คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : กฎของโฮสต์ข้อที่ 19 :: เป็นโฮสต์ต้องรักษาสัญญา (100%)
กฎของโฮสต์ข้อที่ 19
'เป็นโฮสต์ต้องรักษาสัญญา'
"มาวิ่งเล่นกันอีกรอบมั้ยล่ะแบมแบม" น้ำเสียงกวนบวกหน้าตาเจ้าเล่ห์ทำเอาผมเผลอกำมือกับกางเกงตัวเองไว้แน่นด้วยความวิตก จริงๆมันจะไม่วิตกขนาดนี้ถ้าผมไม่ได้อยู่ในบ้านของมันอ่ะครับ สถานการณ์แบบนี้มีแต่มันที่เป็นต่อส่วนผมก็แทบจะเป็นแมวน้อยในถ้ำเสือ เอาขนาดผมเดินเฉยๆยังหลง แล้วจะให้วิ่งหนีตอนนี้บอกเลยว่าคงรอดยาก
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดตอนนี้คือการใช่สมองเข้าช่วย
"วิ่งคนเดียวเถอะมึงอ่ะ แล้วนี่กลับบ้านมาได้แบบนี้พ่อแม่เรียกหรือเงินหมดล่ะ" สิ่งแรกที่ผมควรทำคือการนิ่งไว้ให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็คุยกับมันประหนึ่งเราสนิทกันมาตั้งแต่เกิด
ผมต้องเอาตัวรอดให้ได้ เพราะว่าตอนนี้พี่มาร์คมาช่วยผมไม่ได้
เอ๊ะแล้วอยู่ๆจะไปคิดถึงพี่มาร์คทำไมวะแบม นี่เดี๋ยวนี้ผมติดนิสัยต้องรอให้พี่มาร์คช่วยแล้วเหรอเนี่ย
-___-
"อย่ามาทำเป็นรู้ดี" ไอ้ติณท์หน้าเสียเล็กน้อยจากคำพูดของผม มันทำท่าจะเดินเข้ามาในห้องผมเลยเผลอก้าวเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าว เกิดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของฝ่ายตรงข้าม สีหน้าของมันดูนึกสนุกทันทีที่เห็นผมเผลอแสดงความหวั่นของตัวเองออกมา ไอ้แบมเอ้ยยยไม่น่าเลย
"ไม่ได้รู้ดี ก็ไอ้เตนท์มันบอกอ่ะ"
"เหอะ ไอ้ตัวดี" ถ้ามันจะเรียกน้องด้วยหน้าตาเรียบนิ่งและดูรักน้อง (ประชดนะฮะ) ขนาดนี้ล่ะก็ ถ้าผมเป็นไอ้เตณท์ผมคงจะหลั่งน้ำตา
"เออช่างแม่งเหอะ กูจะไปทำงานต่อละ หลบไปดิ้เกะกะ" ผมแสร้งเป็นรำคาญแล้วจะเดินหนีมันออกไปทางประตูที่มันยืนขวางอยู่ แต่มือยาวๆรุ่มร่ามนั่นกลับคว้าต้นแขนผมไว้ให้หยุดชะงักอยู่กับที่ ผมหันขวับไปมองมันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ารำคาญเต็มทน แต่มันก็ทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา หนำซ้ำยังมีหน้ามาพูดอีกว่า ...
"มึงมาทำงานที่บ้านกู งั้นน้องละอองดาวก็ต้องมาด้วยอ่ะดิ" รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมประกายตาวิบวับของมันทำเอาผมควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ผมสะบัดมือมันให้พ้นการแตะตัวผมอย่างแรงแล้วชี้หน้ามันอย่างเอาเรื่อง
"อย่าแม้แต่จะคิดนะมึง ... อย่ายุ่งกับละอองดาว" น้ำเสียงเย็นถูกใช้พร้อมกับการมองหน้ามัน ผมกำมือแน่น อยากจะต่อยมันสักตั้ง แต่ก็คิดได้ว่าผมไม่ควรเอามือตัวเองไปสัมผัสคนแบบมัน
"ถ้างั้น ... ไม่ยุ่งกับละอองดาวก็ได้ .... " มันมองหน้าผมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ สองขายาวเริ่มคืบคลานใกล้ผมเรื่อยๆ สัญชาตญาณบางอย่างเริ่มบอกให้ผมก้าวหนี ...
"แต่ยุ่งกับมึงแทนได้ป้ะ" เร็วเท่าความคิด มือของมันคว้าตะครุบผมไว้ได้ก่อนที่ผมจะวิ่งหนีทัน สองมือของมันจัดการล็อคตัวผมไว้แล้วผลักลงไปยังโซฟาก่อนที่มันจะตามมาคร่อมผมไว้
"เชี่ย ! ปล่อยยยยยย !" ผมดิ้นสุดแรงเกิดแต่ด้วยความที่มันตัวใหญ่กว่าทำให้สามารถล็อคผมไว้กับที่อย่างง่ายดาย ไอ้ตินท์ก้มหน้ามองผมอย่างพิจารณาในขณะที่ผมกำลังขยะแขยงมันจนแทบจะอ้วก !
"มองดีๆ จริงๆมึงก็น่ารักเหมือนกันนี่หว่าแบมแบม"
"ปล่อยกู !!!"
"คิดๆดูกูว่าระหว่างมึงกับละอองดาวเนี่ยก็พอๆกันเลยว่ะ" มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะลากสายตามามองผมอย่างจับจ้องจนผมขนลุกไปหมด
"พออะไร ! มึงหมายความว่าอะไรเชี่ยตินท์ !"
"ก็ ... น่าเล่นทั้งคู่เลยมั้ง"
"เชี่ย !! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้ !" สิ้นคำพูดเลวๆผมก็แทบจะหมดแรง แต่สติที่ยังมีเหลืออยู่น้อยนิดทำให้ผมต้องรีบรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีตอนนี้ทั้งหมดผลักมันออกไป ไอ้ตินท์เลื่อนมือข้างหนึ่งไปด้านหลังแล้วเลิกเสื้อผมขึ้นจนผมยิ่งเสียสติเข้าไปใหญ่
"ไอ้เหี้ย ! มึงจะทำอะไรกู ปล่อยกูเดี๋ยวนี้ไม่งั้นกูเรียกตำรวจแน่ไอ้เลว !" ผมขืนตัวจะลุกขึ้นแต่มันก็ยิ่งดันผมลงไปให้นอนราบกับโซฟา มือข้างหนึ่งของมันใต้สาปเสื้อกำลังลูบหลังผมไปมาช้าๆ ผมแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวผสมความขยะแขยง ไอ้เชี่ย ! ขนลุก !
"มึงคิดว่ากูกลัวเหรอ จะเรียกก็เรียกมาดิ"
"กูเป็นผู้ชายนะไม่ใช่ผู้หญิง ปล่อยกูไอ้เหี้ย ! ปล่อยกู ! กูขยะแขยง !" พอรู้ว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล ผมจึงงัดแผนต่อไปมาใช้ทันที
"แต่ผู้ชายน่ารักอย่างมึงอ่ะ กูมาคิดดูอีกที ... กูอยากได้ว่ะ" เหมือนค้อนใหญ่ๆทุบลงบนหัวจนผมมึนไปหมด ไอ้ตินท์พูดจบมันก็ดูเหมือนจะทำอะไรมากกว่านี้ คนสารเลวตรงหน้าพยายามก้มลงมาหาผม และในตอนนั้นเองสติที่ผมกำลังพยายามหยิบจับมารวมกันก็ทำให้ผมหันไปเห็นหนังสือเล่มหนาบนโต๊ะข้างๆ ผมรีบเอื้อมมือที่ว่างไปหยิบแล้วฟาดลงหลังหัวมันดังปั๊ก !
