คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ปฐมบท : ภพกัน
ปฐมบท
ภ พ กั น
------------------------------
ร.ศ.
๑๒๖
วังติณมาตย์
พระนคร สยาม
“คุณชายเจ้าคะ”
เสียงเรียกของข้าหลวงดังขึ้นเบื้องหลัง
ชายหนุ่มตัวสูงซึ่งกำลังยืนเลือกตำราสำหรับอ่านอยู่จึงหยุดการค้นหาตำราบนชั้นกว้าง
หันหลังกลับไปมองด้วยท่าทีสง่างาม
“มีอะไร”
ดวงตาคมมองข้าหลวงวัยดรุณี น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม
“หม่อมท่านให้อิฉันขึ้นมาเรียนคุณชายว่าให้ไปพบท่านที่หอนั่งเจ้าค่ะ”
“เมื่อไหร่”
“เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“เหตุใดต้องไปที่นั่นตั้งแต่เช้า
วันนี้ตั้งเครื่องเช้าที่นั่นหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะ
ตั้งที่ห้องอาหารเช่นเดิม แต่หม่อมท่านว่ามีเรื่องอยากคุยกับคุณชาย” ข้าหลวงรายงานด้วยกิริยาอันแสนสุภาพ แต่นั่นยิ่งเรียกความสงสัยจากคุณชายมากขึ้น
“รู้หรือไม่ว่ามีเรื่องอะไร”
“มิทราบได้เจ้าค่ะ”
“แจ้งหม่อมแม่ว่าเราขอเวลาสักครู่เดี๋ยวจะตามไป”
ข้าหลวงพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปจากห้อง ดวงตาคมของหม่อมราชวงศ์หนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง
คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยด้วยนึกถึงว่าเหตุอันใดหม่อมแม่ถึงเรียกหาตนแต่เช้าขนาดนี้
--------------------------
ชีวิตของคนไทยในสมัยก่อนเป็นชีวิตที่ค่อนข้างมีระเบียบแบบแผน
ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามเส้นทางแห่งจารีตอันดีงามที่ใครสักคนกำหนดไว้ เป็นชีวิตที่แสนสงบและออกจะเรียบง่ายไปเสียหน่อย
จึงทำให้เมื่อใดก็ตามที่ชีวิตมีเรื่องราวใหม่ๆผ่านเข้ามา สิ่งนั้นก็มักจะเข้ามาแต่งแต้มชีวิตให้มีสีสัน
ทำให้วันแสนธรรมดาดูน่าตื่นเต้นจนต้องยกขึ้นมาพูดกันอยู่บ่อยครั้ง
“หม่อมแม่เรียกหาผม
มีอะไรหรือเปล่าครับ” ใบหน้างดงามของ หม่อมลดาวัลย์
ที่กำลังมองบางอย่างในอ่างแก้วตรงหน้าเงยขึ้นมาตามเสียงเรียก
ร่างสูงโปร่งของบุตรชายเดินมานั่งลงตรงหน้า ใบหน้างดงามนั้นจึงยกยิ้ม
“มาพอดี
ดูนี่สิแม่ให้เค้าเอามาตั้งให้ ชายว่าสวยไหม” หม่อมราชวงศ์จิรเมธ ลากสายตามองไปยังอ่างแก้วตรงหน้า ข้างในบรรจุน้ำใสไว้เพียงครึ่งอ่าง
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือวัตถุสีแดงเลือดนกที่หม่อมแม่ของเขากำลังใช้แท่งแก้วคนไปมาในน้ำ
“อะไรหรือครับ”
“กลิ่นผกา
แต่เค้าเรียกกันว่าอบร่ำน้ำ เมื่อวานพวกจีนมันเอามาขายให้แม่
มันบอกว่าเป็นของจากราชสำนักจีนใช้กันเท่านั้น แต่แม่ว่าแม่คงโดนหลอก
หากใช้เพียงในราชสำนักจะลงเรือมาขายถึงสยามได้อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
แม่ว่ามันน่ารักดีเลยซื้อเก็บไว้ กลิ่นก็หอมแปลกดีทีเดียว ไม่เหมือนดอกไม้ของเรา”
หม่อมราชวงศ์หนุ่มมองมารดาของตัวเองแล้วก็ต้องเผลอยิ้ม
เข้าใจแล้วว่ามีเรื่องอะไรถึงได้เรียกหาตนตั้งแต่เช้า
ที่แท้หม่อมแม่ก็ได้ของเล่นใหม่มาอวดเขาอีกตามเคย
“เห็นคราวนี้หม่อมแม่น่าจะชอบมากทีเดียว
ถึงได้ซื้อไว้มากเช่นนี้” คุณชายมองไปยังถุงผ้ามากมายบนโต๊ะ
มือหนาหยิบขึ้นดมเบาๆ กลิ่นหอมประหลาดลอยปะทะจมูกจนต้องรีบวางลง
“เปล่า
แม่ไม่ได้ซื้อไว้ใช้คนเดียว เรียกชายมาหาเดี๋ยวนี้ก็เพราะอยากถามว่าถ้าแม่จะให้เค้าเอาไปให้บ้านโน้นจะดีไหม
หรือชายว่าอย่างไร” คุณชายฟังเสียงของมารดาพลางมองวัตถุสีเลือดนกค่อยๆแตกตัวกลายเป็นกลีบดอกไม้ร่วงลงในน้ำ
เปลี่ยนสีน้ำให้ค่อยๆกลายเป็นแดงใส กลิ่นหอมระเรื่อเริ่มส่งกลิ่นเมื่อมีลมอ่อนๆพัดผ่าน
กลิ่นจางลงมากกว่าตอนที่ยังเป็นกลีบดอกไม้แห้งในถุงผ้า
ที่สำคัญให้ความรู้สึกผ่อนคลายทั้งรูปลักษณ์และกลิ่น
