คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : กฎของโฮสต์ข้อที่ 22 :: เป็นโฮสต์ต้องไม่ร้องไห้ (100%)
กฎของโฮสต์ข้อที่ 22
‘เป็นโฮสต์ต้องไม่ร้องไห้’
วันที่สามของการเวิร์คช็อปทำให้ผมรู้ว่าการแสดงละครสักเรื่องไม่ใช่แค่การอ่านบทแล้วแสดงออกไปให้จบๆ
แต่มันเป็นการเข้าใจใครคนหนึ่งและถ่ายถอดความรู้สึกของเค้าออกมาให้คนอื่นๆรับรู้ให้ได้มากที่สุดต่างหาก
นี่ก็วันที่สี่แล้วครับที่ผมอยู่ที่หัวหิน อย่างงว่าทำไมถึงเป็นวันที่สี่ก็เพราะว่าวันแรกที่พวกเรามาถึงพวกเราพักผ่อนกันทั้งวันเลยไงครับ
ช่วงเวลาสี่วันที่อยู่หัวหินกับเพื่อนๆนักแสดงรวมถึงทีมงานทุกคนทำให้เราสนิทกันมากขึ้นจนรู้สึกเหมือนว่าเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว
เป็นสี่วันที่ผมมีความสุขดี เป็นสี่วันที่ผมกับละอองดาวยอมสงบศึกกันชั่วคราว ...
มั้งนะผมก็ไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อยวันหลังๆมานี้ละอองดาวเริ่มพูดกับผมมากขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน
ก็ประหลาดใจเหมือนกันนะครับแต่ผมถือว่ามันเป็นสัญญาณที่ดี และหวังว่าวันที่เหลือที่หัวหินนี้จะทำให้ละอองดาวเปลี่ยนความคิดกับผมสักที
อ่า ... หวังมากไปหน่อยมั้ยแบม
ข้าวมือเย็นที่วันนี้เร็วกว่าปกติถูกผมจัดการฟาดลงท้องเรียบร้อย
สองเท้าในรองเท้าผ้าใบจึงพาผมเคลื่อนย้ายร่างกายก้อนๆมานั่งเล่นอยู่ริมหาด
สายลมเย็นสบายของทะเลตอนห้าโมงเย็นทำให้ผมรู้สึกดีจนถึงขั้นใช้คำว่าฟินได้
เสียงหัวเราะของพ่อแม่ลูกที่กำลังช่วยกันก่อปราสาททรายทำเอาผมยิ้มออกมา
สีหน้ามีความสุขของเด็กน้อยกับพ่อแม่เผลอทำให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ ...
คนที่ผมไม่ได้เห็นหน้าและไม่ได้ยินเสียงมาอาทิตย์กว่าแล้วนั่นล่ะครับ
พี่มาร์คอยู่ที่ไหนกันนะ
...
สีหน้าของผมเปลี่ยนไปนิดหน่อยเมื่อความรู้สึกน้อยใจยังคงมีอิทธิพลกับผม
ผมมีคำถามมากมายอยากจะถามพี่มาร์ค มีเรื่องราวมากมายที่อยากจะได้ยินจากปากของพี่เค้า
ผมแค่อยากรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคืออะไรก็เท่านั้นเอง
คนที่เคยเล่าทุกเรื่องให้ผมฟังและอยู่ข้างๆผม
ผมก็แค่อยากเจอพี่มาร์คอีกครั้ง
ผมคิดถึงเสียงทุ้มๆที่ฟังทีไรก็ใจเต้น คิดถึงสีหน้ากับรอยยิ้มเวลาที่ผมทำอะไรเพี้ยนๆ คิดถึงมือที่ชอบเอื้อมมาลูบหัวเวลาผมร้องไห้ คิดถึงภาษาไทยสำเนียงแปลกๆของพี่มาร์ค คิดถึงคนที่ชอบตื่นมาปลุกผมทุกเช้า คิดถึงตอนที่เรานั่งดูหนังก่อนนอนด้วยกัน คิดถึง ...
ผมคิดถึงพี่มาร์ค
นั่งคิดไปมาก็เริ่มรู้ตัวว่าน้ำตาไหลลงมาซะงั้น
นี่มันเป็นเวลาผ่อนคลายผมไม่ควรจะมานั่งเศร้าสิ พี่มาร์คแค่ไปเที่ยวบ้านเพื่อน
พี่มาร์คไม่ได้มีความลับอะไรกับผมหรอก เดี๋ยวพี่มาร์คกลับมาพี่มาร์คก็คงจะเล่าให้ผมฟังเองนั่นแหละ
ผมน่ะคิดมากไปได้
เสียงคลื่นลูกน้อยซัดมากระทบฝั่งเป็นจังหวะน่าฟัง
พ่อแม่ลูกที่ผมนั่งมองจากไปแล้วพร้อมกับทิ้งปราสาททรายหลังน้อยน่ารักไว้เป็นที่ระลึก
พรุ่งนี้มันก็คงจะหายไปแล้วล่ะ
ได้แต่ภาวนาอย่าให้เด็กคนนั้นจำมันได้แล้วกันว่าเคยสร้างมันเอาไว้
เพราะไม่งั้นน้องคงจะเสียใจแน่ๆที่มันหายไปแล้ว
เหมือนผมไง
อะไรที่มันเป็นอดีต
บางครั้งปล่อยให้มันเป็นแค่อดีตต่อไปนั่นแหละดีแล้ว
“นี่ ...” เสียงหวานคุ้นหูที่ผมได้ยินมาหลายวันนี้ดังขึ้นข้างๆเมื่อเธอเดินมานั่งลงบนม้านั่งข้างผม
ละอองดาวยื่นไอติมแท่งที่ไม่รู้ว่าเธอไปเอามาจากไหนให้ผม
หลายวันที่อยู่ด้วยกันมานี้ผมไม่รู้ว่าเราสนิทกันเพราะละครที่เราต้องแสดงด้วยกันหรือเพราะอะไร
แต่ละอองดาวกลับมีท่าทีเปลี่ยนไป เธอเริ่มที่จะเข้าหาผมบ้างถึงแม้ว่าจะไม่บ่อย
เริ่มที่จะชวนคุยหรือหาอะไรมาให้ผมกิน เริ่มที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากผมเวลาที่เธอทำอะไรไม่ได้
เหมือนละอองดาวที่ผมรู้จักกำลังจะกลับมา
ความรู้สึกของผมมันบอกแบบนั้นแต่ผมก็ยังไม่กล้าที่จะคาดหวังอะไรมากนัก
“กินข้าวเสร็จแล้วเหรอ” ผมแกะซองไอติมออกพรางถามผู้หญิงข้างๆที่มัวแต่กินไอติมแล้วมองท้องฟ้าสีส้มตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน
ละอองดาวอารมณ์ดีมากกว่าที่โรงเรียน อาจเป็นเพราะได้ออกมาเที่ยวด้วยล่ะมั้ง
“อื้อ
คนอื่นก็กินหมดแล้วล่ะ เหลือแต่พวกพี่ๆเค้ายังนั่งกินผลไม้คุยกันอยู่
ส่วนคนอื่นๆแยกย้ายขึ้นห้องไปแล้ว”
“แล้วอองดาวไม่ขึ้นไปเหรอ”
“ไม่อ่ะ น่าเบื่อ” ผมยกไอติมขึ้นกัด ความหวานของมันทำให้อารมณ์ปั่นป่วนสงบลงได้
ภาพตรงหน้าก็เป็นภาพที่ทำให้ผมรู้สึกทั้งตกหลุมรักและเหงาได้ในเวลาเดียวกัน
ท้องฟ้าสีส้มกับพระอาทิตย์ที่ค่อยๆหายลับไปกับขอบฟ้า ฝูงนกตัวเล็กๆพากันบินกลับรัง
ผมว่าผมเหงามากกว่าจะตกหลุมรักยังไงไม่รู้สิ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะนั่งอยู่ข้างๆคนที่ผมเคยตกหลุมรักก็ตาม
...
