ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [MarkBam] HOST FAMILY #ฟิคโฮสต์แฟม

    ลำดับตอนที่ #3 : กฏของโฮสต์ข้อที่ 2 :: โฮสต์ต้องพร้อมทุกสถานการณ์ (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.41K
      11
      25 พ.ค. 59






    กฏของโฮสต์ข้อที่ 2

    "โฮสต์ต้องพร้อมทุกสถานการณ์"

     

     

     

                    Mark 's Talk


                    แบมแบมดูแปลกๆไป

                    จริงๆนะครับ ผมไม่ได้คิดไปเอง

     

                    เพราะตั้งแต่งานเลี้ยงที่โรงเรียนจัดให้จบลง ผมเห็นน้องดูซึมๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็ยังเป็นปกติอยู่เลยเกิดอะไรขึ้นกับน้องรึเปล่าผมก็ไม่รู้ อยากจะถามก็ไม่กล้า เพราะผมคิดว่าถ้าน้องอยากบอกเค้าก็คงจะบอกไปตั้งนานแล้ว ใบหน้าหงอๆแบบนั้นดูราวกับไม่ใช่แบมแบมที่ผมเคยรู้จักเลย

     
     

                    ทำไมผมเป็นห่วงเค้าล่ะ ...

     

                    การได้มาเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่ประเทศไทยถือเป็นเรื่องดีๆเรื่องหนึ่งในชีวิตของผมเลยล่ะครับ เพราะผมฝันไว้ตั้งแต่เด็กๆแล้วว่าอยากจะมีโอกาสมาใช้ชีวิตในประเทศไทยดูสักครั้ง สงสัยใช่มั้ยครับว่าทำไมผมถึงชอบประเทศไทย

     
     

                    อืมมม ... ถ้าลองคิดดูจริงๆมันก็อาจจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่ป๊าปากับม๊ามาพาผมมาเที่ยวที่ประเทศไทยตอนผมเป็นเด็กล่ะมั้งครับ วัฒนธรรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ผู้คน ทุกๆอย่างล้วนดึงดูดให้ผมหลงไหลในคำว่า ไทยแลนด์ มากๆเลยล่ะ

     
     

                    จนเมื่อกระทั่งผมมีโอกาสได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน แน่นอนว่าที่แรกที่ผมเลือกมาคือประเทศไทยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าการจะได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนี่ไม่ง่ายนะครับ เพราะผมดันมีอุปสรรคซึ่งก็คือเรื่องโฮสต์ กว่าทางโครงการจะหาโฮสต์ได้ผมนี่รอแล้วรออีก

     
     

                    แล้วอยู่ๆวันหนึ่งทางทีชเชอร์ที่ดูแลโครงการมาบอกผมว่า ทางโครงการจัดหาโฮสต์ให้ผมได้แล้ว เค้าให้ข้อมูลติดต่อมา วันนั้นผมกลับไปส่งอีเมลล์หาโฮสต์ ซึ่งก็คือแบมแบมนั่นแหละ เราสองคนคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทางอีเมลล์อยู่ประมาณเกือบสองอาทิตย์ แล้วผมจึงเดินทางมาประเทศไทย

     
     

                    ก้าวแรกที่ถึงประเทศไทย คุณแม่และครอบครัวโฮสต์แฟมิลี่ก็มาต้อนรับผมถึงสนามบิน ความรู้สึกตอนนั้นผมคิดว่ามันสุดยอดมากๆเลยครับ เป็นก้าวแรกในประเทศไทยที่อบอุ่นที่สุดเลย

     
     

                    แต่รู้อะไรมั้ยครับ วันนั้นน่ะ แบมแบมเค้าไม่ได้มารับผมหรอกนะ เพราะว่าน้องตื่นไม่ทัน

     
     

                    น่าตีจริงๆ ....

     
     

                    แต่อย่าคิดว่าผมจะได้เจอแบมแบมง่ายๆนะครับ เพราะเด็กแลกเปลี่ยนที่มาถึงประเทศไทย จะต้องเข้าค่ายของทางโครงการเป็นเวลา 4 วัน ทำให้ผมไม่ได้เจอโฮสต์ของผมสักที


                    จนกระทั่งผมออกค่ายก็ถึงเวลาที่เราจะได้เจอกัน วันออกค่ายแบมแบมกับคุณแม่มารอรับผมถึงโรงแรมเลยครับ วินาทีแรกที่ผมได้เจอกับแบมแบมตัวจริง ต้องยอมรับเลยครับว่าน้องน่ารักน่าเอ็นดูมากๆ ทั้งหน้าตา นิสัย รวมทั้งมนุษยสัมพันธ์ของน้อง ผมรู้สึกว่าตัวเองได้โฮสต์ที่ดีที่สุดในโลกเลยล่ะ

     
     

                    การได้ใช้ชีวิตด้วยกัน ถึงจะแค่ผ่านมาสองอาทิตย์ แต่ผมก็รู้สึกว่าน้องปรับตัวเข้าหาผมเก่งมาก มันเลยทำให้เราสองคนเริ่มจะสนิทกันแล้วล่ะครับ นั่นยังรวมถึงครอบครัวโฮสต์แฟมิลี่ของผม ทั้งคุณแม่ที่ใจดีมากๆ แบงค์ เบียร์ และน้องเบบี้ด้วย

     
     

                    ครอบครัวภูวกุลเป็นครอบครัวที่สนุกสนานกันตลอดเวลาจริงๆครับ ทุกคนเป็นคนอารมณ์ดี โดยเฉพาะน้องที่เป็นเด็กร่าเริงตลอดเวลา (ยกเว้นแค่ตอนโดนผมปลุกตอนเช้าเท่านั้นแหละ ผมทำอะไรผิดหรอ ทำไมน้องต้องโมโหขนาดนั้น ?)

     
     

                    ทว่าตอนนี้ที่ผมกำลังเดินไปตามทางในโรงเรียนข้างๆน้อง ทำไมเด็กร่าเริงที่ผมรู้จักถึงดูแปลกๆไป ....

     
     

                     ผมคิดว่าผมควรจะเงียบและไม่ถามอะไรน้องออกไป เพราะบางทีเรื่องบางเรื่องไม่พูดหรือไม่เอ่ยถึงคงจะดีกว่า ผมคิดว่าน้องคงต้องการแบบนั้นนะ ทั้งที่จริงๆผมก็ไม่รู้หรอกว่าน้องมีอะไรอยู่ในใจ

     

     

                    เอาเป็นว่าถึงแม้น้องจะเจออะไรมาก็ตาม ในฐานะพี่ชาย ผมจะทำให้น้องชายและโฮสต์ของผมคนนี้กลับมาร่าเริงตามเดิมให้ได้เลยครับ สัญญาด้วยเกียรติของคนหล่อมาทั้งชีวิต

     


     

                    ว่าแต่ผมจะทำยังไงดีนะ ......

