ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [MarkBam] HOST FAMILY #ฟิคโฮสต์แฟม

    ลำดับตอนที่ #4 : กฎของโฮสต์ข้อที่ 3 :: เป็นโฮสต์ต้องอดทน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.63K
      8
      25 พ.ค. 59








    กฎของโฮสต์ข้อที่ 3

    "เป็นโฮสต์ต้องอดทน"

     

     

     

                    นิ้วเรียวสวยของหญิงสาวไล้ไปตามแผ่นกระดาษที่ติดอยู่ตรงบอร์ดประชาสัมพันธ์ ตัวเลขและตัวอักษรมากมายปรากฎสู่สายตาของเธอ นิ้วเรียวไล่รายชื่อของห้องต่างๆมาจนกระทั่งหยุดลงที่บรรทัดสุดท้าย

     
     

                    'สีขาว ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5  ::  ม. 5/1 และ ม. 5/3'

     
     

                    รอยยิ้มเล็กๆที่แสนจะเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมปากบาง ห้วงความคิดที่เธอจดจำไม่เคยลืมฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง  ความทรงจำแสนเลวร้ายกับผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ ไม่เคยลืม ...

                   

                    'แบมแบม ในที่สุดเราก็จะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง .. สักทีสินะ'

     
     

                    "ละอองดาว ไม่เจอกันนานเลยนะ" หญิงสาวเจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียกทันทีที่ผู้เข้ามาใหม่เอ่ยเรียกเธอ ชายหนุ่มหน้าตาดีที่เธอแสนจะคุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างบังเอิญ

     
     

                    "พี่คุณ .." หญิงสาวฉีกยิ้มบางๆให้ชายหนุ่ม

     
     

                    "เพิ่งกลับมาจากแลกเปลี่ยนสินะ เป็นยังไงบ้างล่ะที่อเมริกาน่ะ" หญิงสาวยิ้มบางๆให้รุ่นพี่ที่คุ้นเคย ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปยังคนตรงหน้าตามมารยาท

     
     

                    "ก็ดีค่ะ ไปอยู่ที่นั่นตั้งนาน รู้สึกว่าดาวกับพี่เหมือนจะดูห่างๆไปเลยนะคะ"

     
     

                    "นั่นสิ พี่ก็คิดว่างั้นนะ เอาเป็นว่ายังไงก็ยินดีต้อนรับกลับประเทศไทยนะครับ แล้วพี่ก็หวังว่าอองดาวจะไม่มายุ่งกับ 'น้องชายของพี่' อีกนะครับ" ชายหนุ่มตั้งใจเน้นเสียงคำว่า น้องชาย ลงไปในประโยคสนทนาที่เขากับเธอรู้กัน หญิงสาวมองหน้ารุ่นพี่คนเคยสนิทแวบหนึ่งก่อนจะหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า

     
     

                    "เรื่องนั้นดาวก็ไม่รู้นะคะว่าจะทำได้มั้ย ไม่ขอสัญญานะคะ อ๋อ แล้วก็ฝากบอกน้องชายของพี่ด้วยนะคะว่าอดีตเพื่อนสนิทคนนี้คิดถึงเค้ามาก" หญิงสาวทิ้งถ้อยคำสุดท้ายไว้ก่อนจะเดินจากไป เหลืออยู่เพียงชายหนุ่มที่มองตามแผ่นหลังบางไปพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆด้วยความหนักใจ

     

     

                    .... เรื่องในอดีต บางทีถ้าเราไม่พูดถึง น่าจะดีกว่า

     

     



     

                    ช่วงเวลาพักเที่ยง คือช่วงที่โรงอาหารของโรงเรียนเจวายพีวิทยาจะคลาคล่ำไปด้วยเด็กนักเรียนมากมาย ทั้งจากมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายที่แห่มาหาของกินประทังชีวิตเตรียมพร้อมกับการเรียนซึ่งจะเกิดขึ้นอีกตลอดทั้งบ่าย เสียงพูดคุยหัวเราะดังไปทั่วทุกบริเวณของโรงอาหาร ผิดกับหนุ่มน้อยน่ารักนามว่าแบมแบมที่กำลังยืนชะโงกหน้ามองหาใครบางคนอยู่หน้าทางเข้า ...

     
     

                    ไรท์ครับ ...

                    ช่วยแก้จาก หนุ่มน้อยน่ารัก มาเป็น

                    'ชายหนุ่มหน้าตาดี คือพี่กันต์พิมุกต์คนแมน' หน่อยได้มั้ยครับ

                    ผมบอกกี่รอบแล้วเนี่ยว่าอย่าใช้คำว่าน่ารักกับผม! ผมอ่ะแมนๆเลยครับ

                    แล้วก็หล่อมากด้วย!

     
     

                    ว่าแต่เมื่อไหร่คุณชายมาร์คต้วนจะมาวะเนี่ย นี่ผมรอจนตูดเหน็บไปข้างแล้วนะ  -________-

                    เอ๊ะ! หรือว่าคุณชายจะโดนซอมบี้ผู้หิวกระหาย(ผู้ชาย)ฉกไปแล้วนะ! -0-

                    นี่ผมเริ่มเป็นห่วงแล้วสิ ._.

     
     

                    "เห้ยนั่นไงมาแล้ว" เสียงจากไอ้ยูคที่ยืนอยู่ข้างๆเรียกให้ผมหันไปสนใจตามที่นิ้วของมันชี้ไป และก็เห็นว่าบุคคลที่ผมกำลังรอกำลังเดินอยู่ท่ามกลางเหล่าสมาคนคนชอบปรังเข้ามายังจุดที่ผมยืนอยู่กับไอ้ยูค

     
     

                    ผมมายืนรออยู่ตรงนี้นานแล้วครับ ยืนจนกำลังจะสังเคราะห์แสงอยู่แล้ว ประเด็นคือผมมารอรับคุณชายเด็กแลกเปลี่ยนนั่นแหละ กลัวว่ามาโรงเรียนวันแรกจะไม่รู้แหล่งหากิน ไม่ได้ครับ เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่ วันนี้ผมต้องสอนพี่มาร์คกินข้าวที่โรงอาหาร! น่ารักป้ะล่ะ

     
     

                    แต่ตอนนี้ผมหิวมากๆเลยอ่ะ T^T

                    เห้อออ เป็นโฮสต์ต้องอดทน ท่องไว้แบมแบม

                

     

                    "Hi" พอคุณชายเดินมาถึงจุดที่ผมยืนอยู่  พี่แกก็ส่งยิ้มสดใสสไตล์มาร์คต้วนมาให้ผมทันทีเลยครับ แหม กว่าจะมาถึง ผมนี่แทบกินหัวไอ้ยูคแทนข้าวแล้วครับ มีอย่างที่ไหนนัด 12.00 มา 12.30 น่ารักอ๊ะ! (ประชด)

                   

                    "ทำไมมาช้าจัง" ผมถามไปงั้นๆหล่ะทั้งที่ความจริงผมรู้อยู่แล้วว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้คุณชายมาช้า พี่มาร์คมองหน้าผมเล็กน้อยแล้วบุ้ยปากไปทางด้านหลังซึ่งมีผู้หญิงทั้ง ม.ต้น ม.ปลาย ตามหางพี่แกกันเป็นพรวนเลยครับ โอยยยย นี่ยังไม่เลิกตามเต๊าะเด็กผมอีกเหรอเนี่ย พี่แบมล่ะเพลีย มีเด็กแลกเปลี่ยนหล่อเกินไปก็ต้องทำใจล่ะนะครับจุดนี้

     
     

                    "ช่างมันเถอะ เรารีบเข้าไปกินข้าวกันเถอะพี่มาร์ค แบมหิวแล้ว" มนุษย์มาร์คต้วนเดินตามหลังผมกับไอ้ยูคที่เดิน 4*100 เข้าไปในโรงอาหารอย่างไว แต่ผมก็ยังแอบได้ยินเสียงสาวๆที่นั่งกินข้าวและต่อแถวยืนซื้อข้าวกรี๊ดพี่เค้าอยู่อีกระลอกหนึ่งอ่ะครับ บางคนนี่ถึงกับสำลักน้ำเลยตอนเห็นพี่มาร์คเดินเข้ามา 55555 ตลกอ่ะ นี่ต้องขอบคุณความหล่อของพี่มาร์คที่ทำให้ชีวิตผมดูมีอะไรให้ขำอยู่ตลอดเวลาเลยนะ *กราบเบญจางคประดิษฐ์*

     
     

                    ตอนนี้ผมกับพี่มาร์คมายืนนิ่งอยู่หน้าซุ้มขายอาหารและไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี ส่วนไอ้ยูคมันก็แยกไปจองโต๊ะประจำของกลุ่มเราไว้แล้วล่ะครับ ผมยืนเงยหน้ามองป้ายเมนูอาหารของป้าขายข้าวแกงที่ผมชอบมากินอยู่บ่อยๆ วันนี้กินอะไรดีวะ ไม่เอากะเพราไข่ดาวแล้วนะ ได้ข่าววันก่อนก็บอกตัวเองแบบนี้แต่สุดท้ายก็ ...

