คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ร้อยรักสลับภพ 1 : ยามเมื่อลมพัดหวน
ร้อยรักสลับภพ
1
------------------------------------------
ยามเมื่อลมพัดหวน ลมก็อวลแต่กลิ่นมณฑาทอง
วันเวลาพัดพาใครบางคนให้หมุนวนกลับมายืนที่เก่า...
สายลมแผ่วเบาพัดพาดอกแก้วสีขาวสะอาดร่วงหล่นลงบนพื้น
พร้อมกับรถตู้สีดำเลี้ยวเข้ามาในบริเวณบ้าน
บ้านหลังใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเมื่อกันต์นธีและทีมออกมายืนอยู่นอกรถ ร่างเล็กยืนมองภาพตรงหน้านิ่งไปสักพักราวกับกำลังคิดอะไรอยู่คนเดียว ก่อนที่ดวงตากลมจะเลื่อนลงมองภาพในแฟ้มอีกครั้ง น่าแปลกที่นับตั้งแต่รถตู้เคลื่อนเข้ามาภายในรั้วบ้านหลังนี้ ตั้งแต่ที่บ้านหลังใหญ่ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า และนับตั้งแต่ที่ขาทั้งสองข้างได้หยัดยืนอยู่บนพื้น เขารู้สึกคุ้นเคยจนน่าประหลาดใจ...
คุณเคยรู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งที่เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกหรือเปล่า
ความรู้สึกแบบนี้มันมหัศจรรย์ดีนะ...
กันต์นธียืนมองบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย บ้านเก่าที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก บ้านเก่ากลางกรุงที่ถูกโอบล้อมไปด้วยความเจริญของยุคสมัย แต่ทว่ากลิ่นอายของชีวิต กลิ่นอายของวันเวลา กลิ่นอายของอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ ทั้งหมดทั้งมวลดูจะยังคงถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่เป็นอย่างดี เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงยิ้มออกมาโดยไม่มีสาเหตุ รู้สึกราวกับว่าได้ย้อนกลับมายืนอยู่ ณ ยุคสมัยหนึ่งที่บ้านหลังนี้ยังมีชีวิตที่สดใส เป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์จนน่าฉงน อาจเปรียบได้กับตอนที่เรานั่งฟังคุณปู่คุณย่าเล่าเรื่องราวตอนที่ท่านยังเป็นหนุ่มสาวให้ฟังแล้วเผลอหลับไปบนตักนั้นด้วยความเป็นเด็กที่ไม่รู้ประสีประสานอกจากความอบอุ่นและความเพลิดเพลินที่ได้รับ...
โปรเจ็คใหญ่ที่เขาได้รับในครั้งนี้คือการบูรณะบ้านเก่าที่ถูกปล่อยละเลยขาดการดูแลมาอย่างยาวนาน ของคุณหญิงเสริม แน่นอนว่าออกจะไม่ใช่งานถนัดของเขาสักเท่าไหร่ และเพราะอยากหาข้อมูลเพื่อให้เพียงพอกับการทำงานในครั้งนี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมายืนอยู่ที่นี่เวลานี้
เสียงฝีเท้าดังตัดความเงียบสงบของบ้านทำให้บรรดาผู้มาเยือนต้องหันไปมอง สองเพื่อนรักและรุ่นน้องอีกสองคนยกมือไว้หญิงวัยกลางคนผู้คนหนึ่งที่เดินเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้ะ พวกหนูคือสถาปนิกที่คุณหญิงบอกว่าจะมาดูบ้านกันใช่ไหม” หญิงร่างท้วมสอบถามด้วยอัธยาศัยอันดีเยี่ยม
“ใช่ครับคุณป้า” กันต์นธีคลี่ยิ้มน่ารักให้คุณป้า
“เอ้ามาๆ ป้ากำลังรออยู่เลย”
กันต์นธีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินตามคุณป้าเข้าไปในตัวบ้าน เพื่อนและรุ่นน้องเดินล่วงเข้าไปแล้ว แต่ในตอนนั้นเองขาเรียวกลับหยุดชะงักลง ใบหน้าใสหันมองไปรอบๆอีกครั้งก่อนจะเดินตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย
แค่รู้สึกเหมือนกับมีใครบางคนกำลังมองมา...