     

                   
                      [END]








       
                 Bambam's Talk



                    ผมปิดประตูห้องนอนเบาๆแล้วโยนกระเป๋าไปไว้บนโซฟา ก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรงเปลือกตาค่อยๆปิดลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกและตามสภาพจิตใจของผมตอนนี้

     

     

                    เฮ้อ เหนื่อยจัง ...

     
     

                    ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วจ้องมองเพดานสีขาวคุ้นตาที่เคยมองอยู่ทุกวัน ทำไมวันนี้เพดานสีขาวถึงดูหม่นหมองแบบนี้นะ ทำไมผมเหนื่อยจัง ทำไมผมถึงต้องคิดถึงเธออีกแล้ว แล้วทำไมเธอถึงกลับมาอีกครั้ง

                   

                    ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ



                   




                    "เรียกฉันเหรอแบมแบม" เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆดังขึ้นมาจากด้านหลังของเด็กชายที่กำลังง่วนอยู่กับการก่อปราสาททราย ใบหน้ากลมหันไปหาเจ้าของร่างเล็กอย่างร่าเริง

     

                    "อองดาว มาดูนี่เร็วๆ แบมก่อปราสาททรายเสร็จแล้ว สวยป้ะ" เด็กชายลุกขึ้นวิ่งเข้าไปฉุดข้อมือของเด็กหญิงตัวน้อยที่เดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลากเธอไปยังปราสาททรายที่เจ้าตัวตั้งใจสร้างมาเกือบชั่วโมง

     

                    "โอ้โห แบมเก่งจังเลย ปราสาททรายใหญ้ใหญ่" เด็กหญิงหันมาปรบมือให้คนสร้างปราสาททรายซึ่งยืนยิ้มหน้าบานอยู่ข้างๆ

     

                    "แบมแบมดูนั่นสิ พี่อองฝนมานู่นแล้ว" เด็กชายหันไปตามทิศทางที่คนข้างๆชี้ไป พลันสายตาก็ไปปะทะเข้ากับเด็กสาวร่างเพรียวบางที่มีอายุห่างจากเขาถึง 5 ปี แววตาสดใสของเด็กชายเป็นประกายทันทีที่เด็กหญิงชี้ไปที่บุคคลใหม่ที่กำลังเดินเข้ามา เค้าคนนั้นคือ พี่ละอองฝน พี่สาวของละอองดาว เด็กผู้หญิงข้างๆซึ่งเป็นเพื่อนสนิทในวัยเด็กของเขา

     

                    "อองดาว แบมแบม คุณแม่กับคุณน้าให้พี่มาตามไปกินข้าวเย็นได้แล้ว" พี่สาวคนสวยเดินเข้ามาหาเด็กทั้งคู่ที่อยู่บริเวณหาดทรายมาตั้งแต่บ่าย ละอองฝนเดินเข้ามานั่งยองๆลงตรงหน้าแบมแบมและละอองดาว

     

                    "ไหนดูสิ เล่นอะไรกันอยู่"

     

                    "ก่อปราสาททรายครับ"

     

                    "โอ้โห เก่งจังน้องแบม" เด็กชายยืนฉีกยิ้มจนแก้มป่องใส่พี่สาวตรงหน้า ทำให้พี่สาวคนสวยอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มป่องๆนั่นเข้าไปเสียเต็มรักด้วยความเอ็นดู

     

                    โดยไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำมีเด็กหญิงอีกคนยืนมองอยู่ ...

     

                    "ไปเถอะ เราสามคนไปกินข้าวกันดีกว่า" แล้วพี่สาวคนสวยก็จับมือน้อยของเด็กทั้งสองคนไว้คนละข้าง ก่อนจะพากันออกเดินเข้าไปยังโรงแรมที่พักด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน

                   

     

     

    พระอาทิตย์สีส้มกำลังจะหายลับไปกับผืนน้ำ

    ทั้งสามเดินไปเรื่อยๆและหัวเราะกันอย่างร่าเริงเมื่อเด็กชายเล่าเรื่องตลกออกมา

    เสียงหัวเราะสดใสดังกังวานก้องชายหาดยามเย็น เสียงคลื่นกระทบฝั่งเบาๆโอบล้อมรอบกาย

    แต่ทั้งสามคนอาจจะไม่รู้เลยว่าเสียงหัวเราะนี้ อาจจะเป็นเสียงหัวเราะสุดท้าย

              เพราะต่อจากนี้เรื่องที่ทั้งสามไม่คาดฝันกำลังจะเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว

              มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ ว่าต่อจากนี้ไปอะไรๆคงไม่เหมือนเดิม ...

     

         







                 ผมฝันถึงเธออีกแล้วสินะ ....

     

                    "อือ ...." ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ มองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ก็พบว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว สังเกตจากบรรยากาศข้างนอกกำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนๆ ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอนแล้วไปปิดหน้าต่างเพื่อกันยุงที่กำลังจะเข้าห้อง

     
     

                    เฮ้อ อย่าเพิ่งเบื่อผมนะครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะเกรียนจริงๆ

     
     

                    ผมเดินไปที่ข้างหน้าต่างเพื่อจะปิดมัน แต่บังเอิญสายตาดันไปปะทะเข้ากับผู้ชายคนคุ้นตาที่กำลังนั่งเล่นกีต้าร์อยู่ที่สวนหลังบ้าน ครับ เดาไม่ผิดหรอก พี่มาร์คนั่นแหละ ไม่รู้จะทำหล่ออะไรนักหนา

     

     

                    ผมละสายตาจากพี่มาร์คแล้วเอื้อมมือไปจะปิดหน้าต่าง แต่คุณชายเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมพอดี พี่มาร์คเลยยิ้มให้ผมแบบกว้างสุดใจขาดดิ้น ก่อนจะกวักมือเรียกผม

     

     

                    ผมหยุดมองพี่แกจากข้างบน เห็นพี่มาร์คพยายามพูดอะไรกับผมอยู่ก็ไม่รู้ฟังไม่ออก ดูเหมือนพี่มาร์คจะพยายามชี้ไปที่อะไรบางอย่างที่ติดอยู่ด้านนอกหน้าต่าง ผมจึงชะโงกไปดู แล้วก็พบว่าตรงกระถางดอกไม้ที่ตั้งไว้ตรงระเบียงห้องผมมีโพสอิทสีเหลืองอันเท่าบ้านแปะอยู่  ผมเลยเดินไปหยิบมันขึ้นมาอ่าน

     
     

                    'ลงมาข้างล่างหน่อยสิ มีอะไรจะให้ดู'

     
     

                    ทันทีที่อ่านข้อความในโพสอิทจบ ผมก็ละสายตาลงไปมองพี่มาร์ค แต่กลับพบว่าพี่มาร์คหายไปจากที่เดิมตอนไหนก็ไม่รู้ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้คนหรือผี หายไปเร็วมาก

     

     

