ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร้อยรักสลับภพ #ฟิคลาวดวงเดือน

    ลำดับตอนที่ #3 : ปฐมบท : ภพกัน

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 65




     

    ปฐมบท ภ พ กั น

    ------------------------------

     

     

    ร.ศ. ๑๒๖

    วังติณมาตย์ พระนคร สยาม

     

      

    คุณชายเจ้าคะ

     

    เสียงเรียกของข้าหลวงดังขึ้นเบื้องหลัง ชายหนุ่มตัวสูงซึ่งกำลังยืนเลือกตำราสำหรับอ่านอยู่จึงหยุดการค้นหาตำราบนชั้นกว้าง หันหลังกลับไปมองด้วยท่าทีสง่างาม

     

    มีอะไรดวงตาคมมองข้าหลวงวัยดรุณี น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม

     

    หม่อมท่านให้อิฉันขึ้นมาเรียนคุณชายว่าให้ไปพบท่านที่หอนั่งเจ้าค่ะ

     

    เมื่อไหร่

     

    เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ

     

    เหตุใดต้องไปที่นั่นตั้งแต่เช้า วันนี้ตั้งเครื่องเช้าที่นั่นหรือ

     

    เปล่าเจ้าค่ะ ตั้งที่ห้องอาหารเช่นเดิม แต่หม่อมท่านว่ามีเรื่องอยากคุยกับคุณชายข้าหลวงรายงานด้วยกิริยาอันแสนสุภาพ แต่นั่นยิ่งเรียกความสงสัยจากคุณชายมากขึ้น

     

    รู้หรือไม่ว่ามีเรื่องอะไร

     

    มิทราบได้เจ้าค่ะ

     

    แจ้งหม่อมแม่ว่าเราขอเวลาสักครู่เดี๋ยวจะตามไปข้าหลวงพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปจากห้อง ดวงตาคมของหม่อมราชวงศ์หนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยด้วยนึกถึงว่าเหตุอันใดหม่อมแม่ถึงเรียกหาตนแต่เช้าขนาดนี้

     

    --------------------------

     

     

    ชีวิตของคนไทยในสมัยก่อนเป็นชีวิตที่ค่อนข้างมีระเบียบแบบแผน ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามเส้นทางแห่งจารีตอันดีงามที่ใครสักคนกำหนดไว้ เป็นชีวิตที่แสนสงบและออกจะเรียบง่ายไปเสียหน่อย จึงทำให้เมื่อใดก็ตามที่ชีวิตมีเรื่องราวใหม่ๆผ่านเข้ามา สิ่งนั้นก็มักจะเข้ามาแต่งแต้มชีวิตให้มีสีสัน ทำให้วันแสนธรรมดาดูน่าตื่นเต้นจนต้องยกขึ้นมาพูดกันอยู่บ่อยครั้ง

     

    หม่อมแม่เรียกหาผม มีอะไรหรือเปล่าครับใบหน้างดงามของ หม่อมลดาวัลย์ ที่กำลังมองบางอย่างในอ่างแก้วตรงหน้าเงยขึ้นมาตามเสียงเรียก ร่างสูงโปร่งของบุตรชายเดินมานั่งลงตรงหน้า ใบหน้างดงามนั้นจึงยกยิ้ม

     

    มาพอดี ดูนี่สิแม่ให้เค้าเอามาตั้งให้ ชายว่าสวยไหมหม่อมราชวงศ์จิรเมธ ลากสายตามองไปยังอ่างแก้วตรงหน้า ข้างในบรรจุน้ำใสไว้เพียงครึ่งอ่าง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือวัตถุสีแดงเลือดนกที่หม่อมแม่ของเขากำลังใช้แท่งแก้วคนไปมาในน้ำ

     

    อะไรหรือครับ

     

    กลิ่นผกา แต่เค้าเรียกกันว่าอบร่ำน้ำ เมื่อวานพวกจีนมันเอามาขายให้แม่ มันบอกว่าเป็นของจากราชสำนักจีนใช้กันเท่านั้น แต่แม่ว่าแม่คงโดนหลอก หากใช้เพียงในราชสำนักจะลงเรือมาขายถึงสยามได้อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม่ว่ามันน่ารักดีเลยซื้อเก็บไว้ กลิ่นก็หอมแปลกดีทีเดียว ไม่เหมือนดอกไม้ของเรา

     

    หม่อมราชวงศ์หนุ่มมองมารดาของตัวเองแล้วก็ต้องเผลอยิ้ม เข้าใจแล้วว่ามีเรื่องอะไรถึงได้เรียกหาตนตั้งแต่เช้า ที่แท้หม่อมแม่ก็ได้ของเล่นใหม่มาอวดเขาอีกตามเคย

     