     
     

                    "ป้าครับ กะเพราไข่ดาวจานหนึ่งครับ"

     
     

                    ลงเอยที่เมนูยอดฮิตทุกวันเลยครับ -____-

     
     

                    "พี่มาร์ค อยากกินอะไร" พอผมสั่งอาหารของตัวเองเสร็จก็หันมาถามมนุษย์มาร์คต้วนซึ่งกำลังยืน มองเมนูอย่างตั้งใจอยู่ข้างๆผม หืมม อ่านออกเหรอนั่นน่ะ จ้องซะ 5555555

     
     

                    "อยากกินไอ้นั่นน่ะ" แล้วพี่มาร์คก็ชี้นิ้วไปที่รูปภาพประกอบอาหารหนึ่ง ผมหันมองไปตามทิศทางที่พี่แกชี้ไปและพบว่าเมนูนั้นก็คือ ก๋วยเตี๋ยว

     
     

                    "เอาอันนั้นจริงๆอ่ะ" ผมถามเพื่อเช็คความมั่นใจของพี่แกอีกครั้งหนึ่ง

     
     

                    "อื้ม" พี่มาร์คละสายตาจากป้ายเมนูลงมามองหน้าผมแล้วทำแก้มพองใส่

     
     

                    จะแอ็บแบ๊วทำไมเนี่ย - - ...

     
     

                    "ป้าครับ เอาก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งครับ" ผมหันไปสั่งเมนูกับป้าอีกครั้งหนึ่ง รอประมาณห้านาที อาหารที่สั่งไปทั้งของผมแล้วก็ของพี่มาร์คก็เสร็จพร้อมทาน ผมเอื้อมมือไปรับจานมาจากป้า ก่อนจะยื่นชามก๋วยเตี๋ยวให้พี่มาร์คถือ

     
     

                    มนุษย์มาร์คต้วนเดินถือชามก๋วยเตี๋ยวตามผมมาอย่างระมัดระวัง ขอเม้าท์นะครับ ผมเห็นคุณชายแกดูตั้งใจกับการถือชามก๋วยเตี๋ยวมากอ่ะ ค่อยๆเดินตามผมมาช้าๆ เวลามีใครเข้ามาใกล้พี่แกก็จะเขยิบตัวออกนิดหน่อย แบบช้าๆ .. ส่วนผมนี่เหรอ เหอๆ เดินไปกระโดดไป จนจานข้าวเกือบปลิว อะไรจะร่าเริงปานนั้น (แซะตัวเองครับ 55555)

     
     

                    "ไอ้แบม กินอะไรวะ" พอผมกับพี่มาร์คนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว ไอ้ยูคที่ซื้อข้าวมานั่งกินรอก่อนแล้วก็เอ่ยปากถามทันที อะไร จะแย่งข้าวผมอีกแน่ๆเลย

     
     

                    "เหมือนเดิม"

     
     

                    "โห่ อะไรวะ กินไม่เบื่อบ้างเหรอ กากว่ะ ไม่แย่งแล้ว!" แล้วไอ้ยูคก็ก้มลงไปจัดการข้าวในจานตัวเองต่อ ว๊าย ~~ รอบนี้มันไม่แย่งผมครับคุณผู้อ่าน

     
     

                    "พี่มาร์ค กินเถอะ เดี๋ยวมันเย็น" เพราะเห็นคุณชายนั่งสงบเสงี่ยมมองผมกับไอ้ยูคคุยกันไม่ยอมแตะก๋วยเตี๋ยวสักที ผมจึงต้องสะกิดให้พี่แกเริ่มกินข้าวได้แล้ว พี่มาร์คสะดุ้งนิดหน่อยแล้วค่อยๆจับตะเกียบขึ้นมาคีบลงไปในชาม และตวัดเส้นก๋วยเตี๋ยวอย่าง ....

     
     

                    โคตรชำนาญญญญญ!!~ -[]-

     
     

                    เหยดดดดด โอ้โห นี่ผมเพิ่งเคยเห็นพี่แกใช้ตะเกียบก็วันนี้แหละครับ นี่มัน ไต้หวันบอยของแท้เลยนี่หว่า ความเป็นแอลเอไม่สามารถลบสายเลือดแท้จริงของพี่แกได้เลยสินะ ศิษย์พี่! ข้อน้อยขอคารวะหนึ่งจอก!

     
     

                    "เหยด" แม้แต่ไอ้ยูคที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นภาพกีฬามันส์ๆพอดี ก็ยังอดอุทานออกมาไม่ได้

             
          

                    พี่มาร์คที่เหมือนจะรู้ตัวว่ามีเจ้าหนูจำไมสองคนนั่งมองแกอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองช้าๆ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแบบสงสัยว่าผมกับไอ้ยูคทำอะไร

     
     

                    "มองอะไรแบม" ผมรีบปรับอารมณ์ให้เข้าสู่หมวดปกติทันที

     
     

                    "ป่าว แบมแค่ .. เอ่อ .. อ๋อ! แบมแค่อยากกินลูกชิ้นอ่ะ" คือไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะโกหกทำไม บอกก็จบป้ะว่าผมอะเมซิ่งใจในสกิลการใช้ตะเกียบของพี่มากเลยครับศิษย์พี่ต้วน!

     
     

                    "หืม อ่ะ เอาดิพี่ให้" ผมอ้าปากกะจะให้พี่มาร์คป้อน แน่! ไม่ต้องมองผมยังงั้นเลย ปกติเวลาผมอยากกินอะไร ผมก็ให้คนอื่นป้อนอยู่แล้วครับ

     
     

                    "เห้ยพวกมึง!" อุ๊ยตาย! ลูกชิ้นเกือบตก ดีนะงับทัน

     
     

                    ไอ้มิ้นที่ไม่รู้วิ่งมาจากไหนอยู่ๆก็วิ่งมานั่งลงตรงข้ามกับไอ้ยูคข้างๆพี่มาร์ค (ที่นั่งตรงข้ามกับผม) ท่าทางหอบๆบวกกับสีหน้าดูตื่นเต้นทำให้ไอ้ยูคอดถามออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้

     
     

                    "อิเจ้ เป็นอะไรเนี่ย วิ่งหนีตายมาจากไหน" ผมว่าเดี๋ยวอิเจ้ได้วีน

     
     

                    "หนีตายบ้านแกสิ" นั่นไงว่าแล้ว

     
     

                    "มีอะไรไอ้มิ้น วิ่งมาจากไหน แล้วเมื่อกี้แกไปไหนมาวะ" ผมนั่งเท้าคางมองมันที่ยังทำท่าหอบไม่เสร็จไม่สิ้น

     
     

                    "กูเพิ่งไปส่งพี่เจบีไปกินข้าวกับพวกเด็กแลกเปลี่ยนมาอ่ะ แล้วนี่ทำไมเด็กมึงไม่ไปกินกับพวกนั้นวะ" ไอ้มิ้นพูดไปก็คุ้ยอะไรสักอย่างในกระเป๋าแบบไม่ค่อยสนใจฟังคำตอบของคำถามตัวเองเท่าไหร่นัก

     
     