ผู้หญิงล้วนชอบของน่ารักแบบนี้
“ก็น่ารักดีครับ”
คุณชายลากสายตาจากกลีบดอกไม้ในอ่างแก้วขึ้นมองใบหน้าของผู้เป็นแม่
ตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้ม เรียบนิ่งอย่างปกติ
“ว่าแล้วเชียวต้องตอบแบบนี้
เฮ้อ ลูกชายทำไมมันน่าเบื่อเสียจริง” หม่อมแม่มองหน้าเขาพลางถอนหายใจอย่างหน่ายใจ
ก่อนจะก้มลงไปสนใจของเล่นตรงหน้า คุณชายนึกขันผู้เป็นมารดา
เขาเข้าใจดีว่าการมีแต่ลูกชายนั้นมันน่าเบื่ออย่างไร ลูกชายออดอ้อนไม่เป็น
ลูกชายพูดคุยไม่เก่ง ลูกชายทำอะไรที่น่าเอ็นดูไม่ได้ แม้ว่าหม่อมแม่กับเขาจะสนิทกันแค่ไหนแต่มันก็ไม่เหมือนมีลูกสาว
เพราะอย่างนี้กระมัง
หม่อมลดาถึงตื่นเต้นมากกว่าใครที่กำลังจะมี ลูกสาวคนใหม่
เข้ามาเติมเต็มความสุขให้บ้านหลังใหญ่แสนเงียบเหงาหลังนี้ เดี๋ยวนี้ซื้อของทีไรหม่อมลดาจึงชอบซื้อเผื่อส่งไปให้บ้านโน้นทุกที
“ผมดูไม่ออกหรอกครับของผู้หญิงเล่นแบบนี้
แต่ถ้าหม่อมแม่ชอบ ผมว่าลูกสาวบ้านโน้นก็คงชอบเหมือนกัน”
อยู่ๆหม่อมลดาก็เงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นลูกชาย
พินิจอะไรอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“นี่ชาย”
“ครับหม่อมแม่”
“เรื่องงานแต่งงาน ชายคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
“ทำไมอยู่ๆหม่อมแม่ถึงถามขึ้นมาล่ะครับ”
คุณชายเลิกคิ้วสงสัยในคำถาม หม่อมลดาจึงค่อยๆวางแท่งแก้วในมือลงบนโต๊ะ หันไปหยิบถ้วยน้ำชาก่อนจะหันกลับมาตอบ
“ไม่มีอะไรมากหรอก แม่แค่อยากรู้ว่าหากชายไม่ต้องทำตามพระประสงค์ของท่านพ่อ
ชายจะคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ เรื่องการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักใคร่กันมาก่อน” หม่อมถามพลางจิบน้ำชาในถ้วย ตั้งใจฟังคำตอบของลูกชาย
คุณชายจิรเมธเงียบไป
ค่อยๆใช้ความคิดกับคำถามของมารดา
การแต่งงานครั้งนี้เป็นการแต่งงานที่เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของท่านพ่อ
หาใช่เพราะความสมัครรักใคร่ของเขาและว่าที่เจ้าสาว
เมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้อยู่ๆท่านพ่อก็ทรงมีรับสั่งว่าอยากให้เขาแต่งงานกับหลานสาวของเพื่อนคนหนึ่ง
นั่นก็คือหลานสาวของเจ้าพระยาสุนทรราชนริน อีกทั้งยังเป็นลูกสาวคนกลางของพระยาบริพัฒน์ราชสุนทร
นามว่า แม่มุกต์
“ขอแค่เป็นผู้หญิงที่ดี พร้อมจะอยู่กับชายไปตลอดชีวิตก็เพียงพอแล้วล่ะครับ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยตอบด้วยความจริงจัง
ผู้เป็นแม่มองใบหน้านั้นอย่างยังไม่ค่อยวางใจเชื่อ
“งั้นหรือ
ความจริงแม่ก็ถามไปอย่างนั้น
แค่อยากจะถามให้แน่ใจว่าการแต่งงานครั้งนี้จะไม่ทำให้ชายผิดหวัง”
“แล้วทำไมชายจะต้องผิดหวังด้วยหรือครับหม่อมแม่” หม่อมราชวงศ์หนุ่มถามยิ้มๆ
“ไม่รู้สิ
ก็ตั้งแต่เด็กจนโตใครๆเค้าก็พูดกันว่าชายจะได้แต่งกับหญิงรำไพ
แม่ก็กลัวว่าชายจะปักใจกับน้อง”
“ไม่หรอกครับหม่อมแม่ สำหรับหญิงรำไพผมมองว่าเป็นน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
“เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นแม่ก็โล่งอกไปทีนะ” หม่อมลดาถอนหายใจออกมา
ตามด้วยรอยยิ้มไม่ผิดจากลูกชาย บรรยากาศจริงจังเมื่อครู่จึงค่อยๆคลายตัวลงกลับสู่ปกติ
“แม่มุกต์หลานสาวเจ้าพระยาสุนทรคนนี้เนี่ย
เห็นคนเขาลือกันทั่วว่างามหนักหนา
กิริยามารยาทก็อ่อนหวานเรียบร้อยประหนึ่งคุณข้างในวัง"
"แม่มุกต์นี้มาจากสายไหนของเจ้าพระยาสุนทรหรือครับหม่อมแม่"
"เห็นว่าเป็นหลานปู่จากฝั่งท่านผู้หญิงจันทร์ล่ะนะ
คุณปู่กับคุณย่าเขาก็สนิทสนมกับท่านพ่อของชายอยู่พอตัว เพราะเจ้าคุณท่านเคยรับราชการอยู่กรมเดียวกับเสด็จปู่ของชายมาก่อน"
“.........”