“แบม”
“หืม ว่าไง”
“ได้ยินพี่โจควอนบอกว่าไม่ไกลรีสอร์ทมีตลาดนัดแฮนด์เมด
เราไปเดินเล่นกันมั้ย” ผมหันกลับมามองละอองดาวที่กำลังจ้องมองผมรอฟังคำตอบ
ใบหน้าสั่นไหวขึ้นลงคือคำตอบจากผม ละอองดาวจึงยิ้มออกมาอย่างง่ายดาย
“งั้นไปกัน”
ไปเที่ยวหน่อยจะได้ไม่ต้องคิดถึงบางคนบ่อยๆนะแบม
----------------
ตลาดนัดที่ว่านั่นอยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ครับ
ผมกับละอองดาวเดินเล่นมาตามทางที่พี่โจควอนบอก
ราวๆยี่สิบนาทีก็มายืนอยู่ในตลาดนัดแล้ว พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วร้านค้าต่างๆจึงพากันเปิดไฟขับไล่ความมืดมิดให้ออกไปทำให้บรรยากาศของตลาดที่นี่สวยขึ้นเป็นพิเศษ
ตลาดนัดที่ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งอยู่เป็นระยะๆ ของแฮนด์เมดกับร้านค้าที่ประดับไฟสวยๆทำให้ทั้งผมกับละอองดาวลืมความเมื่อยจากการเดินลงไปสนิทใจ
เราสองคนเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น
เผลอแปบเดียวสองมือของเราก็เต็มไปด้วยถุงมากมายแล้ว
“เหนื่อยแล้วยังอองดาว” ตอนนี้เราหยุดซื้อน้ำดับกระหาย ผมถามผู้หญิงข้างๆที่เอาแต่ดูดน้ำ
ละอองดาวเงยหน้ามองผมด้วยสายตายิ้มๆก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ไม่เหนื่อยแต่ดูดน้ำเป็นว่าเล่นเนี่ยนะ
ปากแข็ง”
“ก็ยังมีอีกตั้งหลายร้านเลยนะที่ยังไม่ได้เข้า”
“นี่ยังจะไปเดินต่ออีกเหรอ
แค่นี้ในมือก็ถือจะไม่ไหวแล้วนะอองดาว”
“แต่นานๆมาทีนะแบม
ไปเดินดูต่อเถอะ” ผมต้องยอมจำนนกับความดื้อของคนตรงหน้า
สุดท้ายผลคือผมยังคงเดินตามคุณเธอต่อไปหลังจากที่ละอองดาวดูเหมือนจะหายเหนื่อยแล้ว
คนตัวเล็กกว่าเดินนำผมไปตามทางที่เรายังสำรวจไม่หมด
โชคดีที่คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ยังพอมีที่หายใจบ้าง
ไม่อย่างนั้นผมคงตายอยู่ในนี้แน่ๆ
“น้องละอองดาว” เราสองคนกำลังเดินไปตามทางและในตอนนั้นเองก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง
ละอองดาวหันขวับกลับไปมองด้วยความรวดเร็วทันทีเมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง
ผมจึงค่อยๆหันไปมองตามและก็ต้องตกใจเมื่อคนที่อยู่ข้างหลังคือคนที่ผมไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่
“อ้าวพี่ตินท์
สวัสดีค่ะ”
ไอ้ตินท์ ... มันมาทำไม
!