บ้านที่พวกเขาเดินตามเข้ามานั้นเป็นบ้านโบราณที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า ภายในบ้านยังคงรักษาของเก่าดั้งเดิมไว้อย่างดีจนคนรักของเก่าอย่างกันต์นธีอดจะหัวใจเต้นรัวไม่ได้ นอกจากนั้นบ้านหลังนี้ยังคงสภาพทางสถาปัตยกรรมไว้ได้อย่างดี ดูไม่เหมือนบ้านที่ต้องการการบูรณะเสียด้วยซ้ำ
ดูเหมือนบ้านที่ยังได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีด้วยซ้ำ
“คุณป้าครับ ผมขอถ่ายรูปนะครับ” ฮุนร้องขออนุญาตผู้ดูแล ก่อนจะจับกล้องรัวชัดเตอร์เมื่อคุณป้าพยักหน้าให้
“เอาเลยจ้ะ เชิญตามสบาย”
กันต์นธีหันไปดูเพื่อนสนิทกำลังถ่ายรูปอยู่อีกมุม และรุ่นน้องทั้งสองก็กำลังสอบถามพร้อมกับจดรายละเอียดไว้ตามหน้าที่ของแต่ละคน คุณป้าคนดูแลก็เต็มใจที่จะตอบคำถามและความสงสัยเช่นกัน ทั้งยังพาพวกเขาเดินชมบ้านเสียเกือบทุกมุม แวะห้องนู้นเข้าห้องนี้ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ห้องใหญ่ห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าแก่แปลกตาไปจากห้องอื่นๆ เนื่องจากห้องที่ผ่านมาส่วนใหญ่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ใหม่เกือบหมด แต่ทว่าห้องที่เขาเข้ามายืนอยู่ในตอนนี้ เพียงแค่ก้าวเข้ามาก้าวแรกก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของบ้านสมัยก่อนที่ตั้งตระหง่านอยู่บนผืนดินนี้มาเกือบร้อยปี เฟอร์นิเจอร์เก่าแก่รวมถึงของตกแต่งทุกชิ้นทำให้เขารู้สึกได้ว่าเจ้าของบ้านตั้งใจที่จะเก็บรักษาห้องนี้ไว้ให้ปลอดภัยจากความเจริญทั้งหลายทั้งมวล และดูเหมือนว่ากลิ่นอายของอดีตทั้งหลายยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีด้วยเช่นกัน
“คุณหญิงท่านเป็นคนชอบสะสมของเก่าหรือครับป้า” ด้วยทายว่าจะเจอคนที่มีรสนิยมเดียวกันเข้าให้ กันต์นธีจึงไม่รอช้าที่จะหันไปสอบถามข้อมูลกับคุณป้าคนดูแลทันที
“เปล่าหรอกจ้า ที่เห็นในห้องนี้เป็นของคุณย่าท่านทั้งนั้น คุณย่าเจ้าของบ้านน่ะ”
“คุณย่าเจ้าของบ้าน? หม่อมหลวงวราภานะเหรอครับ”
“ใช่จ้ะ คุณย่าเป็นเจ้าของคนปัจจุบัน ตอนนี้ท่านพักอยู่เรือนเล็กข้างหลังนี่เอง ท่านแก่มากแล้วล่ะ”
“ผมเข้าใจว่าคุณหญิงเสริมเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ซะอีก”
“โอ้ยเปล่าหรอกหนู คุณหญิงท่านเป็นเพียงแค่หลานสะใภ้เท่านั้น หม่อมหลวงวราภาท่านเป็นคุณป้าของท่านณรงค์ สามีคุณหญิงเสริมจ้ะ ท่านให้ป้าเป็นคนดูแลบ้านหลังนี้ ดูแลกันมาตั้งแต่รุ่นคุณทวดแล้วล่ะ”
คุณป้าคนดูแลบ้านสาธยายประวัติของบ้านหลังนี้ให้ฟังด้วยแววตาภาคภูมิใจ
“งั้นก็แสดงว่าคุณป้าอยู่ที่นี่มานานแล้วสิครับ”
“อู้ย อยู่มาก่อนคุณหญิงเสริมแต่งเข้าบ้านอีกหนูเอ้ย”
คุณป้าโม้ถึงความเก่าแก่ของตัวเองด้วยสีหน้าแช่มชื่น แล้วพูดต่อไปว่า “...แต่ตอนนี้ลูกหลานท่านก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมดแล้ว นานๆนั่นแหละถึงจะมาเยี่ยมกันที” น่าแปลกที่ในวินาทีนั้นสายตาของคุณป้าดูสงบนิ่ง แต่ลึกลงไปกลับแฝงไว้ด้วยความปลงในอนิจจังของกาลเวลา แต่เพียงแวบเดียวนัยน์ตานั้นก็ฟุ้งหาย กลายเป็นความสดใสดังเดิม
“...สมัยเปลี่ยนอะไรมันก็เปลี่ยนล่ะนะหนู คนรุ่นใหม่ที่ไหนเค้าจะอยากมาอยู่บ้านเก่าๆแบบนี้กัน ย้ายไปอยู่คอนโดสบายกว่าเยอะ แต่ก็ยังดีนะที่คุณย่าภาท่านไม่ยอมขายบ้านหลังนี้ ท่านตั้งใจเก็บบ้านหลังนี้ไว้ต่อไป ถึงตายก็จะไม่ยอมให้ลูกหลานขายหรือเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น บ้านเก่าๆแบบนี้เลยหลงเหลือไว้ให้คนรุ่นพวกหนูได้ศึกษากันนี่ไง”
กันต์นธีฟังคุณป้าคนดูแลพูดพลางคิดในใจเล่นๆว่าถ้าตนเป็นลูกหลานของบ้านหลังนี้จะไม่ย้ายไปไหนเลย จะขออยู่ที่นี่จนตายกันเลยทีเดียว บ้านสวยๆแบบนี้ทำไมกันนะถึงไม่ค่อยมีคนสนใจ