"ตอนแรกที่ท่านพ่อของชายรับสั่งกับแม่เรื่องนี้
แม่ก็คิดเสียว่าจะให้ชายแต่งกับหลานสาวคนโตของท่าน แต่ไม่ได้เสียล่ะ
เพราะลูกสาวคนโตพ่อกับแม่เค้าถวายเสด็จตั้งแต่ยังเล็กแล้ว ถวายขาดเสียด้วย
แล้วเสด็จท่านก็ดูจะรักเอามากเหมือนกันเพราะทรงชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก
ขืนไปขอรับตัวออกมาหาผัวให้มีหวังเสด็จท่านได้กริ้วตาย ก็เลยได้หลานคนรองมา
แต่แม่ว่าก็ดีนะที่ชายได้แต่งกับคนนี้ เพราะเขาลือกันนั่นแหละว่างามที่สุด
งามกว่าคนพี่เสียอีก คราวนี้หลานย่าเกิดมาจะได้สวยหล่อกันหมด เพราะลูกแม่ก็งามไม่แพ้ใครทีเดียวเชียว”
หม่อมลดาพูดจบก็หัวเราะร่าด้วยความภูมิใจกับผลงานชิ้นสำคัญของเธอร่วมกับสามี
เสียงหัวเราะของหม่อมและรอยยิ้มของคุณชายทำเอาบรรดาข้าหลวงที่อยู่รอบๆได้รับรังสีความสุขตามไปด้วย
“หม่อมแม่ชอบพูดแบบนี้อยู่เรื่อย อายคนอื่น” คุณชายส่ายหน้ายิ้มๆกับความช่างชมของผู้เป็นแม่
หม่อมลดาหยิบพัดขึ้นมากางพัดอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะหันไปพูดกับบรรดาข้าหลวง
“ก็มันเรื่องจริงนี่ จริงหรือไม่จริงพวกหล่อนคิดว่าอย่างไรกัน”
“จริงเจ้าค่ะหม่อม”
“เห็นไหมล่ะ ใครๆเขาก็บอกกันว่าคุณชายราชสกุลติณมาตย์งามไม่แพ้คุณชายราชสกุลไหนเลย
กิริยามารยาทรึก็เรียบร้อยน่าเอ็นดู การศึกษาก็ดี การงานก็ดี อุแหม...
เหลือแค่ได้เมียดีนี่ก็ดีไปหมดแล้วลูกชายฉัน” หม่อมลดายกยอลูกชายตัวเองจนคุณชายแทบจะลุกหนีด้วยความอาย
ความจริงเขาไม่ได้สมบูรณ์แบบขนาดนั้นสักหน่อย มีแต่แม่เท่านั้นที่เห็นว่าเขาดีเลิศตั้งแต่เด็กจนโต
“คุยอะไรกันอยู่หรือสองแม่ลูก” แต่แล้วบทสนทนาก็เป็นอันต้องจบลงเมื่อเสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้น
สองแม่ลูกหันไปมองทางประตูแทบจะพร้อมกัน พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมา
บรรดาข้าหลวงทั้งสาวและแก่ที่นั่งทำงานอยู่ต่างก็หยุดงานโดยไม่ได้นัดหมายก่อนจะหมอบกราบผู้เป็นเจ้าชีวิตของคนในวังแห่งนี้พร้อมกันสมกับที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี
“ท่านพ่อ”
“เด็จลงมาพอดี
หม่อมฉันกำลังจะให้คนขึ้นไปทูลเชิญลงมาเสวยเครื่องเช้าพอดีเลยมังคะ”
------------------------------------------------
“คุณหนู!”
ยังไม่ทันที่ขายาวจะก้าวลงมาจากรถยนต์คันสวย
เสียงที่เขาคุ้นหูดีก็ดังไปทั่วบ้าน
พร้อมกับร่างเล็กของหญิงชราคนคุ้นเคยวิ่งถลันเข้ามา กันต์นธีค่อยๆปิดประตูรถ
ส่งกุญแจให้คนขับรถของบ้านก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มน่ารักให้หญิงชรา
“สวัสดีครับป้าวาด”
คนตัวเล็กพนมมือไหว้ ป้าวาด ที่ดูแล้วควรจะเรียกว่า ‘ยายวาด’ มากกว่า หญิงชรายิ้มไม่หุบ
หน้าตาดูดีใจกับการมาของเขาเสียเหลือเกิน
“คุณหนู! จะกลับมาบ้านทำไมไม่โทรมาบอกมากล่าวก่อนล่ะคะ” หญิงชราถลันเข้ามาหาพลางเอ็ดเข้าให้
ทั้งๆที่หน้าตาดูมีความสุขขัดกับคำพูด คนตัวเล็กไม่ได้ตอบกลับ
หากแต่ชวนเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น
“หิวจังป้า
มีอะไรให้กันต์กินบ้างไหม” คนตัวเล็กยิ้มกว้าง
ด้วยเพราะถนัดชวนเปลี่ยนเรื่องมากกว่าใคร
มือขาวจึงคล้องแขนป้าวาดก่อนจะพาเดินเข้าไปในบ้าน
“แหมดูสิคุณหนูนี่ก็!