"โอ๊ยยยยย !" ได้ผล ! ไอ้ตินท์ผละออกจากผมแล้วเอามือลูบหัวตัวเอง ผมจึงอาศัยจังหวะนั้นขืนตัวลุกขึ้นแล้วถีบเข้าท้องมันไปเต็มๆจนมันหงายลงไปนอนกองกับพื้นด้านล่าง ผมรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกจากห้องด้วยความเร็ว ผมวิ่งๆๆๆไปตามทางทั้งๆที่ไม่รู้แล้วว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน จนกระทั่งมาชนเข้ากับไอ้เตนท์ที่เดินสวนมาพอดี
"เห้ย!"
"แบม!" ผมหยุดวิ่งโดยอัตโนมัติเมื่อเจอไอ้เตนท์กำลังถือจานใส่ขนม ไอ้เตนท์หน้าตาตื่นแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวผิดกับผมที่เอาแต่หอบจนตัวโยน
"........."
"วิ่งหนีอะไรมา !"
"........." ผมหอบจนแทบพูดไม่ได้ แต่สีหน้าและแววตาหวาดกลัวตอนนี้ก็เป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดีว่าผมเพิ่งพบเจอเรื่องไม่ดีมา
ไอ้เตนท์มองหน้าผมด้วยสีหน้าวิตก แต่แล้วอยู่ๆมันก็เหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ เสียงพึมพำเบาๆที่ออกมาจากปากมันทำเอาผมต้องมองด้วยความสงสัย
"พี่ ..." ไอ้เตนท์หันไปมองยังทางที่ผมเพิ่งวิ่งมา จนผมต้องหันไปมองตามแต่ก็ไม่เห็นอะไร มันลากสายตากลับมามองที่ผมแล้วสีหน้าของมันก็กลับสู่ปกติทันที
"กูอยากกลับบ้านแล้ว กูขอกลับบ้านก่อนได้มั้ยไอ้เตนท์" ผมพยายามฝืนพูดด้วยสีหน้าจริงจังจนมันพยักหน้าด้วยสีหน้าแปลกๆและยอมให้ผมกลับบ้าน รถตู้คันที่ผมนั่งมาเมื่อเช้าถูกเรียกให้ไปส่งผมทันทีหลังจากผมเข้าไปเก็บของในห้องอย่างรวดเร็วไม่ร่ำลาใครสักคน จนแม้แต่ละอองดาวเองยังมองผมอย่างสงสัย
---------------
โรงพยาบาล
[Mark 's part]
แสงไฟจ้าและสีขาวของเพดานโรงพยาบาลคือภาพแรกที่คนหน้าหล่อเห็น ดวงตามีเสน่ห์ค่อยๆกระพริบตาปรับภาพโฟกัสตรงหน้าให้ชัดก่อนจะสะบัดหัวไล่ความมึนงงออกไป ภายในห้องเงียบสนิทเพราะไม่มีคนอยู่สักคน มาร์คนอนนิ่งอยู่กับที่เมื่อภาพที่ปรับค่อยๆชัดเจนขึ้น ชัดขึ้น ชัดขึ้น ... และชัดจนปรากฎภาพของหญิงสาวหน้าตาสวยงามในชุดขาวสะอาดกำลังยืนมองชายหนุ่มอยู่ที่ปลายเตียง ...
"........!..." ดวงตาเบิกกว้างทันทีที่เห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าคือใคร มาร์คพยายามลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้เหมือนเป็นความตั้งใจของผู้หญิงคนนั้น ร่างเพรียวระหงส์ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ มาร์คทำได้แค่มองแต่ไม่สามารถสื่อสารกับเธอได้ทั้งๆที่สายตาจับจ้องไปที่เธอไม่คลาด เสียงหวานที่ไม่ได้ยินมาหลายปีเอ่ยขึ้นเบาๆในความเงียบ
"มาร์ค ..." แววตาอ้อนวอนของหญิงสาวถูกส่งมาให้ชายหนุ่ม มาร์คจ้องมองเธอนิ่งไม่ไหวติง หวังจะให้เธอพูดต่อไป
".... ช่วย"
".... ช่วยน้อง"
".........."
ความอึดอัดและความกังวลก่อตัวในใจชายหนุ่มทันทีเมื่อเค้ารู้ว่าสิ่งที่หญิงสาวกำลังสื่อหมายถึงอะไรและหมายถึงใคร
"ช่วยน้องด้วย" แสงสีขาวสว่างจ้าพร้อมกับตัวของหญิงสาวค่อยๆจางลงทีละนิดๆ มาร์คดิ้นเพื่อพยายามที่จะรั้งเธอไว้แต่ไม่สามารถทำได้แม้แต่พูด ความอึดอัดเริ่มก่อความคุกรุ่นในใจจนแทบอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ก่อนร่างทั้งร่างจะหายไปคำพูดสุดท้ายที่ดังออกมาทำให้มาร์คต้องคิดถึงเด็กหนุ่มหน้าหวานขึ้นมาสุดหัวใจ
"ช่วยน้องด้วย ... ดูแลแบมด้วยนะมาร์ค" แล้วร่างสีขาวก็จางหายไปจนหมดเหลือเพียงความว่างเปล่ากับชายหนุ่มที่สะดุ้งตื่นเหงื่อแตกขึ้นมาอีกครั้งในห้องเดิม
เมื่อกี้ฝันเหรอ ...
มาร์คลืมตาโพลงด้วยหัวใจที่เต้นรัวพร้อมกับเหงื่อที่แตกพลัก ใบหน้าหล่อหอบหายใจถี่ก่อนจะกระพริบตาปรับอารมณ์ในเป็นปกติ
"พี่มาร์ค ..." เสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาจากข้างเตียง ผมหันขวับไปมองทางต้นเสียงทันที น้องกลับมาแล้ว ...
เมื่อกี้ผมฝันเหรอครับคุณผู้อ่าน
ทำไมมันถึงได้เหมือนจริงขนาดนั้นนะ ...
"แบม ..." ผมหันไปมองไอ้ตัวเล็กยืนอยู่ข้างเตียง สงสัยจะเพิ่งกลับมาสินะ ก่อนหน้านี้ผมตื่นขึ้นมารอบแรกเจอแค่แม่และเบบี้ครับ ถามแม่ได้ความว่าแบมไปทำงานกลุ่มผมจึงนั่งเล่นกับแม่และเบบี้จนทั้งสองคนบอกว่าขอตัวกลับไปบ้านก่อนจะมาใหม่เย็นๆ แล้วผมก็เผลอหลับไปอีกรอบ ...