                    "อ๋อ พี่มาร์คบอกว่าอยากมากินกับกูอ่ะ" ผมตอบกลับไปตามปกติ แล้วหันไปหาพี่มาร์คที่นั่งฟังผมกับไอ้มิ้นคุยกัน ก่อนจะอ้าปากเพื่อสื่อให้พี่แกรู้ว่าผมอยากกินอีก หึหึ ลูกชิ้นอ่ะเดี๋ยวพี่แบมจะกินให้หมดเลย นาทีนี้ไม่มีคำว่าเกรงใจครับ โทษฐานที่ปล่อยให้ผมหิ้วท้องรอตั้งครึ่งชั่วโมง

     
     

                    พี่มาร์คละความสนใจจากไอ้มิ้นหันมาเจอผมอ้าปากเป็นลูกนกรออยู่ แล้วรอยยิ้มใสสไตล์มาร์คต้วนที่พี่แกชอบยิ้มให้ผมก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ตะเกียบเรียวถูกจับขึ้นมาอีกครั้งเพื่อคีบลูกชิ้นและยื่นไปป้อนผม

                   

                    ผมยื่นหน้าเข้าไปงับลูกชิ้นจากตะเกียบแล้วกลับมานั่งเคี้ยวตุ่ยๆ จนแก้มป่อง พี่มาร์คยิ้มให้ผมแบบเอ็นดู ส่วนผมก็ยิ้มกลับจนตาหยีทั้งๆที่ปากก็ยังเคี้ยวลุกชิ้นอยู่

     
     

                    "อร่อยมั้ย" พี่มาร์คถามผมด้วยเสียงนุ่มๆ

     
     

                    "มากกกกกกกกกก" ผมตอบพี่มาร์คเสร็จก็หันกลับไปคุยกับไอ้มิ้นต่อ แต่ก็ต้องชะงักเพราะทันทีที่ผมหันกลับไปหาพวกมัน ทั้งไอ้ยูคและไอ้มิ้นต่างก็กำลังส่งสายตามีพิรุธจับจ้องมาที่ผม

     
     

                    "มึงทำอะไรวะแบม" ไอ้มิ้นหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วถามผมขึ้นมาด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม

     
     

                    "หืม ทำอะไรวะ"

     
     

                    "ก็เมื่อกี้ มึงกับพี่มาร์คทำอะไร" ไอ้มิ้นยื่นมาหน้าเข้ามาใกล้ผมจนผมต้องเอนตัวหลบ

     
     

                    "กินลูกชิ้นไง มึงไม่เห็นหรอ หรือเกิดมาไม่เคยเห็นลูกชิ้น" ผมตอบไอ้มิ้นที่ทำตัวแปลกๆ อะไรวะ แค่กินลูกชิ้นนี่มึงงงอะไรครับ ไอ้ยูคก็อีกคน มองผมตาไม่กะพริบเลย เป็นอะไรกัน ผมหันไปมองบรรยากาศรอบข้างที่เริ่มรู้สึกแปลกๆว่าทำไมมันเงียบๆ ก็พบสายตาของนักเรียนหญิงหลายคนจับจ้องมาที่ผม แล้วหันไปกระซิบอะไรกันก็ไม่รู้ อะไรวะ - -*

     
     

                    "อ๋อ อย่างงี้นี้เอง" ไอ้มิ้นยักไหล่แล้วถอยหลังกลับไปนั่งที่ตามเดิม ส่วนไอ้ยูคก็ก้มหน้าลงไปกินข้าวต่อ บรรยากาศเมื่อครู่ที่ผมได้ฟิลแบบทุกอย่างถูกหยุดไว้ ถูกกดปุ่มกลับมาเล่นอีกครั้ง

     
     

                    "ว่าแต่มึงเหอะ วิ่งมานี่ทำยังกะมีอะไรจะบอกพวกกู" ไอ้ยูคที่จัดการข้าวในชามหมดแล้วเงยหน้าถามไอ้มิ้น แล้วยกน้ำขึ้นดื่มไปด้วย เดี๋ยวนะ นี่มึงกินหรือมึงปล้น หมดเร็วมากกกก!

     
     

                    "ก็มีดิถึงได้วิ่งมา ถ้าไม่มีกูจะวิ่งมาทำไมให้เสียพลังงานวะ ยูคมึงอย่าโชว์โง่ดิ้ มึงดูเนี่ย หน้าม้ากูแตกหมดละวิ่งมาหาพวกมึงอ่ะ!" ไอ้มิ้นเข้าสู่หมวดมนุษย์ป้าขี้บ่นเหมือนที่ไอ้ยูคมันเคยตั้งฉายาให้

     
     

                    "เรื่องของมึง หน้าม้ามึงเกี่ยวอะไรกับพวกกู"

     
     

                    "โอ้โห พูดแบบนี้ต่อยกับกูมั้ยไอ้ยูค!"

     
     

                    สนามมวยลุมพินียังว่างครับ เชิญ เดี๋ยวพี่แบมเป็นกรรมการให้ -________-

     
     

                    ไอ้มิ้นลุกขึ้นตบโต๊ะดังป๊าบจนคนแถวนั้นหันมามองอย่างงงๆ เดือนร้อนผมต้องรีบดึงเจ้แกให้นั่งลงตามเดิม ผมยังยืนยันครับว่ามันเป็นผู้หญิงจริงๆ T____T

     
     

                    "พอเลยพวกมึงอ่ะ เจอหน้ากันกัดกันตลอด ไหนไอ้มิ้น มึงมีอะไรจะบอกพวกกู" ผมเหลือบไปมองพี่มาร์คที่นั่งกินข้าวต่อแปบนึง เดี๋ยวพี่แกจะหลุดฉากครับ ต้องพูดถึงนิดนึง

     
     

                    "อ่ะนี่ ดูซะ" ไอ้มิ้นยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ผม เอาอีกละ นี่ปล่อยมาสามตอนผมรู้สึกว่าได้เปิดอะไรแบบนี้มาสามครั้งแล้วนะ แต่ละครั้งนี่ก็ดีๆทั้งน้านนน

     
     

                    "มึงจำได้ป้ะที่พวกมึงขอให้กูไปช่วยหาคนเล่นเบสอ่ะ" ไอ้มิ้นที่เริ่มปรับเข้าสู่โหมดจริงจังหันหน้ามองผมสลับกับไอ้ยูค

     
     

                    "เออจำได้ ทำไม" ไอ้ยูคถามขึ้นมาก่อนที่ผมจะทันได้พูดออกไป ผมจึงหันไปรอฟังคำตอบจากไอ้มิ้น เกี่ยวกับเรื่องที่ผมขอร้องให้มันช่วยมาก่อนหน้านี้ คือยังงี้ครับ ทุกคนคงจะรู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่าผมคือนักร้องนำของวงดนตรีโรงเรียน 

     
     

                    คือวงของเราเนี่ยเป็นส่วนหนึ่งของชมรมนิเทศศาสตร์ แล้วก็มีผมกับไอ้ยูคเป็นสมาชิก ผมเนี่ยเป็นนักร้องนำ ส่วนไอ้ยูคเป็นมือกลอง เราสองคนอยู่ในวงมาตั้งแต่ ม.3 แล้วล่ะครับ แล้วในวงก็ยังมีรุ่นพี่ที่เป็นมือกีต้าร์ เปียโน แล้วก็มือเบสด้วย แต่พอรุ่นพี่ที่เป็นมือเบสจบไปเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ตอนนี้วงของเรายังหาสมาชิกมาแทนตำแหน่งนั้นไม่ได้สักที

     
     

                    ดังนั้นผมกับไอ้ยูคก็เลยขอร้องไอ้มิ้นที่ทำหน้าที่เป็นประชาสัมพันธ์ของชมรมช่วยหาคนมาแทนตำแหน่งนี้ให้ ไอ้มิ้นมันก็ช่วยพวกเราอย่างเต็มที่เลยนะครับ จนวันนี้แหละบางทีมันอาจจะคาบข่าวดีมาบอกพวกผมสักที

     
     

                    "คือยังงี้เว้ย ตอนนี้กูหาคนมาแทนตำแหน่งพี่ต้าร์ได้แล้วนะ" ทันทีที่ไอ้มิ้นพูดจบ ผมกับไอ้ยูคก็หันหน้ามองกันโดยอัตโนมัติ ก่อนจะฉีกยิ้มสุดใจแล้วลุกขึ้นกระโดดกอดคอกันทันใด