มาถึงยังไม่ทันไรก็ถามหาแต่ของกินแล้ว ก็แล้วคุณหนูอยากทานอะไรล่ะคะ
ป้าจะได้ไปทำให้” กันต์นธีอมยิ้มขำ โดนเอ็ดเข้าอีกรอบ
แต่ป้าวาดก็ใจอ่อนยวบเพียงแค่โดนเขาอ้อนนิดอ้อนหน่อยเข้าเท่านั้น
ดูเหมือนลืมไปเลยว่ายังเอ็ดที่เขากลับมาบ้านไม่บอกไม่กล่าว
บอกแล้วว่าเขาน่ะถนัดนักเรื่องชวนเปลี่ยนเรื่อง
คุณพ่อกับคุณแม่ก็เคยพูดไว้
“อะไรก็ได้ครับ
ขอแค่เป็นฝีมือป้าก็พอ กันต์ทานได้หมดเลย” คนน่ารักคลี่ยิ้มกว้าง
“ปากหวานเหมือนท่าน!
คุณหนูนี่ลูกไม้ตกไม่ไกลต้นจริงๆ” ‘ท่าน’
ในที่นี้ก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากท่านเจ้าของบ้านหลังใหญ่ที่เขามาเยือนในวันนี้
ท่านที่ไปพำนักไกลถึงต่างประเทศกับภริยาคู่ชีวิต
และปล่อยให้ลูกชายปกครองบ้านหลังนี้เพียงคนเดียว
“ก็กันต์ลูกคุณพ่อนี่ครับ” พอพูดถึงผู้เป็นบิดา ป้าวาดก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“จริงสิ
คุณหนูไปเยี่ยมคุณท่านมาเป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านสบายดีใช่ไหมคะ”
“สบายดีครับ
คุณแม่ยังฝากบอกคิดถึงป้าวาดอยู่เลย แล้วก็ยังฝากของมาให้ป้าด้วย กันต์ขนมาให้แล้วอยู่หลังรถ
ของคนอื่นก็มีนะครับ คุณแม่ให้กันต์หอบกลับมาแจกทุกคนในบ้านหอบใหญ่เลย
เดี๋ยววานช่วยให้ใครไปขนออกมาด้วยนะครับ” คุณหนูของบ้านสาธยายจนเดินเข้ามาถึงโถงรับรอง
ดวงตากลมละสายตาจากคนข้างกาย มองสำรวจไปทั่วบริเวณอย่างคนไม่ได้กลับมาร่วมหลายเดือน
บ้านหลังใหญ่หรูหราแต่ทว่ามีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่
ความจริงจะใช้คำว่าอาศัยก็คงไม่ถูก เพราะถ้าไม่นับว่ามีแขกคนสำคัญของคุณพ่อ
หรือไม่ใช่เพราะว่าคุณแม่กลับมาเมืองไทย เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่คอนโดของตัวเองมากกว่า
โดยให้เหตุผลที่ว่าสะดวกต่อการเดินทางไปบริษัทและสะดวกต่อการทำงาน
คุณแม่จึงยอมให้เขาย้ายออกไปอยู่คนเดียว แต่ความจริงแล้วกันต์นธีไม่ได้บอกเหตุผลอีกข้อออกไป
เหตุผลที่ว่าเขาไม่อยากอยู่บ้านหลังใหญ่หลังนี้เพียงลำพัง
ถึงแม้ว่าจะมีคนงานมากมายก็ตาม
“ได้ค่ะ
ว่าแต่วันนี้คุณหนูกลับบ้านมาทำอะไรคะ หรือว่าจะมีแขกของท่านกับคุณหญิงมา” หญิงชราเหมือนจะรู้ดีว่าเวลาที่คุณหนูอย่างเขากลับมาบ้านคงต้องมีอะไรสักอย่าง
อย่างเช่นวันนี้
“กันต์เอาของกลับมาเก็บครับป้าวาด
แล้วก็ว่าจะค้างสักสองสามวัน” พูดจบ ‘ของ’
ที่เขาพูดถึงก็เดินทางมาถึงตัว
ดวงตากลมโตมองสาวใช้ค่อยๆประคองกล่องซึ่งวางซ้อนกันอยู่สามสี่กล่องเข้ามา
นอกจากนั้นยังมีบรรดาเครื่องชาม เครื่องถม เครื่องแก้วโบราณอีกหลายชิ้นถูกนำมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเขาอย่างระมัดระวัง
“ป้าว่าแล้วเชียว
คราวนี้ไปได้อะไรมาอีกคะคุณหนู” หญิงชราถอนหายใจยิ้มๆมองหน้าคนที่เกาะแขนตนอยู่
กันต์นธีปล่อยแขนจากหญิงชรา เดินเข้ามาหยิบกล่องบนโต๊ะ
“เหมือนเดิมแหละครับป้า
ของพวกนี้ซื้อมานานแล้วแต่ไม่มีเวลาขนมาเก็บที่บ้านสักที”
“พอมีเวลาก็เลยขนมาซะยกใหญ่เลยใช่ไหมคะ”
หญิงชราดักคอ
“ก็แหม กันต์ไม่อยากเก็บไว้ที่คอนโดนี่ครับป้า
เพราะกันต์ก็ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ที่ห้องอยู่แล้ว ขนกลับมาที่นี่อย่างน้อยยังมีคนคอยเช็ดถูดูแลให้
หยากไย่จะได้ไม่เกาะเหมือนตอนอยู่ที่คอนโด” กันต์นธีพูดพลางเปิดกล่องนู้นกล่องนี้ออกดู
ก่อนที่มือน้อยจะเอื้อมไปหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินขึ้นมา ใบหน้าน่ารักคลี่ยิ้มบางๆ
แววตาอ่อนแสงลง
“แต่อันนี้เป็นน้องใหม่ครับ
เพิ่งได้มาเมื่อวานก่อนเลย สวยไหมครับป้าวาด” มือขาวเปิดกล่องตรงหน้าหญิงชรา