    เห็นคราวนี้หม่อมแม่น่าจะชอบมากทีเดียว ถึงได้ซื้อไว้มากเช่นนี้คุณชายมองไปยังถุงผ้ามากมายบนโต๊ะ มือหนาหยิบขึ้นดมเบาๆ กลิ่นหอมประหลาดลอยปะทะจมูกจนต้องรีบวางลง

     

    เปล่า แม่ไม่ได้ซื้อไว้ใช้คนเดียว เรียกชายมาหาเดี๋ยวนี้ก็เพราะอยากถามว่าถ้าแม่จะให้เค้าเอาไปให้บ้านโน้นจะดีไหม หรือชายว่าอย่างไรคุณชายฟังเสียงของมารดาพลางมองวัตถุสีเลือดนกค่อยๆแตกตัวกลายเป็นกลีบดอกไม้ร่วงลงในน้ำ เปลี่ยนสีน้ำให้ค่อยๆกลายเป็นแดงใส กลิ่นหอมระเรื่อเริ่มส่งกลิ่นเมื่อมีลมอ่อนๆพัดผ่าน กลิ่นจางลงมากกว่าตอนที่ยังเป็นกลีบดอกไม้แห้งในถุงผ้า ที่สำคัญให้ความรู้สึกผ่อนคลายทั้งรูปลักษณ์และกลิ่น

     

    ผู้หญิงล้วนชอบของน่ารักแบบนี้

     

    ก็น่ารักดีครับคุณชายลากสายตาจากกลีบดอกไม้ในอ่างแก้วขึ้นมองใบหน้าของผู้เป็นแม่ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้ม เรียบนิ่งอย่างปกติ

     

    ว่าแล้วเชียวต้องตอบแบบนี้ เฮ้อ ลูกชายทำไมมันน่าเบื่อเสียจริงหม่อมแม่มองหน้าเขาพลางถอนหายใจอย่างหน่ายใจ ก่อนจะก้มลงไปสนใจของเล่นตรงหน้า คุณชายนึกขันผู้เป็นมารดา เขาเข้าใจดีว่าการมีแต่ลูกชายนั้นมันน่าเบื่ออย่างไร ลูกชายออดอ้อนไม่เป็น ลูกชายพูดคุยไม่เก่ง ลูกชายทำอะไรที่น่าเอ็นดูไม่ได้ แม้ว่าหม่อมแม่กับเขาจะสนิทกันแค่ไหนแต่มันก็ไม่เหมือนมีลูกสาว

     

    เพราะอย่างนี้กระมัง หม่อมลดาถึงตื่นเต้นมากกว่าใครที่กำลังจะมี ลูกสาวคนใหม่ เข้ามาเติมเต็มความสุขให้บ้านหลังใหญ่แสนเงียบเหงาหลังนี้ เดี๋ยวนี้ซื้อของทีไรหม่อมลดาจึงชอบซื้อเผื่อส่งไปให้บ้านโน้นทุกที

     

    ผมดูไม่ออกหรอกครับของผู้หญิงเล่นแบบนี้ แต่ถ้าหม่อมแม่ชอบ ผมว่าลูกสาวบ้านโน้นก็คงชอบเหมือนกัน

     

             อยู่ๆหม่อมลดาก็เงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นลูกชาย พินิจอะไรอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

     

    นี่ชาย

     

             ครับหม่อมแม่

     

             เรื่องงานแต่งงาน ชายคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง

     

             ทำไมอยู่ๆหม่อมแม่ถึงถามขึ้นมาล่ะครับ คุณชายเลิกคิ้วสงสัยในคำถาม หม่อมลดาจึงค่อยๆวางแท่งแก้วในมือลงบนโต๊ะ หันไปหยิบถ้วยน้ำชาก่อนจะหันกลับมาตอบ

     

             ไม่มีอะไรมากหรอก แม่แค่อยากรู้ว่าหากชายไม่ต้องทำตามพระประสงค์ของท่านพ่อ ชายจะคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ เรื่องการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักใคร่กันมาก่อน หม่อมถามพลางจิบน้ำชาในถ้วย ตั้งใจฟังคำตอบของลูกชาย

     

    คุณชายจิรเมธเงียบไป ค่อยๆใช้ความคิดกับคำถามของมารดา

     

    การแต่งงานครั้งนี้เป็นการแต่งงานที่เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของท่านพ่อ หาใช่เพราะความสมัครรักใคร่ของเขาและว่าที่เจ้าสาว เมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้อยู่ๆท่านพ่อก็ทรงมีรับสั่งว่าอยากให้เขาแต่งงานกับหลานสาวของเพื่อนคนหนึ่ง นั่นก็คือหลานสาวของเจ้าพระยาสุนทรราชนริน อีกทั้งยังเป็นลูกสาวคนกลางของพระยาบริพัฒน์ราชสุนทร นามว่า แม่มุกต์

     

