ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [MarkBam] HOST FAMILY #ฟิคโฮสต์แฟม

    ลำดับตอนที่ #9 : กฎของโฮสต์ข้อที่ 7 :: เป็นโฮสต์ต้องเข้มแข็ง (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.89K
      12
      25 พ.ค. 59






    กฎของโฮสต์ข้อที่ 7

    "เป็นโฮสต์ต้องเข้มแข็ง"

     

     
     

                ผมพับหน้าจอโน๊ตบุ๊คลงหลังจากที่คุยกับพี่มาร์คจบ หันกลับมาก็พบว่าเจ้าโบโบนอนหลับปุ๋ยอยู่บนตักของผมแล้ว ผมเอื้อมมือไปลูบขนฟูนุ่มของเจ้าตัวเล็กเพื่อหวังว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นบ้าง

     

     

                    ความจริงภายใต้ใบหน้าสดใสดูเป็นปกติที่ผมใช้คุยกับพี่มาร์ควันนี้เป็นแค่เรื่องหลอกลวงครับ วันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเป็นอะไร รู้แค่ว่ารู้สึกไม่ดีเลย ผมรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ซ้อมดนตรีเมื่อเย็นนั่นแหละ รู้สึกไม่ดีตั้งแต่ได้เจอกับละอองดาว ...

     

     

                    ภายในห้องเงียบไปถนัดตาตั้งแต่บทสนทนากับคุณชายจบลงเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ผมยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงคนเดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ในหัวคิดเรื่องอะไรไปบ้าง รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเดินมาหยุดอยู่หน้าตู้หนังสือตอนไหนก็ไม่รู้

     

     

                    ผมเอื้อมมือไปหยิบกล่องใบหนึ่งจากหลังตู้ลงมา กล่องสี่เหลี่ยมที่ทำจากกระดาษแข็งซึ่งผมมักจะชอบเก็บของสำคัญไว้ในนั้นเสมอ ผมหยิบมันลงมาก่อนจะเดินไปนั่งลงที่เตียงดังเดิม

     

     

                    ฝากล่องถูกเปิดออกช้าๆ สิ่งแรกที่พบคือรูปถ่ายใบหนึ่ง ภายในรูปปรากฎรูปของเด็กชายและเด็กหญิงที่มีรอยยิ้มสดใสให้กันอยู่เสมอ ดวงตาเป็นประกายแบบนั้นทำเอาผมแอบคิดถึงช่วงเวลาที่เคยมีความสุขมาก ช่วงเวลาที่ผมเคยมีความสุขมากๆกับเธอคนนี้ เด็กผู้หญิงที่เคยเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของผม ... แต่ตอนนี้ทุกสิ่งกลับพลิกผันจนแม้แต่ผมเองก็รับมือไม่ทัน

                   


                   


     

     

                    "น่ารักยังงี้ก็เอาไปให้พี่อองฝนได้แล้วเนอะ" จากรอยยิ้มสดใสที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าหวาน เมื่อเด็กชายพูดถึงคนที่อยากมอบมงกุฏดอกไม้ให้จริงๆ รอยยิ้มนั้นก็พลันจางลงไปถนัดตา ละอองดาวค่อยๆเอื้อมมือขึ้นไปหยิบมงกุฏดอกไม้แล้วยื่นให้เด็กชายคืนช้าๆ

     

     

                    "งั้นเดี๋ยวแบมเอาไปให้พี่อองฝนก่อนนะ" เพียงแค่พูดจบเด็กชายก็วิ่งออกไป ทิ้งไว้แค่เพียงเด็กสาวกับความรู้สึกหน่วงในใจ

     

     


     

                    เด็กชายวิ่งออกมาจากจุดที่เค้าและเด็กหญิงชอบนั่งเล่นด้วยกันเสมอ แบมแบมวิ่งตามหาพี่สาวคนสวยด้วยความร่าเริง สีหน้าที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวอารมณ์ดีมากแค่ไหนประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างและแววตาเป็นประกายอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กชายอยู่เสมอ สองขาน้อยวิ่งมาหยุดลงที่ห้องนั่งเล่นเมื่อพบว่าคนที่กำลังตามหาอยู่นั้นกำลังนั่งเล่นเปียโนอยู่ในห้องนั่นเอง

     

     

                    "พี่อองฝน!" เสียงเพลงที่ดังออกมาจากเปียโนเครื่องสวยหยุดลงอย่างกระทันหันด้วยฝีมือของเจ้าตัวเล็กที่วิ่งเข้ามาในห้อง ละอองฝนละสายตาจากเปียโนหันไปมองเพื่อนสนิทของน้องสาวกำลังวิ่งเข้ามาด้วยความร่าเริง พลันรอยยิ้มบางๆจะปรากฏขึ้นที่มุมปาก

     

     

                    "อ้าว แบมเองเหรอ" ไม่ทันได้พูดจบ เด็กชายก็วิ่งเข้ากอดพี่สาวคนสวยเสียเต็มรัก ละอองฝนรับเจ้าตัวเล็กไว้แล้วหัวเราะให้กับการกระทำของคนที่เธอรักเหมือนน้องชายแท้ๆ

     

     

                    "พี่อองฝนครับ ผมทำมงกุฎมาให้พี่ด้วย" เด็กชายนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวข้างๆพี่สาวก่อนจะยื่นสิ่งที่เจ้าตัวหยิบมายื่นให้เธอ ละอองฝนยิ้มน้อยๆก่อนจะรับมงกุฎดอกไม้สีสวยจากมือของเด็กชายมาไว้แล้วใส่ลงบนศีรษะเบาๆ ก่อนจะหันไปยิ้มอีกครั้งให้เด็กชายอีกครั้งแทนคำขอบคุณ

     

     

                    "ขอบคุณนะแบมแบม"

     

     

                    "ไม่หรอกครับ ผมตั้งใจทำมาให้พี่อองฝน แทนคำขอบคุณที่พี่ช่วยผมไง" เด็กชายส่งยิ้มสดใสให้คนเป็นพี่อีกครั้ง ละอองฝนมองเด็กชายที่อยู่ข้างๆอย่างเอ็นดู แบมแบมมักจะชอบมาปรึกษาตนทุกครั้งที่มีปัญหา สิ่งนี้เลยทำให้เธอสนิทกับน้องชายคนนี้มากๆ ซึ่งปัญหาที่แบมแบมจะชอบมาปรึกษาและขอความช่วยเหลือจากเธอเสมอก็คือ ปัญหาความรัก ..

     


     

                    ความรักของเด็กชายกับน้องสาวของเธอ ...

     

                    ใช่แล้วล่ะ แบมแบมกำลังแอบชอบละอองดาวอยู่ ^^

     

     

                    "ไงล่ะ แล้วตอนนี้เต๊าะน้องสาวพี่ไปถึงไหนแล้ว" สีหน้าของเด็กชายขึ้นสีแดงจางๆยามที่เธอพูดถึงเรื่องนี้

     

     

                    "ไม่รู้สิครับ ผมเดาไม่ออกว่าละอองดาวคิดกับผมยังไง"

     

     

                    "แต่พี่ว่าพี่รู้นะว่ายัยอองดาวคิดยังไง" หญิงสาวพูดขึ้นลอยๆแล้วก็เหลือบสายตามองไปยังหน้าต่าง ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง แบมแบมหันไปฟังสิ่งที่พี่สาวคนสวยพูดอย่างตั้งใจ

     

     

                    "ยัยอองดาวมันก็คิดแบบที่แบมคิดนั่นแหละ" เหมือนก้อนอกด้านซ้ายของเด็กชายเต้นเร็วขึ้นจนเด็กชายต้องยกมือขึ้นมาทาบอก ใบหน้าน่ารักฉีกยิ้มกว้างด้วยสีหน้าที่เป็นประกาย ละอองฝนเห็นท่าทีของน้องชายเขินจนตัวเกือบแตกจึงหันกลับไปเล่นเปียโนของเธอต่อ

     

     

                    แบมแบมฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่รู้จักหยุด มีความสุขแค่ไหนที่พี่สาวที่เค้ารักเหมือนพี่แท้ๆพูดออกมาแบบนี้ เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเค้าต้องจมอยู่กับความระแวงและความสงสัยอยู่เสมอ เด็กชายกลัวว่าหากวันหนึ่งถ้าเค้าพูดสิ่งที่คิดออกไปให้คนเป็นเพื่อนได้ฟัง หากละอองดาวไม่ได้คิดตรงกันกับเค้า เด็กชายกลัวเหลือเกินว่าแม้แต่คำว่าเพื่อนก็คงจะไม่เหลืออยู่ แต่วันนี้เค้ามั่นใจได้ครึ่งหนึ่งแล้วว่าสิ่งที่เค้าคิดอาจจะมีทางเป็นจริงได้บ้าง

     

     

     

                 


     

                    เรื่องในอดีต บางทีมันก็ทำให้ผมทั้งยิ้มและหัวเราะไม่ออกได้เหมือนกันนะครับ ...

     

     

                    ใครจะไปรู้ว่าคนที่เคยสนิทกันมาก วันหนึ่งตอนที่เราเจอกันอีกครั้งมันจะกลายเป็นคนที่ไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน เหมือนกับผมและละอองดาวในตอนนี้

     

     

                    เพื่อนสนิทที่ผมเคยแอบชอบมาก่อน

     

     

                    ตั้งแต่เกิดเรื่องร้ายในตอนนั้น เธอก็เข้าใจผิดจนในที่สุดความสัมพันธ์ของเราก็ต้องจบลงโดยที่ผมยังไม่มีโอกาสได้พูดความในใจออกไปเลยสักนิด ...

     

     

                    ใช่แล้วครับ ... เหตุการณ์ในวันนั้น วันที่พี่ละอองฝนเสียชีวิต มันเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของผมเรื่องหนึ่งเลยล่ะ ผมก็เสียใจไม่ต่างไปจากอองดาวหรอกนะ และสิ่งที่ผมเสียใจมากกว่าคือเพื่อนของผมคนนี้เข้าใจผมผิดจนความรู้สึกดีๆของเราสองคนขาดสะบั้นลง โดยที่ผมไม่สามารถแก้ตัวได้เลย

     

     

                    ข้อความปริศนานั้นถูกส่งมาจากไหนผมก็ไม่รู้ อาจจะมีใครบางคนต้องการให้เป็นแบบนี้ ใครบางคนคงต้องการให้ผมกับละอองดาวผิดใจกัน และบางทีมันอาจจะมีอะไรมากกว่านั้น ... ใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังการตายของพี่ละอองฝน พี่สาวที่แสนดีของผม ...