และก็ตื่นขึ้นมาอีกรอบเพราะความฝันประหลาดๆนั่น
"กลับมานานยัง อ่อลืมบอก แม่กับเบบี้กลับไปบ้านนะ เดี๋ยวเย็นๆจะเข้ามาใหม่ แล้วนี้แบมมายังงะ..." ผมยังพูดไม่ทันจบ อยู่ๆแบมแบมก็เข้ามากอดผมไว้แน่นจนผมตั้งตัวแทบไม่ทัน ผมที่นั่งอยู่บนเตียงกำลังกอดเด็กน้อยที่กอดผมไว้แน่น ผมก้มหน้าลงมองเด็กในอ้อมกอดที่ดูผิดปกติไป และแล้วผมก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างชื้นแฉะบริเวณเสื้อ
น้องร้องไห้เหรอ ?
"แบม ... แบมร้องไห้เหรอ ?"
"......."
"แบม ! ร้องไห้ทำไม เป็นอะไร !" น้องยังคงซุกหน้าอยู่กับอกของผม ผมเลยดันตัวน้องออกแล้วจับไหล่ไว้ ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา หัวใจผมก็หล่นวูบลงไปกับพื้นจนตัวชาไปหมด
"พี่ .. มา .. มาร์ค ฮึก" น้องมองหน้าผมแล้วร้องไห้ออกมาจนตัวโยน ผมเลยดึงน้องเข้าไปกอดไว้เองอีกครั้ง
"แบม เกิดอะไรขึ้นบอกพี่มาเดี๋ยวนี้!" น้องสั่นหัวช้าๆเหมือนคนไม่พร้อมจะตอบอะไรตอนนี้ ผมเลยกอดเด็กดื้อไว้แน่นๆ มือข้างที่ไม่ได้ถูกเจาะสายน้ำเกลือค่อยๆยกขึ้นลูบหลังแบมแบมเบาๆ น้องสะดุ้งเล็กน้อยด้วยสาเหตุที่ผมก็ไม่รู้ แบมแบมซบหน้าลงมากกว่าเดิมก่อนจะพูดออกมา
"แบม ... แบมกลัว"
"กลัวอะไร ? แบมไปเจออะไรมา"
"พี่มาร์คแบมกลัว ฮึก .."
"......."
"แบมกลัว แบมกลัว .. กลัวทุกครั้งที่เจอเรื่องไม่ดีแล้วไม่มีพี่มาร์คอยู่ข้างๆ พี่มาร์ค ฮึก .. พี่มาร์คทำให้แบมกลายเป็นเด็กเคยตัว พี่มาร์ครับผิดชอบเลยนะ ฮึก ... " น้องพูดไปด้วยสะอื้นไปด้วยจนผมอดสงสารและอดอมยิ้มในเวลาเดียวกันไม่ได้ แบมแบมทิ้งหัวลงซบเหมือนแมวน้อยแล้วเงียบไป ผมยิ้มแล้วกอดไอ้ตัวเล็กให้แน่นขึ้น
"ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่นี่ไงพี่ไม่ไปไหนหรอก พี่จะดูแลเราเองได้ยินมั้ยแบม พี่ไม่ทิ้งเราไปไหนแน่นอน พี่สัญญา ..." ผมพูดแล้วก้มลงมองเด็กในอ้อมกอดที่หลับตาฟังผมนิ่ง รอยยิ้มที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดีปรากฏบนใบหน้าผม
ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทิ้งน้องไปไหน
ผมไม่ได้แค่พูดเพื่อปลอบให้น้องหยุดร้องไห้
หากแต่มันเป็นคำสัญญาที่มาจากใจและเป็นคำสัญญาที่ผมต้องทำ ...
เพราะผมสัญญากับเค้าไว้แล้ว ... เค้าคนนั้นที่จากไปนานเหลือเกิน
คำสัญญากับเธอ ......... ละอองฝน
---------- 50% ----------
1 เดือนผ่านไป
ช่วงกีฬาสีผ่านพ้นไปและปิดฉากลงอย่างสวยงาม สีขาวของผมได้แชมป์มาหลายถ้วยเลยครับทั้งกีฬาเกือบทุกประเภทและแน่นอนว่าเชียร์หลีดเดอร์เราก็ได้ที่ 1 เย้ ผมกับพี่มาร์คก็ได้แต่รอฟังข่าวอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะตอนนั้นคุณชายยังไม่หายดี ผมเลยต้องอยู่ดูแลอยู่ข้างๆ แต่ก็มีคุณคิมยูคคนดีนี่แหละครับที่คาบข่าวมาบอก ส่วนรุ่นพี่นี่ดีใจกันเว่อร์วังคงเพราะมันเป็นงานสุดท้ายในโรงเรียนแห่งนี้ด้วยล่ะมั้งครับ คิดๆดูเวลาก็ผ่านไปไวจริง ...
หลังกิจกรรมทุกอย่างจบลง ชีวิตของนักเรียนในรั้วโรงเรียนแห่งนี้ก็ดูเหมือนจะกลับเข้าสู่ความสงบสุขอีกครั้ง อาจเป็นเพราะอาทิตย์หน้ากำลังจะเป็นสัปดาห์ของการสอบปลายภาคด้วยล่ะมั้งครับ หลายคนช่วงนี้ก็เลยหายหน้าหายตากันไปซุ่มอ่านหนังสือ ส่วนผมกันต์พิมุกต์คนนี้ก็เหมือนกัน
[ตื้ดดดดดดดด]
เสียงโทรศัพท์เครื่องสวยดังขึ้นปลุกผมในเช้าวันใหม่ที่โคตรจะ ....
ห้าววววววว … สดใสเลยครับ ผมสะดุ้งจากกองหนังสือบนโต๊ะด้วยสภาพสุดจะบรรยาย โอ้โหคราบน้ำลาย อี๋ ~ นี่ผมเผลอหลับไปกับโต๊ะตั้งแต่ตอนไหนวะเนี่ย เมื่อคืนผมว่าผมก็นั่งอ่านชีวะอยู่ดีๆนะ -______- ไหงอ่านไปอ่านมาเช้าเลย แฮ่ ! ปวดคอสุดครับพูดเลย
[ตื้ดดดดดดดดดดดดดดดดด]
เสียงโทรศัพท์ยังคงดังต่อเนื่องกดดันให้ผมหยิบมารับ ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบแล้วดูเบอร์หน้าจอของปลายสาย เมื่อรู้ว่าเป็นใครนิ้วเรียวไม่รอช้ากดรับอย่างว่าง่ายทันที
"ว่า"
"วันนี้ว่างป่าววววว"
"อื้อว่าง มีระ" ผมคุยโทรศัพท์ทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ ไม่ต้องสงสัยครับว่าใครโทรมา คิมยูคคนเดิมเพิ่มเติมเดี๋ยวบอกนั่นแหละครับไม่ใช่ใคร
"มึงมาติวหนังสือที่บ้านกูม้ะ มิ้นกับไอ้ปลื้มแล้วก็ไอ้เตนล์ก็ ..."