แสงวิบวับจากเพชรเม็ดเล็กที่ฝังอยู่รอบเรือนนาฬิกาสะท้อนเข้าตาคนมอง
ตัวเรือนทองคำขาวยามที่ต้องกับแสงจากโคมไฟยิ่งดูเปล่งประกายจนไม่อยากนึกตีราคา
หน้าปัดนาฬิกาถูกแกะสลักเป็นลวดลายดอกไม้งดงาม
ยิ่งหากลองพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้วจะรู้ได้ทันทีว่าถูกแกะสลักอย่างประณีตบรรจงเพียงใด
หญิงชราขมวดคิ้ว
พิจารณามองด้วยท่าทางสงบนิ่ง ก่อนจะพูดตอบไป
“สวยมันก็สวยอยู่หรอกค่ะ
แต่นาฬิกามันก็หยุดเดินไปแล้วคุณหนูจะซื้อมาทำไม อย่างเป็นพวกเครื่องแก้วเครื่องใช้พวกนี้ยังใช้ประโยชน์หรือไม่ก็ตั้งโชว์ได้
แต่นี่เป็นนาฬิกาอย่างดีก็แค่เก็บไว้ในลิ้นชัก มันจะไม่เสียเงินเปล่าหรือคะคุณหนู”
รอยยิ้มจางปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวาน กันต์นธีรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องถูกบ่นเหมือนอย่างที่โดนเพื่อนสนิทบ่นใส่มาก่อนหน้านี้
แต่เขาก็เฉยเสีย
“เสียเงินซื้อเวลา
กันต์ว่ามันก็คุ้มค่าดีนะครับป้า” คนตัวเล็กพูดพลางทำหน้าทะเล้น
ก่อนจะปิดกล่องนั้นวางลงบนโต๊ะ สั่งให้สาวใช้ทั้งหลายขนขึ้นไปเก็บบนห้องนอนของตน ป้าวาดจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
นอกจากเปลี่ยนเรื่องคุยถึงเรื่องอาหารการกินของคุณหนูสุดที่รักของเธอ
-------------------------
ห้องนอนของกันต์นธีตั้งอยู่ทางด้านขวาสุดของชั้นสอง
เยื้องไปไม่ห่างนั้นเป็นห้องของคุณพ่อคุณแม่ ร่างเล็กเดินผ่านห้องทั้งหลายที่ถูกปิดไว้เพราะไร้คนอาศัยไปยังห้องของตัวเอง
มือขาวหมุนประตูเข้าไปก็พบว่าห้องของเขายังดูใหม่พร้อมใช้งานอยู่เสมอ
ป้าวาดสั่งให้คนคอยทำความอยู่ตลอดไม่เคยขาด
ห้องนี้จึงถูกตระเตรียมไว้รองรับเจ้าของอยู่เสมอ
ร่างเล็กทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม
เตียงไม้กว้างแกะสลักอย่างประณีตถูกตั้งอยู่บนยกระดับซึ่งถูกปูลาดด้วยพรมผืนหนาสีน้ำเงินสด
ม่านสีครามถูกรวบติดกับหน้าต่างกว้างสูงถึงเพดานด้วยดิ้นทองเส้นโต
มองออกไปด้านนอกจะเห็นสวนกว้างของบ้าน ผนังห้องทาสีขาวนวล
ประดับตกแต่งด้วยภาพวาดตามรสนิยมของเจ้าของห้อง เครื่องเรือนแต่ละชิ้นล้วนเป็นสีขาวมุก
เพิ่มสีสันให้ห้องด้วยบรรดาดอกไม้เล็กๆทั้งในแจกันหรือแม้กระทั่งในภาพวาด ดูสดใสหากแต่เงียบสงบอยู่ในที
คุณหนูของบ้านหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปิดเครื่องก่อนจะทิ้งมันลงข้างตัวอย่างไม่ไยดี
ดวงตากลมค่อยๆหลับตาพริ้มปล่อยจิตใจของเขาให้ไหลไปกับความเงียบในห้อง
ถ้าเลือกที่จะกลับมาบ้านแล้ว นั่นหมายความว่าเขาเลือกที่จะกลับมาพักผ่อนกายและใจ
เลือกที่จะตัดขาดจากโลกภายนอกที่แสนยุ่งเหยิง
เลือกที่จะกลับมาสู่สถานที่แห่งความทรงจำในวัยเด็กอีกครั้ง
ภายในห้องสว่างไสวด้วยแสงแดดสีทองที่สาดส่องเข้ามา
และแม้ในห้องจะไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศให้ความเย็นใดๆ
แต่คนตัวเล็กกลับเลือกที่จะไม่ลุกไปเปิดมัน
เขารู้สึกดีมากกว่าที่จะได้รับสัมผัสอุ่นๆจากแดดด้านนอก นั่นเพราะกันต์นธีใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในเมืองที่มีอากาศหนาวเย็นมาตั้งแต่เด็ก
จึงไม่แปลกที่ว่าเขาจะชื่นชอบความอบอุ่นของแสงอาทิตย์
ยามใดที่นึกถึงแสงอาทิตย์ที่สว่างสดใส
หัวใจของเขามักจะรู้สึกอบอุ่นทุกครั้ง
ร่างบางค่อยๆลืมตา
ก่อนจะพลิกตัวนอนหันข้างมองออกไปนอกหน้าต่าง
ดวงตากลมโตจ้องมองภาพต้นไม้เอนไหวไปตามแรงลม จ้องมองแสงอาทิตย์สีทอง
จ้องมองอยู่อย่างนั้นไม่รู้ว่าเนิ่นนานเพียงใด
เท่าที่จำความได้คือเขารู้สึกราวกับว่ากำลังจมดิ่งลงไปในห้วงอารมณ์ของตัวเอง
ดวงตากลมค่อยๆหรี่แสงลงทีละนิด...