     
     

                    "เหยดดดดดด เราจะได้ฟอร์มวงอีกรอบแล้วโว้ยยย ฮิ้วววววว !~~~"  นี่เสียงไอ้ยูคครับไม่ใช่เสียงกันต์พิมุกต์ ผมตอนนี้นี่แทบกรี๊ดอ่ะ โอ้โหรู้มั้ยครับ กว่าเราจะหาคนมาแทนได้ ผมแอบนึกว่าเราจะไม่ได้ทำวงต่อแล้วซะอีก

     
     

                    "เกิดอะไรขึ้น" พี่มาร์คที่นั่งฟังพวกเราอยู่กระตุกเสื้อผมเบาๆแล้วถาม อ้าว! เกือบลืมไปเลยว่าพี่ยังอยู่ตรงนี้ 55555555

     
     

                    "เดี๋ยวแบมเล่าให้ฟังที่บ้านนะ" ผมหันไปตอบพี่มาร์คแล้วหันกลับมาคุยกับไอ้มิ้นต่อ

     
     

                    "แล้วคนที่มึงหามาแทนนี่เป็นใครวะ"

     
     

                    "อ๋อ เป็นเด็กใหม่เพิ่งย้ายเข้ามาอ่ะ อยู่ ม. 5/3 ชื่อ เตนล์"

     

     


     

                    บรรยากาศในห้องเรียนยามบ่ายปกคลุมไปด้วยความเงียบจนสามารถได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศ บุคคลใหม่ของโรงเรียนทั้ง 4 คนซึ่งนั่งอยู่หลังห้องกำลังทำอะไรสักอย่างฆ่าเวลา เนื่องจากตอนนี้ในห้องเรียนที่พวกเขามานั่งเรียนร่วมกับเด็กไทยกำลังเรียนวิชา ภาษาไทย ซึ่งแน่นอนว่านอกจากพวกเขาจะไม่รู้เรื่องแล้ว บรรดาเด็กไทยที่เป็นเจ้าของภาษาเองก็ยังแอบไม่รู้เรื่องเช่นกัน

     
     

                    เจ้าของผมสีแดงเพลิงใบหน้าหล่อกำลังก้มอ่านอะไรสักอย่างในหนังสือเรียน ที่ถึงแม้เจ้าตัวจะอ่านไม่ออกแต่การได้ดูภาพประกอบก็ทำให้เขาเพลินไม่น้อย หนังสือเรียน วรรณคดีวิจักษ์ ...

     
     

                    ถัดมาข้างๆซึ่งมีหนุ่มน้อยจากฮ่องกงผู้แจ้งเกิดได้เพียงข้ามวันจากเพลง 'ซาหวานช้านเจ็ด' ก็กำลังฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ อาจจะเพราะวิชาที่เรียนเค้าไม่รู้เรื่อง หรืออาจจะเป็นเพราะอาหารที่ทานเข้าไปเมื่อเที่ยงเริ่มออกฤทธิ์แล้วก็ได้ ...

     
     

                    ถัดมาอีกโต๊ะก็จะพบกับ หนุ่มตี๋น่ารักใส่แว่นกำลังเขียนอะไรสักอย่างลงในสมุดเล็กๆที่เค้าชอบพกติดตัวด้วยเสมอ โดยมีหนุ่มหัวทองข้างๆแอบชำเลืองมองอยู่ตลอดเวลา พลันรอยยิ้มบางๆก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ยามเห็นคนตัวเล็กกำลังวาดรูปของพวกเขาทั้ง 4 คน เจบีหยิบกระดาษเอสี่ขึ้นมาจากแฟ้มแผ่นหนึ่ง เขียนอะไรบางอย่างลงไป แล้วเลื่อนไปไว้ตรงหน้าคนตัวเล็ก

     
     

                    'สวัสดี'

     
     

                    จูเนียร์แปลกใจเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆก็มีกระดาษเอสี่ยื่นเข้ามาตรงหน้าเขาซึ่งกำลังวาดรูปอยู่เพลินๆ ในกระดาษว่างเปล่าแผ่นนั้นมีตัวอักษรภาษาเกาหลีอยู่ตรงด้านบนสุด หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นมาแล้วหันไปหาเจ้าของกระดาษที่ส่งมา เจบีกำลังมองกระดานแกล้งทำเป็นฟังคุณครูสอนอยู่

     
     

                       'สวัสดีครับ พี่เจบี ????'

     
     

                    ตัวอักษรภาษาเกาหลีถูกถ่ายทอดกลับไปยังมนุษย์หัวทองข้างๆโดยลายมือคนตัวเล็ก จูเนียร์เลื่อนกระดาษกลับไปตรงหน้าคนข้างๆ แล้วหันมาวาดรูปต่อ

     
     

                        'ทำไมต้องมี ???? เยอะแยะล่ะ'

     
     

                    'ก็ผมงงอ่ะว่าพี่ทำอะไร อยู่ใกล้กันแค่นี้ทำไมไม่คุยกันล่ะครับ'

     
     

                    'ไม่เอาหรอก นายไม่เห็นเหรอว่าเพื่อนๆเค้ากำลังเรียนกันอยู่ ห้องเงียบขนาดนี้ใครจะกล้าคุยกัน'

     
     

                    'เออนั่นสิเนอะ'

                   

                    แผ่นกระดาษที่ถูกส่งไปมาระหว่างคนทั้งคู่เริ่มเต็มไปด้วยภาษาเกาหลี เจบีนั่งมองข้อความที่จูเนียร์ตอบกลับมาแล้วอยู่ๆก็นิ่งไป คนตัวเล็กที่หันไปมองกระดานจึงแอบชำเหลืองกลับมามองคนข้างๆนิดนึงเมื่อรู้สึกว่าแผ่นกระดาษส่งกลับมาช้าเกินไป

     
     

                        'โฮสต์ของนายเป็นยังไงบ้าง' แล้วเจบีก็ส่งกระดาษกลับมาด้วยหัวข้อสนทนาใหม่

     
     

                    'ก็ดีครับ ละอองดาวสวยมาก'

     
     

                    'นี่! ชั้นถามเกี่ยวกับนิสัย ไม่ใช่ถามว่าสวยหรือไม่สวย'

     
     

                    'คึคึคึ ละอองดาวใจดีมากเลยครับ ดูแลผมดีมากๆเลย แล้วโฮสต์ของพี่ล่ะ'

     
     

                    'มิ้นก็น่ารักมาก แต่นิสัยก็แมนสุดๆเลย แล้วยัยนั่นก็ไม่ค่อยพูดภาษาเกาหลีกับชั้นด้วย มิ้นบอกว่าถึงแม้ว่าจะได้โฮสต์เป็นคนเกาหลีเหมือนกัน แต่ก็ควรพูดภาษาไทย จะได้เก่งเร็วๆ'

     
     

                    แผ่นกระดาษยังคงถูกส่งไปส่งมาแลกเปลี่ยนข้อความกัน โดยที่ทั้งสองอาจไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนซึ่งเพิ่งฟื้น (?) จากการหลับใหลนั่งเท้าคางมองทั้งคู่อยู่ แจ็คสันหวังนั่งมองเพื่อนสองคนข้างๆส่งกระดาษไปมานานแล้ว พลันอยู่ๆความคิดเรื่องสนุกๆก็ผุดขึ้นมาในหัวของหนุ่มฮ่องกง แจ็คสันเอื้อมมือไปแย่งกระดาษที่เจบีกำลังส่งให้จูเนียร์มาอ่านอย่างรวดเร็ว

     
     

                    "เห้ย! แจ็คสัน ทำอะไรเนี่ย" เมื่อกระดาษจดหมายรักถูกแย่งไปจากมือที่สาม เจบีจึงอุทานภาษาอังกฤษใส่เพื่อนร่วมโครงการทันที

     
     

                    แจ็คสันไม่ได้มีท่าทีสนใจว่าจะตอบคำถามของเจบีเลยสักนิด เจ้าตัวก้มหน้าลงอ่านข้อความในกระดาษแล้วอยู่ๆก็หัวเราะขึ้นมา ส่งผลให้เหล่าบรรดานักเรียนไทยที่เกือบหลับแล้วหันมามอง แจ็คสันหุบปากอย่างไวแล้วหันไปหยิบปากกาขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษ

     
     

                    'โฮสต์ของผมขี้เซามาก พี่ยองแจขี้เซาที่สุดอ่ะ' แจ็คสันส่งกระดาษที่ตัวเองเขียนไปให้เจบี

     
     

                    เจบีก้มลงอ่านในกระดาษและกำลังจะหยิบปากกาขึ้นมาเขียนตอบ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสมองประมวลผลบางอย่าง

     
     

                    เดี๋ยวนะ แจ็คสันมันอ่านเกาหลีออกได้ไงวะ .....