"แล้วห้องนี้คุณแม่ของคุณย่าก็สั่งไว้ก่อนเสียว่าห้ามเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด ไม่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปก็ห้ามขายแต่ให้ซ่อมให้บูรณะ เพราะท่านบอกว่าตั้งใจจะเก็บไว้จนกว่าเจ้าของบ้านจะกลับมา ป้าก็ไม่ค่อยเข้าใจที่ท่านพูดมากหรอกหนู แต่ป้าว่าท่านคงหมายถึงอยากเก็บไว้ให้ลูกหลานท่านนั่นแหละ เพราะห้องนี้เป็นห้องที่อยู่มานาน อยู่มาตั้งแต่เริ่มสร้างบ้านหลังนี้เลยทีเดียว ส่วนห้องอื่นๆบางห้องเพิ่งต่อเติมบ้างก็มี ป้าว่าเพราะแบบนี้แหละห้องนี้เลยยังไม่ถูกตกแต่งใหม่ ขนาดตอนที่บ้านไฟไหม้ ห้องนี้ยังไม่เสียหายเลย
“ที่นี่เคยไฟไหม้ด้วยเหรอครับ” ความสงสัยก่อเกิดในใจจนต้องถามออกไป
“เคยครั้งหนึ่งจ้ะ แต่มันก็นานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยคุณทวดนู้น ป้ากับหนูเกิดไม่ทันหรอก”
คุณป้าเจ้าของบ้านหัวเราะเล็กๆก่อนจะแยกตัวออกไปเมื่อรุ่นน้องเข้ามาเก็บข้อมูล กันต์นธีกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง หรือว่าเหตุที่คุณหญิงเสริมต้องการบูรณะเป็นเพราะเหตุนี้ หากบ้านหลังนี้เคยถูกไฟไหม้จริงโครงสร้างต่างๆก็คงไม่แข็งแรงเท่าที่ควร อีกทั้งยังผ่านวันเวลามานานเกือบร้อยปีแล้วด้วย
ฮุนกับรุ่นน้องอีกสองคนยังคงสาละวนอยู่กับการถ่ายภาพและเก็บข้อมูล เขาจึงถือโอกาสเดินสำรวจสิ่งของในห้องและฟังคุณป้าพูดไปด้วย พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับกรอบรูปโบราณบนโต๊ะไม้แกะสลักอย่างดี เป็นรูปของชายหญิงสมัยก่อนนั่งอยู่เคียงข้างกัน ในวินาทีนั้นราวกับคนในรูปคือใครสักคนที่เคยรู้จัก อยู่ๆหัวใจดวงน้อยก็เต้นรัวเร็ว รู้สึกอุ่นวาบไปทั่วร่างกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
จากไม่มีวี่แววว่าจะมีลมพัดผ่าน กลับมีสายลมแผ่วเบาพัดเข้ามาปะทะกาย
ราวกับเป็นสัมผัสจากคนในภาพที่ดูจะยินดีกับการมาของเขาในครั้งนี้เหลือเกิน
“รูปนี้คือใครหรือครับคุณป้า” เขาชี้นิ้วไปที่กรอบรูปด้วยความรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ คุณป้าร่างท้วมหันมามองก่อนจะตอบยิ้มๆ
“อ๋อ นั่นคือท่านเจ้าคุณบริพัฒน์กับคุณหญิงนิดจ้ะ คุณทวดของคุณย่า”
กันต์นธีมองใบหน้าของบุคคลทั้งสองด้วยความสนใจ ใบหน้าของคนที่คุณป้าเรียกว่าท่านเจ้าคุณแม้จะไม่ได้ยิ้มแย้มมากนัก แต่กลับสัมผัสได้ว่าท่านเป็นคนอบอุ่น ส่วนผู้หญิงข้างๆที่คุณป้าเรียกว่าคุณหญิงกิริยาดูเรียบร้อย และสายตาที่มองมานั้นทำให้คนมองรู้สึกสงบได้อย่างน่าประหลาด สงบราวกับผืนน้ำในลำธารที่ทำให้เย็นใจเสมอเมื่อได้มอง
กันต์นธีรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจแปลกๆอีกครั้ง คงอาจจะเป็นเพราะท่านทั้งสองดูเป็นคนโอบอ้อมอารี เขาขอคิดแบบนั้นแล้วกัน
“มึงกูไปห้องน้ำแปบนะ” แล้วคนตัวเล็กก็ต้องละสายตาออกมาจากกรอบรูปนั่นเพราะเสียงเรียกและแรงสะกิดจากมือใหญ่ของเพื่อนสนิท
“อืมไปเหอะ”
มองเพื่อนกับรุ่นน้องรีบเดินตามคุณป้าที่อาสาพาไปแล้วก็ลากสายตากลับมามองยังกรอบรูปดังเดิม ก่อนจะเริ่มเดินสำรวจรอบห้องอีกครั้ง เฟอร์นิเจอร์โบราณดูหรูหราคาดว่าเจ้าของบ้านต้องมีอันจะกินพอสมควร ดูจากการแต่งกายของคนในรูปก็พอเดาได้ว่าตระกูลนี้ร่ำรวยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ราชสุนทร” เสียงอ่านตัวอักษรดังออกมาเบาๆเมื่อร่างเล็กเดินมาหยุดดูกรอบรูปที่ด้านในบรรจุกระดาษไว้ คงเป็นนามสกุลของตระกูลนี้เดาจากการเขียนและบรรจุไว้ในกรอบรูปอย่างดี กันต์นธียืนมองกรอบรูปที่อยู่เหนือสายตาด้วยความฉงน ในใจรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“ราชสุนทรงั้นเหรอ” พึมพำออกมาคนเดียว ก่อนที่คำพูดทั้งหลายจะถูกกลืนลงคอเมื่อสายตาหันไปเห็นบางสิ่งเข้า...
กระจกโบราณบานใหญ่ที่กำลังส่องสะท้อนตัวเขาเต็มตัว
ทว่าคนที่อยู่ในนั้นไม่ใช่เขา แต่กลับเป็นหญิงสาวอีกคนที่หน้าตาเหมือนเขาทุกประการ
กันต์นธีจำไม่ได้ว่าตกใจแค่ไหน รู้ตัวอีกทีทุกอย่างก็ดับมืดลงเสียแล้ว
ยามเมื่อลมพัดหวน
...
.
.
.
.
มันคือบ้านโบราณที่สวยจับใจ ...
โถงทางเดินยาวไร้ผู้คน สองขาเล็กพาตัวเองเดินไปคล้ายว่าคุ้นเคยกับที่แห่งนี้เหลือเกิน เดินไปตามกลิ่นหอมนำทางราวคนจิตใจล่องลอย ล่องลอยไปตามสายลมที่อบอวลอยู่รอบกาย หอม... กลิ่นนี้หอมเหลือเกิน กลิ่นดอกแก้วสีขาวสะอาด
‘กันต์’
เสียงนี้อีกแล้ว....