“สวัสดีค่ะ อ้าวแบมแบม! ไม่เจอกันตั้งนานนะน้องรัก” ผมยืนอึ้งและชักสีหน้ายุ่งๆทันทีที่เห็นละอองดาวทักทายมันด้วยความสนิทสนม
ไอ้ตินท์ยังคงตีหน้าซื่อใส่ผมกับละอองดาว น่าหงุดหงิดชะมัด
นี่เล่นตามกันมาถึงที่นี่เลยเหรอวะ
“ใครน้องมึงไม่ทราบ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆติดเย็นชาจนละอองดาวต้องหันหน้ามามอง
สายตาของเธอที่จ้องมองผมดูจะกลับกลายเป็นไม่พอใจนิดๆดั่งเช่นทุกครั้งที่ผมพูดถึงพี่ชายแสนดีของเธอ
“จุ๊ๆๆๆๆ
ดูพูดเข้าสิทำร้ายกันจังเลย ดูสิคะน้องอองดาว เพื่อนละอองดาวคนนี้ใจร้ายกับพี่จัง” ละอองดาวไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับเงียบและยืนนิ่งไปเสียเฉยๆ
ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะอารมณ์เสียและละอองดาวก็เริ่มจะไม่โอเคถ้าหากว่าผมยังทำตัวแบบนี้ต่อไป
นึกกลัวว่าความสัมพันธ์ที่มันเริ่มดีขึ้นหลายวันมานี้มันจะพังลงไปอีกรอบเพราะไอ้คนรกโลกที่ยืนอยู่ตรงหน้าเราสองคน
ผมจึงตัดสินใจคว้าข้อมือของละอองดาวมาไว้แล้วหันหลังจะกลับ
“กลับเถอะอองดาว
เดี๋ยวจะดึก” ละอองดาวถูกผมลากข้อมือหันหลังกลับเธอจึงเดินตามไปอย่างง่ายดาย
แต่เสียงไอ้ตินท์ก็ยังตามไล่หลังมา
“หวงเหรอแบมแบม” อยู่ๆไอ้ตินท์ก็พูดแบบนั้นผมเลยหยุดเดินแล้วเหลือบมองหน้าอองดาว แววตาของเธอวูบไหวเล็กน้อยแต่เธอก็ยังคงเงียบ
สีหน้านิ่งๆนั้นเอาผมใจแกว่งเพราะเดาอารมณ์ของเธอไม่ถูก
“ไอ้ตินท์มึงหุบปากดิ้
อย่าพูดมาก รำคาญ”
ผมหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับมันด้วยความเหลืออด
แม้ว่าใจจริงจะไม่อยากคุยกับมันก็ตาม
“โว้วๆๆๆ
ยังใจร้ายเหมือนเดิมเลยนะแบมแบม”
“กูใจดีกับทุกคนยกเว้นมึง
ไปให้พ้นๆจากชีวิตกูสักทีได้มั้ย”
“ไม่ได้หรอก
คนรู้จักกันจะเลิกติดต่อกันไปง่ายๆได้อย่างไงล่ะ อีกอย่างพี่มีหน้าที่ดูแลน้องอองดาวในฐานะน้องสาว
‘ที่รัก’ ซะด้วยสิ
ถ้าน้องแบมอยากเป็นเพื่อนน้องอองดาว น้องแบมก็ต้องทำใจหน่อยนะครับ” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆอย่างเหลืออด ไอ้ตินท์มันตั้งใจเน้นคำว่าที่รักใส่กวนโมโหผมชัดๆ
มือของผมที่จับมืออองดาวอยู่เผลอกำแน่นจนเธอมองหน้า
“ไม่จำเป็น
กูดูแลอองดาวได้”
“จะดูแลเหรอ ?
ในฐานะอะไรล่ะ” ผมชะงักไปกับคำถามของไอ้ตินท์
จริงๆคำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้วแต่ทำไมผมกลับไม่กล้าตอบก็ไม่รู้
“.......”
“ว่าไง
ดูแลในฐานะอะไรเหรอ”
“แล้วทำไมกูจะต้องตอบมึงด้วย
อย่ายุ่ง” ความรู้สึกวูบๆปั่นป่วนอยู่ในใจ
ผมกำลังห่วงความรู้สึกของละอองดาว ไม่รู้ทำไมเหมือนกันครับ ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงกังวลกับสีหน้าแบบนี้ของเธอตอนนี้
ผมมองหน้าไอ้ตินท์ที่ยืนส่งยิ้มกวน
จึงตัดสินใจที่จะดึงมืออกดาวกลับออกไปให้ไกลจากตรงนี้
และในตอนที่ผมหันหลังไปก็พบกับพี่โจควอนและพี่พิมพอดี
“อ้าวแบม อ้าวอองดาว” เป็นพี่พิมนั่นเองที่ทักพวกเรา
พี่พิมกับพี่โจควอนทักด้วยรอยยิ้มแต่ก็ต้องยิ้มเจื่อนเมื่อสังเกตุเห็นสีหน้าของพวกเราสองคน
รุ่นพี่ทั้งสองลอบมองหน้ากันก่อนจะมองเลยไปยังคนที่ยืนอยู่ด้านหลังผม
“มีอะไรกันรึเปล่า ?”
พี่พิมพูดกับผมเบาๆราวกับกลัวคนอื่นจะได้ยิน
“ไม่มีอะไรหรอกครับ
เราอยากกลับกันแล้ว”
“แต่อองดาวยังไม่อยากกลับค่ะ” ผมหันมองเจ้าของเสียงหวานทันที น้ำเสียงแข็งเอ่ยออกมาจนผมใจหาย
อองดาวดึงมือออกจากกำมือของผมช้าๆแล้วเดินเข้าไปยืนข้างๆพี่พิม
“แบมกลับก่อนเถอะ
เราจะไปเดินเล่นกับพี่ๆต่อ” เธอพูดจบก็ดึงมือพี่พิมที่ทำหน้าเหวอออกไปเลย
เหลือเพียงผมกับไอ้ตินท์ที่ยังยืนอยู่ตรงนี้กันลำพัง
“โถ่ว น่าสงสาร” ผมหลับตาลงถอนหายใจแล้วหันไปมองหน้าเอาจริงกับคนที่เพิ่งพูดกับผมเมื่อกี้
“เมื่อไหร่จะออกไปจากชีวิตกูสักทีวะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันต้องดูแลน้องอองดาว
ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ”
“กูขอร้องได้มั้ย
กูขอมึงเลิกยุ่งกับละอองดาวเถอะ” เหนื่อย
ผมเหนื่อยมากพอแล้วกับการต้องเล่นเกมส์ปั่นประสาทกับมัน ผมอยากเลิกยุ่ง
แต่ผมก็ทิ้งละอองดาวไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผมเป็นสุภาพบุรุษหรือพระเอกอะไรหรอกนะครับ
แต่การที่เพื่อนของตัวเองต้องตกอยู่ในอันตรายโดยที่ผมรับรู้มาตลอดแล้วปล่อยผ่าน
เรื่องแบบนี้ผมทำไม่ได้จริงๆ
“ก็ได้” อยู่ๆไอ้ตินท์ก็ตอบออกมาง่ายๆจนผมตกใจ
ไม่ได้หูฝาดไปแต่ไอ้ตินท์พูดแบบนั้นจริงๆ ผมมองหน้ามันเพื่อพิจารณาว่าคำพูดนั้นเชื่อถือได้หรือไม่
และก็ต้องพบว่าสีหน้าของมันมีแววจริงจังจนผมแอบกลัว
“มึงว่าไงนะ”
“เออ
กูจะเลิกยุ่งกับละอองดาว”
“…..”