     
     

                    "แจ็คสัน นี่นายอ่านเกาหลีออกด้วยเหรอ" เจบีและจูเนียร์หันไปหาแจ็คสันแทบจะพร้อมกันทันทีที่ได้รู้ข้อมูลใหม่ แจ็คสันยักคิ้วและตอบแค่เพียงว่า ...

     
     

                    "เน ~~"

     
     

                    "โอ้โห นี่พี่แจ็คสันอ่านเข้าใจภาษาเกาหลีจริงๆด้วย" จูเนียร์ดูจะดีใจออกนอกหน้ามากเมื่อรู้ว่าเพื่อนร่วมโครงการพูดภาษาเกาหลีได้ ส่วนเจบีก็แค่อมยิ้มน้อยๆตามสไตล์เท่านั้น

     
     

                    ด้านไต้หวันบอยที่นั่งดูรูปในหนังสืออยู่ เมื่อรู้สึกว่าเพื่อนข้างๆสามคนกำลังคุยอะไรกันอยู่อย่างเมามัน เจ้าตัวก็ค่อยๆหันไปมองและสายตาก็ไปปะทะเข้ากับแผ่นกระดาษที่มีภาษาเกาหลีเต็มไปหมด มาร์คใช้จังหวะที่ทั้งสามคุยกันหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู คิ้วเข้าขมวดเข้าหากันช้าๆ

     
     

                    "งั้นต่อไปเราก็คุยกันง่ายแล้วเนอะ ก็พี่แจ็คสันพูดภาษาเกาหลีได้อ่ะ" จูเนียร์หันไปเกาะแขนเจบีไว้แล้วยิ้มอย่างร่าเริง เจบีเพียงแค่พยักหน้าตอบแต่สายตาจับจ้องไปยังคนตัวเล็ก

     
     

                    ...ทำไมเป็นคนมุ้งมิ้งขนาดนี้วะจูเนียร์

     
     

                    "แต่ยังไงเราก็ต้องพูดภาษาอังกฤษอยู่ดีนั่นแหละ ก็มาร์คมันพูดเกาหลีไม่ได้นี่" แจ็คสันตอบจูเนียร์ที่ทำหน้าแบบเพิ่งคิดได้ว่ายังมีไต้หวันบอยแอลเอสไตล์อยู่ในกลุ่มด้วย แล้วทันใดนั้นเอง อยู่ๆกระดาษเอสี่สีขาวที่หายไปจากโต๊ะตอนไหนไม่รู้ก็ถูกวางแปะลงตรงโต๊ะต่อหน้าทั้งสามคน แจ็คสัน เจบี และจูเนียร์ก้มลงไปอ่านข้อความตัวเท่าควายที่ถูกเขียนขึ้นพร้อมกัน มันคือภาษาเกาหลีที่ถูกเขียนด้วยลายมือของมนุษย์มาร์คต้วน

     
     

                    'โฮสต์ของผมน่ารักมากครับ ^w^'

     
     

                     ออมอนา! นี่มาร์คต้วนจากแอลเอส่งเข้าประกวดก็ฟังพูดอ่านเขียนเกาหลีได้ด้วยเหรอเนี่ย!! -[]-

     

     


     

                   

                 [แบมกลับบ้านเองนะลูก เย็นนี้ม๊าไม่ว่างไปรับจริงๆ]

                    "อ้าว ทำไมอ่ะม๊า"

                    [พอดีม๊าติดธุระน่ะครับ พี่เบียร์พี่แบงค์ก็ไม่ว่าง ยังไงแบมดูแลตัวเองก่อนนะลูก]

                    "แล้วเบบี้ล่ะครับ"

                    [น้องไปเรียนพิเศษแล้ว ยัยบี้บอกว่าเดี๋ยวกลับบ้านเอง คืนนี้ม๊าคงกลับดึกมาก ยังไงฝากแบมดูน้องด้วยนะลูก เบบี้มันเลิกเรียนตอนประมาณ 3 ทุ่ม ยังไงรอเปิดประตูบ้านให้น้องด้วยนะครับ]

                    "อ๋อ งั้นก็ได้ครับม๊า ดูแลตัวเองด้วยนะ สวัสดีครับ"

     
     

                    ผมกดปิดปุ่มสนทนาแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม ก่อนจะหันมาหาพี่มาร์คที่ยืนอยู่ข้างๆ

     
     

                    "พี่มาร์คแบมมีข่าวดีจะบอก วันนี้เราคงต้องเดินกลับบ้านแล้วหล่ะ" พี่มาร์คมองหน้าผมแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงแค่ยิ้มน้อยๆแล้วพยักหน้าให้

     
     

                    "ก็เอาสิ เดินก็ได้ พี่สบายมาก" ผมมองหน้าพี่มาร์คอีกทีเพื่อเช็คว่าคุณชายพูดจริงหรือว่าพูดเล่น แต่ก็พบว่าสายตาของพี่มาร์คดูสบายจริงๆตามที่เจ้าตัวพูด ผมจึงตัดสินใจว่าจะพาพี่มาร์คเดินกลับบ้าน เพราะระยะทางของโรงเรียนกับบ้านของผมก็ห่างกันไม่มากเท่าไหร่ เดินไปไม่เกินครึ่งชั่วโมงเดี๋ยวก็ถึงแล้ว ผมสบายมาก!

     
     

                    แต่ถ้ามีรถมารับก็ดีกว่าอยู่นั่นแหละ T^T

     
     

                    เวลาที่ม๊าติดธุระผมก็มักจะเดินกลับบ้านอยู่ประจำนั่นแหละครับ แต่ว่าคราวนี้เป็นครั้งแรกที่มีคนเดินกลับบ้านด้วย ผมก็เลยแอบหวั่นว่าพี่มาร์คจะไม่สะดวก แต่เท่าที่ดูเมื่อกี้คงจะไม่มีปัญหาแล้วล่ะมั้งนะ

     
     

                    ท้องฟ้าตอนเลิกเรียนยามนี้กำลังเริ่มมืดครึ้มดูเหมือนฝนกำลังจะตกในไม่ช้า ผมว่าเราควรรีบเดินกลับบ้านได้แล้วล่ะนะ ไม่งั้นมีหวังได้เปียกไปกันหมดนี่แน่ ผมไม่ได้เตรียมร่มมาด้วยสิประเด็น แล้วอีกอย่างเสื้อนักเรียนสีขาวและบางขนาดนี้ เวลาเปียกฝนจนชุ่มคงจะไม่งามเท่าไหร่นัก นี่แกเป็นผู้ชายนะแบม อายทำเพื่อ! ผมก็สงสัยตัวเองเหมือนกันแหละ

     
     

                    "พี่มาร์ครีบเดินดีกว่า เดี๋ยวฝนตกก่อน" แล้วผมกับพี่มาร์คก็รีบเดินไปตามทางกลับบ้านทันที

     
     

                    ผ่านไปประมาณเกือบ 20 นาที ตอนนี้ผมกับพี่มาร์คเดินมาถึงปากซอยทางเข้าบ้านแล้วล่ะครับ ตลอดทางที่ผ่านมาพี่มาร์คชี้ไปยังสิ่งที่ผ่านไปพบตลอด คำถามมากมายออกมาจากปากของคนข้างๆ จนผมขี้เกียจจะตอบอ่ะ นี่กันต์พิมุกต์เป็นโฮสต์หรือเป็นพ่อวะ รู้สึกเหมือนตัวเองมีลูก

     
     