     

     

                    ผมอยากสืบเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าบางทีการขุดคุ้ยเรื่องในอดีตขึ้นมา อาจจะทำให้ความลับบางอย่างที่ผมสัญญากับพี่ละอองฝนถูกเปิดเผยขึ้นมา ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมทำไม่ได้ .... ความลับนั้นจะต้องตายไปพร้อมกับผม

     

     

                    แล้วอย่างนี้ กันต์พิมุกต์ควรจะทำยังไงดีล่ะครับ เห้อ ...

     






     

    Mark's Talk

     

     

                เช้าวันใหม่ของสัปดาห์แลกเปลี่ยน มาร์คต้วนคนหล่อถูกปลุกด้วยแสงแดดสดใสและเสียงของนกน้อยที่เกาะอยู่นอกหน้าต่าง มนุษย์มาร์คต้วนที่เคยชินกับการตื่นเช้าขณะนี้กำลังเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ออกมาจากตู้เสื้อผ้า มือใหญ่ไล่ดูเสื้อที่แขวนไว้ก่อนจะหยิบเชิ้ตสีขาวดูบางใส่สบายขึ้นมาสวม

     

     

                    เมื่อมาร์คจัดการใส่กระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จ คนหล่อยิ้มให้กระจกหนึ่งทีก่อนจะหันมามองยองแจซึ่งยังคงหลับใหลอยู่บนเตียงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ รอยยิ้มสดใสแข่งกับแสงแดดยามเช้าปรากฎขึ้นตามสไตล์ ขายาวค่อยๆก้าวเข้าไปยืนชิดข้างเตียง ก่อนที่ใบหน้าหล่อจะค่อยๆก้มลงไปหาคนบนเตียงทีละนิด ... ทีละนิด และ ...

     

     

                    ._.

     

                    -.....-

     

     

                    มาร์คชะงักหน้าค้างไว้แค่นั้นแล้วอยู่ๆก็ยืดตัวขึ้นมาตามเดิม ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปเขย่ายองแจแทน

     

     

                    "ยองแจตื่น" ไม่มีสัญญาณตอบรับจากมนุษย์บนเตียง เห็นดังนั้นมาร์คต้วนจึงลองเขย่ายองแจแรง ขึ้น แต่ทว่าอยู่ๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ และประตูก็ถูกเปิดออกอย่างถือวิสาสะโดยน้ำมือของหนุ่มฮ่องกงที่ตอนนี้โผล่หน้ามายิ้มให้เขา

     

     

                    "อรุณสวัสดิ์มาร์ค" แจ็คสันทักทายเพื่อนร่วมโครงการก่อนจะค่อยๆแทรกตัวเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลง แล้วเดินเข้ามายังที่ๆมาร์คยืนอยู่

     

     

                    "ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้" แจ็คสันหยุดยืนเท้าสะเอวอยู่ข้างเตียง มาร์คต้วนจึงหันไปมองอย่างสงสัย หนุ่มฮ่องกงที่หันหน้ามาเจอใบหน้าสงสัยของคนข้างๆพอดีจึงอธิบายว่า

     

     

                    "พี่ยองแจเป็นคนตื่นยากน่ะ ต้องปลุกแบบนี้ ดูนะ" มาร์คมองแจ็คสันที่เดินไปตั้งหลักอยู่ตรงมุมห้องแล้วค่อยๆวิ่งมาและ...

     

     

                    กระโดดลงทับยองแจที่นอนอยู่บนเตียง!

     

     

                    "ยองแจ!!!!!!~~~~~~~"

     

     

                    "แจ๊คสันนนนน อีกแล้วนะ!"

     

     

     

     

                    มาร์คเดินกลั้นยิ้มออกจากห้องมาเพื่อปล่อยให้เด็กแลกเปลี่ยนได้ปลุกโฮสต์อย่างสะดวก ขายาวเดินลงบันไดมาอย่างช้าๆเพื่อตรงไปยังโซนชั้นล่างของบ้าน แต่แค่ก้าวพ้นมุมบันไดลงมา มาร์คก็ต้องพบกับเจ้าของบ้านตัวเล็กยืนมองอยู่แล้ว

     

     

                    "อรุณสวัสดิ์ค่ะมาร์ค" เมย์บียืนมองหนุ่มหล่อที่เดินลงมาจากบันได ก่อนจะพุ่งเข้าไปคล้องแขนมาร์คไว้อย่างถือโอกาสแล้วยิ้มให้คนตัวสูงอย่างอารมณ์ดี

     

     

                    "อรุณสวัสดิ์ครับเมย์บี" มนุษย์มาร์คต้วนยังคงเป็นชายหนุ่มที่มนุษยสัมพันธ์ดีอยู่เหมือนเดิม คุณชายมองหญิงสาวตัวเล็กที่อยู่ข้างๆแล้วยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง ทำเอาเมย์บีเกือบละลายตายไปกับความหล่อของคนข้างๆ

     

     

                    ถ้าสิงได้เธอคงสิงไปแล้ว ....

     

     

                    "วันนี้ไปเที่ยวบางปะอินกัน มาร์คพร้อมแล้วยังคะ" เมย์บีเดินคล้องแขนมาร์คอย่างจงใจจะให้เป็นแบบนั้นไปตามทางเดินของบ้าน ส่วนคนหล่อก็ไม่มีทีท่าว่าจะรำคาญหรือรู้สึกอะไร ยังคงปล่อยให้สาวเจ้าเดินคล้องแขนตัวเองตามใจเธอ

     

     

                    "พร้อมแล้วครับ ว่าแต่เมย์บีเห็นเจบีกับจูเนียร์บ้างมั้ย"

     

     

                    "เจบีกับจูเนียร์กำลังทานข้าวเช้าอยู่ที่ห้องทานข้าวค่ะ มาร์คมาก็ดีแล้ว เมย์บีกำลังจะขึ้นไปตามมาทานข้าวพอดีเลย"

     

     

                    "โอเค งั้นเราก็ไปทานข้าวกันเถอะครับ ผมเริ่มหิวแล้ว" มาร์คหันมายิ้มให้สาวน้อยตัวเล็กอย่างที่ทำเป็นปกติ แต่ทว่าเมย์บีกลับคิดไปมากกว่านั้น

     

     

                    "โอเค งั้นเราไปทานข้าวกันค่ะ เมย์บีก็หิวแล้วเหมือนกัน" แล้วหนึ่งชายหนุ่มกับสาวน้อยเจ้าของบ้านก็เดินเคียงข้างกันไปตามทางเพื่อมุ่งตรงสู่ห้องทานอาหารด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน

     

     

                    คนหนึ่งปกติเหมือนอย่างเช่นทุกวัน

                    แต่อีกคนกำลังตื่นเต้นจนแทบจะเก็บความดีใจไว้ไม่อยู่

                    หรือที่เค้าเรียกว่ากำลัง 'มโน' นั่นแหละค่ะ

     

                   




    BamBam Part's

     

     

                    เช้านี้ผมมาโรงเรียนด้วยความเปล่าเปลี่ยวเอกาเหมือนเดิมเป็นวันที่สองแล้วล่ะครับ อาจจะเพราะไม่มีคุณชายมาร์คต้วนมาคอยปลุกแบบเมื่อก่อน มันก็เลยทำให้ผมต้องตั้งนาฬิกาปลุกไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง ไม่รู้เหมือนกันครับว่าจะตั้งอะไรเร็วขนาดนั้น แต่ก็อย่างว่าอ่ะครับ คนอย่างผม ม๊าชอบบ่นเสมอว่านอนกินบ้านกินเมือง โอเคครับผมยอมรับว่าผมเป็นจริงๆ ผมเคยนอนตั้งแต่สามทุ่มของวันหนึ่งไปตื่นอีกทีก็สามทุ่มของวันถัดไปแล้วอ่ะครับ อยากถามตัวเองเหมือนกันนะว่านี่มึงหลับหรือซ้อมตายครับกันต์พิมุกต์

     


     

                    และเพราะเมื่อเช้าผมตื่นเช้ากว่าปกติส่งผลให้ตอนนี้ผมเลยมายืนทำเอ็มวีอยู่ที่โรงเรียนตั้งแต่ยังไม่ถึงเจ็ดโมงอ่ะครับ เอาจริงๆอยากมาช่วยลุงยามเปิดประตูซะด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าเดี๋ยวจะเป็นการแย่งงานลุงไปซะเปล่าๆ ผมยืนนิ่งอยู่หน้าทางขึ้นอาคารสักพักกำลังลังเลว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้นไปดี เอาจริงๆก็แอบอยากขึ้นไปหลับต่อ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเช้าขนาดนี้คงยังไม่มีเพื่อนหน้าไหนเสนอหน้ามาหรอกครับ ซึ่งเท่ากับว่าถ้าผมขึ้นไปคงจะต้องอยู่คนเดียวทั้งชั้นแน่ๆ แล้วอีกอย่างถ้าผมอยู่ในห้องเรียนคนเดียวแล้วเกิดเจอวนิดาอยู่ใต้โต๊ะผมจะทำยังไงล่ะ เอาล่ะผมว่าผมได้คำตอบแล้วล่ะครับว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้นดี ถูกต้องครับผมไม่ขึ้นเพราะผมยังไม่อยากเซย์ไฮกับวนิดาในเพื่อนเฮี้ยนโรงเรียนหลอน โหววว แค่คิดผมนี่ก็ขนลุกตั้งแต่หัวยันเล็บขบเลยครับ

     


     

                    "กันต์พิมุกต์ มาช่วยครูถือของหน่อยสิ" ผมยืนคิดถึงวนิดาอยู่ดีๆก็มีวนิพกคนหนึ่งผ่านมา ผมสะดุ้งเล็กน้อยแล้วจึงหันไปตามเสียงเรียก อ่อนี่มันครูพักพงศ์นี่หว่า ไม่ใช่วนิพกที่ไหนหรอกครับ ถึงแม้ว่าแกจะเหมือนก็ตามเถอะ

     

     

                    "อ้าว สวัสดีครับคุณครู" ด้วยความเป็นเด็กดี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียงผมจึงรีบเข้าไปช่วยครูพักพงศ์ถือของอย่างไว คุณครูมองผมด้วยสายตาสงสัยในตัวผมอย่างรุนแรง โอเคครับผมเข้าใจว่าทำไมครูถึงทำสายตาแบบนั้น เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่าปกติแล้วผมจะมาโรงเรียนไม่วิ่งก่อนประตูปิดก็มาตอนเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จแล้วอ่ะครับ ซึ่งครูพักพงศ์ หรือผมขอเรียกสั้นๆว่าครูผักเนี่ยแหละ แกจะเป็นคนคอยตรวจเช็คเด็กมาสายเสมอ ทำให้ผมกับแกต้องพบหน้าสบตากันอยู่ประจำ แล้ววันนี้แกก็คงจะสงสัยว่าทำไมกันต์พิมุกต์คนนี้ถึงมาโรงเรียนแต่เช้าได้ขนาดนี้ล่ะสิ

     

     

                    "ทำไมวันนี้ถึงมาเช้าได้ล่ะ"