                    "นี่ต้องลงไปมั้ยเนี่ย" ผมได้แต่บ่นเบาๆกับตัวเอง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินลงไปหาพี่มาร์คที่สวนหลังบ้าน และประเด็นคือตอนนี้ผมหาคุณชายไม่เจอ อะไรของเค้า ให้ลงมาหาแต่ดันหายไปไหนก็ไม่รู้

     

     

                    "แบมแบม" อยู่ดีๆพี่มาร์คก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ ทำเอาผมแอบตกใจเบาๆ ผมบอกแล้วว่าพี่มาร์คอ่ะเป็นผี ผมนี่อยากเชิญพี่ริวมาเลย

     

     

                    "มีอะไรพี่มาร์ค เรียกแบมลงมาทำไม"

     
     

                    "อ่ะนี่" อยู่ๆมนุษย์มาร์คต้วนก็ยื่นสิ่งๆหนึ่งที่ซ่อนไว้ข้างหลังให้ผม มันคือดอกทานตะวันสีเหลืองสดใสนั่นเอง

     
     

                    "อะไรเนี่ย พี่มาร์คไปเอามาจากไหน" ผมเอื้อมมือไปรับดอกทานตะวันจากมือของพี่มาร์ค

     
     

                    "จากสวนหลังบ้านนี่แหละ"

     
     

                    "หืม บ้านแบมไม่มีดอกทานตะวันนะ พี่มาร์คมั่วละ"

     
     

                    "อ้าว จะไม่มีได้ไง นั่นไง มันอยู่ตรงนั่นอ่ะ" พี่มาร์คชี้มือไปทางหลังบ่อปลาคาร์พที่มีต้นทานตะวันเล็กๆซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ เดี๋ยวนะ นี่มันมาขึ้นตอนไหนเนี่ย

     
     

                    "มาขึ้นได้ไงเนี่ย ไม่มีใครมาปลูกไว้นะ"

     
     

                    "ไม่รู้สิ แต่พี่ว่ามันก็น่ารักดีนะ" พี่มาร์คอมยิ้มน้อยๆแล้วก้มลงมองดอกทานตะวันในมือผม ทำไมพี่แกดูอาลัยอาวรณ์น้องทานตะวันจัง เอาคืนไปนอนกอดมั้ยครับพี่

     
     

                    "แล้วพี่มาร์คเอามาให้แบมทำไม"

     
     

                    "ก็เห็นวันนี้อารมณ์ไม่ดี เห็นซึมๆ พี่ไม่อยากเห็นแบมหน้าบึ้งอ่ะ มันเหมือนตูดลิง" คุณชายพูดจบผมก็เอาดอกทานตะวันฟาดเข้าไปที่ไหล่พี่มาร์คทันที หนอยยย กล้าดียังไงมาว่าหน้าหล่อๆแบบนี้เป็นตูดลิง ถึงจะตูดลิง ก็ลิงจ่อๆ ล่ะวะ! อะไรคือลิงจ่อๆ งงก็เรื่องของรีดนะครับ 5555

     
     

                    "หลอกด่าแบมป้ะพี่มาร์ค"


     

                    "555555 โตแล้วคิดเอง" ทำไมประโยคดูคุ้นๆวะ

     
     

                    "แล้วนี่อารมณ์ดีขึ้นยังล่ะ" พี่มาร์คเปลี่ยนโหมดอารมณ์เข้าสู่ช่วงจริงจังจนผมตามไม่ทัน

     
     

                    "ก็นิดนึง" มนุษย์มาร์คต้วนยืนมองผมด้วยสีหน้าที่ผมก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ แล้วอยู่ๆคุณชายก็ฉีกยิ้มแบบเห็นฟันครบทุกซีก

     
     

                    "ไม่เอาน้า พี่ไม่รู้หรอกนะว่าแบมเจออะไรมาแต่พี่ไม่ชอบให้แบมเศร้าเลย ยิ้มเถอะนะพี่ขอร้อง เวลาแบมเงียบๆไปบ้านมันดูไม่สดใสเลย ยิ้มๆๆๆๆ ยิ้มมมมม" พี่มาร์คยิ้มกว้างใส่ผมแล้วยังเอื้อมมือมาดึงแก้มผมให้ยืดอีก เจ็บนะโว้ยยยย

     
     

                    "โอ๊ยพี่มาร์ค แบมเจ็บ พอๆๆๆ ยิ้มแล้วๆ ยิ้มก็ได้" ผมยิ้มแบบดูก็รู้ว่าตั้งใจประชดคุณชาย เอ้า อยากให้ยิ้มก็จะยิ้ม ยิ้มมันตั้งแต่ตรงนี้ยันเดินขึ้นบ้านเลยดีมั้ย 55555

                   

                    หืม ! เมื่อกี้ผมหัวเราะหรอ

                    นี่ผมอารมณ์ดีขึ้นแล้วจริงๆอ่ะ

                    โอ้โห มนุษย์มาร์คต้วนไม่ธรรมดาจริงๆนะครับผม

     
     

                    "ไปเหอะ ขึ้นบ้านกัน แบมหิวข้าวแล้ว" ผมพูดจบก็หันหลังเตรียมเดินขึ้นบ้าน แต่คุณชายก็พูดกวนผมขึ้นมาอีก

     
     

                    "รู้แล้วทำไมอ้วน กินตลอดเวลา ไม่ทราบว่านั่นแก้มหรือจานดาวเทียมครับ"


     

                    "กวนตีนแล้วครับเดี๋ยวเจอทุบ จะกินไม่กิน ถ้าไม่กินก็นั่งอยู่ตรงนี้แหละ แบมจะไปกินข้าว อย่ารั้ง!" พูดทิ้งไว้เพียงเท่านั้นแล้วผมก็วิ่งเข้าบ้านด้วยความไว้แสงเลย

     
     

                    บางทีมนุษย์มาร์คต้วนก็มีดีเหมือนกันนะ

                    ขอบคุณนะพี่มาร์คที่ทำให้แบมอารมณ์ดีขึ้น

                    เกรียนแบม is coming soon นะครับผม !