             ขอแค่เป็นผู้หญิงที่ดี พร้อมจะอยู่กับชายไปตลอดชีวิตก็เพียงพอแล้วล่ะครับ น้ำเสียงทุ้มเอ่ยตอบด้วยความจริงจัง ผู้เป็นแม่มองใบหน้านั้นอย่างยังไม่ค่อยวางใจเชื่อ

     

     งั้นหรือ ความจริงแม่ก็ถามไปอย่างนั้น แค่อยากจะถามให้แน่ใจว่าการแต่งงานครั้งนี้จะไม่ทำให้ชายผิดหวัง

     

             แล้วทำไมชายจะต้องผิดหวังด้วยหรือครับหม่อมแม่หม่อมราชวงศ์หนุ่มถามยิ้มๆ

     

             ไม่รู้สิ ก็ตั้งแต่เด็กจนโตใครๆเค้าก็พูดกันว่าชายจะได้แต่งกับหญิงรำไพ แม่ก็กลัวว่าชายจะปักใจกับน้อง

     

             ไม่หรอกครับหม่อมแม่ สำหรับหญิงรำไพผมมองว่าเป็นน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง

     

               “เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นแม่ก็โล่งอกไปทีนะหม่อมลดาถอนหายใจออกมา ตามด้วยรอยยิ้มไม่ผิดจากลูกชาย บรรยากาศจริงจังเมื่อครู่จึงค่อยๆคลายตัวลงกลับสู่ปกติ

     

    แม่มุกต์หลานสาวเจ้าพระยาสุนทรคนนี้เนี่ย เห็นคนเขาลือกันทั่วว่างามหนักหนา กิริยามารยาทก็อ่อนหวานเรียบร้อยประหนึ่งคุณข้างในวัง"

     

    "แม่มุกต์นี้มาจากสายไหนของเจ้าพระยาสุนทรหรือครับหม่อมแม่"

     

    "เห็นว่าเป็นหลานปู่จากฝั่งท่านผู้หญิงจันทร์ล่ะนะ คุณปู่กับคุณย่าเขาก็สนิทสนมกับท่านพ่อของชายอยู่พอตัว เพราะเจ้าคุณท่านเคยรับราชการอยู่กรมเดียวกับเสด็จปู่ของชายมาก่อน" 

     

             “.........”

     

    "ตอนแรกที่ท่านพ่อของชายรับสั่งกับแม่เรื่องนี้ แม่ก็คิดเสียว่าจะให้ชายแต่งกับหลานสาวคนโตของท่าน แต่ไม่ได้เสียล่ะ เพราะลูกสาวคนโตพ่อกับแม่เค้าถวายเสด็จตั้งแต่ยังเล็กแล้ว ถวายขาดเสียด้วย แล้วเสด็จท่านก็ดูจะรักเอามากเหมือนกันเพราะทรงชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ขืนไปขอรับตัวออกมาหาผัวให้มีหวังเสด็จท่านได้กริ้วตาย ก็เลยได้หลานคนรองมา แต่แม่ว่าก็ดีนะที่ชายได้แต่งกับคนนี้ เพราะเขาลือกันนั่นแหละว่างามที่สุด งามกว่าคนพี่เสียอีก คราวนี้หลานย่าเกิดมาจะได้สวยหล่อกันหมด เพราะลูกแม่ก็งามไม่แพ้ใครทีเดียวเชียว” 

     

    หม่อมลดาพูดจบก็หัวเราะร่าด้วยความภูมิใจกับผลงานชิ้นสำคัญของเธอร่วมกับสามี เสียงหัวเราะของหม่อมและรอยยิ้มของคุณชายทำเอาบรรดาข้าหลวงที่อยู่รอบๆได้รับรังสีความสุขตามไปด้วย

     

             หม่อมแม่ชอบพูดแบบนี้อยู่เรื่อย อายคนอื่น คุณชายส่ายหน้ายิ้มๆกับความช่างชมของผู้เป็นแม่ หม่อมลดาหยิบพัดขึ้นมากางพัดอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะหันไปพูดกับบรรดาข้าหลวง

     

             ก็มันเรื่องจริงนี่ จริงหรือไม่จริงพวกหล่อนคิดว่าอย่างไรกัน

     

             จริงเจ้าค่ะหม่อม

     

             เห็นไหมล่ะ ใครๆเขาก็บอกกันว่าคุณชายราชสกุลติณมาตย์งามไม่แพ้คุณชายราชสกุลไหนเลย กิริยามารยาทรึก็เรียบร้อยน่าเอ็นดู การศึกษาก็ดี การงานก็ดี อุแหม... เหลือแค่ได้เมียดีนี่ก็ดีไปหมดแล้วลูกชายฉัน หม่อมลดายกยอลูกชายตัวเองจนคุณชายแทบจะลุกหนีด้วยความอาย ความจริงเขาไม่ได้สมบูรณ์แบบขนาดนั้นสักหน่อย มีแต่แม่เท่านั้นที่เห็นว่าเขาดีเลิศตั้งแต่เด็กจนโต