     

     

                    "อ๋อพอดีวันนี้ผมอยากเป็นเด็กดีให้เหมือนหน้าตาน่ะครับ" พอได้ฟังคำตอบครูผักแกก็เบือนหน้าหนีเดินนำผมไปแบบเอือมระอาสุดพลัง นี่ถ้าครูแกไม่ติดว่าเป็นครู แกคงจะทำท่าเบะปากเป็นรูปตีนใส่ผมแล้วล่ะ เห็นแกเดินนำออกไปไกล ผมจึงรีบเดินตามครูผักก่อนที่ก่อนที่ของมากมายในมือจะไม่มีจุดหมายปลายทาง

     

     

                    "ครูครับ ครูยังไม่บอกเลยว่าจะให้ผมเอาของไปไว้ที่ไหนอ่ะ" ครูผักหยุดเดินแบบกะทันหันจนผมเบรกระยะประชิดเกือบรวมร่างกับหลังของครูแกแล้ว ครูผักหันหน้ามาหาผมแล้วทำหน้าประหนึ่งเพิ่งคิดได้ว่าลืมเมียไว้ที่ตลาด

     

     

                    "เออใช่ กันต์พิมุกต์ ช่วยเอาของไปไว้ที่ห้องปกครองให้ครูหน่อยนะ เดี๋ยวครูจะไปห้องผอ.ก่อน" อันที่จริงครูผักเนี่ยแกก็มีเรื่องเล่าขานในรั้วโรงเรียนนะครับว่ามีอะไรซัมทิงกับผอ.ยางยศสุดที่รักของเรา คือแกสองคนชอบคุยกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน ครับผมเข้าใจว่าครูกับผอ.สนิทกัน แต่นั้นเป็นมุมมองแบบผู้ชายแมนๆเตะบอลคุยกันน่ะครับ แต่ไม่ใช่มุมมองของพวกสาวไทยหัวใจสีม่วง หรือก็พวกสาววายนั่นแหละที่ผมพูดถึง นักเรียนหญิงโรงเรียนนี้อย่าให้ผมพูดเลยครับ แหม แค่เห็นแมวตัวผู้เล่นด้วยกันมันก็จับจิ้นแล้ว นี่ขนาดผมยังโดน เห้อพูดแล้วก็แอบคิดถึงคู่จิ้นของตัวเอง

     

     

                    "ครูไปทำอะไรเหรอครับ"

     

     

                    "ไม่ใช่เรื่องของแกน่ากันต์พิมุกต์ รีบๆยกของไปไว้ที่โต๊ะครูได้แล้ว เดี๋ยวครูจะรีบไปหาผอ. สายกว่านี้เดี๋ยวท่านงอน" พูดจบแกก็เดินต่อไปแบบไปเร็วเคลมเร็วสุดๆ ผมจึงมองตามแกไปแบบค่อนข้างสตั้นเล็กน้อยถึงปานกลาง อะไรวะมีงงมีงอนกันด้วย กันต์พิมุกต์คิดว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ กันต์พิมุกต์สัมผัสได้

     


     

     

     

                    ผมเดินถือของอันมากมายมหาศาลไปตามทางเดินมุ่งสู่ห้องปกครองเรื่อยๆ ตอนนี้เริ่มมีนักเรียนบางส่วนมาโรงเรียนทำให้ผมเริ่มคลายใจไปได้บ้างว่าผมคงจะไม่ต้องเสี่ยงเจอหัววนิดาอีกแล้ว พูดไปก็ตลกตัวเองนะครับแหม่ โตเป็นควายยังกลัวผีไปได้ วันนั้นไม่น่านั่งดูเพื่อนเฮี้ยนโรงเรียนหลอนกับยัยบี้เลย โคตรติดตาอ่ะ

     

     

                    แต่ผมว่าผมคงไม่ต้องกลัววนิดาแล้วล่ะครับ เพราะตอนที่ผมกำลังเดินมาเกือบถึงห้องปกครอง ผู้หญิงที่ผมกลัวมากกว่าวนิดาก็เดินตัดหน้าผมเข้าไปในห้องนั้นซะแล้วสิ นี่ผมเจอกับละอองดาวอีกแล้ว ทำไมชีวิตช่วงนี้แลดูโคจรมาพบกันบ่อยจังครับ ดาวเสาร์ทับวงโคจรกันเหรอครับ หมอลักษณ์ช่วยมาเช็คให้ผมด่วน

     

     

                    ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะกลั้นใจเปิดประตูเพื่อเอาของไปวางไว้ที่โต๊ะครูผักให้เรียบร้อย แล้วจะได้ชิ่งหนีออกมา ผมไม่อยากอยู่ในห้องสองคนกับเธอนานเท่าไหร่หรอกนะ มันเป็นฟิลลิ่งที่โคตรจะอึดอัด ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ผมเดินเอาของไปไว้ที่โต๊ะที่มีชื่อของครูผักติดไว้ และบังเอิญเหลือเกินที่โต๊ะนั่นดันติดอยู่กับโต๊ะที่ละอองดาวกำลังเอาการบ้านมาส่งพอดี ทำให้ผมกับเธอต้องอยู่ใกล้กันไปโดยปริยาย โอ๊ย ดวงผมกับเธอไม่ใช่แค่ดาวเสาร์โคจรทับกันแล้วมั้งครับ อย่างงี้คงเป็นดาวพฤหัสแล้วล่ะ

     

     

                    "สวัสดีละอองดาว" ผมยกมือขึ้นทักทายเธอตามมารยาท

     

     

                    "อืม" เธอส่งเสียงแค่คำว่าอือตอบกลับมาให้ผมโดยที่ไม่แม้แต่จะมองหน้า เอาล่ะครับ ผมชินแล้ว

     

     

                    บทสนทนาที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรต่อไป ทำให้ตอนนี้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ โดยที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ยอมออกไปจากห้องเสียที ผมกำลังเหลือบตามองผู้หญิงคนข้างๆที่กำลังอ่านอะไรสักอย่างในสมุดอยู่ ความจริงที่ผมยังยืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะว่าผมอยากคุยเรื่องบางเรื่องกับเธอ

     

     

                    "ละอองดาว เธอ สบายดีนะ" รู้มั้ยครับว่าผมต้องใช้ความพยายามขนาดไหนกว่าจะเริ่มบทสนทนาใหม่กับเธอได้ แต่ละอองดาวก็ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองผมสักที

     

     

                    "ก็ดีอ่ะ ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก ไม่ต้องห่วง" ละอองดาวเงยหน้าจากสมุดขึ้นมามองหน้าผมด้วยแววตาที่เฉยชา ทำเอาผมรู้สึกตัวเย็นวูบไปทั่วทั้งร่าง สายตาแบบนี้ผมไม่ชอบเลยจริงๆนะ ผมรู้ว่าคำพูดที่เพิ่งออกจากปากของเธอมาเมื่อกี้เธอต้องการจะสื่อถึงอะไร เรื่องในอดีตที่ยังค้างคา เรื่องในอดีตที่เธอเข้าใจผิดผม ผมอยากจะปรับความเข้าใจกับเธอนะครับ แต่ผมทำไม่ได้จริงๆ

     

     

                    เพราะผมบอกแล้วว่าบางทีความลับของพี่ละอองฝนอาจจะถูกเปิดเผย ...

     

     

                    "ละอองดาว เธอยังไม่ลืมเรื่องวันนั้นอีกเหรอ" ผมจ้องหน้าของผู้หญิงตรงหน้าอย่างต้องการค้นหาคำตอบที่แท้จริง ทว่าแววตาที่แสนจะเฉยชานั้นก็ยังคงสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหวใดใด มีเพียงเสียงคุ้นเคยที่ดังออกมาจากคนตรงหน้าเท่านั้น

     

     

                    "ฉันไม่มีวันลืม และก็ขอให้นายจำไว้ด้วยนะว่าฉันจะตามแก้แค้นให้พี่สาวของฉัน ดังนั้นอยู่ห่างๆฉันไว้นะแบมแบม เพราะฉันยังไม่อยากทำร้ายนายเหมือนดังเช่น ... ตอนนี้" รอยยิ้มซะใจปรากฎขึ้นที่มุมปากบางก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นไปปัดที่ทับกระดาษซึ่งวางอยู่บนโต๊ะของคุณครูให้ร่วงหล่นลงใส่ขาของผมอย่างจงใจ ที่ทับกระดาษซึ่งน่าจะทำจากหินอ่อนตกใส่เท้าของผมอย่างแรง ส่งผลให้ตอนนี้ผมทรุดลงไปนั่งกับพื้นโดยอัตโนมัติ ความเจ็บแปรบจากฝ่าเท้าที่แล่นขึ้นมาทันทีทำให้ผมต้องรีบเอื้อมมือไปกุมเท้าที่บอบช้ำนั้นไว้

     

     

                    "โอ๊ย! ละอองดาว นี่เธอทำอะไรน่ะ"

     

     

                    ละอองดาวยืนมองผลงานของตัวเองด้วยสีหน้าสงบนิ่งและแววตาเรียบเฉย มีเพียงมุมปากบางเท่านั้นที่เผยรอยยิ้มซะใจบนใบหน้าอย่างเด่นชัด เธอยกยิ้มอย่างภูมิใจกับผลงานในครั้งนี้ของเธอ ส่วนผมตอนนี้ความเจ็บก็กำลังเข้ารุมทำร้ายที่เท้าของผมอย่างรุนแรง ผมเงยหน้ามองละอองดาวอย่างไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เธอทำ ทำไมเธอจะต้องทำร้ายผมด้วย

     

     

                    "ละอองดาว เธอทำแบบนี้ทำไม" ละอองดาวหัวเราะหึขึ้นมาก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงมามองผมที่นั่งหมดสภาพอยู่ที่พื้น

     

     

                    "นี่เป็นแค่การเตือน ต่อไปนี้นายอย่ามายุ่งกับฉันอีกนะถ้าไม่อยากเจ็บตัว แล้วก็จำไว้ด้วยว่าถ้าหากเมื่อใดที่นายเผลอ เมื่อนั้นฉันจะทำให้นายเจ็บยิ่งกว่าตอนนี้ซะอีก ดังนั้นต่อไปนี้อยู่ห่างกับฉันไว้นะแบมแบม ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ..." ละอองดาวมองผมค้างไว้แปบนึงก่อนจะยืดตัวกลับไปดังเดิมแล้วเดินออกจากห้องไปปล่อยให้ผมนั่งอยู่ที่เดิม ผมค่อยๆพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่แล้วก็ต้องทรุดลงไปนั่งยังพื้นที่เดิม พอสังเกตุอีกทีก็พบว่าเท้าข้างซ้ายของผมนอกจากจะบวมแล้วตอนนี้ยังมีเลือดออกซิบๆด้วย

     

     