ร่างน้อยหันมองยามที่ใครบางคนเรียกชื่อเขา เจอกันอีกแล้ว... ร่างสูงสง่าในชุดราชประแตนสีขาวสะอาดตาและรอยยิ้มคุ้นเคยกำลังยิ้มให้เขา ใบหน้าแสนหล่อเหลาสะท้อนกับแสงแดดระยิบระยับ อีกครั้งกับการตกอยู่ในภวังค์ที่ไม่สามารถถอนสายตาออกไปมองที่อื่นได้ ปราศจากคำพูดใดๆ เขาได้แต่มองใบหน้านั้นอย่างไม่อาจหักห้ามใจ
กลิ่นหอมของดอกแก้วและสายลมเย็นสบายพัดผ่าน ละอองน้ำค้างบนกลีบดอกไม้สีขาวหยดร่วงลงบนพื้น... พร้อมกับเขาคนนั้นที่ค่อยๆเดินนำออกไปอีกทาง
คล้ายบางสิ่งร้องเรียกให้ต้องเดินตาม
ขาเรียวเดินตามชายหนุ่มไปจนสุดทาง มาหยุดอยู่ท่ามกลางสวนดอกลั่นทม ดอกลั่นทมสีขาวสะอาดไร้กลิ่นปรุงแต่ง มีเพียงกลิ่นดอกแก้วจางๆที่พัดมาตามสายลมอบอวลอยู่รอบกาย กันต์นธีขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่ออยู่ๆชายหนุ่มตรงหน้าก้มตัวลงไปหยิบดอกลั่นทมน้อยขึ้นมาพินิจ ปากหยักพูดเบาๆกับเจ้าดอกไม้ในมือ แต่หนักแน่นคล้ายตั้งใจพูดให้เขาฟังด้วย
‘รักนี้มั่นคงนัก...’
เสียงนุ่มเอ่ยแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบ เขาไม่เข้าใจนักกับความหมายที่คนตรงหน้าอยากจะสื่อ ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยเข้าใจเลยว่าบุคคลผู้นี้เป็นใคร ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่นมากถึงเพียงนี้เวลาที่ได้พบกัน
ร่างสูงสง่าละสายตาจากเจ้าดอกลั่นทมน้อยในมือแล้วหันกลับมามองทางเขา ทว่าดวงตาคมกลับมองเลยไปจากตรงที่เขายืนอยู่...
คนตัวเล็กมองตามทิศทางที่สายตาของชายหนุ่มจ้องมองไป และวินาทีที่สายตามองเห็นใครบางคน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง คล้ายมีบางอย่างหยุดเวลาของเขาเอาไว้ สิ่งใดกันนำพาให้หญิงสาวแสนงดงามที่หน้าตาเหมือนเขาทุกประการมาปรากฏอยู่ตรงหน้า หัวใจของกันต์นธีคล้ายจะหยุดเต้นเสียเดี๋ยวนั้น
หญิงสาวในกระจก....
เธอเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ แต่ละย่างก้าวยิ่งทำให้กันต์นธีรู้สึกหายใจไม่ออก นอกจากผมยาวสีดำขลับ ทุกสิ่งก็ล้วนแต่เหมือนเขาไปหมดทั้งสิ้น ใบหน้างดงามมาหยุดอยู่ต่อหน้าให้ได้หายใจขัดอีกครั้ง เธอยิ้มให้เขา รอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกอุ่นวาบจนต้องนึกอัศจรรย์ใจและตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่า...
ทำไมรู้สึกคุ้นเคยถึงเพียงนี้
และที่นึกประหลาดใจมากไปกว่านั้นก็คือ... ความรู้สึกคิดถึงมากล้นกำลังโถมเข้าใส่จนน้ำตาเม็ดใสหยดลงมาอย่างไม่มีเหตุผล กันต์นธีกำลังรู้สึกคิดถึงราวกับว่าเขาและเธอจากกันไปนานแสนนานเหลือเกิน...
“พี่...”
ดอกลั่นทมหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกแก้วมากขึ้น
เมื่อสายลมแห่งสายใยพัดพาดอกไม้ทั้งสองกลับมาใกล้กัน...
เสียงแอร์ดังแผ่วเบาเหมือนตอนก่อนจะสลบไป กันต์นธีสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมาเมื่อรู้สึกตัว น้ำตามากมายรื้นขึ้นมาที่ขอบตาร้อน
“ไอ้กันต์” เสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิทดังขึ้นข้างหู คนตัวเล็กยันตัวเองลุกขึ้นนั่งบนโซฟานุ่ม เขาหันมองไปรอบๆด้วยหัวที่หนักอึ้ง และพบว่าตัวเองถูกรุมล้อมไปด้วยฮุน คุณป้า และรุ่นน้องที่รีบเข้ามาดูเมื่อเห็นว่าคนที่เป็นลมไปเฉยๆฟื้นแล้ว
“นี่กูเป็นลมเหรอ” ยังไม่มีใครได้ตอบคำถาม ฮุนรีบรินน้ำใส่แก้วยื่นให้ทันที
มือเล็กรับแก้วน้ำมาดื่มหมดอย่างรวดเร็วแล้วส่งแก้วคืนให้เพื่อนสนิท
“เออดิ มึงคงไม่ได้ลงไปนอนเล่นเฉยๆหรอก ว่าแต่มึงโอเคมั้ยเนี่ย
ทำไมอยู่ๆก็เป็นลมไปได้วะ”
คำถามง่ายๆแต่กลับทำเอาคนถูกถามอ้ำอึ้งขึ้นมาทันที คนตัวเล็กมองหน้าเพื่อนสนิทแล้วลากสายตาไปยังกระจกบานนั้นอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้
แต่ทว่ากระจกก็ยังคงเป็นกระจก ไม่มีอะไรเหมือนกับที่เจ้าตัวเห็นจนตกใจ กันต์นธีพยายามคิดว่าตัวเองตาฝาดทั้งๆที่รู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ใช่
มันชัดเจนว่าเขาไม่ได้ตาฝาด
และความฝันเมื่อครู่ก็เหมือนจริงเสียจน...
“เมื่อคืนนอนดึกสงสัยจะเพลีย แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะไม่ต้องห่วง” เขารีบตัดบท ไม่มีเหตุผลเหมือนกันว่าทำไมจึงต้องเลี่ยงที่จะตอบความจริง
ไม่ใช่เพียงเพื่อแค่ให้ทุกคนสบายใจ
แต่เพราะสิ่งที่ตนเพิ่งเผชิญมานั้นมันคืออะไรกันแน่ เขาก็ยังไม่แน่ใจนัก...
-------------------------------------
คนตัวเล็กนั่งเหม่ออยู่หน้าคอมเป็นชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่กลับมาถึงคอนโด
ในห้องเงียบเชียบมีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาและเสียงแอร์เท่านั้นที่ทำให้ห้องนี้ไม่วังเวงจนเกินไป
เขากำลังคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านหลังนั้น...
