี่ยนแปลงไป






        ตลอดกาล ...






    -------------------










        ร่างสูงขององค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์นอนนิ่งอยู่บนเตียงกว้างหลังใหญ่ ในห้องเงียบสงัดไร้ผู้คน แสงจันทร์สาดส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่กระทบใบหน้าหล่อเหลาราวต้องมนต์ เจ้าชายนิทราที่กำลังหลับไหลจากโลกเพียงชั่วคราว เขากำลังฝันถึงใครบางคน คนที่เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโลกแห่งความฝันของเขา คนที่ทำให้หัวใจยังคงเต้นอยู่แม้จะหลับไหลมาร่วมเดือนแล้วก็ตาม






        ใครบางคนที่มีแววตาดุจดังดวงดาวยามค่ำคืน ...



        





    --------------------








        ภายในห้องส่วนพระองค์ พระชนนียืนนิ่งมองรูปภาพกรอบใหญ่ที่แขวนอยู่เหนือสายตา ชายวัยกลางคนที่จากไปก่อนวัยอันควร ผู้เป็นพระราชาองค์ก่อนและสามีของเธอ





        "เสด็จพี่เพคะ ถ้าเสด็จพี่ยังอยู่จะทรงทำอย่างไรเพคะ" แม้ไม่มีใครตอบกลับมา แต่พระชนนีก็ยังคงพูดต่อไป





        "เสด็จพี่ช่วยลูกของเราด้วยนะเพคะ ... อย่าให้เค้าต้องเป็นอะไรไปเพราะคำสาปนั้นอีกเลย ช่วยลูกชายด้วย เค้าอ่อนแอเหลือเกินเวลานี้ ช่วยประทานใครสักคนมาช่วยลูกชายของเราในเร็ววันนี้ด้วยเถิดเพคะ" พระชนนีหลับตาลงเอามือประสานแนบอก กลัวเหลือเกิน กลัวเหลือเกินว่าจะช่วยลูกชายของตนไว้ไม่ได้





        ลูเซียโน่ แคว้นอันยิ่งใหญ่และมั่งคั่ง มหานครแห่งการค้า ศูนย์กลางความยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ่งไหนด้อยไปกว่าแคว้นอื่นๆ





        หากมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นจุดอ่อน ...





        'ทุกๆ 100 ปีเวียนมาบรรจบ คำสาปประจำตระกูลผู้ปกครองจะเผยอำนาจ องค์รัชทายาทหรือผู้ครองบัลลังก์จะหลับไหลและไม่ฟื้นจนกว่าจะได้สัมผัสเลือดสีขาวบริสุทธิ์ของเด็กผู้มีผมสีทองราวเส้นไหม ผิวขาวดุจหิมะ และริมฝีปากแดงสด แต่เมื่อฟื้นขึ้นมาเค้าผู้นั้นจะไร้ซึ่งหัวใจ และหากไม่พบรักแท้ก่อนอายุครบ 20 ปี ความตายก็จะมาพรากเค้าให้จากไปตลอดกาล'







        พระชนนีค่อยๆลืมตาและสะบัดหัวไล่เสียงที่ดังก้องในใจให้ออกไป คำสาปร้ายเวียนมาบรรจบพอดีในราชบัลลังก์ที่ลูกชายของเธอกำลังจะได้รับ





        ทำไมกัน ...





        ทำไมต้องเป็นลูกชายของเธอด้วย





        หวังว่าสิ่งที่เธอตัดสินใจลงไปตอนนี้จะถูกต้องแล้ว





       และ 'เด็กคนนั้น' จะช่วยลูกชายของเธอไว้ได้







        เด็กคนนั้นที่ลุงของเธอรับเลี้ยงดู











        เด็กที่ชื่อว่า .... แบมแบม







    ---------- 100% ----------









    PIN PIN TALK

    ต่อจนจบสักทีตอนแรกกกกกกก เย้ ! ~~ *โดนรุมตบ* 5555555555555

    ขอโทษนะคะที่ทิ้งช่วงนานโข เพราะตัดสินใจไปแต่งเรื่องแรกให้ได้เยอะๆก่อน

    ตอนนี้ได้เวลามาต่อเรื่องนี้แล้ว หวังว่าทุกคนจะชอบน้า เรื่องนี้แฟนตาซี

    ย้ำนะว่านี่คือเทพนิยายแสนหวาน (?) 5555555 ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์

    ให้กำลังใจเราได้ด้วยการเม้นนะค้า ~ แค่นี้ก็เป็นกำลังใจมากโขสำหรับนักเขียนแล้วจีจี ><


    #เทพนิยายมบ




    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×