                    ผมปล่อยตัวเองให้เลยตามเลย แผลที่เท้าตอนนี้ผมไม่รับรู้แล้วล่ะครับหากเทียบกับความรู้สึกในใจตอนนี้ ผมไม่รู้แล้วล่ะว่าอันไหนมันเจ็บกว่ากัน

     

     

                    ละอองดาว ... นี่เธอเกลียดผมขนาดนี้เลยเหรอ

     

     



     

     

                    ผมค่อยๆพยุงร่างตัวเองที่แทบจะเดินไม่ไหวเพราะอาการบวมเมื่อกี้ค่อยๆเจ็บมากขึ้น เท้าข้างที่เจ็บผมก็พยายามยัดใส่รองเท้าตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลือกที่จะไม่บอกใครดีกว่าครับ เพราะผมกลัวว่าคนอื่นจะมองละอองดาวไม่ดี ละอองดาวเธอแค่เข้าใจผมผิดไป เธอคงไม่ได้ตั้งใจหรอกใช่มั้ย โห่โคตรพระเอกเลยว่ะกันต์พิมุกต์เอ้ย เจ็บแล้วยังโชว์หล่ออีกว่ะ

     

     

                    หลังจากกระดึ๊บๆลงจากอาคารมาได้ ผมก็ต้องมาทนยืนเข้าแถวอีกครับ แล้วประเด็นคือเข้าแถวเนี่ยก็ปาไปตั้งเกือบ 20 นาที กว่าจะทำกิจกรรมเสร็จ กว่าผอ.จะพูดจบ ผมแทบอยากร้องไห้วิ่งไปซบอกม๊าจริงๆ ไอ้เลือดที่ผมกลัวนักกลัวหนามันก็ค่อยๆซึมออกมา โอ๊ยทำไมชีวิตผมมันโหดร้ายขนาดนี้นะ กว่าจะเข้าแถวเสร็จผมจะเป็นลม

     

     

                    "เลิกแถว เข้าห้องเรียนได้ค่ะ" เมื่อคุณครูพิธีกรประกาศเลิกแถว เหล่านักเรียนก็แตกตัวกันราวกับรังมดแดงโดนน้ำร้อน นักเรียนพันกว่าคนต่างคนต่างเดินไปยังห้องเรียนของตน ผมหันไปมองหาไอ้ยูคกับไอ้มิ้นที่ตอนนี้กำลังเดินเข้ามาหาผมเหมือนกัน

     

     

                    "เห้ยไอ้แบม มึงเป็นอะไรเนี่ย ทำไมหน้าซีดๆ" ไอ้ยูคที่เดินเข้ามาทักผมเป็นคนแรก ส่วนไอ้มิ้นที่เดินตามหลังมาก็เข้ามายืนมองด้วยสีหน้าสงสัย

     

     

                    "ป่าวนิ กูไม่ได้เป็นอะไร" โกหกคำโตเลยครับผม บอกแล้วกันต์พิมุกต์โคตรหล่อ

     

     

                    "เออ นี่พวกแกรู้ยังว่าวันนี้พี่สีเรียกประชุมนะ" ผมหันไปมองไอ้มิ้นที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาก่อนจะนึกได้ว่านี่โรงเรียนของผมใกล้เทศกาลกีฬาสีแล้วสินะ ก็อย่างที่เคยบอกไปอ่ะครับว่าผมโชคดีได้อยู่สีขาวซึ่งเป็นสีของพี่คุณที่เป็นพี่รหัสของผม อีกทั้งยังเป็นสีประธานซะด้วย แต่ที่โชคร้ายก็คือสีขาวมีละอองดาว ....

     

     

                    เห้อ บอกแล้วว่าดาวเสาร์โคจรทับกัน ...

     

     

                    "แล้วเรียกประชุมตอนไหนวะ" ผมเอ่ยปากถามไอ้มิ้นแต่อยู่ๆความเจ็บแปรบจากฝ่าเท้าก็แล่นขึ้นมาอีกระลอก ทำให้ผมเผลอเอื้อมมือลงไปนั่งกุมไว้ ไอ้มิ้นกับไอ้ยูคจึงมองผมด้วยความสงสัยทันที

                   


                    "ไอ้แบมมึงเป็นอะไรวะ แปลกๆนะมึงอ่ะ" ไอ้ยูคมองผมแบบจับผิดสุดๆไปเลยครับ มองแบบนี้เป็นปลากัดกูท้องลูกเจ็ดคนแล้วนะไอ้ยูค

     

     

                    "ก็บอกไม่ได้เป็นอะไร กูเมื่อยเฉยๆ" พูดไม่พอต้องทำให้เห็นภาพครับ ผมนั่งแหมะลงบนพื้นทันทีเพื่อความสมจริงของการแสดง อยากจะเสนอชื่อตัวเองเข้าชิงออสการ์จริงๆเลยครับ ตุ๊กตาทองเหลือเกินนะกันต์พิมุกต์

     

     

                    "แล้วสรุปประชุมตอนไหน" ผมถามออกไปอีกครั้งเพื่อพยายามเปลี่ยนประเด็นจับผิด

     

     

                    "ตอนเย็น ที่ห้องโสตเล็ก" ไอ้มิ้นตอบแต่ยังมองผมแบบไม่วางใจอยู่ดี เห็นสีหน้ามีเงื่อนงำของมันแบบนั้นผมเลยตัดสินใจจบบทสนทนาตรงนี้เองซะเลย

     

     

                    "เออๆโอเค แต่กูว่าตอนนี้เราขึ้นเรียนกันดีกว่าว่ะ ได้เวลาละ" ไอ้ยูคกับไอ้มิ้นเหมือนเพิ่งคิดได้ว่ามีหน้าที่ต้องไปเรียน มันเลยทำหน้าอ๋อแบบคนเพิ่งคิดได้ทันทีก่อนจะรีบพากันเดินออกไปทิ้งผมให้เดินตามหลัง ส่วนผมคนหล่ออนาถายังคงนั่งอยู่ที่เดิมเพราะผมลุกไม่ขึ้นน่ะครับ ไม่ได้คิดเล้ยยยไอ้ตอนนั่งลงไปน่ะ ไม่ได้คิดเลยว่าตอนลุกมันลุกยาก โอ๊ย กันต์พิมุกต์คนโง่เอ้ย

     

     

                    ถ้าพี่มาร์คอยู่ตรงนี้คงจะมีคนมาช่วยพยุงผมอ่ะเนอะ .... T^T



     

    ----- 50% -----


     

                    ตลอดทั้งวันผมต้องอดทนอยู่กับความเจ็บปวดกับบาดแผลที่เท้าซึ่งยังไม่ได้รับการรักษา อีกทั้งผมยังใส่รองเท้าเพื่อปกปิดไม่ให้ใครรู้ด้วย แผลที่เท้าของผมตอนนี้เลยทั้งบวมทั้งเจ็บจนผมแทบจะครายเป็นสายเลือดเลยล่ะครับ T^T

     

     

                    แต่ทว่าพอเลิกเรียนแทนที่จะได้กลับบ้านเลย ผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตอนเย็นพี่สีนัดประชุมกีฬาสีเหมือนที่ไอ้มิ้นเพิ่งบอกผมไว้เมื่อเช้า ผมจึงทำหน้าที่ของรุ่นน้องที่ดีแบกสังขารของตัวเองไปยังห้องโสตเล็กที่ประชุมเพื่อเข้าร่วมประชุมสีในครั้งนี้ด้วย

     

     

                    ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปผมก็พบว่ามีนักเรียนที่อยู่สีเดียวกันทั้งมอต้นและมอปลายบางส่วนทยอยมากันเยอะพอสมควรแล้ว เห็นดังนั้นผมจึงไล่สายตาหาห้องของผมแล้วก็เห็นไอ้ยูคยืนคุยกับเพื่อนในห้องอยู่ ผมจึงเดินเข้าไปสมทบกับมันทันที เอาจริงๆผมได้ยินเสียงพวกมันตั้งแต่อยู่หน้าห้องอ่ะครับ ไอ้พวกนี้เวลาจับกลุ่มเม้าท์กันเสียงดังแบบเซอร์ราวด์สุดๆแล้วที่สำคัญเม้ามันส์ยิ่งกว่าพวกผู้หญิงอีกครับ โดยเฉพาะเวลาเม้าท์เรื่องบอลนะ อื้อหือ คือพวกมึงเปิดห้องคุยกันเลยมั้ยครับ จะได้ไม่เป็นภาระของคนรอบข้าง

     

     

                    เห้ยแบม ทำไมมาช้าจังผมเดินเข้าไปในกลุ่มเพื่อนห้องตัวเอง แล้วไอ้ยูคก็เอ่ยปากทักผมขึ้นมาเป็นคนแรกเลย

     

     

                    ไปห้องน้ำมาผมตอบมันกลับไปแล้ววางกระเป๋าลงที่พื้นก่อนจะหันไปถามมันถึงไอ้มิ้นที่ผมยังไม่เห็นเงาของมันเลยสักนิดตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องนี้

     

     

                    แล้วไอ้มิ้นล่ะ

     

     

                    “เดี๋ยวมันมา เห็นว่าไปช่วยพี่โจควอนยกของอ่ะ

     

     

                    “อ๋อ โอเคผมพูดจบก็นั่งลงที่แถวของห้องผมแล้วหยิบโทรศัพท์ต่อกับหูฟังยัดหูตัวเองเปิดเพลงโปรดฟังเป็นการฆ่าเวลา พลางมองผู้คนที่อยู่รอบๆห้องไปมาอย่างเพลิดเพลิน เสียงพูดคุยหัวเราะดังอยู่ทั่วบริเวณ แล้วอยู่ๆผู้หญิงที่ทำให้ผมต้องเจ็บเท้าเมื่อเช้าก็เดินมานั่งลงที่แถวข้างๆห้องผมแต่อยู่ข้างหน้า ผมเห็นเธอนั่งลงแล้วคุยกับไอ้เตนล์อย่างสนุกสนาน ทำให้ลึกๆแล้วผมก็แอบอิจฉาไม่ได้นะเนี่ย

     

     

                    ไม่เอาๆแบมแบม เย็นไว้ๆ นับหนึ่ง สอง สาม ...