“แต่ ...” คิดไว้ไม่ผิดว่าคนอย่างไอ้ตินท์น่ะเหรอจะยอมอะไรง่ายๆ มันมองหน้าผมแล้วยิ้มจนผมรู้สึกหวั่นๆ
ไอ้ตินท์ยืดตัวเต็มความสูงแล้วค่อยๆเดินเข้ามาหาผม ส่งผลให้ผมถอยออกอัตโนมัติทันที
รอยยิ้มมุมปากของมันยกยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
“แต่อะไร”
“กูจะเปลี่ยนมายุ่งกับมึงแทน” คำพูดตรงๆแบบไม่คิดทำให้ภาพวันนั้นแวบเข้ามาในหัวของผมทันทีจนใจสั่นไปหมด
ถึงแม้ว่าตรงนี้จะเป็นตลาดนัดแต่ที่ๆผมยืนอยู่คนไม่ค่อยพลุกพล่านมากนักแต่ผมกลับกำลังรู้สึกไม่ปลอดภัยยังไงไม่รู้
หันมองซ้ายขวาหาทางหนีทีไล่เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นผมจะได้หนีทัน
“ไม่ต้องกลัวหรอกแบมแบม
ฉันยังไม่ทำอะไรตอนนี้แน่ๆ เพราะต้องรอให้ไอ้มาร์คมาเห็นภาพบาดตาบาดใจด้วยไง
จะได้สนุกสนานไปพร้อมกัน หึ แค่คิดก็สนุกจะแย่” เพราะชื่อของคนคุ้นหูที่มันเอ่ยออกมาเรียกผมให้หันกลับมามองมันด้วยหัวใจที่เต้นรัวทันทีและมันยิ่งตอกย้ำให้ผมมั่นใจว่าเบื้องหลังระหว่างมันกับพี่มาร์คต้องมีอะไรที่ผมยังไม่รู้แน่ๆ
เรื่องราวในอดีต เรื่องราวที่ผมไม่รู้ เรื่องราวก่อนหน้าที่พี่มาร์คจะมาที่นี่
เรื่องราวอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นที่แอลเอ มันคือเรื่องอะไรกันแน่!
ผมมองหน้าไอ้ตินท์ด้วยสีหน้าสับสนอย่างเห็นได้ชัด
อยากจะพูดออกไปแต่ตอนนี้ผมกลับพูดไม่ออกได้แต่อ้าปากค้าง
แววตาของผมปิดไม่มิดว่าอ่อนแอแค่ไหนที่ได้ยินชื่อนี้
ไอ้ตินท์ถือไพ่เหนือกว่าผมเหมือนมันรู้เกมส์ทั้งหมดในขณะที่ผมไม่รู้อะไรเลย หรือว่านี่มันอาจจะเป็นเกมส์ๆหนึ่งของพวกเค้าสองคนที่มีผมเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น
“แบม”
เสียงเรียกคุ้นหูพร้อมกับแรงดึงจากมือใหญ่ของใครบางคนดึงผมให้หันกลับไป
และผมก็ต้องตกใจขีดสุดจนแทบจะควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่เมื่อคนที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ก็คือ
...
“พี่มาร์ค!”
ไอ้พี่บ้า ... กลับมาสักทีนะ :'(
------------------- 30 % -----------------
ในตอนนั้นเองตอนที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ก็มีเสียงเรียกคุ้นหูพร้อมกับแรงดึงจากมือใหญ่ของใครบางคนที่ทำให้ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งจากห้วงของความอึดอัด
มือใหญ่จับที่ต้นแขนของผมและน้ำเสียงทุ้มคุ้นหูทำให้ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง
ใคร ...
ใช่มั้ย
ใช่เค้ามั้ย
ใช่ใช่มั้ย ...
เสียงที่ดังขึ้นของคนมาใหม่กำลังทำให้ผมตัวสั่นด้วยความรู้สึกที่สะสมมันกำลังวิ่งวนอยู่ในใจเพราะความตกใจกับสัมผัสนี้
สัมผัสของคนคุ้นเคย สัมผัสที่ผมจำได้ดี เสียงๆนี้ผมจำได้ดี
เสียงที่ผมกำลังเฝ้าคิดถึง ...
ผมดีใจ ดีใจจนไม่กล้าที่จะหันกลับไปมองหน้าของคนด้านหลัง
ผมไม่อยากจะร้องไห้ออกมาตรงนี้ถ้าเกิดผมหันไปเห็นหน้าของเค้า เค้ากลับมาแล้ว
คนที่โผล่มาเสมอในเวลาที่ผมต้องการใครสักคน
ผมหลับตาลง ภายในใจเบาโหวงตัวเบาหวิวจนแทบจะล้ม กำมือแน่นแล้วตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนข้างหลัง
ใบหน้าที่ทำให้ผมคิดถึงอยู่หลายวันปรากฏอยู่ตรงหน้า
สายตาคู่นี้ยังทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยอยู่เหมือนเดิม
“พี่มาร์ค ...” เสียงเรียกชื่อคนตรงหน้าเบาๆหลุดออกมาจากปากผมราวกับคนกำลังละเมอ
พี่มาร์คช้อนสายตาลงมามองหน้าผมด้วยแววตานิ่งก่อนจะลากสายตากลับไปมองที่ไอ้ตินท์
“อ้าวเพื่อนนนนนนน ! ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอกัน
มาทำอะไรที่นี่วะ”
เสียงกวนๆของคนๆเดิมทำให้ทั้งผมและพี่มาร์คหันหน้าไปมองมันทั้งคู่
สายตาไม่พอใจที่ฉายแววชัดเจนอยู่บนใบหน้าหล่อยิ่งทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าพี่มาร์คกับมันต้องมีอะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้
“มึงมาที่นี่ทำไม”
“กูก็มาเที่ยวสิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปตามทางของมึงซะ อย่ามายุ่งกับเด็กคนนี้” คำว่าเด็กคนนี้ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงผมหลุดออกมาจากปากของพี่มาร์คด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
และมันเป็นเหมือนปฏิกิริยาอัตโนมัติที่ทำให้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของไอ้ตินท์เผยขึ้นมาบนใบหน้านั่นทันที
“ทำไม ? หวงเหรอ ?” แววตาของพี่มาร์ควูบไหวเสียเชิงเล็กน้อย
ผมไม่รู้ว่าพี่มาร์คกำลังคิดอะไรหรือรู้สึกอะไรเพราะผมก็ไม่กล้าเดา ...