                    "พี่มาร์คเดี๋ยวเราแวะซื้อของกินก่อน วันนี้ม๊าไม่อยู่บ้าน" ผมเดินมาหยุดลงตรงเซเว่นหน้าปากซอยเพื่อซื้อของไปตุนไว้ วันนี้ม๊าไม่อยู่แล้วผมก็ขี้เกียจทำอาหารด้วย งั้นซื้อของที่นี่แหละ หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา ~เซเว่นอีเลเว่นน ~

     
     

                    สิ้นค้ามากมายที่วางอยู่ในร้านสะดวกซื้อยอดนิยมของไทยปรากฏอยู่หน้าสายตาของผมและพี่มาร์ค เราสองคนช่วยกันหยิบของที่ล้วนแต่เป็นขนมและอาหารสำเร็จรูปมาใส่ตะกร้าทั้งนั้น ตะกร้าสีแดงถูกมาร์คต้วนแย่งไปถือตั้งแต่เราเดินเข้าร้านมาแล้วล่ะครับ ทำไมผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแม่บ้านมาจ่ายตลาดกับสามีเลยเนี่ย

     
     

                    เพ้อเจออะไรของมึงครับกันต์พิมุกต์ -__________-

     
     

                    "พี่มาร์คมาเลือกเนยหน่อย แบมเลือกไม่ถูก" พี่มาร์คที่กำลังเลือกนมอยู่หันมาตามเสียงเรียกของผม คุณชายเลยหยิบนมขวดใหญ่ที่เลือกอยู่ใส่ตะกร้าแล้วเดินมาหาผมทันที เห็นดังนั้นผมเลยปล่อยให้พี่แกเลือกเนยต่อไป เพราะถ้าเป็นผมเลือกคงไม่ดีเท่ากับคนที่โตมากับของอย่างนั้นหรอกจริงมั้ยครับ

     
     

                    ระหว่างที่พี่มาร์คยืนเลือกเนยอยู่ ผมก็มองไปนอกร้าน และเห็นว่าเม็ดฝนกำลังร่วงลงมา จากเม็ดเล็กๆเริ่มใหญ่ขึ้นๆเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้กลายเป็นว่าด้านนอกฝนตกหนักไปซะแล้ว เห้อ แล้วผมจะกลับบ้านยังไงล่ะเนี่ย

     
     

                    ทำไมพี่เรนทำร้ายน้องอย่างนี้ล่ะครับ น้องอยากกลับบ้านนะ   T^T

     
     

                    เมื่อเราสองคนเลือกของเสร็จแล้วผมก็เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ และตอนนี้เราสองคนก็ออกมายืนแกล่วอยู่หน้าเซเว่นรอฝนหยุดตก พี่มาร์คดูอารมณ์ยังปกติและเหมือนว่าจะไม่เดือดร้อนอะไรเท่าไหร่ ดูพี่แกสิ นั่นลงไปนั่งเล่นกับหมาหน้าเซเว่นละ

     
     

                    "บ็อกๆ" ในขณะที่ผมกำลังยืนกดโทรศัพท์เล่นฆ่าเวลา อยู่ๆเสียงสุนัขจากไหนไม่รู้ก็ลอยเข้ามาให้ผมได้ยิน ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงของหมาที่พี่มาร์คกำลังเล่นด้วย แต่สักพักเสียงนั่นก็ดังขึ้นมาอีก ผมจึงหันไปมองที่พี่มาร์คและเห็นว่าพี่มาร์คกำลังป้อนลูกชิ้นที่ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่แกไปซื้อมาตอนไหนให้หมาตัวนั้นกิน เอ๊ะ! ถ้าไม่ใช่หมาตัวนี้แล้วเสียงที่ผมได้ยินล่ะมาจากไหน

     
     

                    "บ็อกๆๆ งี๊ดดด บ็อกๆ" เมื่อเสียงที่ผมได้ยินดังขึ้นมาอีกรอบ ผมก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าเป็นเสียงของลูกหมาที่กำลังเป็นอะไรสักอย่าง ผมจึงเดินตามเสียงนั่นไปและมันก็เริ่มดังขึ้นๆ จนกระทั่งไปดังขึ้นสุดๆตรงข้างๆแผงเก่าๆซึ่งมีกล่องกระดาษใบหนึ่งวางอยู่

     
     

                    แต่ประเด็นคือกล่องนั่นวางอยู่ตรงจุดที่ไม่มีอะไรคลุมด้านบน ทำให้มันเปียกไปหมด

     
     

                    ผมตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนไปยังกล่องนั้นและอุ้มมันเข้ามาไว้ในที่ร่ม พี่มาร์คที่หยุดเล่นกับหมาหน้าเซเว่นเมื่อเห็นผมวิ่งฝ่าสายฝนออกไปรีบเดินเข้ามาหาผมทันที กล่องกระดาษเปียกถูกวางลงตรงหน้า ผมยกมือเช็ดน้ำที่เปียกเต็มใบหน้าก่อนจะจัดการเปิดกล่องออกดู และพบว่ามีลูกสุนัขสีขาวสี่ตัวนอนอยู่ในนั้น แต่ละตัวขนลู่ไปกับลำตัวเพราะเปียกฝน

     
     

                    "พี่มาร์คลูกหมา"

     
     

                    "เห็นแล้ว" เออว่ะผมจะพูดทำไมวะ

     
     

                    "ทำไงดี มันดูหนาวมากเลยอ่ะ" ผมนั่งลงยองๆข้างๆกล่องและลองจับตัวลูกหมาที่มันนอนอยู่ แต่ทันทีที่ผมจับไปยังตัวของพวกมัน ผมก็สัมผัสได้ทันทีว่า ...

     
     

                    ตัวของมันแข็งไปแล้ว

                    นี่มันตายแล้วเหรอ ...

     
     

                    ผมลองจับลูกหมาทุกตัวดูก็พบว่ามีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ยังหายใจอยู่ และคงเป็นตัวที่ร้องเมื่อกี้นั่นแหละ ส่วนลูกหมาอีกสามตัวที่อยู่ในกล่องนั้นตายหมดแล้ว

     
     

                    ผมน่าจะมาเจอมันเร็วกว่านี้

                    บางทีผมอาจจะช่วยมันไว้ทันก็ได้

                    อ่า เศร้าเลยอ่ะ T^T

     
     

                    "พี่มาร์ค มันตายแล้ว" ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนตรงข้ามที่ทำหน้าแบบสงบนิ่งสุดๆ พี่มาร์คมองผมด้วยสายตาแบบ 'พี่รู้ตั้งแต่แรกแล้ว' แล้วก็ได้แต่เอื้อมมือมาขยี้หัวผมเป็นการปลอบใจ

     
     

                    ฮืออออออออ กันต์พิมุกต์เป็นคนเซ้นซิทีฟนะรู้ยัง


                    "แล้วเราจะทำยังไงดีอ่ะพี่มาร์ค" ผมมองหน้าพี่มาร์คอย่างต้องการขอความเห็น

     
     

                    "เราต้องช่วยตัวที่เหลือไว้ เอากลับบ้านกัน" แล้วมาร์คต้วนคนรักสัตว์ก็อุ้มลูกหมาตัวนั้นขึ้นไว้แนบกับอก ลูกหมาขนปุยสีขาวที่ตอนนี้ขนเปียกไปด้วยน้ำฝนกำลังสั่นหงึกๆอยู่ในอ้อมกอดของพี่มาร์ค

     
     

                    เห้อ เอาไงก็เอากัน .... หมาน้อย ไปอยู่กับพ่อนะลูก

     
     




     

                    ประตูบานเลื่อนถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ผมกับพี่มาร์คจะรีบเข้ามาในบ้านด้วยความเร็วแสง หลังจากฝนหยุดตกก็เกือบสองทุ่ม ผมกับพี่มาร์คนี่รีบพุ่งกลับบ้านทันทีเลยครับ ส่วนศพหมาน้อยอีกสามตัวนั้นผมกับคุณชายก็จัดการฝังมันไปเรียบร้อยแล้วล่ะ หือออ คิดแล้วยังเศร้าอยู่เลย

     
     