     

     

                    แต่แค่เห็นหน้าเธอ ผมก็เจ็บที่เท้าขึ้นมาทันทีเลยครับ ... หือออ T^T

     

     

                    อ่ะแฮมๆ สวัสดีครับน้องๆสีขาวทุกคนเสียงของพี่คุณดังขึ้นเมื่อเห็นว่าน้องๆมากันครบแล้ว ประธานสีหน้าหล่อจึงเดินไปประจำอยู่ที่หน้าห้องแล้วกล่าวต้อนรับรุ่นน้องอย่างอารมณ์ดี ผมจึงละความสนใจจากละอองดาว ถอดหูฟังใส่กระเป๋าแล้วหันไปตั้งใจฟังพี่คุณ

     

     

                    ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณน้องๆที่น่ารักทุกคนเลยนะครับที่วันนี้มาประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง วันนี้พี่ขอเวลาไม่มากครับ แค่จะมาบอกถึงรายละเอียดที่พวกน้องจะได้รับในงานกีฬาสีประจำปีนี้พี่คุณพูดจบก่อนจะเผยรอยยิ้มบางๆส่งให้รุ่นน้อง ทำเอาพวกรุ่นน้องผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าพี่เค้าเกือบกระอักเลือดตายด้วยออร่าพลังสามล้านแอทแทค โหววววว พี่รหัสผมครับพี่ผมมมมม หล่อเหมือนกันทั้งสายรหัสอ่ะ

     

     

                    “น้องมอหนึ่ง มอสอง มอสาม ตามธรรมเนียมทุกปีนะครับ น้องๆจะต้องขึ้นแสตนด์เชียร์ น้องมอสี่จะต้องขึ้นแสตนด์หลีด ส่วนน้องมอห้าก็มาช่วยพี่มอหกทำงานนะครับเสียงซุบซิบของพวกรุ่นน้องดังขึ้นทันทีที่พี่คุณพูดจบ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเสียงบ่นของพวกน้องมอต้นที่โอดครวนไม่อยากขึ้นแสตนด์ ผมเข้าใจครับว่าน้องไม่อยากดำแล้วก็ขี้เกียจ แต่เอาจริงๆผมว่าชีวิตมัธยมครั้งหนึ่งต้องเคยขึ้นแสตนด์เชียร์กีฬาสีนะ จำได้ว่าตอนมอหนึ่งผมก็ถูกพวกรุ่นพี่บังคับให้ขึ้นเหมือนกัน ตอนแรกก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่พอซ้อมไปเรื่อยๆก็รู้สึกสนุก ยิ่งพอถึงวันจริงนี่ผมโคตรฮาร์ดคอร์อ่ะ ตะโกนตั้งแต่ขึ้นแสตนด์ยันลงจากแสตนด์ ขนาดม๊ามารับผมยังร้องเพลงเชียร์ในรถให้ม๊าฟังเลยอ่ะ ตุ่มใส่น้ำ ใส่น้ำให้เต็มตุ่มมม ~~~ เปรี้ยวก็จิ้มเกลือ หวานก็จิ้มเกลือ ถ้าไม่จิ้มเกลือ ก็ไม่ต้องจิ้ม แดกไปเลยๆ 555555

     

     

                    เมื่อเสียงซุบซิบค่อยๆซาลง พี่คุณก็พูดรายละเอียดที่อยู่ในกระดาษรายงานที่พี่แกถืออยู่ก่อนจะพลิกไปยังหน้าต่อไปแล้วพูดต่อ

     

     

                    “ส่วนน้องนักกีฬาที่ถูกเลือกไว้เดี๋ยวลุกขึ้นมาแล้วเดินไปหาพี่ต้นหลังห้องนะครับเด็กนักเรียนที่น่าจะเป็นนักกีฬาต่างพากันทยอยลุกขึ้นไปด้านหลังห้อง ผมนั่งมองบรรยากาศรอบๆก่อนที่จะมีมือบางของใครบางคนเอื้อมมาสะกิดไหล่ผม เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเป็นพี่โจควอนนั่นเอง

     

     

                    น้องแบมแบม

     

     

                    “อ้าวพี่โจควอน สวัสดีครับผมรีบยกมือขึ้นไหว้พี่ชายของไอ้มิ้นทันที พี่โจควอนจึงยิ้มให้ผมก่อนจะนั่งลงข้างๆ

     

     

                    มีอะไรเหรอครับพี่

     

     

                    “คืองี้น้องแบม พี่มีเรื่องจะให้ช่วยหน่อย เราจะโอเคมั้ย

     

     

                    “เรื่องอะไรละครับผมมองหน้าพี่แกแบบสงสัยนิดนึง พี่โจควอนเลยยิ้มกว้างให้ก่อนจะพูดต่อ

     

     

                    “คือพี่อยากให้เราไปเดินขบวนวันกีฬาสีน่ะ เราจะว่าไงเมื่อพี่โจควอนพูดจบผมก็อ๋อขึ้นมาทันใด นึกว่าเรื่องอะไรที่แท้ก็เรื่องนี้เอง คือปกติผมก็เดินขบวนทุกปีอยู่แล้วครับ เดินตั้งแต่มอต้นยันมอปลาย ทำไงได้อ่ะ ก็คนมันหน้าตาดี อีเว้นท์เข้าทุกปี พี่แบมล่ะเพลียจริงๆ เอ๊ะทำไมรู้สึกคล้องจอง

     

     

                    อ๋อ โอเคครับพี่ ไม่มีปัญหาผมยิ้มให้พี่โจควอนอย่างเป็นกันเองสุดๆ พอพี่แกได้ฟังคำตอบจากผมแกก็ทำหน้าปริ่มประหนึ่งได้รับมงกุฎ แล้วอยู่ๆแกก็ทำตาโตเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก

     

     

                    อ๋อ แล้วก็นะ พี่ยังอยากให้น้องแบมช่วยพี่ด้วยอีกเรื่องหนึ่ง

     

     

                    “อะไรเหรอครับ ถ้าแบมช่วยได้แบมก็พร้อมจะช่วย พี่โจควอนบอกแบมมาได้เลยครับ

     

                    "พี่อยากได้เด็กแลกเปลี่ยนมาเดินขบวนพาเหรดด้วยอ่ะ แบมจะอนุญาติมั้ย" พี่โจควอนมองหน้าผมแล้วทำตาแบ๊วสุดใจให้

     

     

                    "โหยพี่ แบมอ่ะโอเคอยู่แล้ว แต่คนที่พี่ต้องถามเนี่ย คงต้องถามพี่มาร์คแล้วล่ะครับ เพราะผมก็ตัดสินใจแทนพี่เค้าไม่ได้เหมือนกันอ่ะ"

     

     

                    "งั้นแบมก็ต้องช่วยพี่พูดนะ แบมต้องช่วยพี่ให้ได้เลยนะ พี่ไม่ได้บังคับแบมนะ แค่วันเดินพาเหรดพี่ต้องได้มาร์คมาเดินในขบวน ไม่งั้นแผนที่พี่วางไว้มันจะพังหมดเลย แบมช่วยพี่ได้อยู่แล้วใช่มั้ย นี่พี่ไม่ได้กดดันนะ จริงๆ" อื้อหือ พี่โจควอนพูดขนาดนี้ผมเชื่อก็ได้ครับว่าพี่ไม่ได้กดดันผม ไม่กดดันจริงจริ๊ง

     

     

                    "เอ่อ คือผม..." ไม่ทันที่ผมจะได้พูดจนจบประโยค พี่โจควอนแกก็รีบชิงพูดดักก่อน พร้อมทั้งคว้ามือผมไว้

     

     

                    "น้องแบมช่วยพี่ด้วยนะ นะนะนะนะนะนะนะนะ" คำว่า นะ ที่หลุดออกมาจากปากพี่โจควอนอีกสามล้านคำ เปรียบเสมือนกระสุนจากปืนเอ็มสิบหกที่สาดใส่ผมไม่ยัง ทำให้ผมต้องรีบเอ่ยปากสะกัดมันเอาไว้ก่อนที่จะกระอักเลือดตายจากแรงกดดันของพี่แกซะก่อน เอาวะ ช่วยพี่แกหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวตอนกีฬาสีมอหกผมจะได้มีรุ่นน้องดีๆแบบผมบ้าง ความจริงผมไม่ต้องเป็นคนดีขนาดนี้ก็ได้นะ แต่ทำไงได้ล่ะครับ ผมบอกแล้วว่าผมอยากทำตัวดีให้เหมือนหน้าตา อย่างน้อยให้ได้ครึ่งหนึ่งก็ยังดี

     

     

                    "พอๆๆๆเลยพี่โจควอน โอเคๆ แบมช่วยก็ได้คร้าบบ"

     

     

                    "จริงๆนะน้องแบม!" พี่โจควอนที่แทบจะกราบเบญจางคประดิษฐ์ใส่ผมแล้วรีบเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นสุดใจขาดดิ้น ผมจึงพยักหน้าให้พี่แกพร้อมส่งยิ้มจริงใจให้

     

     

                    "จริงสิครับ แต่แบมไม่รู้นะว่าพี่มาร์คจะยอมหรือเปล่า เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่ที่เจ้าตัวแล้วล่ะนะ"

     

     

                    "โอเค ไม่เป็นไร แค่น้องแบมช่วยพี่ก็ดีใจเว่อร์วีว่าละ แบมแบมนี่ช่างเป็นเด็กดีจริงๆนะ ไม่เหมือนยัยจีมิน"

     

     

                    "โหยย ไม่หรอกครับพี่ ไอ้มิ้นมันก็ดีในแบบของมันนั่นแหละ"

     

     

                    "อื้ออออ ถ้าแบมคิดยังงั้นก็ตามใจ ยังไงพี่ก็ขอบคุณมากๆนะ แล้วพี่จะรอฟังข่าวดีนะ พี่ไปก่อนละ บาย" เมื่อเหยื่ออย่างผมตกลงปลงใจไปแล้วหนึ่ง พี่แกก็รีบบอกลาผมไปล่าเหยื่ออื่นๆต่อ ผมโบกมือบายให้พี่แกที่ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังกลุ่มเด็กหน้าตาดีที่คงจะถูกจับไปเดินขบวนรายต่อไป ไม่กี่นาทีต่อมาเมื่อธุระที่รุ่นพี่มอหกต้องการประชุมหมดลง พี่คุณก็บอกให้น้องๆกลับบ้านได้ ก่อนกลับบ้านผมเดินไปคุยกับพี่คุณตามปกติทั้งๆที่เท้าก็ยังเจ็บอยู่ อันที่จริงผมกำลังต่อโทรศัพท์หาม๊าอ่ะครับ ก็เลยไปยืนคุยกับพี่คุณแล้วก็กลุ่มรุ่นพี่เป็นการฆ่าเวลา

                   


          แต่ที่โชคร้ายไปกว่านั้นก็คือหลังจากที่คิดว่ากำลังจะได้กลับบ้านอย่างมีความสุข ไปนอนให้ม๊าทำแผลที่ตอนนี้โคตรจะระบมให้ หม่าม๊ากลับชิงโทรมาบอกผมก่อนว่าวันนี้ให้กลับเองนะแบมแบม ม๊าไปธุระ คงจะกลับดึก (เสียงม๊าลอยมาเลยครับ) ผมนี่จึงทำได้เพียงอย่างเดียวล่ะครับคือทำใจ วันนี้คงต้องเดินกลับบ้านเองสินะ ฮอลลลล

     

     