     

             คุยอะไรกันอยู่หรือสองแม่ลูก แต่แล้วบทสนทนาก็เป็นอันต้องจบลงเมื่อเสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้น สองแม่ลูกหันไปมองทางประตูแทบจะพร้อมกัน พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมา

     

    บรรดาข้าหลวงทั้งสาวและแก่ที่นั่งทำงานอยู่ต่างก็หยุดงานโดยไม่ได้นัดหมายก่อนจะหมอบกราบผู้เป็นเจ้าชีวิตของคนในวังแห่งนี้พร้อมกันสมกับที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

     

             ท่านพ่อ

     

             เด็จลงมาพอดี หม่อมฉันกำลังจะให้คนขึ้นไปทูลเชิญลงมาเสวยเครื่องเช้าพอดีเลยมังคะ

     

    ------------------------------------------------

     



             คุณหนู!”

     

    ยังไม่ทันที่ขายาวจะก้าวลงมาจากรถยนต์คันสวย เสียงที่เขาคุ้นหูดีก็ดังไปทั่วบ้าน พร้อมกับร่างเล็กของหญิงชราคนคุ้นเคยวิ่งถลันเข้ามา กันต์นธีค่อยๆปิดประตูรถ ส่งกุญแจให้คนขับรถของบ้านก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มน่ารักให้หญิงชรา

     

    สวัสดีครับป้าวาดคนตัวเล็กพนมมือไหว้ ป้าวาด ที่ดูแล้วควรจะเรียกว่า ยายวาดมากกว่า หญิงชรายิ้มไม่หุบ หน้าตาดูดีใจกับการมาของเขาเสียเหลือเกิน

     

    คุณหนู! จะกลับมาบ้านทำไมไม่โทรมาบอกมากล่าวก่อนล่ะคะหญิงชราถลันเข้ามาหาพลางเอ็ดเข้าให้ ทั้งๆที่หน้าตาดูมีความสุขขัดกับคำพูด คนตัวเล็กไม่ได้ตอบกลับ หากแต่ชวนเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น

     

    หิวจังป้า มีอะไรให้กันต์กินบ้างไหม คนตัวเล็กยิ้มกว้าง ด้วยเพราะถนัดชวนเปลี่ยนเรื่องมากกว่าใคร มือขาวจึงคล้องแขนป้าวาดก่อนจะพาเดินเข้าไปในบ้าน

     

    แหมดูสิคุณหนูนี่ก็! มาถึงยังไม่ทันไรก็ถามหาแต่ของกินแล้ว ก็แล้วคุณหนูอยากทานอะไรล่ะคะ ป้าจะได้ไปทำให้กันต์นธีอมยิ้มขำ โดนเอ็ดเข้าอีกรอบ แต่ป้าวาดก็ใจอ่อนยวบเพียงแค่โดนเขาอ้อนนิดอ้อนหน่อยเข้าเท่านั้น ดูเหมือนลืมไปเลยว่ายังเอ็ดที่เขากลับมาบ้านไม่บอกไม่กล่าว

     

    บอกแล้วว่าเขาน่ะถนัดนักเรื่องชวนเปลี่ยนเรื่อง คุณพ่อกับคุณแม่ก็เคยพูดไว้

     

    อะไรก็ได้ครับ ขอแค่เป็นฝีมือป้าก็พอ กันต์ทานได้หมดเลยคนน่ารักคลี่ยิ้มกว้าง

     

    ปากหวานเหมือนท่าน! คุณหนูนี่ลูกไม้ตกไม่ไกลต้นจริงๆ” ‘ท่านในที่นี้ก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากท่านเจ้าของบ้านหลังใหญ่ที่เขามาเยือนในวันนี้ ท่านที่ไปพำนักไกลถึงต่างประเทศกับภริยาคู่ชีวิต และปล่อยให้ลูกชายปกครองบ้านหลังนี้เพียงคนเดียว

     

    ก็กันต์ลูกคุณพ่อนี่ครับ พอพูดถึงผู้เป็นบิดา ป้าวาดก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

     

    จริงสิ คุณหนูไปเยี่ยมคุณท่านมาเป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านสบายดีใช่ไหมคะ

     