                    "พี่มาร์ค เอามันมานอนในนี้เลยๆ" ผมรีบวิ่งไปหลังบ้านเพื่อหยิบหมอนใบเก่าของผมที่ม๊าเอาไปเก็บมาวางไว้ตรงพื้นของห้องรับแขก พี่มาร์คค่อยๆปล่อยหมาน้อยที่ขนเริ่มหมาดๆลงบนหมอนนุ่ม ทันทีที่อุ้งเท้าน้อยๆสัมผัสกับหมอน เจ้าตัวน้อยก็รีบซุกตัวอย่างเร็วเลยครับ สงสัยจะหนาวมากนะเนี่ย ขนาดผมที่เป็นคนยังหนาวแล้วนับประสาอะไรกับลูกหมาตัวน้อยขนาดนี้เล่า โถ่ววว

     
     

                    "แบมไปอาบน้ำก่อนมั้ย เดี๋ยวจะไม่สบายนะ ไอ้ตัวน้อยเดี๋ยวพี่จัดการเอง"

     
     

                    "ไม่เอาอ่ะ พี่มาร์คนั่นแหละไปอาบก่อน แล้วค่อยมาเปลี่ยนเวรกับแบม"

     
     

                    "เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวพี่รีบอาบละกัน" แล้วพี่มาร์คก็ค่อยๆลุกขึ้นพร้อมกับคว้ากระเป๋านักเรียนเดินขึ้นชั้นสองไป ผมมองตามแผ่นหลังซึ่งเสื้อนักเรียนสีขาวแนบไปกับผิว ส่งผลให้เห็นกล้ามเนื้อเด่นชัดของพี่แก แหม เห็นแล้วอยากถ่ายรูปเก็บไว้ไปอวดพวกเพื่อนผู้หญิงที่ชอบเต๊าะพี่มาร์คจริงๆเลย คงจะฟินไม่น้อย เอ๊ะหรือเอาไปขายดีนะ เห้อ ช่างมันเถอะ คิดอะไรของมึงครับกันต์พิมุกต์

     
     

                    "น้องหมา เดี๋ยวพี่แบมมานะ" ผมหันไปบอกเจ้าหมาน้อยที่ยังนอนซุกอยู่กับหมอน แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องเก็บของ หาผ้าขนหนูที่ไม่ใช้แล้วมาหนึ่งผืน ก่อนจะเดินไปเอาที่เป่าผมของม๊ามาด้วย

     
     

                    "มามะ เดี๋ยวพี่แบมเช็ดตัวให้นะครับ" ผมนั่งลงข้างๆหมอนแล้วค่อยๆอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมาไว้บนตัก ผ้าขนหนูผืนเก่าที่ไม่ใช้แล้วถูกโปะลงบนตัวของลูกหมา มันเงยหน้าขึ้นมามองผมแวบหนึ่งแล้วก็ซุกลงไปกับตักของผม

     
     

                    ผมนั่งเช็ดตัวให้ลูกหมาประมาณ 10 นาที คุณชายมาร์คต้วนก็เดินลงบันไดมาพร้อมกับชุดนอนและกลิ่นอาบน้ำกลิ่นเดิม พี่มาร์คตรงดิ่งมาที่ผมกับลูกหมาแล้วนั่งลงข้างๆ

     
     

                    "แบมไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวพี่เช็ดต่อเอง"

     
     

                    "โอเคครับ เดี๋ยวแบมจะรีบอาบเหมือนกัน" แล้วผมก็คว้ากระเป๋าเดินขึ้นห้องไป

     

     

     

     

         Mark's Talk

     
     

                    หลังจากที่น้องเดินขึ้นไปอาบน้ำแล้ว ผมก็จัดการเช็ดตัวลูกหมาที่เราสองคนเก็บมาเลี้ยงต่อ เจ้าหมาน้อยที่เหมือนจะเริ่มสบายตัวขึ้นหลังจากถูกเช็ดตัวนั่งมองผมตาแป๋ว แล้วมันก็เห่าออกมาเบาๆ

     
     

                    "บ็อกๆ"

     
     

                    "มีอะไรห้ะเจ้าตัวเล็ก" ผมก้มลงไปมองมันใกล้ๆ แต่เจ้าตัวเล็กกลับเข้ามาเลียจมูกผมซะงั้นอ่ะ

     
     

                    "แฮ่ๆ" ผมอุ้มมันขึ้นมาแล้ววางไว้บนตัก มันดิ้นเล็กน้อยแต่ก็ยอมสงบนิ่งเมื่อผมเริ่มเอาไดร์เป่าผมที่วางไว้ข้างๆมาเป่าให้มัน อุ่นละสิแก ดูดิแลบลิ้นทำหน้าฟินใส่ผมด้วย ผ่านไปไม่นานขนที่เปียกน้ำก็เริ่มฟูขึ้นเรื่อยๆ ผมเอามือข้างที่ว่างไปลูบขนของมันแทนหวี และเจ้าตัวน้อยยังเอาฟันเล็กๆมางับมือของผมอย่างเมามันด้วย เอาเถอะครับ ขอแต่สนุกพี่มาร์คก็โอเค

     
     

                    "พี่มาร์ค แบมมาแล้ว" หันไปทางต้นเสียงผมก็พบว่าน้องวิ่งลงมาจากบันไดอย่างรวดเร็ว

     
     

                    "นี่เป่าขนแห้งแล้วยังอ่ะ" แบมแบมวิ่งเข้ามานั่งตรงข้ามกับผมแล้วก้มลงไปเล่นกับเจ้าตัวน้อยอย่างเดียวเลย อะไรว้า สนใจพี่หน่อยสิแบมแบม

     
     

                    เมื่อเห็นว่าน้องไม่สนใจอะไรนอกจากเจ้าตัวเล็กที่เริ่มจะอ้อนแบมแบมแล้ว ผมจึงปิดไดร์เป่าผมแล้ววางไว้ข้างๆ ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปยังกองถุงที่ใส่ของที่ซื้อมาตอนเย็น แล้วค่อยๆคุ้ยหานมสดที่ผมเลือกมากับมือ จะเอาไปให้ลูกหมากินอ่ะครับ



                    "แบมแบมกินอะไรป่าว พี่จะจัดของให้" เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วพยักหน้าเบาๆ

     
     

                    "อะไรก็ได้พี่มาร์ค แบมกินได้หมด" ตอบเสร็จก็ก้มลงไปเล่นกับหมาน้อยต่อ

     
     

                    ผมเดินหิ้วถุงใส่ของเข้ามาไว้ในครัว ก่อนจะจัดการเก็บของบางอย่างใส่ตู้เย็น เหลือทิ้งไว้แค่เพียงนมสดและมาม่ากระป๋อง 2 กระป๋อง ผมเดินไปจัดการต้มน้ำร้อนแล้วยืนรอจนน้ำเดือด จึงค่อยๆรินใส่มาม่าสองถ้วยของผมกับน้อง

     
     

                    ครบสามนาที มาม่าทั้งสองกระป๋องก็เดือดพร้อมรับประทาน ผมจึงค่อยๆถือมันเข้าไปในห้องนั่งเล่นตามเดิม ส่วนนมสดที่ผมจัดการเทใส่ถ้วยเล็กๆก็ค่อยๆถือมาอย่างระมัดระวัง แบมแบมครับ วิ่งมาช่วยพี่หน่อย ของจะตกแล้ว อย่ามัวแต่เล่นกับหมาสิ ผมก็ได้แต่คิดน่ะครับ

     
     

                    "อ๊ะมาม่า" มาม่าคัพถูกยื่นไปให้น้อง แล้วผมจึงนั่งลงตรงข้ามกัน มีหมอนของน้องหมาคั้นกลางระหว่างเราอยู่ แบมแบมจัดการเปิดฝามาม่าแล้วกินอย่างหิวโหย เห็นดังนั้นผมก็เลยหยิบถ้วยใส่นมวางลงให้ลูกหมาได้กิน เจ้าตัวเล็กรีบวิ่งเข้ามาหาผมทันทีที่มันได้กลิ่นของนม ก่อนจะกินอย่างเอร็ดอร่อย

     
     

                    อ่า ... ทำไมรู้สึกเหมือนมีลูกสองคนเลย

     
     