     

     

     

                    ผมเดินเข้ามาในบ้านก็เห็นม๊า พี่เบียร์พี่แบงค์ยัยเบบี้กำลังจะลงมือกินข้าวกัน ม๊าเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมจึงเรียกผมให้เข้ามากินข้าวเร็วๆ

     
     

                    อ้าวแบมแบม มากินข้าวเร็วๆ ลูก ม๊าว่ากำลังจะให้พี่เบียร์ไปตามพอดี แล้วพี่มาร์คไปไหนล่ะครับม๊าตักข้าวให้ผมที่กำลังเลื่อนเก้าอี้นั่ง แล้วถามหามนุษย์มาร์คต้วนที่หายไปไหนก็ไม่รู้ ผมรับจานมาจากม๊าแล้วส่ายหน้าเบาๆ

     
     

                    “ไม่รู้สิครับม๊า เมื่อกี้ก็ยังเดินตามแบมเข้ามาอยู่เลยผมตอบแบบไม่สนใจเท่าไหร่

     
     

                    อ้าวนั่นไงมาแล้วพี่มาร์คอยู่ๆก็เดินเข้ามานั่งข้างผม แล้วรับจานที่ม๊าส่งให้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวแบบสบายใจ ผมหันไปมองพี่มาร์คกินข้าวแล้วถามขึ้นเบาๆ

     
     

                    ไปไหนมาพี่มาร์ค

     
     

                    “รดน้ำต้นไม้มานี่หัดเป็นน้องมาร์คโลกสวยตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย

     

                    “ห้ะ อะไรของพี่พี่มาร์คไม่ได้ตอบอะไรแค่อมยิ้มแล้วกินข้าวต่อไปเรื่อยๆ เห็นดังนั้นผมเลยเลิกสนใจแล้วจัดการข้าวในจานของตัวเองต่อ

     

     

     

     

                    กินข้าวเสร็จผมก็ขึ้นห้องตามปกติ ส่วนพี่มาร์คก็แยกไปเข้าห้องนอนเหมือนกัน ผมปิดประตูแล้วเอาดอกทานตะวันที่พี่มาร์คให้ไปใส่ไว้ในแจกันตรงโต๊ะทำงาน หันไปหยิบกระเป๋าที่โยนทิ้งไว้ตั้งแต่เย็นขึ้นมาเพื่อหยิบการบ้านขึ้นมาทำ


     

                    ผมรูดซิปกระเป๋าแล้วเอาหนังสือกับสมุดการบ้านขึ้นมากองไว้บนโต๊ะ นั่งนึกว่าวันนี้มีการบ้านอะไรให้ทำบ้าง แต่แค่นึกก็อยากจะกราบอาจารย์ที่เคารพเลยครับ โอ้โห ให้การบ้านนี่เผื่อปีหน้าป้ะครู

     

                    เกือบสองชั่วโมงผ่านไป ผมก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม การบ้านนี่ทำไมผมรู้สึกว่าทำยังไงก็ไม่เสร็จสักทีอ่ะ พี่แบมเหนื่อยแล้วนะ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาอีกทีนี่ก็ปาไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว เฮ้อออ ง่วงโว้ยยย อยากปาการบ้านทิ้งแล้วดิ่งไปซุกลงผ้าห่มจริงๆ ได้แต่คิดอ่ะครับ สุดท้ายก็ทำไม่ได้อยู่ดี

     

     

     

                   

                    สิบนาทีต่อมา

                    ปึ๊ก!

     

                    “เฮ้อ เสร็จสักทีผมกระแทกปากกาลงบนโต๊ะแล้วปิดสมุดการบ้านลง ก่อนจะบิดขี้เกียจสองสามที

     

                    "เช็คทวิตนิดนึงดีกว่า" ว่าแล้วก็หันมองหาโทรศัพท์มือถือที่ไม่รู้ว่าตอนนี้มันวางอยู่ตรงไหนแล้ว หันไปหันมาก็เห็นมันวางอยู่ตรงโต๊ะเล็กๆข้างเตียง ผมจึงสไลด์เก้าอี้ไปที่โต๊ะนั่นแบบเร็วแรงทะลุนรก!


     

                    เห้ยแต่เหมือนผมจะสไลด์แรงไปหน่อย เก้าอี้มันเลยไถลจนเกือบชนโต๊ะ ดีที่ผมเอามือไปยันกับมุมโต๊ะไว้ทัน หูยยย นี่ไถลแรงจนเกือบหลุดมิติข้ามไปดาวพลูโตแล้วมั้ยล่ะ แต่ทำไมรู้สึกเจ็บๆที่มือนะ

     
     

                    ทันทีที่เก้าอี้หยุดลงข้างเตียง ความเจ็บแปรบก็พุ่งขึ้นมาที่ฝ่ามือของผมทันที ผมจึงพลิกฝ่ามือข้างที่เจ็บขึ้นมาดู เห้ย! เลือดไหลเต็มเลย! เดี๋ยวๆๆ นี่เว่อร์ไปรึเปล่าครับไรท์ แค่เอามือยันขอบโต๊ะนะ ไม่เว่อร์หรอกแก มือที่ดันขอบโต๊ะลองดูใหม่สิว่ามือข้างไหนแล้วแกไปทำอะไรมา ผมไปทำอะไรมาตอนไหน อ๋อนึกออกแล้ว ขอบคุณครับที่บอกผม เห้ยเดี๋ยวนะนี่ผมคุยกับใครอีกแล้วเนี่ย! หลอนไปบางที เลือดไหลเยอะมากเลยอ่า

     

     

                    ฮือ T^T สารภาพตามตรงนะครับ

                    ผมกลัวเลือดดดดดด ~

     

     

                    คือแบบว่าเคยมีประเด็นฝั่งใจตอนเด็กๆอ่ะครับ ผมก็เลยเห็นเลือดทีไรเรี่ยวแรงหายวับไปกับตาทันที ดูอย่างตอนนี้สิ นั่งคอพับอยู่บนเก้าอี้แบบหมดสภาพเลย

     
     

                    ผมพลิกฝ่ามือขึ้นมาพิจารณาอีกที ก็เพิ่งคิดได้ว่าแผลนี่มันเป็นแผลตอนที่ผมลงไปนั่งจับกบเมื่อเช้านั่นเอง พอมือผมไปโดนมุมโต๊ะเมื่อกี้อีกที มันก็น่าจะทำให้แผลฉีกมากกว่าเดิม ดูตอนนี้สิครับ มือผมมีแต่ ...

     
     

                    เลือด!

                    เลือดดด !

                    เลือดดดดดดดดด !~

     

                    อ๋อยยย กันต์พิมุกต์คนแมนอยากเป็นลม *___*

     

     

     

                    ก็อกๆๆๆ

                    ตอนนี้ผมมายืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องพี่มาร์ค งงล่ะสิทำไมต้องมาหามาร์คต้วน ประเด็นคือเวลาที่ผมเป็นแผลเลือดออก ด้วยความกลัวเลือดขั้นสูงสุดของผม มันก็เลยทำให้ผมไม่สามารถทำแผลด้วยตัวเองได้ คนที่ทำแผลให้ผมตลอดเลยก็คือหม่าม๊าครับ แต่เมื่อกี้ผมเพิ่งเดินไปหาม๊าที่ห้องกลับพบว่าในห้องไม่มีใครอยู่ ผมเลยเดินไปหาพี่เบียร์ที่อยู่อีกห้องหนึ่ง

     


     

                    พี่เบียร์ ม๊าไปไหนอ่ะผมเปิดประตูเข้าไปหาพี่เบียร์ที่กำลังนั่งทำอะไรสักอย่างอยู่บนเตียง


     

                    อ๋อ ม๊าออกไปโรงพยาบาลอ่ะ

     
     

                    “อ้าว ม๊าเป็นอะไรอ่ะพี่เบียร์เดินเข้ามาหาผมที่ยืนเกาะขอบประตูอยู่

     
     