    สบายดีครับ คุณแม่ยังฝากบอกคิดถึงป้าวาดอยู่เลย แล้วก็ยังฝากของมาให้ป้าด้วย กันต์ขนมาให้แล้วอยู่หลังรถ ของคนอื่นก็มีนะครับ คุณแม่ให้กันต์หอบกลับมาแจกทุกคนในบ้านหอบใหญ่เลย เดี๋ยววานช่วยให้ใครไปขนออกมาด้วยนะครับคุณหนูของบ้านสาธยายจนเดินเข้ามาถึงโถงรับรอง ดวงตากลมละสายตาจากคนข้างกาย มองสำรวจไปทั่วบริเวณอย่างคนไม่ได้กลับมาร่วมหลายเดือน บ้านหลังใหญ่หรูหราแต่ทว่ามีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่ ความจริงจะใช้คำว่าอาศัยก็คงไม่ถูก เพราะถ้าไม่นับว่ามีแขกคนสำคัญของคุณพ่อ หรือไม่ใช่เพราะว่าคุณแม่กลับมาเมืองไทย เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่คอนโดของตัวเองมากกว่า

     

    โดยให้เหตุผลที่ว่าสะดวกต่อการเดินทางไปบริษัทและสะดวกต่อการทำงาน คุณแม่จึงยอมให้เขาย้ายออกไปอยู่คนเดียว แต่ความจริงแล้วกันต์นธีไม่ได้บอกเหตุผลอีกข้อออกไป เหตุผลที่ว่าเขาไม่อยากอยู่บ้านหลังใหญ่หลังนี้เพียงลำพัง ถึงแม้ว่าจะมีคนงานมากมายก็ตาม

     

    ได้ค่ะ ว่าแต่วันนี้คุณหนูกลับบ้านมาทำอะไรคะ หรือว่าจะมีแขกของท่านกับคุณหญิงมาหญิงชราเหมือนจะรู้ดีว่าเวลาที่คุณหนูอย่างเขากลับมาบ้านคงต้องมีอะไรสักอย่าง

     

    อย่างเช่นวันนี้

     

    กันต์เอาของกลับมาเก็บครับป้าวาด แล้วก็ว่าจะค้างสักสองสามวันพูดจบ ของที่เขาพูดถึงก็เดินทางมาถึงตัว ดวงตากลมโตมองสาวใช้ค่อยๆประคองกล่องซึ่งวางซ้อนกันอยู่สามสี่กล่องเข้ามา นอกจากนั้นยังมีบรรดาเครื่องชาม เครื่องถม เครื่องแก้วโบราณอีกหลายชิ้นถูกนำมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเขาอย่างระมัดระวัง

     

    ป้าว่าแล้วเชียว คราวนี้ไปได้อะไรมาอีกคะคุณหนูหญิงชราถอนหายใจยิ้มๆมองหน้าคนที่เกาะแขนตนอยู่ กันต์นธีปล่อยแขนจากหญิงชรา เดินเข้ามาหยิบกล่องบนโต๊ะ

     

    เหมือนเดิมแหละครับป้า ของพวกนี้ซื้อมานานแล้วแต่ไม่มีเวลาขนมาเก็บที่บ้านสักที

     

    พอมีเวลาก็เลยขนมาซะยกใหญ่เลยใช่ไหมคะหญิงชราดักคอ

     

    ก็แหม กันต์ไม่อยากเก็บไว้ที่คอนโดนี่ครับป้า เพราะกันต์ก็ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ที่ห้องอยู่แล้ว ขนกลับมาที่นี่อย่างน้อยยังมีคนคอยเช็ดถูดูแลให้ หยากไย่จะได้ไม่เกาะเหมือนตอนอยู่ที่คอนโดกันต์นธีพูดพลางเปิดกล่องนู้นกล่องนี้ออกดู ก่อนที่มือน้อยจะเอื้อมไปหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินขึ้นมา ใบหน้าน่ารักคลี่ยิ้มบางๆ แววตาอ่อนแสงลง

     

    แต่อันนี้เป็นน้องใหม่ครับ เพิ่งได้มาเมื่อวานก่อนเลย สวยไหมครับป้าวาดมือขาวเปิดกล่องตรงหน้าหญิงชรา

     

    แสงวิบวับจากเพชรเม็ดเล็กที่ฝังอยู่รอบเรือนนาฬิกาสะท้อนเข้าตาคนมอง ตัวเรือนทองคำขาวยามที่ต้องกับแสงจากโคมไฟยิ่งดูเปล่งประกายจนไม่อยากนึกตีราคา หน้าปัดนาฬิกาถูกแกะสลักเป็นลวดลายดอกไม้งดงาม ยิ่งหากลองพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้วจะรู้ได้ทันทีว่าถูกแกะสลักอย่างประณีตบรรจงเพียงใด

     

    หญิงชราขมวดคิ้ว พิจารณามองด้วยท่าทางสงบนิ่ง ก่อนจะพูดตอบไป

     

    สวยมันก็สวยอยู่หรอกค่ะ แต่นาฬิกามันก็หยุดเดินไปแล้วคุณหนูจะซื้อมาทำไม อย่างเป็นพวกเครื่องแก้วเครื่องใช้พวกนี้ยังใช้ประโยชน์หรือไม่ก็ตั้งโชว์ได้ แต่นี่เป็นนาฬิกาอย่างดีก็แค่เก็บไว้ในลิ้นชัก มันจะไม่เสียเงินเปล่าหรือคะคุณหนูรอยยิ้มจางปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวาน กันต์นธีรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องถูกบ่นเหมือนอย่างที่โดนเพื่อนสนิทบ่นใส่มาก่อนหน้านี้ แต่เขาก็เฉยเสีย