“ถ้าไม่อยากเสียเวลาก็อย่ายุ่งกับเด็กคนนี้
เค้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเราทั้งนั้น”
“กูก็ไม่ได้จะทำอะไรน้องเค้าเลย กูแค่จะจีบน้องเค้าอ่ะ
ก็มึงเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะทำอะไรก็ทำ” ไอ้ตินท์ย้อนพี่มาร์คทุกทางจนคนข้างๆผมแทบจะจนมุม
ผมจดจ้องไปที่ใบหน้าของพี่มาร์คด้วยความอยากรู้ว่าพี่มาร์คจะทำยังไงต่อไป เพราะจริงๆที่ไอ้ตินท์พูดมันก็ถูก
พี่มาร์คเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าไอ้ตินท์อยากจะทำอะไรกับผมก็ทำเลยตามสบาย
ผมเข้าใจอย่างนี้ แต่ทำไมตอนนี้กลับมาบอกว่าอย่ายุ่งกับผมเองซะงั้น
เห็นผมเป็นอะไรเหรอพี่มาร์ค คิดจะทิ้งก็ทิ้ง คิดจะกลับมาก็กลับ ...
“ใช่ กูพูดเอง และกูก็แค่จะมาเตือนมึงว่า
ต่อให้มึงคิดจะทำอะไรกับเด็กคนนี้กูก็จะบอกไว้เลยว่าเปล่าประโยชน์
เสียเวลาเปล่าๆว่ะ เพราะกูไม่รู้สึกอะไร”
ประโยคสุดท้ายที่ผมไม่รู้ว่าลึกๆคนพูดอยากจะสื่อความหมายว่าอะไร
แต่ทำไมตอนนี้ผมกลับรู้สึกจุกขึ้นมาก็ไม่รู้สิ
จุกจนไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงต่อไปอีก
มันหมายความว่าอะไรเหรอพี่มาร์คคำๆนี้ที่พี่พูดออกมา ผมตั้งคำถามในใจเงียบๆคนเดียว
...
ตั้งคำถามทั้งๆที่ผมเองก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันหมายความว่าอะไร
ไอ้ตินท์เงียบไปอย่างคนสับสนว่าสิ่งที่พี่มาร์คพูดออกมานั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือแค่ตบตา
ไม่ต่างจากผมที่ก็กำลังสับสนว่านี่คือเรื่องจริงหรืออะไร
พี่มาร์คยังคงยืนนิ่งมองหน้าไอ้ตินท์ไม่พูดอะไรออกมา ยิ่งผมมองลึกเข้าไปในสายตาคมที่เอาแต่จ้องมองไอ้ตินท์เหมือนต้องการเน้นย้ำให้เข้าใจว่าสิ่งที่พี่มาร์คพูดออกมานั้นคือเรื่องจริงก็ยิ่งทำให้ใจผมโหวงและเจ็บขึ้นมาซะงั้น
มันเริ่มทำให้อะไรหลายๆอย่างที่ผมคิดแน่นอนขึ้นมา
“ห .. เหอะ ... อะไรของมึงมาร์ค คิดอะไรเป็นตุเป็นตะ
กูบอกว่ากูแค่จะจีบแบมแบมแค่นั้นเอง ...”
“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกจีบเถอะ เพราะยังไงแบมแบมก็ไม่เอามึงหรอก
ไปหาของเล่นอื่นเล่นเถอะนะ” พี่มาร์คทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้แค่นั้นแล้วปล่อยให้ไอ้ตินท์ยืนเหวออยู่
มือใหญ่คว้าข้อมือผมฉุดให้เดินตาม ตัวเล็กๆของผมจึงเดินตามมาอย่างง่ายดายด้วยสติที่ไม่ค่อยอยู่กับล่องกับลอยเท่าไหร่นัก
พี่มาร์คลากผมเดินไปเรื่อยๆโดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าเราจะไปไหนกัน
แผ่นหลังกว้างคือสิ่งเดียวที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้
พี่มาร์คเดินนำไปไม่พูดอะไรมีแต่ผมที่เดินตามหลังพร้อมกับความรู้สึกมากมายอยู่คนเดียว
เดินไกลออกมาจากตลาดนัดจนเสียงสนทนาและผู้คนบางตาไปมาก
เสียงคลื่นของท้องทะเลยามค่ำคืนซัดหาดทรายดังก้องทั่วบริเวณที่เดินผ่าน พี่มาร์คยังคงจับข้อมือผมเดินไปตามหาดทรายที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ระยะทางข้างหน้าที่ผมไม่รู้เลยว่าเรากำลังจะเดินไปไหนยาวไกลเสียจนทำให้ผมตัดสินใจหยุดตัวเองอยู่กับที่
คนที่เดินนำหน้าหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันหลังกลับมามองด้วยใบหน้าคิ้วขมวด
“เราจะไปไหนกันเหรอพี่มาร์ค”
“ไปส่งแบมกลับรีสอร์ทไง”
น้ำเสียงนิ่งแต่ไม่มีความรู้สึกใดๆผสาน
“แล้วรู้เหรอว่าแบมพักอยู่ที่ไหน”
“......” เกิดเดดแอร์ขึ้นระหว่างเราสองสามวิ
ผมจึงตัดสินใจดึงมือตัวเองให้หลุดออกจากการเกาะกุมของมือใหญ่ รอบตัวของเราสองคนเงียบสนิท
มีเพียงเสียงคลื่นเท่านั้นที่ทำให้บรรยากาศไม่โหดร้ายจนเกินไป
“บ้านเพื่อนพี่มาร์คอยู่ที่นี่เหรอ”
มีถ้อยคำมากมายที่อยากจะเอ่ยถามคนตรงหน้า
แต่กันต์พิมุกต์คนเก่งที่เคยเก่งและไม่กลัวอะไรตอนนี้กลับไม่กล้าแม้แต่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดหรือไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าของคนตัวสูงกว่าที่กำลังมองผมอยู่เลย
ผมอ่อนแอลงทุกวันเพราะผู้ชายที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า
ทั้งๆที่เคยตั้งใจว่าตอนที่ได้เจอหน้าพี่มาร์คอีก