กันต์นธีถอนหายใจอย่างแรงเมื่อตัวเองเอาแต่คิดถึงเรื่องนั้นเป็นรอบที่สิบ
แต่ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าผู้หญิงที่เห็นในกระจกคนนั้นเป็นใคร
และยังรวมถึงความฝันประหลาดๆนั้นด้วย หากเป็นคนอื่นคงจะไม่มานั่งวิตกเหมือนกับเขา เพราะคงต้องคิดออกไปแนวไสยศาสตร์ภูตผี
เขาก็ควรต้องคิดแบบนั้นเหมือนกัน
แต่ทำไมไม่รู้เขากลับไม่คิดแบบนั้น...
เสียงแจ้งเตือนอีเมล์ดังขึ้นนั่นจึงทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ความคิดได้สำเร็จ
ดวงตากลมมองหน้าจอคอมที่ตัวเองเปิดทิ้งไว้แต่กลับนั่งเหม่อ
นิ้วเรียวกดลากเมาส์เพื่อเปิดไฟล์รูปภาพที่ฮุนส่งมาให้ เท้าคางกดเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆอย่างไม่ค่อยจะมีอารมณ์ทำงานเท่าไหร่
ยิ่งเลื่อนดูรูปที่ถ่ายมาวันนี้ก็ยิ่งสติแตก
ก่อนที่สุดท้ายปุ่มสีแดงด้านขวามือบนจะถูกกดแล้วรูปภาพหายไปจากสายตา กันต์นธีฟุบหน้าลงกับท่อนแขนตัวเอง
เสียงฟึดฟัดถอนหายใจดังออกมา ทำไมยิ่งพยายามจะลืม ความรู้สึกก็ยิ่งชัดเจนขึ้นมากเท่านั้น
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดความรู้สึกยังคงติดอยู่ที่กระจกบานนั้น และดูเหมือนว่ามันจะยังติดอยู่ที่บ้านหลังนั้นเสียด้วย
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเอาแต่คิดถึงผู้หญิงคนนั้น
ทั้งๆที่ควรจะกลัวเสียมากกว่า
คิดได้ไม่นานมือขาวก็ตัดสินใจกดวิดีโอคอลหาใครบางคน...
รอไม่นาน
หน้าจอคอมก็ปรากฏใบหน้าของหญิงวัยกลางคน เขาจึงค่อยยิ้มออกมาได้บ้าง
[ว่าไงลูก]
“แม่ครับ ทำอะไรอยู่”
[อ่านอะไรเล่นๆอยู่ที่บ้านพักจ้ะ รอคุณพ่อประชุมเสร็จ แล้วเดี๋ยวเย็นนี้จะไปทานข้าวกับท่านกงสุล
ว่าแต่เราเถอะทำอะไรอยู่ มีอะไรหรือเปล่าที่รัก]
“ไม่มีอะไรหรอกครับ กันต์แค่คิดถึงแม่” คนตัวเล็กทำหน้าหงอยๆพลางซบหน้าลงกับแขน
[เพิ่งเจอกันไม่นานนี้เองนะลูก ทำมาปากหวานบอกคิดถึง]
ดวงตากลมมองภาพแม่ตัวเองในจอ ทั้งๆที่กำลังพูดกับเขาอยู่ แต่สายตาของท่านกลับเอาแต่จับจ้องไปยังเอกสารมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะ
กันต์นธีเผลอยิ้ม
ถึงแม้ว่าแม่จะพูดอยู่เสมอว่าหน้าที่ของท่านในฐานะภริยาท่านทูตเป็นหน้าที่ที่สบาย
แต่ในฐานะลูกชายที่มองเห็นท่านมาตลอดกลับรู้ดีว่ามันไม่ง่ายเลย นอกจากจะต้องอยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจของพ่อมาตลอดแล้ว
งานอะไรที่แม่เห็นว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระได้ แม่ก็จะหยิบจับมาทำไม่เคยเกี่ยง
“แม่ครับ”
[อืม ว่าไง แม่ฟังอยู่นะ] หญิงวัยกลางคนพูดพลางก้มหน้าอ่านเอกสาร
“แม่รักพ่อมากแค่ไหน”
[เอ๊ะ เด็กคนนี้นี่ ทำไมวันนี้มาแปลก] คุณหญิงยิ้มขำ ยิ้มที่เขากับพ่อชอบมอง
“เอาน่า
แม่ตอบกันต์มาเถอะ”
[ก็รักเท่าที่เรารู้สึกรักนั่นแหละลูก
ความรักมันใช้อะไรวัดไม่ได้หรอกนะน้องกันต์ เพราะถ้าเราวัดได้ เราก็จะวัดกันที่ความมากน้อยหรือความเล็กใหญ่ของมัน
วัดที่ความยาวนานของมัน แล้วถ้าวันหนึ่งมันถึงจุดสิ้นสุด ความรักมันก็จะจบลงได้]
“………”
[ดังนั้นแล้วความรักมันจึงเป็นสิ่งที่อยู่เหนือของพวกนั้น
มีนักปราชญ์คนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่าความรักคืออกาลิโก คือมันอยู่เหนือกาลเวลาจ้ะ]
แม่ของเขา
อย่างไรแล้วก็ต้องยอมรับว่าเป็นภริยาท่านทูตโดยสมบูรณ์แบบ
แม้เพียงคำถามธรรมดาๆทั่วไป
คุณหญิงก็ยังสามารถอธิบายออกมาได้อย่างเป็นตรรกะและดูดี
“อกาลิโกเหรอครับ”
[ใช่จ้ะ อกาลิโก เหมือนกับสุนทรียศาสตร์ของศิลปะ เหมือ...] แม่ของเขายังคงพูดต่อไป แต่จิตใจของเขากลับล่องลอยออกไปพร้อมกับความคิดเสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น คนเราก็สามารถรักกันได้
ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันเหรอครับ” คราวนี้คุณรสาเลื่อนสายตาขึ้นมาจากกระดาษ
เงยหน้ามองลูกชาย
[ใช่จ้ะ ความรักไม่มีอะไรมาจำกัดให้รักกันหรือไม่รักกันได้ แม้กระทั่งเวลา] คุณหญิงยิ้มเหมือนเริ่มเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยว่าลูกชายมีอะไรเก็บไว้ในใจ
[มีอะไรอยากเล่าไหม?]