     

    เสียเงินซื้อเวลา กันต์ว่ามันก็คุ้มค่าดีนะครับป้าคนตัวเล็กพูดพลางทำหน้าทะเล้น ก่อนจะปิดกล่องนั้นวางลงบนโต๊ะ สั่งให้สาวใช้ทั้งหลายขนขึ้นไปเก็บบนห้องนอนของตน ป้าวาดจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นอกจากเปลี่ยนเรื่องคุยถึงเรื่องอาหารการกินของคุณหนูสุดที่รักของเธอ

     

    -------------------------

     

            

             ห้องนอนของกันต์นธีตั้งอยู่ทางด้านขวาสุดของชั้นสอง เยื้องไปไม่ห่างนั้นเป็นห้องของคุณพ่อคุณแม่ ร่างเล็กเดินผ่านห้องทั้งหลายที่ถูกปิดไว้เพราะไร้คนอาศัยไปยังห้องของตัวเอง มือขาวหมุนประตูเข้าไปก็พบว่าห้องของเขายังดูใหม่พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ป้าวาดสั่งให้คนคอยทำความอยู่ตลอดไม่เคยขาด ห้องนี้จึงถูกตระเตรียมไว้รองรับเจ้าของอยู่เสมอ

     

    ร่างเล็กทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม เตียงไม้กว้างแกะสลักอย่างประณีตถูกตั้งอยู่บนยกระดับซึ่งถูกปูลาดด้วยพรมผืนหนาสีน้ำเงินสด ม่านสีครามถูกรวบติดกับหน้าต่างกว้างสูงถึงเพดานด้วยดิ้นทองเส้นโต มองออกไปด้านนอกจะเห็นสวนกว้างของบ้าน ผนังห้องทาสีขาวนวล ประดับตกแต่งด้วยภาพวาดตามรสนิยมของเจ้าของห้อง เครื่องเรือนแต่ละชิ้นล้วนเป็นสีขาวมุก เพิ่มสีสันให้ห้องด้วยบรรดาดอกไม้เล็กๆทั้งในแจกันหรือแม้กระทั่งในภาพวาด ดูสดใสหากแต่เงียบสงบอยู่ในที

     

             คุณหนูของบ้านหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปิดเครื่องก่อนจะทิ้งมันลงข้างตัวอย่างไม่ไยดี ดวงตากลมค่อยๆหลับตาพริ้มปล่อยจิตใจของเขาให้ไหลไปกับความเงียบในห้อง ถ้าเลือกที่จะกลับมาบ้านแล้ว นั่นหมายความว่าเขาเลือกที่จะกลับมาพักผ่อนกายและใจ เลือกที่จะตัดขาดจากโลกภายนอกที่แสนยุ่งเหยิง เลือกที่จะกลับมาสู่สถานที่แห่งความทรงจำในวัยเด็กอีกครั้ง

     

    ภายในห้องสว่างไสวด้วยแสงแดดสีทองที่สาดส่องเข้ามา และแม้ในห้องจะไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศให้ความเย็นใดๆ แต่คนตัวเล็กกลับเลือกที่จะไม่ลุกไปเปิดมัน เขารู้สึกดีมากกว่าที่จะได้รับสัมผัสอุ่นๆจากแดดด้านนอก นั่นเพราะกันต์นธีใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในเมืองที่มีอากาศหนาวเย็นมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่แปลกที่ว่าเขาจะชื่นชอบความอบอุ่นของแสงอาทิตย์

     

    ยามใดที่นึกถึงแสงอาทิตย์ที่สว่างสดใส หัวใจของเขามักจะรู้สึกอบอุ่นทุกครั้ง

     

    ร่างบางค่อยๆลืมตา ก่อนจะพลิกตัวนอนหันข้างมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตากลมโตจ้องมองภาพต้นไม้เอนไหวไปตามแรงลม จ้องมองแสงอาทิตย์สีทอง จ้องมองอยู่อย่างนั้นไม่รู้ว่าเนิ่นนานเพียงใด เท่าที่จำความได้คือเขารู้สึกราวกับว่ากำลังจมดิ่งลงไปในห้วงอารมณ์ของตัวเอง

     

    ดวงตากลมค่อยๆหรี่แสงลงทีละนิด...