"มึงจะให้กูติวไรพูดมา" ผมทำหน้าเอือมฟังไอ้ยูคดัดเสียงฟรุ้งฟริ้งจนทนไม่ไหวต้องขัดคอมันไป ก่อนจะยกมือข้างที่ว่างดันแว่นตาที่เกือบจะหลุดให้เข้าที่แล้วรอฟังคำตอบของเพื่อนรัก
"ติวอิ๊งค์ให้กูหน่อยสิเพื่อนร๊ากกกกกก"
"เออจบ แค่นี้แหละอีกหนึ่งชั่วโมงเจอกัน" ผมกดตัดสายใส่มันแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะทันที เฮ้อออออง่วงงงงงงงงงงงงงงงง
----------
ก็อกๆๆๆ
สองขาน้อยๆในสลิปเปอร์รูปหมาเดินออกมาหยุดลงหน้าห้องตรงข้าม ผมยกมือเคาะประตูสองสามทีเป็นมารยาททั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่าเจ้าของห้องไม่เคยจะล็อคห้องสักที เปิดประตูอ่อยตลอดด
"พี่มาร์คคคคคตื่นนนนนนนนนน ไปบ้านไอ้ยูคเป็นเพื่อนแบมหน่อยยยย" ผมลดมือที่เคาะประตูลงแล้วเปิดเข้ามาก่อนจะโวยวายตั้งแต่ยังไม่ทันได้ปิดประตูห้อง แหมวันนี้ผมอยากจะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติแบมแบมจริงๆเลยครับ ก็วันนี้ผมได้ปลุกพี่มาร์คด้วยอ่ะ ปกติมีแต่โดนปลุกตลอด โว้วววววตื่นเต้น
"พี่มาร์ค .. ค ... อัคๆๆๆ" สองขายาวของผมก้าวไปหยุดลงข้างเตียงแล้วจับแขนพี่มาร์คเขย่าๆหวังให้คนบนเตียงตื่นสักที ไม่รู้ผมเขย่าพี่มาร์คหรือโดนเขย่าเองก็ไม่รู้นะครับ ผมนี่สั่นเป็นเจ้าเข้าเลย แต่พี่มาร์คนี่ก็หลับลึกเอาเรื่องเหมือนกันเนอะ ขนาดผมเขย่าแรงขนาดนี้ยังหลับสนิทศิษย์ส่ายหน้าอยู่เลย ตื่นมั้ยล้ามาร์คต้วนนนนนนนน !! ~
"พี่มาร์คตื่นเถอะพลีสสส ไปเป็นเพื่อนแบมหน่อยนะ"
เงียบ ...
"พี่มาร์คต้วนคนหล่อ ตื่นนนนนนเถอะค้าบบบ"
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ...
"พี่มาร์คอ่ะ จะไม่ตื่นจริงๆเหรอ" ด้วยความง่วงบวกความเบลอของคนเพิ่งตื่นนอนอย่างผมเรี่ยวแรงในการปลุกพี่ชายหน้าหล่อเลยต่ำเตี้ยเรี่ยดินไปด้วย ผมหยุดเขย่าแขนแล้วปล่อยลงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิข้างๆเตียง มองหน้าพี่มาร์คผ่านกรอบแว่นตาหนา หลายคนอาจจะยังไม่รู้ใช่มั้ยล่ะครับว่าผมใส่แว่น อ่ะถ้าไม่รู้ก็รู้ซะตั้งแต่นี้แล้วกัน ผมสายตาสั้นครับ สั้นมากด้วย สั้นตั้ง 700 แหนะ แต่ปกติผมไม่ค่อยใส่แว่นหรอกครับ จะใส่คอนแทคเลนส์ซะมากกว่า เพราะเวลาผมใส่แว่นมันเกะกะแถมไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่ ..... เอาจริงๆคือมันไม่หล่อ จบ
ผมนั่งเงียบมองหน้าพี่มาร์คที่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่น หันไปมองนาฬิกาบนฝาผนังก็เพิ่งสองโมงเช้า ความง่วงเริ่มเข้าครอบงำผมอีกรอบแต่ผมก็รีบสะบัดหัวไล่มันออกไปอย่างเร็ว ตอนแรกว่าจะอาบน้ำก่อนแต่คิดไปคิดมาปลุกพี่มาร์คก่อนน่าจะดีกว่า
พี่มาร์คยังคงนอนหลับสนิท ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ และในตอนนั้นเองไม่รู้ว่าอะไรดลใจผมให้ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ภูติตัวน้อยทั้งขาวทั้งดำในตัวผมก็ไม่มีใครคิดจะเตือนด้วยนะ เหมือนคนไม่มีสติ ผมค่อยๆยื่นหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้ๆพี่มาร์ค แล้วจุ๊บแก้มคนหล่อเบาๆ ...
.....
หืม ...
ผมค่อยๆถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง แล้วความเขินคูณล้านก็พุ่งขึ้นหน้าผมอย่างไว ไอ้ชิพหายยยยยยยยยยยย นี่ผมทำอะไรลงไป -[]- !!!!!
ผมเด้งตัวกลับมานั่งหลังตรงอย่างไว เผลอยกมือขึ้นจับปากตัวเองแล้วก็อยากจะตีตัวเองให้ตายไปข้างงงงงงง ไอ้บ้าาาาาาา ทำอะไรของมึงครับบบบบ
"ฮึ ..." เสียงหลุดขำดังขึ้นมาในความเงียบ เสียงใครฟ้ะ ! สมองผมประมวลผลอย่างไว ห้องนี้มีแค่ผมกับพี่มาร์ค แล้วผมก็ไม่ได้หัวเราะ งั้นเป็นใครไม่ได้แล้วล่ะนอกจากมาร์คต้วน ! ผมเงยหน้ามองพี่มาร์คทันที รอยยิ้มขำของคนบนเตียงทำหัวใจผมเต้นรัวถี่ๆ ก่อนที่พี่มาร์คจะค่อยๆลืมตาขึ้นมามองผมด้วยแววตายิ้มๆสดใสยิ่งกว่าแสงแดดเช้านี้อีกครับ
"ทำอะไร ..." พี่มาร์คพูดแล้วกลั้นยิ้มสุดใจ อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจของผมตอนนี้ติดขัดไปหมด ผมหันซ้ายหันขวาไปมา แม่งโคตรอายเลย อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก
"ทะ ... ทำ ... ทำอะไรเล่า ... ป๊าววววว"
"ปากแข็ง ลักหลับก็เห็นๆอยู่" พี่มาร์คแกล้งผมด้วยรอยยิ้มกว้างๆ ทำเอาผมยิ่งพูดไม่ออก เขินมั้ยล่ะสังคมมมมมมมม
"มั่วววววววววว ฝันรึเปล่าเมื่อกี้อ่ะ แบมไม่ได้ทำเหอะพี่มาร์ค" ผมพูดปัดๆแบบหน้าด้านสุดชนิดที่ยังอายตัวเอง พี่มาร์คจ้องหน้าผมแล้วอยู่ๆก็ลุกขึ้นนั่งด้วยความเร็วสูงจนผมเผลอถอยหนีด้วยความตกใจ อะไรของพี่ฟ้ะ !