จนกระทั่งหลุดเข้าไปในดินแดนอันแสนเงียบสงบและร่มเย็น
มันสงบราวกับว่าในโลกแห่งนี้มีเพียงแค่
‘เรา’
เสียงบรรเลงมโหรีวงใหญ่ดังผ่านสายลมระคนด้วยเสียงนกตัวจ้อย
ขับกล่อมคนตัวเล็กที่กำลังหลับใหลให้เผลอยิ้มจางๆ มโหรีเสียงหวานแสนคุ้นเคย
เคยคุ้นเหมือนกับว่าเคยขับกล่อมให้เขาฟังทุกค่ำคืนไป
ที่นอนนุ่มยวบลงราวกับมีใครสักคนนั่งลงเคียงข้าง
และมือใหญ่ที่รู้สึกคุ้นเคยก็ทาบทับลงบนผมนุ่ม ค่อยๆลูบเบาๆอย่างทะนุถนอม หวงแหนราวดวงใจ
เขายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้ง
‘หอมกลิ่นเกสร เกสรดอกไม้ หอมกลิ่นคล้ายคล้ายเจ้าสูของเรียมเอย
หอมกลิ่นกรุ่นครันหอมนั้นยังบ่เลย
เนื้อหอมทรามเชยเอยเราละหนอ’
เสียงทุ้มหวานดังอยู่ข้างตัว
เหมือนคนร้องอยากขับกล่อมให้เขาหลับฝันดี เสียงคุ้นเคยกับบทกลอนบทเดิมแทรกซึมเข้ามาจับใจคนฟัง
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามันหวานจนมิอาจละความสนใจไปที่ไหนได้
‘โอ้ละหนอนวลตาเอย พี่นี้รักแสนรักดังดวงใจ
โอ้เป็นกรรมต้องจำจากไป
อกพี่อาลัยเจ้าดวงเดือนเอย’
เสียงทุ้มดังคลอกับมโหรี
คนตัวเล็กขดตัวเข้ากับสัมผัสอุ่นที่แทรกซึมมาตามมือใหญ่
ราวกับไขว่คว้าหาเจ้าของความอบอุ่นนั้น
‘เห็นเดือนแรมเริศร้างเวหา เฝ้าแต่เบิ่งดูฟ้า ละหนอ เห็นมืดมน
พี่ทนทุกข์ทุกข์ทนโอ้เจ้าดวงเดือนเอย’
เสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบ หากแต่ฟังดูเศร้าจับใจ มโหรีเสียงหวานกลับกลายเป็นเสียงเศร้าสร้อยคล้ายหัวใจของผู้ขับร้อง
หัวใจที่เคยอบอุ่นของกันต์นธีจึงเริ่มคล้อยตาม ความหดหู่กัดกินหัวใจดวงน้อย
ทีละนิด ทีละนิด บีบคั้นจนน้ำตาเม็ดใสไหลลงมาพร้อมกับเสียงสะอื้นราวใจจะขาด
‘โอ้เป็นกรรมต้องจำจากไป อกพี่อาลัยเจ้าดวงเดือนเอย’
เสียงเศร้าละห้อยโหยหาบางสิ่ง
ฟังดูเจ็บปวดจนมิอาจหักห้ามให้น้ำตาหยุดไหลได้อีกต่อไป
‘ขอลาแล้วเจ้าแก้วโกสุม พี่นี้รักเจ้าหนอขวัญตาเรียม
จะหาไหนมาเทียมโอ้เจ้าดวงเดือนเอย...’