     

    จนกระทั่งหลุดเข้าไปในดินแดนอันแสนเงียบสงบและร่มเย็น

     

    มันสงบราวกับว่าในโลกแห่งนี้มีเพียงแค่ เรา

     

    เสียงบรรเลงมโหรีวงใหญ่ดังผ่านสายลมระคนด้วยเสียงนกตัวจ้อย ขับกล่อมคนตัวเล็กที่กำลังหลับใหลให้เผลอยิ้มจางๆ มโหรีเสียงหวานแสนคุ้นเคย เคยคุ้นเหมือนกับว่าเคยขับกล่อมให้เขาฟังทุกค่ำคืนไป

     

    ที่นอนนุ่มยวบลงราวกับมีใครสักคนนั่งลงเคียงข้าง และมือใหญ่ที่รู้สึกคุ้นเคยก็ทาบทับลงบนผมนุ่ม ค่อยๆลูบเบาๆอย่างทะนุถนอม หวงแหนราวดวงใจ

     

    เขายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้ง

     

    หอมกลิ่นเกสร เกสรดอกไม้ หอมกลิ่นคล้ายคล้ายเจ้าสูของเรียมเอย

    หอมกลิ่นกรุ่นครันหอมนั้นยังบ่เลย เนื้อหอมทรามเชยเอยเราละหนอ

     

             เสียงทุ้มหวานดังอยู่ข้างตัว เหมือนคนร้องอยากขับกล่อมให้เขาหลับฝันดี เสียงคุ้นเคยกับบทกลอนบทเดิมแทรกซึมเข้ามาจับใจคนฟัง ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามันหวานจนมิอาจละความสนใจไปที่ไหนได้

     

    โอ้ละหนอนวลตาเอย พี่นี้รักแสนรักดังดวงใจ

    โอ้เป็นกรรมต้องจำจากไป อกพี่อาลัยเจ้าดวงเดือนเอย

     

             เสียงทุ้มดังคลอกับมโหรี คนตัวเล็กขดตัวเข้ากับสัมผัสอุ่นที่แทรกซึมมาตามมือใหญ่ ราวกับไขว่คว้าหาเจ้าของความอบอุ่นนั้น

     

    เห็นเดือนแรมเริศร้างเวหา เฝ้าแต่เบิ่งดูฟ้า ละหนอ เห็นมืดมน

    พี่ทนทุกข์ทุกข์ทนโอ้เจ้าดวงเดือนเอย

     

             เสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบ หากแต่ฟังดูเศร้าจับใจ มโหรีเสียงหวานกลับกลายเป็นเสียงเศร้าสร้อยคล้ายหัวใจของผู้ขับร้อง หัวใจที่เคยอบอุ่นของกันต์นธีจึงเริ่มคล้อยตาม ความหดหู่กัดกินหัวใจดวงน้อย ทีละนิด ทีละนิด บีบคั้นจนน้ำตาเม็ดใสไหลลงมาพร้อมกับเสียงสะอื้นราวใจจะขาด

     

    โอ้เป็นกรรมต้องจำจากไป อกพี่อาลัยเจ้าดวงเดือนเอย

     

             เสียงเศร้าละห้อยโหยหาบางสิ่ง ฟังดูเจ็บปวดจนมิอาจหักห้ามให้น้ำตาหยุดไหลได้อีกต่อไป

     

    ขอลาแล้วเจ้าแก้วโกสุม พี่นี้รักเจ้าหนอขวัญตาเรียม

    จะหาไหนมาเทียมโอ้เจ้าดวงเดือนเอย...’

     

             ฮึกร่างเล็กผวาลืมตาขึ้นไขว่คว้าอากาศ ภาพฝันทุกอย่างรางเลือนกระจายฟุ้งไปทันใด เหลืออยู่ก็แต่เพียงความเงียบสงบรอบบริเวณ ห้องยังคงว่างเปล่า

     

             ร่างเล็กหอบหายใจถี่ ความรู้สึกอึดอัดภายในอกทำให้เขาต้องยกมือขาวทุบเบาๆลงที่ตำแหน่งหัวใจ ความรู้สึกเศร้าหดหู่นี่ก็อีกที่ทำให้เขางุนงง

     

             ค คุณ... คุณอีกแล้วใช่ไหมคนตัวเล็กพึมพำกับตัวเอง ทั้งที่แรงสะอื้นและน้ำตายังไม่จางหายไป มือขาวย้ายตำแหน่งจากหัวใจขึ้นเช็ดน้ำตาที่เลอะเต็มใบหน้าของตัวเองลวกๆ หันไปมองกระจกข้างห้องก็พบว่าตัวเองร้องไห้หนักเสียจนดวงตากลมโตแดงก่ำ

     

             กันต์นธีค่อยๆตั้งสติ นั่งนิ่งอยู่สักครู่จนกระทั่งอาการสะอื้นค่อยๆหายไปจนหายสนิท ขายาวจึงค่อยๆก้าวลงจากเตียงนอนกว้าง มุ่งตรงสู่ห้องน้ำจัดการคราบน้ำตาของตัวเองให้หายไป