       "พี่คุณ งั้นแบมไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันครับ" เมื่อวางสายจากม๊าเสร็จผมจึงหันไปบอกลาพี่คุณกับพวกรุ่นพี่ที่ยืนอยู่

     

     

        "แล้วกลับยังไงล่ะเรา"

     

     

         "เดินกลับครับ นี่ฝนก็ใกล้จะตกแล้ว แบมก็เลยว่าจะรีบกลับ"

     

     

          "อ้าว ทำไมวันนี้เดินกลับล่ะแบม"

     

     

           "อ๋อ พอดีวันนี้ม๊าติดธุระอ่ะครับ แบมเลยว่าจะเดินกลับ"

     

     

           "ให้พี่ไปส่งมั้ย"

     

     

             "ไม่ต้องหรอกพี่คุณ บ้านพี่คุณกับบ้านแบมอยู่กันคนละฝั่งเลย แบมเกรงใจ อีกอย่างแบมก็เดินกลับจนชินแล่วล่ะครับ แค่นี้สบายมากๆ"

     

     

              "อ่า งั้นก็เดินกลับดีๆแล้วกัน"

     

     

              "โอเคครับ งั้นแบมกลับแล้วนะครับพี่คุณ พี่ๆ สวัสดีครับ" พูดจบผมก็ยกมือไว้รุ่นพี่ตามมารยาทที่ดีของรุ่นน้องแล้วขอตัวกลับบ้าน ฝนก็ใกล้จะตก สภาพเท้าผมก็ใกล้จะตาย เรามาทายกันดีกว่าครับว่าผมจะมีชีวิตรอดถึงบ้านได้หรือไม่ หืออ

     

     

     

     

     

     

        ปกติแล้วเวลาผมเดินกับบ้านจะใช้เวลาแค่เพียงยี่สิบกว่านาทีเองนะครับ แต่วันนี้เนื่องจากสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่เลยทำให้ผมต้องลากสังขารตัวเองกลับมาบ้านโดยใช้เวลาเกือบสี่สิบนาที โหวว นี่เป็นสถิติใหม่ของผมเลยนะเนี่ย แล้วที่สำคัญตอนนี้ผมก็เจ็บเท้ามากๆเลยล่ะ ไม่ไหวแล้วนะ

     

     

                    ในที่สุดตอนนี้ผมก็มาถึงบ้านแล้วครับ แล้วก็เปิดประตูเข้ามายืนอยู่ในบ้านแล้วด้วย และที่สำคัญวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ไม่มีคนอยู่บ้านเลยสักคน บ้านเงียบสนิทไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อยู่เลยนอกจากเจ้าโบโบที่วิ่งเข้ามาตะกุยขาผมทันทีที่มันเห็นผมเดินเข้าบ้าน ผมจึงนั่งลงยองๆเพื่อเล่นกับเจ้าเพื่อนรักสี่ขาตัวน้อยที่ดูจะดีใจเกินหน้าเกินตามากเวลาเห็นผมกลับบ้าน

     

     

                    โบโบ อยู่บ้านคนเดียวเหงามั้ย

     

     

                    “บ็อก

     

     

                    “หิวข้าวแล้วยัง

     

     

                    บ็อก

     

     

                    “’ไปกินข้าวกันป้ะ

     

     

                    “บ็อก

     

     

                    เจ้าโบโบที่เห่าทุกครั้งที่ผมพูดด้วยกระดิกหางไปมาก่อนจะวิ่งรอบตัวผมอย่างสนุกสนาน ผมจึงจับมันขึ้นมากอดไว้ก่อนจะพาโบโบขึ้นห้องนอนไป แต่แล้วอยู่ๆความรู้สึกแปลกๆบางอย่างก็ก่อขึ้นในใจของผม

     


     

                    ปกติเวลาที่เล่นกับโบโบ มักจะมีใครอีกคนหนึ่งอยู่เล่นด้วยกันเสมอ

                   


                    พี่มาร์คจะทำอะไรอยู่นะตอนนี้ เห้อ

     



     

                    ด้วยความคิดถึงรุมเร้าอย่างรุนแรง ผมจึงตัดสินใจรีบเดินเข้าห้องไปแล้วางโบโบลง ก่อนจะพุ่งไปเปิดคอมแล้วเข้าโปรแกรมสไกป์หามาร์คต้วนอย่างรวดเร็ว ผมอยากเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดกับผมในวันนี้ให้พี่เค้าฟังจัง แต่คิดอีกทีไม่เล่าดีกว่า เดี๋ยวพี่เค้าจะเป็นห่วง เห้อ อึดอัดโว้ยยยย ปิดคอมแม่มมม

     

     

                    ผมปิดหน้าจอลง แล้วนอนแผ่หลาบนเตียงอย่างหมดสภาพ นี่ถ้าม๊ามาเห็นคงคิดว่าลูกชายกลายเป็นศพแห้งตายไปบนเตียงแล้วล่ะครับ เท้าก็เจ็บ หิวก็หิว คนทำแผลทำอาหารให้ก็ไม่อยู่สักคน โอ๊ย ชีวิตดี๊ดี

     

     

                    ตืดด

     

     

                    ผมกำลังจะเผลอหลับไป แต่ทันใดนั้นเองแรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ทำให้ผมสะดุ้งจากเตียงขึ้นมานั่งขัดสมาธิ มือล้วงโทรศัพท์ออกมาดู ก่อนจะพบว่ามีใครบางคนวิดีโอคอลมาหา รอยยิ้มกว้างปรากฎขึ้นบนใบหน้าของผมทันใด พี่มาร์คคอลมา!!

     

     

                    คนอะไรตายยากจริงๆ เพิ่งนึกถึงเมื่อกี้ก็คอลมาเลย แบมขออนุญาติปักธูปไหว้พี่ได้มั้ยเนี่ย

     

     



     

     

    Mark's Part

     
     

                    "พี่มาร์คคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคค" ผมรีบถอดหูฟังออกจากหูทันทีที่เจ้าตัวเล็กตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยท่าทางดีใจแบบเด็กน้อยเห็นพ่อกลับบ้าน แบมแบมดูดีใจมากเลยอ่ะครับ ดูสิ หน้าตานี่ปริ่มเหมือนจะร้องไห้ โหยยย น้องผม อย่าทำหน้าแบบนี้ได้มั้ยพี่คิดถึง ><

     

     

                    "โหยยยย คิดถึงพี่ล่ะสิ ตะโกนซะดังเลย" ผมยัดหูฟังใส่หูตามเดิมพลางส่งยิ้มให้คนในหน้าจอ แบมแบมล้มตัวลงนอนกับที่นอนแล้วเอาหมอนมาหนุนคุยกับผม สงสัยกลับถึงบ้านแล้วสินะ ว่าแต่ทำไมวันนี้หน้าน้องดูซีดๆไป ผมคงคิดไปเองล่ะมั้ง

     

     

                    "โคตรคิดถึงอ่ะพี่มาร์ค คิดถึงแบบไม่ได้เจอกันเป็นปีอ่ะ"

     

     

                    "เว่อร์ละ พี่เพิ่งมาแค่สองวันเอง อะไรจะขนาดนั้น" แบมแบมทำหน้ายู่ใส่กล้องจนผมอดยิ้มตามไม่ได้ นี่ถ้าอยู่ตรงหน้านะผมจะหยิกแก้มไม่ปล่อยเลย เด็กอะไรแก้มเยอะจริงๆ

     

     

                    "ก็แบมคิดถึงคนเช็ดหัวให้อ่ะ พี่มาร์คไม่อยู่เมื่อคืนแบมเลยต้องเช็ดหัวเองเลย คิดถึงคนต้มมาม่าให้ด้วย ตอนนี้ม๊าไม่อยู่บ้าน ก็ไม่มีใครต้มมาม่าให้กินเลย แล้วก็คิดถึงคนปลุกตอนเช้า พี่มาร์ครู้ป่าวว่าเมื่อเช้าแบมต้องตั้งนาฬิกาปลุกตั้งแต่ตีห้าเพราะกลัวตื่นไม่ทัน สุดท้ายแบมเลยต้องไปยืนแห้วอยู่ที่โรงเรียน แล้วอีกอย่างคิดถึงคนทำแผ .... เอ่อ" ผมจ้องน้องพูดอยู่เพลินๆ แบมแบมก็หยุดพูดไปกะทันหัน เมื่อกี้แบมพูดว่าอะไรนะ

     

     

                    "อะไรนะแบม"

     

     

                    "เอ่อ ไม่มีอะไรพี่มาร์ค ว่าแต่วันนี้พี่มาร์คไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างเหรอ"

     

     

                    "อ๋อ วันนี้พี่ไปเที่ยวที่พระราชวังบางปะอินมา สวยมากๆเลยแบม แล้วก็ ......" ผมนึกถึงทริปที่เพิ่งไปมา แล้วเล่าให้น้องฟัง แบมแบมก็ดูจะตั้งใจฟังเป็นอย่างดีจนทำให้ผมเล่าประสบการณ์ที่ไปเจอมาวันนี้ให้น้องฟังไม่หยุด วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งเลยครับที่ผมสนุกมากๆ ตอนเช้าหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเมย์บี ก็พาพวกเราขึ้นรถแล้วตรงไปเที่ยวยังพระราชวังบางปะอิน เธอเล่าให้ผมฟังถึงประวัติของพระราชวังบางปะอินแล้วเมย์บีก็ยังเล่าประวัติของสถานที่ต่างๆให้ผมฟังอย่างละเอียด ผมอยากจะขอบคุณเธอมากๆเลยครับ เพราะวันนี้ทั้งวันเมย์บีตัวติดกับผมตลอดเวลา เธอบอกว่าเห็นผมดูชื่นชอบความเป็นไทยมากกว่าคนอื่นๆเธอก็เลยอยากจะช่วยทำหน้าที่ไกด์ให้ผม แต่เอาจริงๆเมย์บีก็ดูแลผมดีมากเลยนะ เป็นผู้หญิงที่น่ารักมากๆเลย

     

     

                    "แล้วเมย์บีนี่ใครเหรอพี่มาร์ค" ผมเล่าเรื่องไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่รู้สึกตัวอีกที่ก็รู้ตัวว่าผมเผลอเล่าเรื่องของเมย์บีให้น้องฟังไปเกือบยี่สิบนาทีแล้วล่ะครับ

     

     

                    "เมย์บีเป็นเจ้าของบ้านที่พี่มาพักอยู่ตอนนี้น่ะแบม เป็นคนตัวเล็กๆ ขาวๆ นิสัยก็น่ารักมากๆด้วย"

     

     

                    "หืม อวยซะขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าพี่มาร์คชอบเมย์บีอะไรนั่นเข้าแล้วน่ะ" แบมแบมหรี่ตาลงใส่ผมจนผมต้องเบือนหน้าไปทางอื่นเมื่ออยู่ๆก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนขึ้นมาซะเฉยๆ อ่า อะไรของผมเนี่ย