“ฮึก” ร่างเล็กผวาลืมตาขึ้นไขว่คว้าอากาศ
ภาพฝันทุกอย่างรางเลือนกระจายฟุ้งไปทันใด
เหลืออยู่ก็แต่เพียงความเงียบสงบรอบบริเวณ ห้องยังคงว่างเปล่า
ร่างเล็กหอบหายใจถี่
ความรู้สึกอึดอัดภายในอกทำให้เขาต้องยกมือขาวทุบเบาๆลงที่ตำแหน่งหัวใจ
ความรู้สึกเศร้าหดหู่นี่ก็อีกที่ทำให้เขางุนงง
“ค คุณ... คุณอีกแล้วใช่ไหม” คนตัวเล็กพึมพำกับตัวเอง
ทั้งที่แรงสะอื้นและน้ำตายังไม่จางหายไป
มือขาวย้ายตำแหน่งจากหัวใจขึ้นเช็ดน้ำตาที่เลอะเต็มใบหน้าของตัวเองลวกๆ
หันไปมองกระจกข้างห้องก็พบว่าตัวเองร้องไห้หนักเสียจนดวงตากลมโตแดงก่ำ
กันต์นธีค่อยๆตั้งสติ
นั่งนิ่งอยู่สักครู่จนกระทั่งอาการสะอื้นค่อยๆหายไปจนหายสนิท ขายาวจึงค่อยๆก้าวลงจากเตียงนอนกว้าง
มุ่งตรงสู่ห้องน้ำจัดการคราบน้ำตาของตัวเองให้หายไป
--------------------------------------
(เมื่อไหร่จะมาวะ
วันนี้มีประชุมกับบอสนะเว้ย มึงลืมแล้วเหรอ)
เสียงจากคนปลายสายดังออกมา
ทำเอาคนตัวเล็กที่หนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่และหูเพราะมือสองข้างกำลังง่วนอยู่กับการติดกระดุมเสื้อรีบร้อนตาม
ตอบกลับเพื่อนรักไปทั้งๆที่ปากยังคาบแผ่นขนมปังเอาไว้
“ไอ้อืมๆ เอี๋ยวอูอีบเอ้าไอ” คนตื่นสายที่เพิ่งรู้ตัวว่าวันนี้มีนัดประชุมงานกับหัวหน้ารีบเร่งทำธุระยามเช้า
ลนลานเสียจนจะหยิบจะจับอะไรก็ผิดไปหมด
(พูดไรของมึง กูฟังไม่รู้เรื่อง)
“กูบอกว่าเดี๋ยวรีบเข้าไป! แค่นี้แหละ” พูดจบกันต์นธีก็กดวางสายแล้วเคี้ยวขนมปังให้หมดแผ่นก่อนจะรีบคว้ากุญแจรถวิ่งออกจากห้องไปด้วยความเร่งรีบ
ชีวิตของคนสมัยใหม่ก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ รวดเร็ว วุ่นวาย ใจร้อน...
--------------------------------------
ร่างเล็กตกอยู่ในสภาพเหงื่อท่วมตัวหลังจากรีบบึ่งรถมาที่บริษัทแล้ววิ่งขึ้นบันไดมาด้วยความเร็วสูงเพราะลิฟต์ดันมาเสียวันนี้
อีกทั้งห้องประชุมยังตั้งอยู่ที่ชั้นแปด กันต์นธีรู้สึกว่าขาของเขากำลังจะหลุดออกจากตัวตอนที่มาถึงหน้าประตูห้อง
“ข ขออนุญาตครับ” มือเล็กค่อยๆผลักประตูเข้ามาพร้อมกับแรงหอบหายใจไม่เป็นจังหวะ
เขาพบว่าในห้องนั้นมีฮุนกับเพื่อนร่วมโปรเจ็คและหัวหน้าของเขานั่งอยู่พร้อมแล้ว รีบก้มหัวให้ทุกคนเพื่อแสดงความขอโทษแล้วรีบวิ่งไปนั่งที่เก้าอี้ว่างข้างฮุน
“มึงสาย”
“รถติดมาก” เสียงกระแอมของเจ้านายขัดบทสนทนา
ทำให้ทั้งคู่รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที
ผู้ที่มากด้วยตำแหน่งและอายุเหลือบมองมาทางเขาก่อนจะเงียบไปสักพัก
สายตาใต้กรอบแว่นไล่มองเอกสารบางอย่างในมือ กันต์นธีลอบมองกิริยานั้นนิ่ง
“กันต์”
เสียงจากหัวโต๊ะดังขึ้นมา เขาขานรับแทบไม่ทัน
“ครับ”
“ผมต้องการให้คุณเป็นคนดูแลโปรเจ็คในครั้งนี้” อยู่ๆเจ้านายก็สั่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ทำเอาคนตัวเล็กที่ยังนั่งไม่ทันหายเหนื่อยงงเป็นไก่ตาแตก ใบหน้าน่ารักมองคนเป็นเจ้านายด้วยสีหน้าที่แสดงออกชัดว่าเกิดอาการไม่เข้าใจ
“อะไรนะครับบอส” ฮุนหันมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ามันรู้มาแต่แรกแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ลูกค้าต้องการให้เป็นคุณ” ชายวัยกลางคนอธิบายสั้นๆ
ฮุนกับเพื่อนร่วมโปรเจ็คสองสามคนพยักหน้าให้เขาอย่างต้องการสื่อว่าเห็นด้วยทุกประการ
มีเพียงแต่เขาที่ยังไม่เข้าใจ
“ทำไมถึงต้องเป็นผมล่ะครับ”