"จะฝันได้ไง ก็พี่ตื่นตั้งแต่แบมเข้ามาในห้องแล้วอ่ะ"
"อะไรนะ!!" ตากลมที่โตอยู่แล้วของผมยิ่งโตเท่าไข่ห่านเมื่อได้ยินประโยคเรียบๆหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า
"อ้าววววว !! แล้วแบมปลุกตั้งนานทำไมไม่ตื่น!!" พี่มาร์คยิ้มร่าหน้าตาดูมีความสุขที่ได้แกล้งผมให้โมโห ด้วยความโมโหที่โดนหลอกผมเลยลุกขึ้นไปทุบพี่มาร์คจนคนหน้าหล่อหงายหลังนอนราบไปกับเตียง ได้โอกาสผมเลยยิ่งได้ที หยิบหมอนบนเตียงฟาดพี่มาร์คไปไม่ยั้ง
"หนอยยยยยยยย ! แกล้งแบมใช่มั้ย แกล้งกันนักใช่มั้ยยยย มันต้องโดนแบบเน้ ! มาร์คต้วน !!"
"โอ๊ะแบม .. 555555555 อย่าาา โอ๊ะโอ๊ยย ยอมๆๆ ยอมแล้วๆ" พี่มาร์คเอามือปกป้องตัวเองสุดชีวิตแต่ก็ยังดูมีความสุขวัดได้จากรอยยิ้มแล้วเสียงหัวเราะสไตล์มาร์คต้วน ผมหยิบหมอนสองสามใบฟาดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เหมือนจะยังไม่หนำใจผมจึงหยิบหมอนใบเล็กขึ้นปิดหน้าคุณชาย สองแขนคร่อมคนตัวสูงไว้โดยไม่ได้คิดอะไร
"แฮกแบมมมมม ... หายใจไม่ออกก 555555 ยอมแล้วววว"
"ทำเป็นยอมมมม แบมไม่โง่นะพี่มาร์ค !" ถึงตลอดมาจะโง่ก็เถอะ แต่ตอนนี้แบมฉลาดขึ้นแล้วนะเฟ้ย!
"โอ๊ยยอมๆ ยอมจริงๆ ปล่อยเถอะพลีส"
"เชื่อก็ควายแล้วพี่มาร์คคคคคคค !"
"จะไม่ปล่อยดีๆใช่มั้ยเด็กอ้วน!" พี่มาร์คดิ้นแล้วโผล่หน้าขึ้นมามองผมเอาเรื่อง
"โห! เมื่อกี้พูดอะไรนะ ! ใครอ้วนไอ้พี่บ้า !" จังหวะที่ผมโมโหเพราะโดนดูถูกว่าอ้วน พี่มาร์คก็ทำอารยะขัดขืนยกมือสองข้างขึ้นมาจับข้อมือผมไว้แน่นแล้วดันให้ผมเซลงไปนอนราบกับเตียงด้านข้าง ก่อนที่พี่มาร์คจะเป็นฝ่ายพลิกตัวคร่อมผมไว้แทน ขาแกร่งสองข้างกดขาผมไว้กับเตียงแล้วจัดการตรึงแขนผมไว้กับที่นอนจนผมขยับไม่ได้เลย กรี๊ดดดดดดดดดดด นี่มันโศรแบม
“ไอ้พี่มาร์ค !! ปล่อยยยยยยยยย !” ผมแหกปากแล้วดิ้นๆอยู่ภายใต้ร่างของคนหล่อที่กำลังใช้แววตามองผมยิ้มๆ
“พูดไม่เพราะ ! อย่างงี้ต้องลงโทษ !”
“No ! Mark ! Stoppppppppppppp !! ~” ไอ้พี่มาร์คหรี่ตาลงราวกับหมาป่าจ้องเหยื่อ ใบหน้ากับกลิ่นน้ำหอมที่ใกล้เข้ามานั้นทำให้ผมรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“หึหึหึหึ” สาบานให้ตายเหอะ โคตรเกลียดเสียงพี่มาร์คเลย -____-
“pleaseeeeeeeeeee markkkkkk stop !”
“no way bro let’s play together !” ทูเกตงทูเกเตอร์อะไรล่ะ ไม่โว้ยยยยยยยยยยยยยย !
ผมเบี่ยงหน้าหันหนีทันทีเมื่อหน้าพี่มาร์คเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะคุณชายเอามือดันใบหน้าของผมให้หันกลับมาจ้องหน้ากันและกัน ผมอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด ! ใบหน้าใสใกล้เข้ามาช้าๆให้ผมใจเต้นเล่น ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ถูกแกล้งแบบนี้ผมก็ไม่เคยชนะได้เลยสักครั้ง ผมหลับตาปี๋อย่างรอรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นกับแก้มย้วยๆของผมอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้มันกลับแตกต่างออกไปนิดหน่อย …
พี่มาร์คก้มหน้าลงจนลมหายใจรดกับแก้มของผม แต่อยู่ดีๆมันก็ถูกเปลี่ยนตำแหน่งไปยังหน้าผากของผมทันที ลมหายใจอุ่นๆกับปากนุ่มของคนด้านบนจดกับหน้าผากของผมอย่างอ่อนโยน ใจที่เต้นรัวเมื่อกี้กลับเงียบลงจนผมเผลอลืมตาขึ้นมองด้วยความฉงน พี่มาร์คละริมฝีปากออกจากหน้าผากของผม สองแขนแกร่งยันกับที่นอนไว้แล้วก้มลงมองหน้าผมที่ลืมตาขึ้นมาป้ะกันพอดิบพอดี
“Morning kiss ma baby” แล้วพี่มาร์คก็ลุกออกไปทิ้งผมให้นอนหน้าเหวอมองเพดานพร้อมกับความรู้สึกที่อึ้งสุดๆ ความรู้สึกที่อยากจะยิ้มออกมาให้แก้มแตก
ไอ้พี่บ้าเอ้ยยยยย baby อะไรเล่า ! -3-
--------------------
ตอนนี้ผมกับพี่มาร์คอยู่ที่บ้านของไอ้ยูคแล้วล่ะครับ ทั้งๆที่เป็นวันหยุดแต่พ่อกับแม่ของมันกลับไม่อยู่บ้านเลยสักกกกกกกกกกกคน พี่ยองแจก็ออกไปข้างนอก ทำให้พวกผมอันประกอบไปด้วยผม พี่มาร์ค ไอ้ยูค ไอ้มิ้น ไอ้ปลื้ท ไอ้เตนล์ และสุดท้ายหวังแจ็คสันก็หวานหมูกันสิค้าบบบบบ บ้านเพื่อนตอนที่ไม่มีใครอยู่เนี่ยแหละสนุกสุดละ ลุยยยย
ตอนนี้พวกผมยึดพื้นที่ห้องนั่งเล่นของบ้านไว้เป็นแหล่งซ่องสุมเรียบร้อยแล้วครับ ของกินทั้งบ้านไอ้ยูคตอนนี้ถูกปล้นออกมากองไว้ที่โต๊ะของพวกเราแบบกองเป็นภูเขาเลย ทั้งกระดาษ ชีทงาน หนังสือ โพสอิท ปากกาไฮไลท์ และอะไรไม่รู้มากมายก็วางระเนระนาดตามพื้น มีมนุษย์เพื่อนนอนตายกันเรี่ยราดพร้อมกับชีทในมือ โดยมีผมรับหน้าที่เป็นติวเตอร์ของวันนี้ครับ เพราะวันนี้เนี่ยเราติววิชาภาษาอังกฤษของครูรัชชนีที่ขึ้นชื่อว่าโหดหินสุดในโรงเรียนเลยก็ว่าได้กันนั่นเอง