“กันต์ฝันเห็นเค้าอีกแล้วครับแม่”
[ก็เลยกำลังคิดว่าเค้าเป็นคนรัก หรือเป็นคู่แท้แต่ปางก่อนอะไรประมาณนั้นใช่ไหม]
ภริยาท่านทูตพลเทพถามกลับอย่างตรงประเด็น
“ถ้ายังไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง
ก็ไม่เป็นไรนี่ครับถ้าจะคิดแบบนั้น” ลูกชายท่านทูตย่อมไม่ทิ้งลายพ่อ
ตอบกลับแบบนักการทูตเช่นกัน
[งั้นลูกก็ควรไปนอนจ้ะ เผื่อจะได้เจอเค้าอีก แล้วก็ลองถามเค้าดูนะว่าทำไมถึงฝันเห็นเค้าบ่อยๆ
ไม่แน่ชาติที่แล้วกันต์อาจจะเคยไปหักอกเค้ามาก็ได้นะ] คนตัวเล็กหลุดหัวเราะออกมาทันที
แม่ของเขาก็เป็นแบบนี้เสมอ หาเหตุผลให้กับทุกสิ่ง
แต่ก็ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เขาเจอไม่ใช่เรื่องจริง
“นั่นสิครับแม่ ถ้าได้เจอเค้าอีกกันต์จะลองถามเค้าดู” ยืดตัวขึ้นมาจากโต๊ะพลางเท้าคางคุย
[ถ้าเค้าว่ายังไง อย่าลืมโทรมาบอกแม่ด้วยแล้วกัน] คุณรสายิ้มให้ลูกชาย
“ครับ” กันต์นธีหัวเราะ “แค่นี้นะครับแม่”
[อย่าลืมหาอะไรทานด้วยนะน้องกันต์] เขาไม่ตอบอะไร แค่นั่งนิ่งมองแม่ของตัวเองที่ยังไม่เลิกอ่านเอกสารในมือ
อยู่ๆกันต์นธีก็เอ่ยอะไรบางอย่างขึ้นมา
“แม่ครับ”
[ว่าไง]
“กันต์รักแม่นะ รักเหนือกาลเวลาเลย”
[แบบอกาลิโกจ้ะ แม่ก็รักน้องกันต์นะ ยังไงแค่นี้ก่อนนะลูก บาย] คุณรสาบอกลาลูกชายเพื่อกลับไปทำงานต่อ ภาพตรงหน้าดับไปแล้ว เหลือเพียงหน้าจอเปิดค้างไว้
คนตัวเล็กยังคงนั่งนิ่งมองจออยู่อย่างนั้น เหมือนกับว่าใบหน้าของผู้เป็นแม่ยังอยู่ตรงหน้า
ทุกครั้งที่ได้คุยกับแม่
เขาจะเหมือนได้รับกำลังใจจากความอบอุ่นที่แม่ส่งมอบให้
แต่ทำไมคราวนี้กลับรู้สึกว่าการจบบทสนทนามันช่างน่าหดหู่
เขาไม่อยากบอกลาแม่แบบนี้เลย
เขาแค่รู้สึกแปลกๆ
เหมือนกับว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
กันต์นธีรีบสะบัดหัวไล่ความรู้สึกแปลกๆออกไปทันทีที่คิดแบบนั้น
ใบหน้าหวานหายใจเข้าแรงๆเรียกสติ มองออกไปนอกหน้าต่างฟ้าก็มืดเสียแล้ว
นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มกว่าทำให้คนตัวเล็กเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา
แต่จะให้ออกไปหาอะไรกินตอนนี้และสภาพแบบนี้เขาก็ขี้เกียจเกินไป ขยี้ผมแรงๆจนไม่เป็นทรง
แล้วสะบัดแขนคลายความเมื่อยล้า
ก่อนจะมองหาโทรศัพท์เมื่อคิดว่าการสั่งอาหารมากินคงจะดีกว่า
“อยู่ไหนนะ” บ่นเบาๆกับตัวเองเมื่อตั้งใจจะโทรสั่งอาหารแต่กลับจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเอาโทรศัพท์ไปวางไว้ตรงไหน
คนตัวเล็กควานหาทั่วทั้งโต๊ะทำงานที่แสนจะไม่มีระเบียบ ไปหาตามโซฟาหรือที่ๆเขาใช้งานก็ยังไม่เห็น
กลับมายืนคิดทบทวนอีกครั้งว่าตอนสุดท้ายที่ตัวเองเห็นโทรศัพท์คือที่ไหน
แล้วเขาก็ถึงกับตกใจขึ้นมาเมื่อจำได้ว่าตัวเองลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านหลังนั้น
คนตัวเล็กถอนหายใจเซ็งกับความขี้หลงขี้ลืมของเอง
แทนที่จะได้กินข้าวและพักผ่อนกลับต้องไปเอาโทรศัพท์นั่นเพราะยังต้องใช้ติดต่องาน
จะไปเอาพรุ่งนี้ก็คงไม่ได้ มือน้อยคว้ากุญแจรถแล้วออกจากห้องไปอย่างเหนื่อยใจ
----------------------------------------
รถจอดอยู่หน้าบ้านหลังเดิมเป็นรอบที่สองของวัน
เขาจอดรถไว้ริมรั้วด้านนอกแล้วเดินไปกดกริ่ง นี่ก็ดึกมากแล้วจึงเลือกที่จะกดเพียงแค่ครั้งเดียวเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนในบ้านมากเกินไป