“ไว้คุณไปถามลูกค้าเอาเองแล้วกันนะ”
เหมือนคนถูกมัดมือชกจะพูดอะไรก็ไม่ได้
เขาจึงทำได้แค่เก็บความสงสัยทั้งหมดไว้ในใจแล้วตั้งใจฟังหัวหน้าอธิบายรายละเอียดของงานต่อไป
ดวงตากลมมองรูปในสไลด์บนจอใหญ่รูปแล้วรูปเล่าผ่านไป
นิ้วเรียวแกว่งปากกาในมือเล่นยามที่ภาพบนจอรันไปเรื่อยๆ
ผ่านไปราวชั่วโมงการประชุมงานจึงดูท่าว่าจะจบลง
"ส่วนทีมวิศวะกรก็น่าจะเป็นทีมเดิมกับเมื่อคราวที่แล้ว
และจำไว้ว่าโปรเจ็คนี้เป็นโปรเจ็คใหญ่มาก ดังนั้นต้องรอบคอบที่สุด เอาล่ะข้อมูลเบื้องต้นก็มีแค่นี้
ไว้พวกคุณค่อยไปปรึกษากันต่อเองนะ" เสียงของเจ้านายดังขึ้น
แล้วชายวัยกลางคนก็ลุกเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วปานลมหอบ เป็นการจบประชุมในเช้านี้ไปโดยปริยาย กันต์นธีเห็นดังนั้นจึงรีบเก็บของก่อนจะวิ่งตามออกไป
“น้าครับ” เดินตามมาจนกระทั่งเห็นว่าปลอดคนพอจะคุยกันได้สะดวก คนตัวเล็กจึงร้องเรียกชายวัยกลางคนไว้
‘คุณน้า’
หันกลับมามองผู้เป็น ‘หลานชาย’ ช้าๆ
“ว่าไง”
“น้าบอกมาเถอะว่าทำไมต้องเป็นผม” คนเป็นน้ายกยิ้มทันที
มองใบหน้าจริงจังของหลานชายตัวโตที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะตอบออกไป
“ทำไมไม่ไปถามแม่แกดูล่ะ
ว่าไปตกปากรับคำคุณหญิงคนไหนมาให้น้องชายอย่างฉันช่วยอีก” กันต์นธีถึงกับถอนหายใจ
เข้าใจแล้วว่าเหตุใดลูกค้าจึงเลือกเขาเป็นหัวหน้าทีม
แม่ของเขาเป็นภริยาท่านทูต
ซึ่งแน่นอนว่าจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของผู้มีอันจะกินทั้งหลาย สมาคมนั้นสมาคมนี้ล้วนแต่พากันดาหน้าเข้ามาหาพ่อกับแม่ของเขาเพื่อหวังให้เป็นเกียรติกับสมาคมของตนไม่เคยขาด
ในฐานะของเอกอัครราชทูตและภริยา จึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะให้ความช่วยเหลือตามหน้าที่
และเขาผู้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวก็โดนร่างแหนั้นไปด้วย เหมือนเช่นครั้งนี้
“คราวนี้ใครอีกล่ะครับ”
“คุณหญิงเสริม เธอบอกว่าอยากบูรณะบ้านเก่าของตระกูลเธอ
เห็นว่าร้อยกว่าปีแล้วมั้ง เออใช่ บางหลังบอกว่าอยากสร้างใหม่เลยก็มี
รวยดีเนอะคุณหญิงเนี่ย” คนเป็นน้าดูอารมณ์ดีแม้จะพูดถึงเรื่องงานจริงจังอยู่ก็ตาม
ขัดกับใบหน้าของหลานชายที่เริ่มงอแงแล้ว
“แต่ผมไม่ถนัดงานบูรณะเลยนะครับ
ยิ่งเป็นอาคารโบราณแบบนี้ด้วย” กันต์นธีรีบท้วงขึ้นมาทันที
“แกก็รู้ว่าคุณหญิงเสริมเป็นเพื่อนอยากสนิทกับแม่แก”
ชายวัยกลางคนพูดพลางหัวเราะเบาๆ กันต์นธีฟังแล้วเถียงต่อไม่ถูก
เขาเข้าใจดีว่าใครๆก็อยากสนิทสนมกับคุณรสาคนสวย
“เอาน่า
แกก็รับๆไปทำเถอะ ถือว่าเอาหน้าให้พ่อกับแม่แกอีกครั้งแล้วกัน” คนเป็นน้าพูดติดตลกร้าย มือหนายกขึ้นตบไหล่หลานชายให้กำลังใจก่อนจะเดินออกไป
ทิ้งให้เขายืนถอนหายใจอยู่เพียงลำพัง
คนตัวเล็กมองรูปในแฟ้มที่ถือติดมือมาอีกครั้ง
มือขาวเปิดเอกสารนั้นดูผ่านๆและหยุดลงที่ภาพของบ้านเก่าหลังใหญ่หลังหนึ่ง
เขามองมันอย่างพินิจ
โคโลเนียล
ต้นรัชกาลที่ห้า
ผู้ถือโฉนด
: หม่อมหลวงวราภา ติณมาตย์
มือขาวปิดแฟ้มลง
ขายาวเดินกลับห้องประชุมเพื่อเริ่มทำงานต่อไป โดยไม่รู้สักนิดว่าสายลมที่พัดอบอวลอยู่ในบ้านหลังนั้นมานับร้อยๆปีกำลังพัดเรียกเขาให้หวนกลับไป...
ยามเมื่อลมพัดหวน ลมก็อวลแต่กลิ่นมณฑาทอง...
คราใดลมพัดหวน ลมจะพัดเจ้ากลับมา...
------------------------------------
#ร้อยรักสลับภพ
ความคิดเห็น