                    ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่เมื่อหัวค่ำตอนแกขึ้นห้องไปแล้วน่ะ อาชายโทรมาหาม๊าบอกว่าอาหญิงกำลังจะคลอดลูก ม๊าก็เลยไปโรงพยาบาล ลากเอายัยเบบี้กับแบงค์ไปด้วย ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย

     
     

                    “อ๋อ โอเค งั้นแบมไปละผมหันหลังกำลังจะเดินกลับห้อง แต่พี่เบียร์ก็เรียกผมไว้ก่อน

     
     

                    แล้วถามหาม๊าทำไม มีอะไรรึเปล่าผมหันกลับมาหาพี่เบียร์แล้วชูมือที่มีเลือดไหลให้ดู พี่เบียร์ที่เข้าใจอยู่แล้วว่าผมหมายถึงอะไรก็หัวเราะออกมาเบาๆ

     
     

                    โตเท่าควายแล้วยังกลัวเลือดอยู่อีกเนี่ยนะ ป็อดวะ

     
     

                    “คร้าบบบบ ใครจะไปเก่งเท่าพี่ล่ะ

     

                    “แน่นอน เก่งด้วยหล่อด้วย พี่ทำแผลให้เอาป้ะพอพี่เบียร์พูดจบผมนี่แทบวิ่งกลับห้องเลยครับ ใครจะไปยอมให้พี่เบียร์ทำแผลวะ พี่แกเคยทำแผลให้ผมครั้งหนึ่ง โอ้โหคุณผู้อ่านครับ ผมนี่น้ำตาแทบเป็นสายเลือด พี่เบียร์ทำแผลได้แบบฮาร์ดคอร์มากอ่ะ ไม่รู้ใช้มือหรือเท้า

     


     

     

                    นั่นแหละครับคือสาเหตุที่ทำให้ผมมายืนอยู่หน้าห้องพี่มาร์คตอนนี้ ผมเห็นว่ายังมีแสงไฟลอดออกมา นั่นแสดงว่าพี่มาร์คยังไม่นอน ผมก็เลยเสี่ยงมาขอให้พี่มาร์คทำแผลให้ อย่างน้อยความเสี่ยงก็น่าจะน้อยกว่าพี่เบียร์ล่ะนะ ผมคิดว่างั้นนะ

     

     

                    ก็อกๆๆ

                    ผมยืนรอพี่มาร์คแปบนึง สักครู่ก็ได้ยินเสียงคนเดินมาเปิดประตู แล้วใบหน้าหล่อก็เปิดประตูมายิ้มให้ผม อื้อหืออออ เป็นผู้หญิงนี่ผมตายแล้วจริงๆ หล่อไปพ่อคุณ

     
     

                    อ้าว มีอะไรแบม ทำไมยังไม่นอนอีกพี่มาร์คยืนกอดอกพิงกรอบประตูด้วยท่าทางสบายๆ ใบหน้าใสหลังอาบน้ำเสร็จบวกกับเส้นผมที่เหมือนเพิ่งผ่านการเช็ดมาหมาดๆตกลงมาลู่กับในหน้า ชุดนอนสีฟ้าอ่อนลายหมีน้อยที่ม๊าซื้อให้ใช้ตอนพี่แกมาถึงใหม่ๆ ทำเอาผมกลั้นหัวเราะไว้ไม่ทัน ควีโยมีจุงเบย 5555

     

                    ก็กำลังจะนอนแล้วล่ะครับ ว่าแต่พี่มาร์คทำอะไรอยู่อ่ะ

     
     

                    “พี่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ มีอะไรหรอพี่มาร์คมองผมแล้วทำหน้าสงสัยว่าผมจะพูดอะไร ผมจึงตัดสินใจบอกถึงจุดประสงค์ของการมาห้องนี้ยามวิกาล รีบๆทำแผลให้เสร็จไปดีกว่า เดี๋ยวใครมาเห็นผมอยู่กับพี่มาร์คตอนดึกๆดื่นๆแบบนี้มันจะไม่งาม หืม ?

     

                    “พี่มาร์คว่างป่าวพี่มาร์คพยักหน้าเบาๆ

     
     

                    อือ ว่าง มีอะไรพอพี่มาร์คพูดจบผมก็ยื่นมือให้พี่มาร์คดูแล้วทำหน้าแบบน่าสงสารที่สุดในชีวิตใส่พี่เค้า เขินว่ะ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นวาระแห่งชาติจริงๆผมไม่ทำหรอกนะ


     

                    พี่มาร์คทำแผลให้แบมหน่อยพี่มาร์คทำตาโตแบบตกใจที่ผมพูดออกไปแบบนั้น แต่แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นยิ้มบางๆเห็นเขี้ยวน้อยๆใส่ผม

     
     

                    "พี่ไม่มีอุปกรณ์"

     
     

                    "แบมเตรียมมาแล้ว นี่ไง" ผมชูกล่องพยาบาลที่ถือติดมือมาอีกข้างให้พี่มาร์คดู

     
     

                    "งั้นก็เข้ามาก่อนสิ" มนุษย์มาร์คต้วนเอียงตัวให้ผมเดินเข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตูตามเบาๆ แล้วเดินมานั่งลงข้างๆผม

     
     

                    "ไหนขอดูแผลหน่อยสิ โห ทำไมเลือดออกเยอะอย่างนี้ล่ะ ไปเล่นซนอะไรมา" พี่มาร์คคว้ามือของผมไปดูแล้วค่อยๆลูบเบาๆ จากนั้นจึงหันไปหยิบอุปกรณ์ในกล่องพยาบาลขึ้นมาเริ่มทำแผลให้ผม ส่วนผมน่ะเหรอ ...

     
     

                    กรี๊ดได้กรี๊ดไปนานแล้วครับ

                    ตอนพี่มาร์คล้างแผล ผมนี่อยากจะเต้นสามช่ารอบห้องจริงๆ T^T

     

                    "เป็นอะไรแบม กลัวหรอ" พี่มาร์คเงยหน้าขึ้นมาถามผม มืออีกข้างก็กำลังหยิบยาแดงขึ้นมาเตรียมทา

     
     

                    "แบมกลัวเลือดอ่ะพี่มาร์ค" ผมพูดไปแต่หน้านี่ก็หันไปมองทางอื่น พยายามไม่มองแผลอ่ะครับ เดี๋ยวได้กรี๊ดโชว์พี่มาร์ค

     

                    "งั้นเอายังงี้ หันหน้ามานี้ก่อน" พี่มาร์คเอื้อมมือมาพยายามจับไหล่ให้ผมหันไปหา

     
     

                    "ไม่เอา แบมไม่อยากเห็นเลือด" ผมนี่ดีดสุดใจขาดดิ้นเลยครับ เป็นตายก็ไม่ยอมหันไปเห็นแผลตัวเองเด็ดขาด!