คนตัวเล็กยืนเกาะรั้วอยู่ไม่นานคุณป้าคนเดียวกับที่ต้อนรับเขาเมื่อกลางวันก็เดินออกมา
“อ้าวหนู มาทำอะไรดึกๆดื่นๆลูก มีอะไรหรือเปล่าจ้ะ”
“สวัสดีครับคุณป้า ขอโทษด้วยที่ต้องมารบกวนดึกดื่นขนาดนี้ คือเมื่อตอนกลางวันผมลืมโทรศัพท์ไว้ในบ้านน่ะครับ”
“อ๋อลืมโทรศัพท์นี่เอง เอ้าๆมาลูกเข้ามาก่อน” คุณป้าพูดแล้วเปิดประตูเล็กให้เขาได้เข้าไป
“ขอบคุณครับคุณป้า” ยกมือไหว้ผู้สูงอายุกว่าอย่างน้อบน้อม
ยิ่งเห็นว่าคุณป้าอยู่ในชุดนอนทำท่าเหมือนกำลังจะนอนแล้วเขาก็ยิ่งเกรงใจ
ตั้งใจรีบเข้าไปเอาแล้วรีบกลับให้คุณป้าได้พักผ่อนดีกว่า
“ห้องนี้เหรอจ้ะ” คุณป้าพาเขาเข้ามายังห้องนั่งเล่นห้องเดิม หญิงร่างท้วมกดเปิดไฟเพื่อให้หาของได้อย่างสะดวก
กระจกบานใหญ่ยังคงตั้งอยู่ที่เดิมและส่องสะท้อนสิ่งของในห้องปกติ เขาพยายามไม่สนใจสิ่งนั้น
รีบเดินเข้าไปเอาโทรศัพท์ที่เห็นแล้วว่าอยู่บนโต๊ะไม้ที่ตั้งกรอบรูปของท่านเจ้าคุณและคุณหญิง
นึกโชคดีที่มันไม่ได้หายไปไหน
มือเล็กหยิบโทรศัพท์แล้วเดินออกมาแต่ก็ยังไม่วายแอบเหลือบมองไปยังกระจกนั้นเล็กน้อย
“เจอแล้วล่ะครับ ขอบคุณมากนะครับคุณป้า”
ยิ้มหวานแล้วยกโทรศัพท์ให้หญิงท้วมดู
คุณป้าเลยยิ้มตามก่อนจะกดปิดไฟแล้วเดินนำเขาออกมาส่งหน้าบ้านเหมือนเดิม
“ผมไปแล้วนะครับคุณป้า ขอโทษอีกครั้งที่มารบกวนดึกๆนะครับ”
“ป้าบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ขับรถกลับบ้านดีๆนะลูกนะ” กันต์นธียิ้มหวานให้คุณป้าอีกครั้งก่อนจะยกมือไหว้ลาแล้วขึ้นรถขับออกไป
คุณป้ายืนมองดูไฟท้ายรถจนหายลับไปจากสายตา
แล้วจึงหมุนตัวหันหลังกลับเข้าบ้าน ทันทีที่ขาก้าวขึ้นบันไดประตูใหญ่ ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดนอนสีกรมท่าก็กระโดดออกมาจากมุมเสา
ทำเอาหัวใจคนแก่หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
“ป้ามะลิ!”
“ว๊ายยยย! โอ๊ยยยยยคุณติ!
ป้าตกใจหมดนึกว่าผีหลอก...” คุณป้ายกมือจับหน้าอกด้วยอารามตกใจเมื่ออยู่ๆลูกชายเจ้าของบ้านก็โผล่มาไม่ให้สุ่มให้เสียง
“แล้วนี่มาทำอะไรตรงนี้คะดึกดื่นไม่หลับไม่นอน”
อติคุณ หรือที่เธอเรียกว่าคุณติยิ้มให้อย่างคนชอบแกล้ง
“ตินอนไม่หลับน่ะครับเลยออกมาเดินเล่น แล้วเมื่อกี้ใครเหรอครับ
ทำไมมาดึกดื่นขนาดนี้”
ชายหนุ่มถามถึงคนที่เพิ่งขับรถออกไปจากบ้านของเขาด้วยความอยากรู้
เมื่อครู่เขาลงมาเดินเล่นในสวนเพราะนอนไม่หลับ
แล้วก็บังเอิญเดินผ่านมาเห็นคุณป้ากำลังคุยกับใครคนหนึ่ง
“อ๋อ หนูคนนั้นน่ะเหรอคะ เขาเป็นสถาปนิกค่ะ คุณแม่คุณติเป็นคนส่งมา
ท่านบอกว่าให้เข้ามาดูบ้าน เข้ามาเมื่อเช้านี้แล้วกลับไปก่อนคุณติจะมาบ้านแปบเดียวเองค่ะ
แต่เมื่อกี้เขามาเอาโทรศัพท์ค่ะ เห็นว่าลืมไว้”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ผมก็นึกว่าใคร หน้าตาเขาน่ารักดีนะครับ”
“แหมคุณตินี่ก็ นั่นผู้ชายนะคะ แหนะ ไปชมเขาแบบนั้นหมายความว่าอะไรคะ”
“อ้าว! แล้วกัน นั่นผู้ชายเหรอครับ
หน้าหวานซะจนผมก็นึกว่าเป็นผู้หญิง”
“แหมคุณติ ว่างๆไปตัดแว่นใหม่ก็ดีนะคะ สายตาไปหมดแล้วเนี่ย ไปๆค่ะ เข้านอนกันดีกว่าดึกมากแล้ว” คุณป้าหยอกเย้าเจ้านายน้อยของบ้าน ก่อนจะยิ้มขำแล้วเดินนำเข้าบ้านไป อติคุณยืนหัวเราะตัวเองแล้วเดินตามคุณป้าเข้าบ้านเตรียมตัวขึ้นนอนเหมือนกัน
ก็หน้าตาน่ารักขนาดนั้น
ใครก็ต้องคิดว่าเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว
-----------------------------------------------