“ควายยยยยยยย ข้อนี้ตอบ a เว้ย massive มันคือ immense แปลว่า มหึมา ข้อนี้ทีชเชอร์ออกบ่อยละนะ เมื่อไหร่จะจำ” ผมยกปากกาเคาะหัวไอ้ปลื้มที่นอนอยู่ข้างๆ จนมันกลิ้งหนีไปที่อื่น มีแค่ผมกับไอ้มิ้นสองคนครับที่นั่งติวกับโต๊ะดีๆกัน ส่วนนอกนั้นก็นอนติวอยู่กับพื้น ผมก็ไม่เข้าใจพวกมันเหมือนกันว่าโต๊ะดีๆมีทำไมไม่นั่ง -”-
“อ้าว massive ไม่ใช่ incentive เหรอ”
“แหม่ตอบมาซะมั่นใจเลยนะมึง ! incentive แปลว่าแรงจูงใจเว้ย” ไอ้ยูคเด้งตัวขึ้นมาหยิบขนมบนโต๊ะเคี้ยวแล้วหัวเราะกับความฉลาดน้อยของไอ้ปลื้ม
“มึงก็ไม่ต้องหัวเราะเลยยูค”
“เอ้าาา เกี่ยวไรกับกู”
“มึงก็ผิดไม่น้อยไปกว่าไอ้ปลื้มหรอกค้าบเพื่อน พวกมึงสองคนอ่ะไปท่องศัพท์ให้มันเยอะกว่านี้หน่อย ใจป้ะ”
“ค้าบพ่อออออออ นี่เห็นว่ามึงให้กูลอกอังกฤษบ่อยหรอกนะถึงยอมขนาดนี้อ่ะ ไว้วิชาคณิตของกูก่อนเถอะมึงงงง” ไอ้ปลื้มเด้งขึ้นมานั่งชี้หน้าผมก่อนจะหยิบขนมใส่ปากอีกคน ในตอนนั้นไอ้มิ้นที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองพวกผมก่อนจะปิดหนังสือลงเบาๆ
“หิวอ่ะ” เพียงแค่ผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มเอ่ยออกมา ไอ้ยูค ไอ้ปลื้ม ที่กำลังคุยกัน และไอ้เตนล์ที่นอนอยู่ก็ปิดหนังสือวางปากกาแทบจะพร้อมกันทันที
“ปะหาไรแดกกัน” เป็นไอ้ปลื้มนั่นเองที่ลุกขึ้นก่อนชาวบ้าน มันเดินนำลิ่วไปยังห้องครัว ก่อนจะเดินวกกลับมาเมื่อไม่มีใครตามมันไปสักคน
“ไม่แดกเหรอครับเพื่อน !”
“กูลืมบอกว่ะเพื่อน บ้านกูไม่มีไรกินนอกจากขนมที่พวกมึงปล้นออกมาหมดแล้วนั่นล่ะ”
“อ้าว แล้วจะทำไงล่ะเพื่อน นี่เพื่อนมาบ้านเพื่อน เพื่อนไม่คิดจะหาอะไรเลี้ยงดูเพื่อนเลยเหรอครับเพื่อน”
“เพื่อนครับ นี่บ้านกูครับไม่ใช่โรงทาน -____-” แล้วไอ้ยูคก็ลุกขึ้นตบหัวไอ้ปลื้มไปหนึ่งแปะ ผมไอ้มิ้นไอ้เตนล์นั่งดูพวกมันทะเลาะกันแล้วก็ได้แต่นึกขำ ก่อนที่ไอ้มิ้นมันจะลุกขึ้นชวนผมกับไอ้เตนล์เข้าครัวไปหาอะไรทำ ปล่อยให้ไอ้พวกบ้ามันทะเลาะกันอยู่ตรงนี้อ่ะดีแล้วครับ
------------------
“ในตู้เย็นมีไข่ ผักสลัด มีเนื้อไก่นิดหน่อย โอ๊ะมีชีสด้วย รู้ละจะทำอะไร งานนี้เดี๋ยวพี่มิ้นจัดให้ รอกินเลยนะเด็กๆ” ไอ้มิ้นพูดไปค้นของในตู้เย็นออกมาวางไว้บนโต๊ะไป โดยมีผมกับไอ้เตนล์ที่อาสาเป็นลูกมือนั่งมองอยู่ใกล้ๆ เสียงปิดตู้เย็นดังขึ้นพอดีกับที่ไอ้เจ้ของกลุ่มหันกลับมามองหน้าผมสองคน
“มองอะไร !? ไปล้างผักสิคะ ยืนบื้ออยู่ได้ ไปๆๆ” ไอ้เตนล์คว้าผักแล้วชวนผมไปล้างทันที พวกผมสองคนเดินมาหยุดที่ล้างผัก เปิดน้ำออกเบาๆแล้วช่วยกันเอาผักที่มีอยู่ล้าง
“แบมไม่ต้องช่วยก็ได้นะ เดี๋ยวเราทำเอง” ไอ้เตนล์หันมามองหน้าผมแล้วพยักเพยิดให้ผมกลับไปนั่งบนเก้าอี้แต่โดยดี
“เห้ยได้ไง ช่วยกันดิ”
“เอางั้นเหรอ แต่ผักมันนิดเดียวเอง ทำคนเดียวก็ได้”
“จะเยอะหรือจะน้อยก็ต้องช่วยกัน กูก็เป็นคนกินนะเว้ย จะมาเอาเปรียบมึงได้ไงวะ ไปๆล้างต่อเหอะ อย่าพูดมากมึงอ่ะ” ผมหันหน้าตัดบทสนทนากลับมาจดจ่อกับการล้างผักตรงหน้าต่อ
“แบมนี่นิสัยดีเนอะ”
“อารมณ์ไหนของมึงเนี้ย อยู่ๆก็มาชมกู”
“ไม่รู้ดิ ก็แค่พูดไปตามที่คิด”
“หราาาาาาา”
“เออแล้วนี่พี่มาร์คอยู่ไหนอ่ะ” ผมปิดวาวน้ำเมื่อล้างผักเสร็จก่อนจะช่วยกันเอาผักใส่ในชาม แล้วหันมองหาคนที่ถูกถามถึง
“ไม่รู้ดิ อยู่กับแจ็คสันอ่ะ สงสัยอยู่บนห้องล่ะมั้ง เห็นหายไปด้วยกันตั้งแต่มาถึงละ” ผมตอบส่งๆไปแล้วเอาชามใส่ผักไปวางไว้บนโต๊ะ ยืนมองไอ้มิ้นที่กำลังทำอะไรสักอย่างกับไก่ แล้วไอ้เตนล์ก็เดินเช็ดมือมาหยุดอยู่ข้างๆผม
“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นแบมกับพี่มาร์คอยู่ด้วยกันเลยเนอะ” ผมละสายตาจากไอ้มิ้นกลับมามองไอ้เตนล์อย่างงงๆ
“หืม ก็อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนะ ทำไมถามงั้นอ่ะ”
“จริงดิ ก็ตอนที่แบมไปบ้านเราอ่ะ เราก็นึกว่าพี่มาร์คจะไปด้วยซะอีก เห็นปกติตัวติดกันอย่างกับปลาท่องโก๋”
“อ๋อ ตอนนั้นพี่มาร์คไม่สบายไง อยู่โรงพยาบาล”
“อ๋อ งี้นี่เอง ….” แล้วอยู่ๆบทสนทนาระหว่างผมกับมันก็หยุดลงดื้อๆ ท่ามกลางความเงียบที่เข้าปกคลุมสักพัก อยู่ๆไอ้เตนล์ก็ถามขึ้นมาอีก
“เออแบม”
“วันนั้นอ่ะ แบมวิ่งหนีอะไรที่บ้านเราเหรอ ?”