     
     

                    "แบมหันมาก่อน ไม่น่ากลัวหรอก"

     
     

                    "ไม่!" ผมยังขัดขืนไม่ให้พี่มาร์คจับผมหันกลับไป แต่ในตอนนั้นเองคุณชายมาร์คต้วนก็กระทำการล่วงเกินโฮสต์อีกครั้งโดยการยื่นมือมา และ ....

     

                    "นี่แหนะ จะหันไม่หัน"

     
     

                    จั๊กจี๊ผม .....

     
     

                    "55555555 พี่มาร์คๆ พอแล้วๆๆๆๆๆ โอ๊ยย แบมยอมแล้ว 555555555" สภาพผมตอนนี้ถ้าใครมาเห็นคงตลกน่าดู ก็ผมนี่ลงไปนอนดิ้นอยู่ที่เตียงพี่มาร์คเรียบร้อยแล้วครับ ส่วนไอ้พี่มาร์คพอผมบอกว่ายอมแล้วพี่แกก็เด้งตัวไปนั่งตามเดินก่อนจะเอื้อมมือมาดึงข้อมือผมให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ

     
     

                    "ยอมแต่แรกก็จบ เป็นยังไงล่ะ เจอพลังปราบเหล่าร้ายของพี่เข้าไป ยอมยัง"

     

                    "ยอมแล้วคร้าบบบ" ผมยิ้มกว้างจนตาหยีให้คนตรงหน้า

     

                    "ที่นี้ก็มาทำแผลต่อได้แล้ว จะได้รีบเข้านอนกัน" พี่มาร์คยื่นมือมาคว้ามือผมไปทำแผลต่อ แต่ผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะไม่มองมัน แอบชำเหลืองมองไปที่อื่นตอนพี่มาร์คกำลังจะทายาต่อ


     

                    "โอยยยยย"


     

                    "เจ็บหรอ"

     
     

                    "อือ"

     
     

                    "งั้นเอางี้" เพราะคงจะเห็นว่าผมยังเจ็บอยู่ พี่มาร์คจึงหยุดทายาทั้งที่เพิ่งทาไปได้แค่นิดเดียว แล้วเอื้อมมือไปจับหน้าผมให้หันไปมองหน้าของพี่มาร์ค

                   

                    "มองหน้าพี่ไว้นะ จนกว่าจะทำแผลเสร็จ"

     

                    "เพื่อ ทำไมต้องมองด้วย"

     
     

                    "เอาน่า เชื่อพี่เหอะ" พี่มาร์คพูดจบก็ก้มลงไปทายาต่อ ผมจึงตัดสินใจมองหน้าพี่แกตามที่พี่มาร์คบอก ให้ทำอะไรของเค้าก็ไม่รู้ ยังไม่เห็นจะได้ผลอะไรเลย ตอนนี้ผมก็ยังเจ็บอยู่เหมือนเดิม โว๊ะ! แผลนี่ก็จะเจ็บอะไรนักหนา ต่อยกันป้ะ!

     
     

                    ผมมองหน้าพี่มาร์คเพลินๆแล้วอยู่ๆคุณชายก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี องศาที่ผมกับพี่มาร์คนั่งอยู่ตอนนี้มันทำให้เราสบตากันแบบจังๆ พี่มาร์คยิ้มเบาๆแววตาเป็นประกาย เรื่องเมื่อเช้าตอนที่ผมเผลอสบตากับพี่มาร์คในห้องครัวอยู่ๆก็แวบขึ้นมาในหัวผม เอ่อ .... ทำไมหน้าร้อนแปลกๆเนี่ย

     
     

                    พี่มาร์คมองผมค้างไว้ยังงั้นในขณะที่มือก็ทายาต่อไปเรื่อยๆ (เก่งไปละ) ผมที่นั่งอยู่บนเตียงและพี่มาร์คที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆทำให้ใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันมาก ไร้คำพูดใดๆ ในห้องปกคลุมไปด้วยความเงียบโดยที่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่สามารถละสายตาไปจากใบหน้าหล่อของพี่มาร์คได้เลย กลิ่นหอมสะอาดซึ่งผ่านมาจากการอาบน้ำของพี่มาร์คลอยมาแตะจมูกผม ทำให้ดีกรีความร้อนบนใบหน้าทะยานขึ้นสูง เดี๋ยวนะ แล้วผมจะเขินทำไมวะ

     

                    "แบม เสร็จแล้ว" เสียงพี่มาร์คพูดขึ้นลอยมาข้างๆหู ทำให้ผมรู้สึกตัวจากห้วงความคิดและความรู้สึกแปลกๆเมื่อกี้ หันไปก็เห็นพี่มาร์คเริ่มเก็บอุปกรณ์ทำแผลลงไปในกล่อง

     
     

                    ผมพลิกมือข้างที่มีแผลขึ้นดูและผมว่าพี่มาร์คทำเสร็จตอนไหนก็ไม่รู้ แถมยังมีพลาสเตอร์สีเหลืองอ่อนแปะไว้แล้วด้วย มือเบาไปนะคุณชาย ทำเสร็จตอนไหนเนี่ย ไม่เห็นจะรู้เลย ผมเผลอมองหน้าพี่แปบเดียวเอง .....

     
     

                    หรือไม่แปบเดียววะ -/////-

     

                    "ไปอาบน้ำนอนเถอะแบมแบม ดึกแล้ว เดี๋ยวไม่สบาย" ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังประตูห้อง พี่มาร์คเดินตามมาส่งถึงหน้าห้องของผมที่อยู่ตรงข้ามกัน


     

                    "แบมไปนอนแล้วนะ ขอบคุณมากนะครับพี่มาร์คที่ทำแผลให้" ผมยกมือขึ้นบ้ายบายให้พี่มาร์คแต่สายตาเหลือบมองไปทางอื่น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ก็ไม่กล้าสบตาพี่มาร์คเอาซะดื้อๆ มือข้างที่ไม่เป็นแผลถูกยกขึ้นมาเกาหัวอัตโนมัติ กันต์พิมุกต์เป็นอะไรครับมึง

     
     

                    "ไม่เป็นไร สบายมาก" พี่มาร์คยิ้มให้ผมหนึ่งทีตามสไตล์มาร์คต้วน ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่มาร์คแวบนึงแล้วหมุนตัวเปิดประตูเข้าห้อง แต่อยู่ๆดีๆพี่มาร์คก็ยื่นมือมาดันประตูไว้ก่อน

     
     

                    "เดี๋ยวแบม"

     
     

                    "มีอะไรพี่มาร์ค" เมื่อเห็นว่าผมเปิดประตูค้างไว้ พี่มาร์คจึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบสิ่งหนึ่งออกมายื่นให้ผม

     
     

                    "โลลิป็อบ" ผมอุทานออกมาแต่ก็เอื้อมมือไปรับเอาไว้ พี่มาร์คพยักหน้าให้แล้วทันในนั้นคุณชายก็ก้มหน้าลงมามองหน้าผมระยะประชิดอีกครั้ง พร้อมกับทิ้งคำพูดสุดท้ายของคืนนี้ไว้ให้ผม