เสียงเพลงจากวิทยุที่เปิดไว้เป็นเพื่อนน่าเบื่อเสียจนคนขับแทบหลับ
กันต์นธีจึงเอื้อมไปกดเปลี่ยนคลื่นหวังจะหาเพลงเพราะๆกว่านี้ฟัง ตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วอีกไม่กี่นาทีก็ใกล้จะถึงคอนโด
อาจเป็นเพราะการจราจรตอนเกือบเที่ยงคืนมันไม่ติดขัดเหมือนกลางวันนั่นจึงทำให้เขาขับรถได้เร็วมากกว่าปกติ
นิ้วเรียวกดเปลี่ยนคลื่นไปเรื่อยแต่ก็ยังไม่เจอช่องที่ถูกใจสักที
คนตัวเล็กเลยเอื้อมมือไปคุ้ยกระเป๋าที่วางไว้เบาะข้างคนขับหาสายต่อโทรศัพท์ตัวเองมาเปิดฟังเสียเลย
มือควานหาไปปากอิ่มก็หาวไป
ควานหาไปทั่วแต่ก็ยังไม่เจอ ลำบากนิดหน่อยเพราะมือหนึ่งต้องขับรถไปด้วย โชคดีที่หน่อยไม่มีรถสวนมาทำให้เขาค่อยๆขับรถช้าๆได้
ในที่สุดความพยายามควานหาของในกระเป๋าก็สำเร็จเมื่อสิ่งที่เขาต้องการอยู่ในมือ
ใบหน้าหวานยิ้มร่าแล้วดึงสายสีดำออกมาเป็นเหตุให้มีบางสิ่งหล่นออกมาจากกระเป๋าด้วยเช่นกัน
ดวงตากลมหันไปมองเมื่อกล่องกำมะหยี่แสนคุ้นตาหล่นร่วงลงมาอยู่ที่พื้นรถ
“หืม” ความงุนงงปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน
ก็เพราะมันคือกล่องใส่นาฬิกาที่เขาฝากฮุนไปประมูลมาให้ และที่สำคัญคือเขาเอาไปเก็บไว้ที่บ้านแล้วเมื่อหลายวันก่อน
แต่ทำไมตอนนี้ มันถึงมาอยู่ในกระเป๋าของเขาได้
แต่ด้วยความรักและหวงของทำให้เขาเลิกสนใจหาเหตุผลใดๆ รีบเอื้อมตัวไปหยิบกล่องขึ้นมาอย่างเร็วเหมือนกลัวว่ามันจะเสียหายไปก่อน
และวินาทีที่กันต์นธีเงยหน้าขึ้นมาหลังจากหยิบกล่องนาฬิกาขึ้นมาสำเร็จ แสงไฟสาดส่องจากรถตรงข้ามที่วิ่งสวนเลนมาก็ทำเอาตาโตเบิกกว้างอย่างตกใจ สติที่เหลืออยู่น้อยนิดสั่งการให้มือน้อยหมุนพวงมาลัยหักหลบก่อนที่รถจะหมุนคว้างเสียงเบรกดังสนั่น
เอี๊ยดดดดดดดดด
โครม!
และในห้วงสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดไป
เสียงสุดท้ายที่กันต์นธีได้ยินหาใช่เสียงล้อรถบดเบียดกับถนนหรือเสียงปะทะของรถยนต์
เพราะทุกอย่างคือความสงบ เหมือนกาลเวลาหยุดนิ่งไป
ไม่มีแม้แต่ความเจ็บปวดหรือความหวาดกลัวใดๆ มีเพียงแค่เสียงของชายคนเดิม
เสียงที่ทำให้เขาไม่เจ็บปวดอีกต่อไป
‘ฉันจะรอ
จนกว่าเราจะได้พบกัน’
.
.
.
“คุณหญิง!
คุณหญิงเจ้าคะคุณหญิงงง” เสียงโวยวายกลางดึกดังขึ้นพร้อมกับแรงวิ่งจนได้ยินไปทั่วทั้งตึก
คุณหญิงจิณสุดาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากเตียงทันที มือเรียวคว้าผ้าคลุมไหล่ก่อนจะรีบเปิดประตูออกมาดูว่าใครกันที่เป็นคนโวยวายกลางดึกเช่นนี้
“ยายนวลมีอะไร
ทำไมต้องโวยวายเสียงดังขนาดนี้!” คุณหญิงอดเอ็ดไม่ได้เมื่อเปิดประตูมาเจอบ่าวคนสนิทวิ่งมาหมอบแปบอยู่หน้าห้องพอดี
ยายนวลทรุดนั่งอยู่บนพื้นหอบหายใจแรงจนพูดไม่ทัน
“มีอะไรหรือครับคุณแม่” เพราะเสียงโวยวายของยายนวลและเสียงเอ็ดตะโรของคุณหญิงทำให้ลูกชายคนเล็กของบ้านเปิดประตูห้องออกมาดูด้วยอาการสะลึมสะลือ
“ไม่รู้สิตามี่ ก็ยายนวลนี่อะไรอยู่ๆก็วิ่งโวยวายขึ้นตึกมาตะโกนเรียกแม่ปาวๆ เอ้ามีอะไรไหนว่ามา ใจเย็นๆค่อยพูดค่อยจายายนวล” ยายนวลหอบหายใจถี่จนน่ากลัวว่าจะเป็นอะไรไปอีกคน ก่อนจะค่อยๆสูดหายใจเรียกสติ ท่าทางลนลานจนคุณหญิงและคุณมี่มองด้วยสายตางงงวย คนแก่เงยหน้ามองผู้เป็นนายทั้งสองแล้วพูดพร้อมน้ำตา ทำให้คนมองตกใจ
“คุณมุกต์... คุณมุกต์เจ้าค่ะ คุณมุกต์เธอตกน้ำที่สะพานท้ายสวน ตอนนี้พวกบ่าวมันกำลังช่วยกันพยาบาลอยู่เจ้าค่ะ!”
---------------------------------
#ร้อยรักสลับภพ
ความคิดเห็น