ผมจะถามทุกคำถามที่อยากรู้ จะคาดคั้นจนกว่าจะได้คำตอบเหมือนที่ผมเคยได้มันมาเหมือนทุกครั้ง
แต่ ณ เวลานี้ที่ผมได้ยืนอยู่ตรงหน้าพี่มาร์คจริงๆแล้ว
คำถามมากมายที่ค้างคาอยู่ในใจกลับไม่กล้าที่จะหยิบมันออกมาถามเลยสักคำ
ผมอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว
“อื้ม ก็ประมาณนั้นแหละ” พี่มาร์คตอบคำถามผมเหมือนเลี่ยงไปที
ไม่มีแม้แต่คำอธิบายเพิ่มเติมจนรอบตัวเราเงียบลงอีกครั้ง
ผมฝืนยิ้ม
กลับกลายเป็นผมอีกครั้งที่เริ่มบทสนทนาใหม่
“พี่มาร์คหนีมากะทันหันแบบนี้รู้มั้ยว่าแบมเป็นห่วงแค่ไหน อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันดีๆหน่อย
นี่แบมโทรมาก็ยังไม่รับสายอีก ยุ่งเหรอพี่มาร์ค หรือสายชาร์จจมน้ำตายไปแล้ว 55555” เสียงหัวเราะที่ฟังยังไงก็รู้ว่าฝืนหลุดออกมาจากปากของผม
ส่งผลให้สีหน้าของพี่มาร์คเปลี่ยนไป สายตาคมหลุบมองต่ำ ผมจึงค่อยๆหุบยิ้มฝืนของตัวเองลง
“พี่ขอโทษนะแบม ขอโทษ ...” เสียงแผ่วเบาของคนตรงหน้าไม่อาจทำให้ผมเข้าใจได้มากขึ้นว่าพี่มาร์คกำลังรู้สึกอะไร
แต่ในจุดๆหนึ่งอยู่ๆสมองของผมก็สั่งให้ทำอะไรบางอย่าง ผมหลุดปากถามออกไป
“พี่มาร์ค ... มีอะไรอยากบอกแบมมั้ย” เงียบ
รอบตัวเงียบอีกครั้ง ความอึดอัดถาโถมเพิ่มมากขึ้นเมื่อผมตัดสินใจพูดออกมา
“..... ไม่มี”
“ไม่มี ... หรือจริงๆแล้วพี่ไม่อยากบอกแบมกันแน่” ความอึดอัดที่โอบล้อมเราสองคนอยู่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นมาอีกระดับเมื่อผมเริ่มต้นพูด
คำพูดที่ไม่ได้กลั่นกรองแต่ออกมาจากความรู้สึก ณ เวลานั้น
“แบม ...”
“..... ถ้าแบมไม่สำคัญให้บอกก็ไม่ต้องบอกก็ได้ครับ
แต่อย่างน้อยช่วยบอกผมหน่อยว่าพี่กำลังทำอะไร หรือพี่อยู่ที่ไหน
พี่มาร์คอยู่กับใครบ้าง อย่าหายหน้าไปแบบนี้
อย่าทำเหมือนกับว่าไม่มีคนข้างหลังที่เป็นห่วงพี่มาร์คจะตายอยู่ตรงนี้ได้มั้ย” ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวนิดหน่อยเมื่อผมระบายความรู้สึกอัดอั้นออกมา
แต่ผมก็ต้องใช้ความพยายามทั้งหมดควบคุมมันเอาไว้
“.......”
“ผมเคารพการตัดสินใจของพี่มาร์คเสมอมานะ
ผมพยายามจะเข้าใจว่าการที่พี่มาร์คทำแบบนี้เพราะพี่ต้องมีเหตุผล เพราะพี่มาร์คเป็นคนมีเหตุผลให้ผมเสมอ
ผมรอได้รอวันที่พี่มาร์คจะหันมาอธิบายให้ผมฟังสักหน่อยแม้จะไม่ใช่ทั้งหมดผมก็คงจะดีใจ
เพราะอย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าผมยังมีค่าให้พี่มาร์คมองเห็นเวลาที่มีปัญหา
เหมือนเวลาที่ผมมีปัญหาพี่มาร์คก็อยู่ข้างๆผมเสมอ
แต่สุดท้ายพี่ก็ไม่หันมาอธิบายอะไรให้ผมฟังสักนิด ทำไมเหรอครับ ทำไมเวลาที่พี่มีปัญหาพี่ไม่ให้ผมอยู่ข้างๆพี่บ้าง”
น้ำตาที่ดูเหมือนจะคลออยู่รอบดวงตาจนพร่าแทบมองไม่เห็นในที่สุดก็ร่วงลงมาตามแก้ม
แต่ความอึดอัดกลับไม่ถูกชะล้าง
กลับยิ่งเพิ่มความอึดอัดเป็นเท่าเมื่อพี่มาร์คยังคงนิ่ง
“พี่ทำแบบนี้ก็เพราะแบมมีค่ากับพี่มากเกินไปไง” คำพูดแรกที่พี่เค้าพูดออกมาแทบอยากจะทำให้ผมกระชากคนตรงมาคาดคั้นให้รู้ดำรู้แดงกันไปสักที
อึดอัด อึดอัดมาก
สายตาคมที่หลุบมองต่ำในที่สุดคนตรงหน้าก็ลากมันกลับมามองใบหน้าอาบน้ำตาของผม
แววตาของพี่มาร์ควูบไหวชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงนิ่งในแบบที่เป็นพี่มาร์ค น้ำตาเม็ดใหญ่ยิ่งร่วงลงมากระทบแก้มกลมของผมมากขึ้นเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่ระบายออกมาตรงๆไม่ได้ช่วยให้พี่มาร์ครู้สึกอะไรขึ้นมาบ้างเลยสักนิด
“ถ้าแบมมีค่าในสายตาพี่มาร์คจริงๆ
... ฮึก พี่มาร์คจะไม่ทำแบ .. แบบนี้หรอก ถ้าแบมมีค่ากับพี่มาร์คจริงๆ
พี่มาร์คจะอยากอธิบายทุกอย่างให้แบมฟัง ถ้าแบมมีค่ากับพี่มาร์คจริงๆ .. ฮึก
พี่มาร์คจะไม่ปล่อยให้แบมต้องโดดเดี่ยวเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยอยู่คนเดียวแบบนี้
จะไม่ทิ้งให้ผมต้องเป็นบ้าเป็นห่วงพี่มาร์คว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่า
จะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรทำไมติดต่อไม่ได้ และถ้าแบมมีค่าจริงๆ
พี่มาร์คจะไม่ทำให้แบมสับสนแบบนี้ พี่จะไม่ทำให้แบมต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าพี่มาร์คกำลังคิดอะไร
หรือพี่มาร์ครู้สึกยังไงกันแน่ ... ฮึก”
“………….”