     

     

                    "เอ่อ อ่ะ ... บ้า บ้าเหรอ พี่จะไปชอบเค้าได้ไง เพิ่งเคยเจอกันแค่สองวันเองนะ"

     

     

                    "หรา อย่าให้แบมรู้นะว่ากำลังจะหาลูกสะใภ้ให้ป๊าพี่ ไม่งั้นแบมโทรไปฟ้องป๊าพี่แน่ๆว่ามาอยู่ได้ไม่นานพี่มาร์คก็จะหาสะใภ้ต้วนแล้วนะคร้าบป๊า" แบมแบมทำท่าป้องปากแล้วตะโกนอย่างน่ารักจนผมต้องทำท่าจะเขกหัวน้องส่งให้ แบมแบมลดมือลงแล้วหันมายิ้มให้ผมก่อนจะแลบลิ้นให้ น่าตีจริงๆเด็กคนนี้

     

     

                    ผมคุยกับน้องต่อสักพักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น น่าจะเป็นเมย์บีแน่ๆเลย นี่ก็หนึ่งทุ่มแล้ว สงสัยจะมาตามให้ผมลงไปทานข้าวมั้งครับ

     

     

                    "แปบหนึ่งนะแบม มีคนมา" ผมพูดกับน้องก่อนจะตะโกนตอบคนข้างนอก

     

     

                    "เข้ามาเลยครับ ประตูไม่ได้ล็อค" พอผมพูดจบ ผู้หญิงตัวเล็กที่เพิ่งเป็นหัวข้อสนทนาของผมกับแบมแบมเมื่อกี้ก็โผล่หน้ามาทักทายก่อนจะแทรกตัวเข้ามาข้างใน ปิดประตูเบาๆแล้วเดินเข้ามานั่งใกล้ๆผมบนเตียง ผมยิ้มให้เมย์บี แต่เธอกลับไม่มองเพราะตอนนี้เมย์บีกำลังจ้องไปในจอซึ่งมีภาพแบมแบมที่อีกฝั่งหนึ่งกำลังนอนเล่นอยู่

     

     

                    "เมย์บีมาตามไปกินข้าวเหรอ" ผมพูดกับคนตัวเล็กข้างๆอีกที เมย์บีหันมามองหน้าผมอีกทีก่อนจะยิ้มสดใสให้

     

     

                    "อ๋อ ใช่ค่ะ เมย์บีเห็นว่ามาร์คยังไม่ลงไปสักทีก็เลยขึ้นมาตาม นี่มาร์คกำลังคุยกับใครอยู่เหรอคะ" เมย์บีพูดจบก็เหลือบมองไปยังจอโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียง ผมจึงเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาแล้วหันจอภาพให้เธอดู ก่อนจะเรียกชื่อเด็กน้อยที่นอนกลิ้งอยู่อีกฝั่ง

     

     

                    "อ๋อ คุยกับโฮสต์อยู่น่ะครับ แบมแบม" เมื่อได้ยินชื่อตัวเองแบมแบมก็หันมามองที่จออีกครั้งก่อนที่น้องจะเลิกคิ้วขึ้นทำสีหน้าสงสัยใส่

     

     

                    "อะไรพี่มาร์ค แล้วนี่ใครอ่ะ"

     

     

                    "นี่ไงเมย์บีที่พี่เล่าให้ฟัง เมย์บีนี่แบมแบมนะ เป็นโฮสต์ของผมเอง" เมย์บีพยักหน้าให้ผมก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์ของผมไปถือไว้ซะเอง

     

     

                    "แบมแบมเหรอ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชื่อเมย์บี เป็นเจ้าของบ้านที่นี่" เมย์บีเอาหูฟังที่ผมใส่อยู่อีกข้างไปใส่เพื่อทักทายกับแบมแบม

     

     

                    "อ๋อ เมย์บีนี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักครับ ยังไงก็ฝากดูแลพี่มาร์คด้วยนะครับ" แบมแบมยิ้มให้เมย์บีและผมที่นั่งมองอยู่ด้านหลังหญิงสาวตัวเล็ก เมย์บีจึงส่งยิ้มไปให้แบมแบม

     

     

                    "เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ เมย์บีดูแลดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะมาร์ค เมย์บียินดีมากๆเลยค่ะ"

     

     

                    "อ่า ถ้ายังงั้นก็ขอบคุณมากนะครับ"

     

     

                    "ไม่เป็นไรค่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวเมย์บีขออนุญาติหยุดคุยแค่นี้นะคะ เพราะจะได้ให้พี่มาร์คไปทานข้าว นี่ก็นานมากแล้ว ไปก่อนะคะ สวัสดีค่ะ" ไม่ทันให้ผมได้บอกลาน้อง เมย์บีก็กดปิดโปรแกรมแล้วกดปิดเครื่องไปเลย เธอถอดหูฟังออกก่อนจะหันมามองผมด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มกว้างกว่าทุกครั้ง

     

     

                    "มาร์คหยุดคุยก่อนนะ แล้วลงไปกินข้าวกัน เมย์บีหิวแล้ว" เมย์บีเอื้อมมือมากอดแขนของผมไว้เบาๆ ผมจึงยอมถอดหูฟังออกแล้วหันไปมองเมย์บีก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง

     

     

                    "โอเค งั้นเราไปกินข้าวกันครับ" พูดจบผมก็เดินไปยังประตูทันที โอ๊ะเดี๋ยวนะ ผมลืมโทรศัพท์



                    เมื่อนึกได้ว่าลืมของสำคัญระดับชาติ ผมจึงหันหลังอย่างกะทันหันเพื่อจะเดินไปยังเตียงที่ลืมโทรศัพท์ไว้ แต่ทันใดนั้นเองตอนที่ผมหมุนตัวกลับมาเมย์บีที่เดินตามผมมาก็ชนเข้าผมตัวผมทำให้เธอเสียหลักจะล้มลงไปที่พื้น แต่ไวเท่าความคิด ผมรีบเอื้อมมือไปจับแขนของเธอไว้ได้ทัน ตอนนี้เธอเลยอยู่ในอ้อมกอดของผมไปโดยปริยาย ฮู่! เกือบแล้วมั้ยล่ะ

     

     

                    "เมย์บี ขอโทษนะ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ" ผมก้มหน้าลงมองเมย์บีที่ดูจะตกใจเบาๆ เธอมองผมด้วยสีหน้าและแววตาที่นิ่ง ไร้คำพูดใดใดออกมาจากปากบาง

     

     

                    ผมมองหน้าเธออย่างรอคำตอบ แต่เพราะเธอไม่ได้พูดอะไรออกมาสักนิดทำให้ห้องนี้ตกอยู่ในความเงียบ ผมก้มมองใบหน้าหวานที่จ้องมองผมตาแป๋ว สายตาของเธอมองมาที่ผมอย่างไม่ละสายตาไปที่ใด ส่วนผมก็ไม่รู้ว่าเหตุใดทำไมถึงไม่สามารถละสายตาไปจากดวงตากลมโตนั้นได้เลย นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เหตุการณ์นั้นชะงักไว้อย่างนั้น

     


     

                    มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าใบหน้าของผมกับเธออยู่ใกล้กันไม่ถึงคืบแล้วล่ะครับ ...

     

     




     

     

    BamBam's Part


                    หน้าจอโปรแกรมดับลงไปกะทันหันโดยฝีมือของผู้หญิงที่อยู่ๆก็เข้ามาในบนสนทนาของผมและพี่มาร์ค ผมนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์สักครู่แบบยังงงๆอยู่ พอรู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจู่โจมด้วยความรู้สึกแปลกๆที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แค่รู้สึกว่าไม่โอเคกับผู้หญิงคนนี้เท่าไหร่เลยครับ

     

     

                    เอาเหอะ เลิกคิดแล้วไปหาอะไรกินดีกว่า นี่ผมมองนาฬิกาอีกทีก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองคุยกับพี่มาร์คไปนานเหมือนกันนะเนี่ย เห็นดังนั้นผมจึงลุกขึ้นแล้วเดินลงไปที่ห้องครัวเพื่อหาของปะทังชีวิตอันโหดร้ายของตัวเอง เดี๋ยวกินข้าวเสร็จค่อยขึ้นไปทำแผลแล้วกันนะแบม วันนี้คงต้องทำแผลเองสักตั้งอ่ะ ไม่รู้ว่าจะรอดมั้ยนะ

     

     

                    ผมเดินลงมายังชั้นล่างของบ้านก็ผมว่ายัยเบบี้กลับมาถึงบ้านแล้ว เบบี้กำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่นผมจึงเดินเข้าไปทักทายมันเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่ห้องครัวอันเป็นจุดหมายปลายทาง

     




     

                    มาม่าคัพมากมายถูกหยิบลงมาจากตู้ ผมต้มน้ำร้อนรอให้มันเดือด แล้วยืนรออยู่ตรงนั้น คิอกว่าน้ำจะเดือดผมว่าผมทำอะไรได้มากกว่านั้นป้ะ หาอะไรทำที่มันมีประโยชน์ดีกว่า เช่นการให้อาหารเจ้าโบโบไงครับ คิดออกละ

     

     

                    ผมเดินไปเปิดเอาอาหารเม็ดออกมาจากตู้ล่างเคาน์เตอร์ แล้วเดินไปเทที่จานของเจ้าตัวเล็ก เมื่ออาหารเม็ดถูกเทลงไปจนเต็มจานผมจึงลุกขึ้นเอาถุงอาหารเม็ดไปเก็บไว้ตามเดิม เอ๋ ทำไมรู้สึกแปลกๆนะ ปกติเวลาผมให้อาหารเจ้าโบโบ แค่เสียงเปิดตู้เจ้าโบโบมันก็แทบจะวิ่งมาแสตนด์บายแล้วอ่ะครับ แต่ทำไมวันนี้ไม่เห็น หรือว่าไปเล่นที่สวน คิดได้ดังนั้นผมจึงเดินไปยังสวนหลังบ้านเพื่อหวังจะตามเจ้าตัวเล็กมากินข้าว แต่ทว่าสนามหญ้าโล่งกลับไร้วี่แววของเจ้าตัวเล็ก หืม ไปไหนนะ

     

     

                    "เบบี้ เห็นโบโบป้ะ" ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านแล้วตรงเข้าไปถามเบบี้ในห้องนั่งเล่น เบบี้เงยหน้ามาจากโทรทัศน์แล้วมองผมด้วยสีหน้าแบบเอ๋อๆ แล้วส่ายหัวเบาๆ

     

     

                    "ไม่เห็นนะพี่แบม ทำไมเหรอ"

     

     

                    "พี่จะตามมันมากินข้าว แต่ไม่รู้ไปวิ่งซนที่ไหนแล้วเนี่ย หาที่สวนหลังบ้านก็ไม่เจอ"

     

     

                    "พี่แบมหาทั่วบ้านแล้วยัง" เบบี้หันมาถามผมด้วยสีหน้าสนใจมากกว่าเมื่อครู่

     

     

                    "หาแล้ว ก็เหลือแต่ห้องนั่งเล่นเนี่ยแหละ"

     

     

                    "หาใหม่อีกทีพี่แบม เดี๋ยวก็เจอ" ผมพยักหน้าให้น้องสาวแล้วคิดว่ากำลังจะไปตามหาโบโบอีกครั้ง แต่แล้วสายตาก็เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็เห็นว่าประตูรั้วหน้าบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ ไม่นะ นี่ใครเปิดทิ้งไว้น่ะ!