     

                    "พี่แอบไปซื้อมาให้ตอนก่อนจะกินข้าวเย็นอ่ะ เก็บไว้กินนะจะได้อารมณ์ดีขึ้น ฝันดีนะครับเด็กน้อย" พี่มาร์คยิ้มให้ผมจนตาหยีก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วขยี้หัวผมเบาๆหนึ่งที เสร็จแล้วก็หันหลังเดินกลับเข้าห้องไป ทิ้งไว้เพียงกันต์พิมุกต์ที่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว

     

                    ทำไมใจเต้นแปลกๆนะ

     
     

                    ผมปิดประตูแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะวางโลลิป็อบไว้ข้างๆแจกันใส่ดอกทานตะวันที่ได้มาจากเจ้าของคนเดียวกัน .... รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นที่มุมปาก

     
     

                    "ขอบคุณนะ แล้วก็... ฝันดีเหมือนกันครับ ...พี่มาร์ค"

     

     

     

                   

                    เช้าวันต่อมา

                    โรงเรียนเจวายพีวิทยา

     

     

                    "ไอ้แบมมมมมมม การบ้านเสร็จยัง เอามาลอกโหนยยยย" เพียงแค่ผมเดินพ้นขอบประตูเข้ามาในห้อง เสียงทักทายสดใสยามเช้าของไอ้ยูคก็ดังขึ้นต้อนรับวันใหม่ได้แบบน่าประทับใจสุดๆเลยล่ะครับ

     
     

                    "กูว่าละ เอ้า เอาไป" ผมเดินมานั่งที่โต๊ะก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมุดการบ้านส่งให้มัน

     

                    "โหยย เพื่อนรัก แต้งกิ้วครับมึง" ไอ้ยูคหันมาทำปากจู๋ใส่ผมแล้วหันไปลอกการบ้านอย่างว่อง คอยดูนะครับ ภายในห้านาทีมันสามารถลอกการบ้านเสร็จได้ เรื่องยังงี้มันโคตรชำนาญ

     
     

                    ผมเลิกสนใจมันแล้วล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเป็นการฆ่าเวลา ในใจก็นึกถึงมายเด็กแลกเปลี่ยนที่วันนี้มาเรียนเป็นวันแรก ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างนะ แต่คงจะแฮปปี้แหละ เห็นยิ้มอารมณ์ดีตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านละ


                    อ๋อลืมบอกไป ทางโรงเรียนเค้าจัดให้พี่มาร์คแล้วก็พวกเด็กแลกเปลี่ยนไปเรียนร่วมกับห้องโปรแกรมอีพีอ่ะครับ เพราะอย่างน้อยเด็กห้องนั้นเค้าก็เรียนเป็นโปรแกรมภาษาอังกฤษอยู่แล้ว จะได้ไม่มีปัญหาเวลาเรียน ส่วนวิชาที่พี่มาร์คจะมาเรียนกับห้องผมก็จะมีแค่วิชาพละ แล้วก็การงานอาชีพเท่านั้นแหละ

                   

                    "โอ๊ยเจ้! ตบหัวกูทำไมเนี่ย" อยู่ๆเสียงของบุคลข้างๆก็ดังขึ้นทำให้ผมหลุดออกจากห้วงความคิด หันไปมองข้างๆก็พบว่ามีบุคคลใหม่เดินเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆไอ้ยูค และไอ้ยูคก็ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเบาๆ

     

                    "ลอกการบ้านไอ้แบมอีกแล้วนะไอ้ยูค"

     

                    "อ้าวไอ้มิ้น มาแล้วหรอ" มิ้น หรือจีมินที่ผมเคยบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของผมอีกคนนั่นแหละครับ มันเงยหน้าจากไอ้ยูคขึ้นมามองผมแล้วพยักหน้าเบาๆให้ผม

     
     

                    "เออดิ วันนี้กว่าจะมาถึงโรงเรียนได้ รถติดโคตร"

                   

                     ถ้ามีนายกคนไหนทำให้กรุงเทพรถไม่ติดได้ กันต์พิมุกต์จะยอมเป็นเมียไอ้ยูคเลย สาระ

     
     

                    "แล้วเด็กแลกเปลี่ยนมึงล่ะ คนที่ชื่อ ... อะไรนะลืม"

     
     

                    "เจบี" ไอ้มิ้นเดินเอากระเป๋ามาวางไว้ข้างๆผม

     

                    "เออนั่นแหละ ไปไหนแล้ว"

     

                    "ไปห้องของอีพีแล้ว เพิ่งแยกกันเมื่อกี้เอง"


     

                    "อ๋อ เออเป็นไงบ้าง เด็กแลกเปลี่ยนมึง ดีป้ะ"

     
     

                    "ก็ดีนะ เข้ากับคนอื่นง่ายดี ไม่เรื่องมากด้วย แต่ติดนิดเดียวที่บางทีก็แอบชิคเกินไป"

     

                    "หัดอยู่กับคนชิคบ้างอิเจ้ จะได้ไม่เชยอยู่แบบนี้" ยูคยอมเงยหน้าขึ้นมาจากการบ้านเพื่อแซะไอ้มิ้น แต่ก็ต้องก้มหน้าลงไปอีกรอบด้วยฝีมือของผู้หญิงคนเดิม

     

     

                    "หุบปากแล้วลอกการบ้านไปเลยมึงอ่ะ"

     

     

                    "โอ้ย มึงจะตบหัวกูทำไมนักหนาเนี่ย ถ้ากูความจำเสื่อมขึ้นมาจะทำไงห้ะ!" ไอ้ยูคเงยหน้าขึ้นเถียงไอ้มิ้นแบบยอมไม่ได้ เห้อ เป็นแบบนี้แหละครับไอ้สองคนนี้ ทะเลาะกันตั้งแต่เด็กยันโต ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าพวกมันอยู่กลุ่มเดียวกันได้ยังไงตั้งหลายปี แล้วผมก็สงสัยเหมือนกันว่าผมทนดูพวกมันทะเลาะกันมาได้ยังไงนานขนาดนี้ อ๋อรู้แล้ว คำเดียวสั้นๆเลยครับ ปลง ...