“แบมคิดมาตลอดว่า
... ฮึก ว่าแบมรู้จักพี่มาร์คดีที่สุด แต่ ณ เวลานี้แบมเริ่มลังเลแล้วล่ะพี่มาร์ค
พี่มาร์ครู้ทุกเรื่องของแบมในขณะที่แบมกลับกลายเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย
ไม่เลยสักนิด ฮึก ... พี่มาร์ค สรุปพี่มาร์ครู้สึกยังไงกันแน่ เรื่องไหนกันแน่ที่เป็นเรื่องจริง
ความรู้สึกไหนกันแน่ที่เป็นเรื่องจริง! … ฮึก”
เพียงแค่ได้ระบายทุกสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกมาน้ำตาที่พยายามจะกลั้นไว้ในตอนแรกก็ทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก
ผมมองหน้าพี่มาร์คด้วยลูกตาที่กลบไปด้วยม่านน้ำตาจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรอยู่แล้ว
อกน้อยสั่นกระเพื่อมขึ้นลงไม่เป็นจังหวะเพราะผมหายใจแทบไม่ออก
ทั้งจากการร้องไห้และความอึดอัดทั้งหมดมันสุมอยู่ตอนนี้
ผมยืนร้องไห้ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
แต่ในตอนนั้นอยู่ๆความอบอุ่นจากอ้อมกอดของคนตรงหน้าก็เข้ามาคว้าผมเข้าไป
ผมยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีกเมื่ออ้อมกอดนี้มันอบอุ่นเกินไป
พี่มาร์คกอดผมแน่นมากเหมือนโหยหาผมเหมือนกัน
แรงสั่นจากคนตัวสูงทำให้ผมหยุดสะอื้นแต่น้ำตายังรินไหล พี่มาร์คร้องไห้เหรอ ?
“ขอโทษ
... ขอโทษที่พี่ทำแบบนั้นไป ขอโทษที่ทำให้แบมรู้สึกแบบนี้ พี่รู้ว่ามันไม่ถูกต้องและพี่ไม่ควรทำ
แต่พี่ก็ไม่กล้า พี่กลัวนะแบม พี่กลัวว่าจะต้องเสียเราไปอีกคน
พี่ไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว ...” ตัวของพี่มาร์คสั่นพอๆกับผมที่ยังไม่หยุดร้องไห้
คำพูดที่พี่มาร์คพูดออกมามันทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความกลัวและความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ข้างใน
ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่เข้าใจทั้งหมดแต่ทำไมตอนนี้ผมถึงทุกข์ไปกับพี่มาร์คด้วยก็ไม่รู้
“พี่ตั้งใจจะอธิบายทุกอย่างให้แบมฟังอยู่แล้ว
แต่มันไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนที่จะทำให้แบมต้องเสี่ยงเพราะพี่
พี่ต้องอยู่ห่างเราทั้งๆที่ไม่เคยมีสักวินาทีที่อยากจะทำแบบนี้
พี่ไม่อยากให้เราต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พี่เป็นคนก่อ พี่กลัวมากนะแบม
พี่กลัวว่าพี่จะปกป้องแบมไม่ได้ ...”
ผมซุกหน้ากับอกกว้างพร้อมน้ำตาที่ยังไหลรินแต่ไร้ซึ่งการสะอื้นแล้ว
“ทำไมพี่มาร์คถึงคิดว่าพี่มาร์คปกป้องแบมไม่ได้ล่ะ
ตอนเด็กๆพี่มาร์คก็เคยช่วยแบมไม่ให้จมน้ำไม่ใช่เหรอ
แล้วที่พี่มาร์คมาที่นี่ก็เพื่อมาปกป้องแบมไม่ใช่เหรอ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่มาร์คก็ปกป้องแบมได้ไม่ใช่เหรอ เวลาที่แบมต้องการใครสักคน
คนๆนั้นก็เป็นพี่มาร์คไม่ใช่เหรอ ....”
ตัวของผมถูกสองมือใหญ่จับไหล่และดันออก ใบหน้าคมตรงหน้าดูตกใจเล็กน้อย
ขอบตาแดงๆนั่นเบิกโตติดตะลึงนิดหน่อยหลังจากที่ผมพูดจบ
“ผมจำพี่มาร์คได้แล้ว
... ผมจำพี่ได้แล้วพี่มาร์ค”
“……….”
“พี่มาร์ค
พี่อองฝน แล้วก็ไอ้ตินท์ มันมีอะไรเกิดขึ้นใช่มั้ยพี่มาร์ค ...” แล้วในที่สุดคำถามที่ผมอยากรู้มากที่สุดก็หลุดออกมาจากปาก
พี่มาร์คลดมือที่จับไหล่ของผมลงแล้วย่อตัวยันมือไว้กับหัวเข่าอย่างอ่อนแรงเหมือนคนที่ไม่มีแรงจะยืน
แล้วไหล่กว้างนั้นก็สั่นไหวอีกรอบ
“พี่มาร์คมาที่นี่ทำไมกันแน่ครับ
... พี่มาร์คไม่ใช่เด็กแลกเปลี่ยน .. พี่มาร์คไม่ได้แค่มาแลกเปลี่ยน แต่พี่มาร์คมาทำอะไรกันแน่
.. ฮึก ... พี่มาร์คมาเพื่อพี่อองฝนใช่มั้ย ...”