     

     

                    "เบบี้! ทำไมประตูรั้วเปิดทิ้งไว้แบบนั้น ตอนเข้ามาไม่ได้ปิดเหรอ" เบบี้มองหน้าผมก่อนจะหันไปมองทางหน้าต่างอีกที

     

     

                    "ตายแล้ว! บี้ลืมปิดประตูอ่ะพี่แบม"

     

     

                    "ไอ้บี้!~~~ เจ้าโบโบมันต้องวิ่งออกไปข้างนอกแล้วแน่ๆเลย" โอ้โหวววว ไม่ทันได้พูดจบผมนี่แทบวิ่งสี่คูณล้านไปที่ประตูทันทีเลยครับ เบบี้เมื่อตั้งสติได้ก็วิ่งตามผมมาหยุดที่ประตูรั้วหน้าบ้าน ก่อนที่ผมจะตัดสินใจวิ่งออกไปหาเจ้าโบโบเมื่อแน่ใจแล้วว่าเจ้าตัวเล็กวิ่งออกไปนอกบ้าน เพราะผมเห็นปลอกคอของโบโบตกอยู่ตรงหน้าบ้านข้างๆน่ะครับ โบโบววววว วิ่งไปไหนแล้วเนี่ย

     

     

                    "บี้ เดี๋ยวแกวิ่งไปดูในซอยนะ เดี๋ยวพี่ไปไปดูหน้าปากซอย รีบๆล่ะ เดี๋ยวโบโบมันวิ่งข้ามถนนซะก่อน พี่กลัวมันถูกรถชน" บี้พยักหน้าแล้วรีบวิ่งออกไปหาเจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังสร้างความปั่นป่วนให้เราสองพี่น้องสุดๆไปเลยครับ หืออออ โบโบวววว อยู่ไหนเนี่ยลูกกกก

     









     

                    ผมวิ่งไปตามทางจนถึงหน้าปากซอย ซึ่งเอาจริงๆคงต้องเรียกว่าลากขาไปมากกว่าครับ โฮ นี่มันวันอะไรของผมเนี่ย เจ็บขา ไม่พอ หมายังหายอีก ทำไมชีวิตดี๊ดี ขออนุญาติร้องไห้ ผมนี่น้ำตาไล่เลยครับ

     

     

                    "โบโบ อยู่ไหน ออกมาได้แล้ว" ยิ่งเรียกหาก็ยิ่งดูเหมือนไร้ความหวัง ผมจึงวิ่งหาเจ้าตัวเล็กต่อไป ตามที่ๆคิดว่ามันจะอยู่ผมก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปหา แต่ทว่าก็ไร้วี่แวว

     

     

                    "โบโบ ออกมาหาพี่เร็ว" ไร้เสียงใดใดตอบกลับมา ฝนที่ดูท่าว่ากำลังจะตกก็ยิ่งกดดันให้ผมต้องหาเจ้าตัวเล็กให้เจอเร็วยิ่งขึ้น

     

     

                    "โบโบ ออกมาได้แล้ว ฮึก ... พี่เหนื่อยแล้วนะ" ยิ่งดูท่าว่าจะหาเจ้าตัวเล็กไม่เจอผมยิ่งรู้สึกหดหู่ลงไปแบบสุดๆเลยล่ะครับ ตอนนี้ผมจึงวิ่งมานั่งพักลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งตรงหน้าปากซอยเพราะเท้าที่วิ่งมาแบบฮาร์ดคอร์เมื่อกี้ประท้วงให้ผมหยุดแล้วล่ะครับ เจ็บสุดๆเลย โบโบก็ยังหาไม่เจอ ผมพยายามกัดฟันลุกขึ้นอีกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้เหมือนจะไม่ได้แล้วล่ะ เพราะพอผมลุกขึ้น ความเจ็บแปรบก็แล่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนผมทรุดลงไปนั่งกับพื้นทันที ครั้งนี้มันเจ็บมากกว่าครั้งไหนๆเลยอ่ะ โอ๊ยย ทำอะไรไม่ได้ งั้นร้องไห้เลยละกัน หืออ

     

     

                    "โบโบ อย่าหายไปไหนนะ ฮึก ... โบโบ อยู่ไหนน่ะ โบโบพี่อยากกลับบ้านแล้ว ออกมาได้แล้ว ฮึก ... พี่มาร์ค แบมจะทำยังไงดี" ทำไมไม่รู้ อยู่ๆผมก็คิดถึงพี่มาร์คขึ้นมา ผมแค่รู้สึกว่าตอนนี้อยากให้พี่มาร์คมาอยู่ๆข้างๆผมมากเลย ผมรู้สึกไม่ดีเลย ทำไงดีครับ TT

     




     

                    ผมแค่อยากให้ตอนนี้พี่มาร์คมาอยู่ข้างๆผม

     

                    เพราะทุกครั้งที่ผมมีพี่มาร์คข้างๆ

     

                    ผมก็จะรู้สึกว่าอะไรๆมันก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไปเลย ...

     

                    พี่ไม่อยู่แค่สองวัน ทำไมแบมเจอแต่เรื่องร้ายๆเลยอ่ะ T^T

     



     

     

                    "โบโบ!" ผมตะโกนออกไปอีกครั้งแม้รู้ว่าจะไร้ความหวังไปแล้วก็ตาม ไร้เสียงใดใดตอบกลับมาอีกเช่นเคย คราวนี้หยดน้ำตาที่ไหลลงมาเล็กน้อยกลับไหลมาแบบหยุดไม่ได้ ผมใจหายมากเลยนะ โบโบ เราเจอกันไม่นานเองนะ จะหนีไปจากชีวิตพี่แล้วเหรอ แล้วตอนนี้หนูจะอยู่ไหนนะ จะเป็นอะไรหรือเปล่า

     

     

                    ผมนั่งปล่อยให้ตัวเองหมดหวังสุดๆตรงนั้นสักพัก แล้วในทันใดนั้นเองเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นมาแว่วๆ ทำให้ผมรีบเงยหน้าขึ้นมามองหาทันที

     

     

                    "บ็อก"

     

     

                    "หืม ..."

     

     

                    "บ็อก"



                    เสียงโบโบใช่มั้ยครับ! ผมมั่นใจ ผมจำได้

     


     

                    เมื่อมั่นใจแล้วว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ใช่เพราะผมหูฝาดไปหรืออย่างใด ผมจึงเงยหน้ามามองหาเจ้าตัวเล็กทันที แล้วในที่สุดผมก็เห็นเจ้าตัวน้อยสี่ขายืนส่ายหางมองหน้าผมอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของถนน ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจทันทีที่ภาพของเจ้าตัวเล็กอยู่ตรงหน้า โบโบทำท่าจะวิ่งเข้ามาหาผม ผมจึงยกมือขึ้นมาปาดคราบน้ำตาแล้วพยายามลุกขึ้น แต่ทว่าเท้าที่เจ็บแบบระยะสุดท้ายก็ทำให้ผมต้องทรุดตัวนั่งอีกรอบ

     

     

                    ผมมองเจ้าโบโบที่กำลังจะข้ามมาหาผมอย่างเป็นห่วง เพราะโบโบตัวเล็กเกินไปที่จะข้ามถนนได้เอง ทั้งๆที่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าตอนโบโบข้ามไปฝั่งนั้นยังไง และในทันใดนั้นเอง สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าของผม นั่นก็คือเจ้าโบโบกำลังจะข้ามาหาผม แต่สิ่งที่ผมเห็นคือตอนนี้มีรถยนต์คันหนึ่งกำลังแล่นมายังเจ้าตัวเล็กด้วยความรวดเร็ว!

     

     

                    เร็วเท่าความคิด ผมรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย โดยไม่สนใจแล้วว่าจะเจ็บขามากแค่ไหน ผมลุกขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะรีบวิ่งไปยังเจ้าตัวเล็กอย่างรวดเร็ว สิ่งเดียวที่ผมจะต้องทำให้โบโบปลอดภัย ผมวิ่งเข้ามาถึงเจ้าตัวเล็กแล้วคว้ามันไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะหลับตาปี๋ลง เมื่อภาพตรงหน้าคือไฟหน้าของรถยนต์สะท้อนเข้าตมผมและเสียงบีบแตรที่ดังอื้ออึง สิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินคือเสียงของผู้ชายคนหนึ่งเรียกชื่อผมไว้ด้วยความตกใจ

     

     

     

     

                    "แบมแบม!!!"

     

     




     

                    และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่สติจะดับมืดไป

     

     

     

                    ความรู้สึกสุดท้ายก่อนภาพจะดับไปคือความรู้สึกกลัวอย่างถึงที่สุด

                    มีเพียงภาพของใครบางคนผุดขึ้นมาเพียงคนเดียว ....

     

     



     

                    พี่มาร์ค ......

                    แบมกลัว .....

                    ช่วยแบมด้วย ...

     

     













    ไรท์กลับมาแล้ว มีใครคิดถึงเค้ามั้ย คงไม่มีสินะ 5555
    หลังจากหลบไปทำใจอยู่ตอนนี้ไรท์กลับมาแล้วนะคะ
    รู้ตัวว่าคราวนี้หายไปนาน รีดอาจจะสงสัยว่าอิไรท์นางตายแล้วยัง 555
    มาคราวนี้ทำใจได้แล้วค่ะ จะกลับมาอัพไวไวให้เหมือนเดิมแล้ว ><

    ตอนนี้คำผิดเยอะแน่ รู้ตัว เพราะมาปั่นตอนห้าทุ่มยัน ตี2
    ยังไงเดี๋ยวมาแก้ให้นะคะ

    ส่วนตัวตอนนี้แอบสงสารนุ้งแบม มาร์คต้วนไม่อยู่เจอแต่เรื่องเลย
    เห็นทีคงจะได้เวลาพระเอกกลับมาแล้วมั้งงงง

    55555555 ไม่รู้เหมือนกัน
    เอาไว้รออ่านตอนหน้านะคะ
    วันนี้ไปละค่ะ บรัยยย


     

    。SYDNEY♔



     

     
    Shiny Grey Star
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×