---------- 80% ----------
“วันนั้นอ่ะ แบมวิ่งหนีอะไรที่บ้านเรามาเหรอ เห็นหน้าตาตื่นมาเชียว” คำถามเรียบง่ายดูไม่น่าจะตอบยากหากแต่สามารถทำให้ผมใจสั่นได้ เป็นเพราะภาพวันนั้นมันฉายชัดขึ้นมาอีกครั้งในความคิด ผมพยายามคุมสติไม่ให้ผิดสังเกตุไป เอาตรงๆนะครับ นับตั้งแต่ที่ความจริงปรากฎว่าเตนล์คือน้องชายของไอ้ตินท์ ยอมรับเลยว่าความรู้สึกของผมที่เคยสนิทใจกับไอ้เพื่อนต่างห้องคนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปด้วย ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่านิสัยมันจะเลวเหมือนพี่ชายมันมั้ยก็ตาม
“ป่าวนิ หน้ากูดูตื่นเต้นเหรอ”
“ก็ …. คงงั้นมั้ง ไม่มีอะไรเหรอ” เตนล์ลอบมองผมด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ถูก ผมเลยเลี่ยงที่จะจบบทสนทนาตรงนี้ด้วยการกวนตีนมันไป
“อะ กูบอกก็ได้ ความจริงแล้วก็คือ … กูเห็นผีว่ะ”
“ผี !!!?” ดูแผนนี้จะได้ผล ไอ้เตนล์ผงะตาโตเท่าไข่ห่าน มันเผลอกลืนน้ำลายแล้วถามผมต่อ เอาแล้วไง เรื่องยาวแน่แบม
“ผีอะไร แบมเจอที่ไหน ห้องไหนอ่ะ ผีผู้หญิงหรือผู้ชาย !!??”
“ก็ผีอ่ะ มันดำๆตะคุ้มๆ มองไม่ออกหรอกว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย อีกอย่างวินาทีนั้นอ่ะใครจะไปสนวะว่าเพศไหน วิ่งสิครับวิ่ง!” ไอ้เตนล์หน้าตาตื่นเต้นใหญ่โตจนผมต้องแอบขำในใจ อยู่ๆเสียงวิ่งลงบันไดตึกตักเสียงดังก็ทำให้บทสนทนาหยุดชะงักกึก ผมหันไปมอง พี่มาร์คคึคนหล่อวิ่งลงมาจากชั้นสองหลังจากไปขลุกตัวอยู่กับพี่เตี้ยนานแสนนาน คุณชายขายาวเดินดุ่มๆเข้ามาในห้องครัวแล้วมายืนอยู่ข้างๆผม
“ทำอะไรอยู่” ผมหันไปมองคุณชายด้วยสีหน้าเพลียแดด เอาจริงก็เห็นอยู่ว่าทำอะไรยังจะมาถามอีก
“ซักผ้าครับ” ตอบเสร็จผมก็ยิ้มตาหยีใส่ตามสไตล์คนกวนตีน จะกวนทีต้องกวนให้สุด จะมากวนแค่ห้าบาทสิบบาทไม่ด้ายยยยยย
“หึ เด็กบ๊อง” พี่มาร์คหลุดขำพรืดพร้อมกับก้มหน้าลงยิ้มๆ แม่งเอ้ยโคตรหล่อเลยม๊าครับ เสี้ยวหน้าได้รูปที่ผมกำลังมองเพลินๆเงยขึ้นมามองผม รู้สึกมั้ยว่าโลกนี้มันสีชมพูเกินไปละ พี่มาร์คยกมือเคาะหัวผมเบาๆพร้อมรอยยิ้มใสสไตล์มัคคึ เสียงกระแอมเบาๆดังมาจากไอ้เตนล์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงวางมีดดังๆจากไอ้เจ้มิ้น
“โอยยยยยยยย อย่ามาจีบกันแถวนี้ แยกค่ะแยก” ไอ้มิ้นหยิบมืดขึ้นมาสับไก่ไปด้วยบ่นผมสองคนไปด้วย จนทำเอาผมเผลอยืนเกาหัวเก้อๆด้วยท่าทีที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนไอ้พี่มาร์คปล่อยไปแม่งฟังไม่ออกอยู่แล้วล่ะ
“ไปไอ้แบม ถ้าจะว่างจนมายืนจีบกันงี้ก็ช่วยไปซื้อน้ำปลาให้หน่อยดิ้ บ้านไอ้ยูคนี่ก็ยังไงนะ รวยแต่ไม่มีน้ำปลาเลยสักขวด เอ้าเอาเงินไป” ไอ้เจ้วางเงินไว้บนโต๊ะแล้วหันไปทำอะไรหยุกหยิกๆคนเดียวต่อ ผมเลยหยิบเงินแล้วลากพี่มาร์คเดินออกมาเงียบๆ ปล่อยให้ไอ้เตนล์มันโดนบ่นไปครับ บ้านก็บ้านแฟนมัน ไม่มีน้ำปลาก็บ้านแฟนมัน มาบ่นอะไรเพื่อนล่ะ ไปบ่นแฟนตัวเองโน้นนน เว้ออออ
----------
Mark’s part
แบมน่าจะคงไม่รู้ว่าการจับข้อมือคนอื่นแล้วเดินไปด้วยรอยยิ้มกว้างแบบนั้นมันทำให้คนอื่นหวั่นไหวได้ โดยเฉพาะคนที่รู้สึกดีกับน้องอย่างผม :)
ผมถูกเด็กก้อนจับข้อมือลากออกมาจากบ้านของยูคยอม ตั้งแต่ท้ายซอยจนมาถึงปากซอยแบมๆก็ยังคงไม่ปล่อยมือผมออกเลยครับ ผมไม่รู้ว่าเพราะแบมลืมตัวหรือเพราะน้องอาจจะอยากเต๊าะผมก็ไม่รู้
“พี่มาร์คๆๆ แบมอยากกินไอ้นั่นอ่ะ” เราสองคนเดินมายังปากซอยที่ตั้งแต่ตอนมาก็เห็นแล้วว่ามันมีตลาดนัดเล็กๆตั้งอยู่ใกล้ๆเซเว่น น้องลากข้อมือผมตรงดิ่งเข้าไปที่ตลาดนัดโดยลืมจุดประสงค์ว่าเราต้องมาซื้อน้ำปลา ._. ก็อยากจะเตือนน้องอยู่หรอกครับว่ารีบซื้อรีบกลับเถอะเดี๋ยวมิ้นจะรอนาน แต่พอได้เห็นแววตาเป็นประกายยามเห็นของกินของแบมแบมแล้ว ใจผมก็อ่อนยวบเลย
“พี่มาร์ค อันนั้นก็น่ากินอ่ะ ซื้อสองอย่างเลยดีม้ะ เห้ยอันนั้นก็ไม่ได้กินมานานแล้วของโปรดเลย โอเคแบมซื้อสามอย่างเลยละกัน” แบมบ่นอยู่คนเดียวโดยมีผมที่ถูกลากไปมาคอยยืนรับฟัง หลังจากตัดสินใจได้เองเสร็จสับ เด็กก้อนก็ลากผมตรงดิ่งเข้าร้านขายของหวานทันที
“เห้ยเดี๋ยว!” อยู่ๆน้องก็ตะโกนออกมาแล้วเบรกตัวหยุดกึกจนผมที่ไม่ทันตั้งตัวเบรกแทบไม่ทัน แบมแบมหันมาหาผมด้วยหน้าแมวหงอย จนผมที่เหวออยู่ต้องถามออกไป
“อะไร?”