หยาดน้ำตาที่เกือบแห้งไปแล้วไหลลงมาอีกรอบและดูเหมือนจะหนักกว่าเดิม
เพราะนี่คือสิ่งที่ผมกลัวกับคำตอบมากที่สุดแม้จริงๆเกินครึ่งความมั่นใจผมจะรู้อยู่แล้ว
พี่มาร์ครักพี่อองฝน พี่มาร์คมาที่นี่ก็เพื่อพี่สาวของผม
“ใช่ ...
ใช่แบมใช่ พี่ขอโทษ พี่มาเพราะอองฝน ...”
แล้วผมก็ทำได้แค่ยืนมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกชาๆแต่เจ็บจนไร้ความรู้สึกไปแล้ว
สิ่งที่ผมเข้าใจมันถูกต้องแล้วใช่มั้ย
“แต่ ...” แล้วอยู่ๆคนตัวสูงก็ยืดตัวเงยหน้าขึ้นมามองผม
ผมมองหน้าเหมือนคนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งรอฟังเงียบๆเท่านั้น
“แต่แบมก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้พี่อยากมาที่นี่
....” พี่มาร์คพูดแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้ๆผม เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าไร้พลังแต่ฝืนเข้มแข็ง
“แบมไม่ใช่คนไร้ค่าสำหรับพี่นะ
แต่ที่พี่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าแบมมีค่ามากเกินไป มีค่าซะจนพี่กลัวจะเสียแบมไปอีกคน
พี่ไม่อยากเสียใครไปแล้วแบม แค่อองฝนก็เกินพอแล้ว ...”
“มันเกิดอะไรขึ้นครับพี่มาร์ค
...” สีหน้าน้ำเสียงและแววตาจริงจังทำให้พี่มาร์คชะงักไป
เสียงถอนหายใจน้อยๆดังออกมา พี่มาร์คมองหน้าผมแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นเช็ดน้ำตาให้ผม
ปากหยักเผยออกเรียกสติให้กลับมาแต่มือก็ยังคงเกลี่ยน้ำตาให้
“....
ตั้งใจฟังนะแบม ไอ้ตินท์คือคนที่จะไม่ยอมปล่อยให้พี่มีความสุข
คนใดที่มันรู้ว่ามาร์คต้วนรัก คนนั้นคือคนโชคร้าย อองฝนก็คือหนึ่งในนั้น
และคนต่อมาก็อาจจะเป็นแบม .. ถ้าพี่ไม่ปล่อยแบมไป .. คนต่อไปก็จะคือแบม” เป็นคำอธิบายที่ทำให้ผมทั้งเครียดและเขินขึ้นมาในเวลาเดียวกัน นี่พี่มาร์คสารภาพรักผมรึเปล่า ...
“เพราะฉะนั้นแบมอยู่ห่าง
...” ไม่ให้คนหน้าหล่อตรงหน้าพูดจบผมก็โผเข้ากอดพี่มาร์คไว้แน่น
ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไม่รู้จักหมดทำให้หัวใจของผมกับมาเต้นรัวอีกครั้ง
“พี่มาร์คแบมเป็นผู้ชายนะไม่ใช่ผู้หญิง
แบมดูแลตัวเองได้น่าพี่มาร์คอย่าห่วงเลย ต่อให้อยู่ข้างๆพี่มาร์คแล้วแบมจะตายแบมก็จะอยู่ข้างพี่มาร์คอยู่ดี
แบมอยากอยู่ข้างๆพี่มาร์คเหมือนที่พี่มาร์คอยู่ข้างๆแบมเสมอ
พี่มาร์คไม่ต้องกลัวนะครับ ตราบใดที่พี่มาร์คยังอยู่ข้างๆแบม แบมก็จะปลอดภัย
แบมมั่นใจว่าแบมจะไม่เป็นอะไร”
รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของผม ผมรู้เสมอว่าต่อให้จะมีอะไรเกิดขึ้น
แม้มันจะเลวร้ายแค่ไหน แค่ผมได้ยืนอยู่ตรงนี้และมีพี่มาร์คเคียงข้าง ผมก็จะปลอดภัย
จบคำพูดของผมตรงนั้นก็เงียบลงไปทันที
เสียงร้องไห้และแรงสะอื้นก็เงียบตามไปด้วย
เหลือเพียงแค่เสียงคลื่นซัดซาดหาดทรายขาว
กับความอบอุ่นที่ผมได้จากพี่มาร์คในตอนนี้เพียงเท่านั้น ...
ต่อให้แบมจะเป็นอะไรไป
แต่แบมก็ยินดีที่จะยืนอยู่ข้างๆพี่มาร์คตลอดไปนะครับ ...
---------------------
หลังต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากจุดที่คนตัวสูงและคนตัวเล็กกว่ากำลังยืนกอดกัน
ร่างกำยำของคนที่แอบตามมากำลังยืนยกยิ้มอย่างผู้ชนะ
แววตาเจ้าเล่ห์นั่นจับจ้องทั้งสองคนด้วยแววตาแห่งความมั่นใจและเหนือกว่า
ในที่สุดก็ใช่สักที
...
คนที่มันรักคือเด็กคนนั้นจริงๆ
...
--------- 100 % ---------
Come back homeeee ~ *ทำนอง 2ne1ต้องมา*
เย้ในที่สุดอิชั้นก็ได้ฤกษ์งามกลับมาอัพฟิคแล้วค่า
*รัวมือ*
*รัวเท้านับพันคู่ลอยมาอย่างแม่นยำ*
ก็ที่บอกไปแหละค่ะว่าคอมพังแฟ้มฟิคหายหมดเลยต้องแต่งใหม่
TT
ประจวบกับงานอันหนักหนาก็เพิ่งจบลง
อิชั้นจึงได้กลับมาหายใจหายคอสักที
ตอนนี้ไม่ดราม่า (เหรอออออ) 5555555 จริงๆค่ะ
ความดราม่าของอิชั้นก็อย่างที่รู้ๆกัน
มันผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป ไปเร็วด้วย ... อีกสองสามตอนฟิคเรื่องนี้ก็จะจบลงแล้ว
ดังนั้นมันจะไม่ม่านานแน่นอนค่ะ
เพราะสไตล์เราจะไม่ม่า เน้นกุ๊กกิ๊กจิ๊กหมอนกระจุยเท่านั้นน
รอติดตามตอนต่อไปนาจา ~
ความคิดเห็น