     

     

                    "นี่เมื่อไหร่พวกมึงจะเลิกทะเลาะกันสักทีวะ ไม่เบื่อบ้างหรอ ทะเลาะกันบ่อยมากๆ ระวังสุดท้ายจะได้กันนะมึง" ผมพูดจบไอ้ยูคกับไอ้มิ้นก็ทำท่าอ้วกอย่างเร็วเลยครับ หืมม ทำท่ารังเกียจกัน เดี๋ยววันไหนได้กันขึ้นมา ผมนี่จะหัวเราะยันลูกมันรับปริญญาเลย

     

     

                    "อย่าพูดแบบนี้อีกนะไอ้แบม กูจะอ้วก" ไอ้ยูคหันหน้ามาหาผม

     

     

                    "เออ กูก็จะอ้วกเหมือนกัน ให้เป็นเมียไอ้ยูค กูว่ากูยอมไปเป็นเมียอาจารย์ผักดีกว่าว่ะ" ไอ้มิ้นพูดถึงคุณครูคนหนึ่งที่เป็นคุณครูฝ่ายปกครองอ่ะครับ คือแกเป็นครูฝ่ายปกครองที่ทำตัวเหมือนครูเกษตรอ่ะ เพราะชอบไปยืนรดน้ำต้นไม้ในแปลงเกษตร นักเรียนก็เลยตั้งฉายาว่าครูผัก ทั้งๆที่จริงแล้วแกชื่อ คุณครูพักพงศ์

     

     

                    "อิเจ้ ทำอย่างกะกูอยากได้มึงเป็นเมียตายหล่ะ"

     

     

                    "เหอะ! ระดับกู สวย ขาว อึ๋ม เซ็กซี่ขยี้ใจชาย ใครไม่มองก็ตาต่ำแล้วว่ะ"

     

     

                    "โอ๊ย! กูจะอ้วก เห้ยไอ้แบม เดี๋ยวกูขอเอาการบ้านไปนั่งทำที่โรงอาหารก่อนนะมึง อยู่ใกล้คนเซ็กซี่แล้วกุหวั่นไหว! เซ็กซี่แป๊ะอะไร เซ็กเสื่อมสิไม่ว่า!" ไอ้ยูคพูดจบก็เก็บของเตรียมย้ายที่ทำการบ้านทันที แต่มันยังไม่วายหันมาแลบลิ้นล้อเลียนใส่ไอ้มิ้นอีก ก่อนจะชิ่งหนีออกจากห้องอย่างว่องเลย

     

     

                    "ไอ้ยูคคคคคค เลววว" ไอ้มิ้นทำท่าจะลุกขึ้นวิ่งตามไปจัดการ แต่ดีที่ผมฉุดข้อมือมันไม่ทัน เหยดดดดด ผมยังย้ำนะครับว่าไอ้มิ้นคือเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงจริงๆ แต่ตอนนี้ผมว่าผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะ หน้าตากับนิสัยโคตรขัดกันอ่ะ

     

     

                    "มิ้น กูบอกกี่ทีแล้วว่ามึงเป็นผู้หญิง ทำอะไรให้มันเรียบร้อยน่ารักเหมือนคนอื่นบ้างได้มั้ย" ไอ้มิ้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆผมเหมือนเดิมแล้วยังเอาขาขึ้นมาขัดสมาธิ ทำให้กระโปรงเกือบเปิด ผมนี่เอื้อมมือไปปิดให้แทบไม่ทัน โอ๊ยยย พี่แบมล่ะเหนื่อยใจกับเพื่อนคนนี้จริงๆ

     

     

                    "เห้อ กูรู้แล้วน้า" ไอ้มิ้นตอบแบบขอไปที

     

     

                    "รู้แล้วก็ทำด้วยครับ" ไอ้มิ้นยักไหล่แบบไม่สนใจแล้วล้วงกะเป๋าหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาให้ผมดู

     

     

                    "เอ้านี่ เปิดดูซะ"

     

     

                    "อะไรวะ" ผมหยิบแผ่นกระดาษมาจากมือของไอ้มิ้นแล้วพลิกดูตารางที่มีตัวเลขมากมายอยู่ในนั้น

     

     

                    "กูเอามาจากบนโต๊ะพี่โจควอนอ่ะ มันเป็นใบที่จัดแบ่งห้องสำหรับสีต่างๆอ่ะ" บอกอีกเรื่องครับถ้ายังไม่เบื่อกัน นอกจากไอ้ยูคจะมีพี่ชายคือพี่ยองแจที่เป็นสารวัตรนักเรียนแล้ว ไอ้มิ้นก็ไม่แพ้กัน มันมีพี่ชายซึ่งนั่นก็คือ พี่โจควอน ประชาสัมพันธ์ของสภานักเรียน เพื่อนสนิทในกลุ่มของพี่คุณ แล้วพี่โจควอนก็ยังเป็นพี่รหัสของไอ้ยูคมันด้วย ผมนี่ฮาเลย ชีวิตของมันสองคนโคตรจะสมพงศ์กันเลยครับ

     

     

                    "กีฬาสี?"

     

     

                    "อื้อ ห้องเราได้อยู่สีประธานนะรู้ยัง นี่ไง" ไอ้มิ้นชี้ให้ผมดูตรงที่พี่โจควอนเขียนไว้ว่าสีประธาน แล้วก็มีเลข 5/1 เขียนกำกับไว้ เหยดดดด ดีเว่อร์ ได้อยู่สีประธานมันเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งนะ แล้วการที่ผมเป็นน้องรหัสของประธานนักเรียนเนี่ย ให้ความรู้สึกแบบชนะคนทั้งโลกจริงๆ

     

     

                    ผมไล่รายชื่อห้องลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งไปสะดุดอยู่ที่จุดๆหนึ่ง ตรงช่องที่พี่โจควอนเขียนกำกับไว้ว่าจับฉลากได้สีประธาน มันคือ ห้องมัธยมศึกษาปีที่ 5/3

     

     

     

                    ซึ่งหมายความว่า ...

     

                    ละอองดาวกับผมจะได้อยู่สีเดียวกัน

     

     

                    โชคร้ายกว่านี้มีอีกมั้ยครับเนี่ย เห้อ ...  สนุกแน่ๆกันต์พิมุกต์!

     









    Pin's Talk 

    และแล้วเราก็มาครบ 100 % จนได้!
    เย้! ปรบมือสิคะรออะไรอยู่ 55555
    และต้องขอโทษจริงๆนะคะที่โพสช้า
    เพราะเมื่อวานเน็ตที่บ้านเปลี่ยนใหม่
    ต้องรอช่างมาเปลี่ยนให้ เลยต้องดั้นด้นมาใช้คอมเพื่อน
    สำหรับตอนนี้อาจจะแปลกๆนะคะเพราะรีบแต่งจริงๆ T^T
    (เจียดเวลาจากอ่านหนังสือสอบแพทมาแต่งอ่ะ 5555)

    สำหรับวันนี้ไปแล้วนะคะ จะไปสอบแพทญี่ปุ่นแล้ว
    ตื่นเต้นจุงเบย ไปแล้วนะคร้าาา



    ปล. 

    GOT7 "하지하지마(Stop stop it)" Dance Practice


    หล่อเกินไป ไรท์กำลังจะตาย
    เห็นแล้วอยากวิ่งเอาน้ำเข้าไปสาดเลยค่ะ

    รุ่นพี่ ~~ อยู่มหาลัยไหนคะจะตามไปเรียน ฮอล -/////-

    เห็นแล้วมีกำลังใจสอบแพทเลยคะ 555555

    ไปจริงๆแล้ว ! อันยองงงง
              

    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×