                    เมื่อเห็นแล้วว่าเจ้าตัวเล็กกำลังกินนมอย่างมีความสุข ผมจึงหันหน้ากลับไปหาน้อง แล้วก็เพิ่งสังเกตุว่าหัวของเด็กน้อยตรงหน้ายังมีหยดน้ำเกาะอยู่ ซึ่งนั่นก็แสดงว่าแบมแบมยังไม่ได้เช็ดผมก่อนลงมาใช่มั้ยเนี่ย

     
     

                    "แบมแบม ทำไมไม่เช็ดผม" น้องเงยหน้าจากถ้วยมาม่าที่กำลังกินอยู่ขึ้นมา แล้วค่อยๆชะงักไว้กลางอากาศ ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะเอื้อมไปสัมผัสกับหัวของตัวเอง

     
     

                    "อ้าว นี่แบมลืมเช็ดผมหรอเนี่ย 55555 สงสัยจะตื่นเต้นอยากมาเล่นกับลูกหมามั้งพี่มาร์ค" พูดจบแทนที่น้องจะลุกขึ้นไปหยิบผ้ามาเช็ดผมให้แห้ง แต่เจ้าเด็กแสบก็ยังนั่งกินมาม่าต่อโดยไม่ได้เดือดร้อนกับหัวของตัวเองเลยสักนิดเดียว อ่า น่าตีจริงๆ

     
     

                    "ไปเช็ดผมก่อน เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"

     
     

                    "ไม่เอา ขี้เกียจ"

     
     

                    "เดี๋ยวไม่สบาย"

     
     

                    "งั้นพี่มาร์คก็เช็ดให้แบมสิ" แบมแบมวางถ้วยมาม่าคัพที่กินหมดแล้วลงบนพื้นข้างๆแล้วเงยหน้ามามองผมด้วยสายตาที่น้องจะใช้ตลอดเวลาต้องการให้ผมทำอะไรให้

     
     

                    ขี้อ้อนจริงๆเด็กคนนี้

     

     

                    แต่ก็น่ารักดีเนอะ ...

     
     

                    "งั้นก็มานั่งตรงนี้สิ" แบมแบมเขยิบตัวเองเข้ามานั่งใกล้ๆผม ผมจึงหันไปหยิบผ้าขนหนูอีกผืนที่ผมหยิบมาจากข้างบนด้วย ก่อนจะค่อยๆบรรจงเช็ดผมของน้องเบาๆ อยู่ๆแบมแบมก็ก้มลงไปเล่นกับน้องหมาที่เดินเข้ามาจะนั่งตักของผม ทำให้ดูเหมือนว่าน้องกำลังจะเอาหน้าซุกลงไปที่ตักของผมเลย

     
     

                    "พี่มาร์ค พรุ่งนี้วันเสาร์ไปเที่ยวกันป้ะ แบมจะได้ไปซื้อของใช้ให้น้องหมาด้วย" แบมแบมเอ่ยปากถามผมแต่ก็ยังเล่นกับหมาอยู่ท่าเดิม

     
     

                    "เอาดิ พี่ก็อยากไปเที่ยวเหมือนกัน"

     
     

                    "ไปสักกี่โมงดีอ่ะพี่มาร์ค"

     
     

                    "แล้วแต่แบมเลย" ผมตอบกลับไปแต่มือก็ยังเช็ดผมให้น้องซึ่งยังคงก้มหน้าลงไปเล่นกับลูกหมาอยู่ท่าเดิม

     
     

                    "แบมว่าไปสัก 10 โมงดีมั้ย หมายถึงออกจากบ้านนะสิบโมง"

     
     

                    "งั้นก็โอเคตามนั้น ว่าแต่แบมเหอะจะตื่นรึเปล่า" บทสนทนาของผมกับน้องอยู่ๆก็จบลงแบบไม่ทันตั้งตัว แบมแบมเงียบไปสักพักแล้วผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างซบลงบนตัก หันมาดูน้องอีกทีก็เห็นว่าเจ้าเด็กดื้อหลับหน้าแนบไปกับตักของผมแล้ว นี่ทำไมถึงได้หลับง่ายขนาดนี้หล่ะแบมแบม

     
     

                    "แบมแบม หลับแล้วหรอ" ไร้เสียงตอบรับใดๆดังออกมาจากคนที่นอนซบตักของผมอยู่ มีเพียงเสียงลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอเท่านั้นที่บ่งบอกว่าคนๆนี้เข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว

     
     

                    หันไปดูหมาน้อยที่นอนอยู่บนหมอนข้างๆก็เห็นว่าเจ้าตัวเล็กซุกหมอนหลับไปแล้วอีกราย เหลือเพียงผมที่ยังคงนั่งเช็ดผมให้น้องอยู่คนเดียว

     
     

                    ผ่านไปอีก 5 นาทีผมจึงวางผ้าขนหนูไว้ข้างๆ เพราะเห็นว่าผมของน้องเริ่มแห้งแล้ว ผมเอนหลังพิงกับโซฟาช้าๆ สายตาจับจ้องไปที่คนตัวเล็กที่นอนหนุนตักอยู่ ริมฝีปากน้อยๆเผยอขึ้นยิ่งทำให้แบมแบมเหมือนเด็กน้อยเข้าไปใหญ่ เส้นผมสีดำตกลงมาลู่กับใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้ม ผมจ้องน้องอย่างนั้นไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีก็จำได้ว่าตาของผมเริ่มปิดลงเรื่อยๆ และรู้สึกว่ากำลังจะหลับตามน้องไป คืนนี้คงได้นอนตรงนี้กับน้องแล้วล่ะมั้ง อ่า ถ้ายังงั้นก็ ....

     

                    "ฝันดีนะ .. แบมแบม"

     

     ---------------------







    Pin's Talk 

    เค้ากลับมาแล้ววววว *หลบรองเท้ารีด*
    เค้ารู้เค้าผิดเค้าเสียจายยยย ~~~~
    ขอโทษนะคะที่หายไป พอดีว่าเมื่อวานไรท์ท้องเสียอ่ะ
    แทบจะกอดคอชักโครกเป็นเพื่อนร่วมตายกันเลยทีเดียว T^T
    แต่ตอนนี้หายแล้วค่ะ ก็เลยมาอัพให้ ดึกไปหน่อย ขอโทษนะคะ
    ถ้ามีคำผิดยังไงเดี๋ยวมาไรท์ให้ใหม่เน้อ เม้นทิ้งไว้เลยค่ะ

    คือแบบมีเรื่องอยากเม้าท์ด้วย วันนี้ไรท์ไม่ได้ไปโรงเรียน
    ก็เลยมานั่งปั่นฟิคตอนกลางวัน คือพล็อตในหัวจะเพิ่มน้องหมาเข้าไป
    แล้วคาแรกเตอร์หมาก็แบบ ตัวเล็ก ขาว ขนฟู 

    พอตกเย็นเท่านั้นแหละค่ะ เช็คความเคลื่อนไหวของน้อง
    เห้ย! แบบมีโมเม้นมาร์คแบมกับน้องหมา
    แล้วที่สำคัญน้องหมาโบโบก็ตรงตามคาแรกเตอร์น้องหมาที่ไรท์วางไว้ เป๊ะ!

    อื้อหือออ งานนี้ฟินต่อเนื่องค่ะ รู้สึกชนะคนทั้งโลก 5555
    เอาเป็นว่าใครนึกภาพน้องแบมเห่อหมา พี่มาร์คเลี้ยงหมาไม่ออก
    ก็ดูภาพที่แอดแปะไว้นะคะ คือแบบ มันใช่อ่ะ! ><







     

     ฟินมั้ยล่ะตัวเธอ ~


    ส่วนรูปต่อไปที่ไรท์เอามาแปะ จะบอกว่าฟิลลิ่งโมเม้นวันนี้
    มันคือฟิลลิ่งในตัวละคร มาร์คแบมที่ไรท์วางไว้เป๊ะๆเลยค่ะ

    เอาเป็นว่าในภาพไม่ใช่มาร์คแบมนะ แต่เป็น ...
    โฮสต์กันต์พิมุกต์ กับมาร์คต้วนเด็กแลกเปลี่ยน นะเคอะ
    น่ารักอ่ะ ไปแล้ว ฝันดีกัซเซรอบเตียงค่ะ ^W^

    ขออนุญาติเจ้าของภาพทั้งสองมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ -/\-











     

    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×