“แบมลืมเอาเป๋าตังมา” เกิดเดดแอร์ขึ้นระหว่างผมกับน้องประมาณสามวิ แล้วผมนั่นเองที่เป็นฝ่ายหลุดขำออกมา
“พี่มัคคคคค” น้องมองหน้าผมด้วยสายตาแมวน้อย ผมรู้ได้ในทันทีเลยว่าแบมแบมกำลังต้องการอะไร
“อะไร”
…. แต่ขอผมแกล้งเด็กก้อนก่อนแปบนึงนะครับ
“พี่มัคคคคคคคคคค” เด็กก้อนกระพริบตาใส่ผมรัวๆกะให้ผมใจอ่อนเหมือนทุกครั้ง แต่ผมก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป
“อะไรครับบบบ” ผมพูดลากเสียงยาวแล้วจ้องน้องด้วยรอยยิ้มนิ่งๆเหมือนเวลาผู้ใหญ่กำลังต้อนเด็กให้พูด
“ชื๊อให้เก๊าหน่อยจิ” เหมือนเดิม สุดท้ายเด็กก้อนก็ปล่อยพลังออดอ้อนสุดแรงเกิดที่อาจแอคเท็คคนอื่นตายได้ ยกเว้นผมที่มีแรงต้านทานแล้ว น้องยกนิ้วจิ้มๆต้นแขนผมพร้อมสายตาแมวน้อยขี้อ้อน
“พี่ไม่ได้เอากระเป๋าตังมา”
“โห่วววววว เซ็งเลย ไป๊! ไปซื้อน้ำปลา” เหมือนเทปคนละม้วน ทั้งสีหน้าทั้งน้ำเสียงของเด็กก้อนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนเป็นผมอีกนั่นแหละที่ต้องแอบขำในใจ
น้องปล่อยข้อมือผมออกแล้วเดินดิ่งจะข้ามถนนไปเซเว่นฝั่งตรงข้าม ผมเลยเดินตามไปยืนข้างๆแล้วกระซิบกับเด็กก้อนที่ยืนทำหน้าเซ็งเป็ด
“ลืมกระเป๋าไว้บ้าน แต่พกเงินมาอยู่นะ” ผมยืดตัวออกแล้วชูแบงค์พันที่ผมพกใส่กระเป๋ากางเกงออกมาตรงหน้าเด็กก้อนที่หันหน้ากลับมาทันที
“โหวววววพี่มาร์ค แล้วทำไม่บอก แบมหมดอารมณ์กินแล้ว”
“ก็อยากแกล้งก่อนไง สนุกดี”
“สนุกคนเดียวเหอะ แบมหิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
“งั้นกลับไปซื้อกัน เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” น้องหน้าบึ้งเงียบไปสักครู่ แล้วก็ยิ้มออกมาหมดฟอร์ม
“จริงนะ”
“อื้อ ป้ะ” ผมพยักหน้าให้แล้วก็ถือวิสาสะรวบมือเด็กก้อนมาจับไว้เอง ออกแรงดึงนิดเดียวน้องก็ตามผมมาอย่างง่ายดายแล้ว เราสองคนเดินกลับมาที่ร้านก่อนหน้านี้ เด็กก้อนดูแฮปปี้จนผมอดยิ้มตามไม่ได้
“ป้าครับ เอาอันนี้ อันนี้ แล้วก็ … อันนั้นครับ กลับบ้านนะครับบบ หิวมากเลย” คุณป้าขายขนมหวานจัดการตามที่เด็กก้อนสั่งด้วยรอยยิ้ม เอาจริงใครๆก็เอ็นดูแบมแบมครับ ไม่ต้องทำอะไรมากแค่น้องยิ้มคนก็รักก็หลงกันเป็นแถวแล้ว
ไม่ถึงห้านาทีเราสองคนก็เดินออกมาจากร้าน ผมยังคงจับมือเด็กก้อนที่ตอนนี้เอาแต่สนใจขนมในถุงมากกว่า ผมหันไปมองเด็กข้างๆ เราสองหยุดยืนอยู่ตรงทางข้ามไปอีกฝั่งเพื่อจะได้ซื่อน้ำปลาที่เซเว่นฝั่งตรงข้าม สัญญาณไฟยังคงเป็นสีแดง รถยนต์หลายคันวิ่งผ่านไปน่าเวียนหัว ผมมองไปยังฝั่งตรงข้ามที่มีคนรอข้ามมาฝั่งนี้เช่นกัน มองจนกระทั่งได้เห็นว่า ท่ามกลางผู้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้น มีใครบางคนยืนอยู่ตรงกลางแล้วมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หัวใจผมกระตุกวูบด้วยความรู้สึกมากมายที่เข้ามาตีกัน พร้อมกับหนึ่งคำถามที่เด่นชัดในความคิดของผม
มันมาที่นี่ทำไม …
แววตาของมันจับจ้องมาที่ผมกับน้อง มันรู้แล้วว่าเป็นผม แววตานั้นมองมาด้วยอารมณ์ยากที่จะเข้าใจ ผมไม่รู้ว่ามันกำลังคิดจะทำอะไร แต่ตราบใดที่มันยังตามผมมา นั่นหมายความว่า …
ผมต้องปล่อยมือแบม …
ก่อนสัญญาณไฟจะเปลี่ยนไปให้ข้ามถนน ผมค่อยๆคลายข้อมือน้อยนั้นทีละนิด ทีละนิด ก่อนจะปล่อยมือแบมแบมให้หลุดร่วงลงไปจากมือของผม วูบหนึ่งในความคิด ผมรู้สึกใจหายเหมือนว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย
ครั้งสุดท้ายที่มือของผมจะได้ปกป้องแบม
ผมปล่อยมือน้องออก ทำให้แบมแบมหันมามองหน้าผมงงๆ สัญญาณข้ามถนนเปลี่ยนพอดี ผมเดินนำออกมาโดยไม่แม้แต่จะรอน้อง เพื่อตรงดิ่งไปหา “มัน” คนนั้นที่ยืนอยู่
ผมเดินมาหยุดอยู่ข้างมันโดยไม่มองหน้า มันหันมามองผม ผมเห็นได้ด้วยหางตา และกำลังเห็นอีกว่า เด็กก้อนวิ่งตามผมมาทางนี้แล้ว … ผมหันไปมองหน้ามันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่สาบานเลยว่าไม่เคยมีใครได้ยิน
“มึงมาที่นี่ทำไม … ไอ้ตินท์”
---------- 100% ----------
ความคิดเห็น