     

    --------------------------------------

     

     

    (เมื่อไหร่จะมาวะ วันนี้มีประชุมกับบอสนะเว้ย มึงลืมแล้วเหรอ) เสียงจากคนปลายสายดังออกมา ทำเอาคนตัวเล็กที่หนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่และหูเพราะมือสองข้างกำลังง่วนอยู่กับการติดกระดุมเสื้อรีบร้อนตาม ตอบกลับเพื่อนรักไปทั้งๆที่ปากยังคาบแผ่นขนมปังเอาไว้

     

             ไอ้อืมๆ เอี๋ยวอูอีบเอ้าไอคนตื่นสายที่เพิ่งรู้ตัวว่าวันนี้มีนัดประชุมงานกับหัวหน้ารีบเร่งทำธุระยามเช้า ลนลานเสียจนจะหยิบจะจับอะไรก็ผิดไปหมด

     

             (พูดไรของมึง กูฟังไม่รู้เรื่อง)

     

             กูบอกว่าเดี๋ยวรีบเข้าไป! แค่นี้แหละพูดจบกันต์นธีก็กดวางสายแล้วเคี้ยวขนมปังให้หมดแผ่นก่อนจะรีบคว้ากุญแจรถวิ่งออกจากห้องไปด้วยความเร่งรีบ

     

             ชีวิตของคนสมัยใหม่ก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ รวดเร็ว วุ่นวาย ใจร้อน...

     

    --------------------------------------

     

     

     

    ร่างเล็กตกอยู่ในสภาพเหงื่อท่วมตัวหลังจากรีบบึ่งรถมาที่บริษัทแล้ววิ่งขึ้นบันไดมาด้วยความเร็วสูงเพราะลิฟต์ดันมาเสียวันนี้ อีกทั้งห้องประชุมยังตั้งอยู่ที่ชั้นแปด กันต์นธีรู้สึกว่าขาของเขากำลังจะหลุดออกจากตัวตอนที่มาถึงหน้าประตูห้อง

     

    ข ขออนุญาตครับ มือเล็กค่อยๆผลักประตูเข้ามาพร้อมกับแรงหอบหายใจไม่เป็นจังหวะ เขาพบว่าในห้องนั้นมีฮุนกับเพื่อนร่วมโปรเจ็คและหัวหน้าของเขานั่งอยู่พร้อมแล้ว รีบก้มหัวให้ทุกคนเพื่อแสดงความขอโทษแล้วรีบวิ่งไปนั่งที่เก้าอี้ว่างข้างฮุน

     

             มึงสาย

     

             รถติดมาก เสียงกระแอมของเจ้านายขัดบทสนทนา ทำให้ทั้งคู่รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที

     

             ผู้ที่มากด้วยตำแหน่งและอายุเหลือบมองมาทางเขาก่อนจะเงียบไปสักพัก สายตาใต้กรอบแว่นไล่มองเอกสารบางอย่างในมือ กันต์นธีลอบมองกิริยานั้นนิ่ง

     

    กันต์เสียงจากหัวโต๊ะดังขึ้นมา เขาขานรับแทบไม่ทัน

     

    ครับ

     

    ผมต้องการให้คุณเป็นคนดูแลโปรเจ็คในครั้งนี้ อยู่ๆเจ้านายก็สั่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาคนตัวเล็กที่ยังนั่งไม่ทันหายเหนื่อยงงเป็นไก่ตาแตก ใบหน้าน่ารักมองคนเป็นเจ้านายด้วยสีหน้าที่แสดงออกชัดว่าเกิดอาการไม่เข้าใจ

     

             อะไรนะครับบอส ฮุนหันมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ามันรู้มาแต่แรกแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น

     

             ลูกค้าต้องการให้เป็นคุณ ชายวัยกลางคนอธิบายสั้นๆ ฮุนกับเพื่อนร่วมโปรเจ็คสองสามคนพยักหน้าให้เขาอย่างต้องการสื่อว่าเห็นด้วยทุกประการ มีเพียงแต่เขาที่ยังไม่เข้าใจ

     

             ทำไมถึงต้องเป็นผมล่ะครับ

     

    ไว้คุณไปถามลูกค้าเอาเองแล้วกันนะเหมือนคนถูกมัดมือชกจะพูดอะไรก็ไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่เก็บความสงสัยทั้งหมดไว้ในใจแล้วตั้งใจฟังหัวหน้าอธิบายรายละเอียดของงานต่อไป ดวงตากลมมองรูปในสไลด์บนจอใหญ่รูปแล้วรูปเล่าผ่านไป นิ้วเรียวแกว่งปากกาในมือเล่นยามที่ภาพบนจอรันไปเรื่อยๆ ผ่านไปราวชั่วโมงการประชุมงานจึงดูท่าว่าจะจบลง

     

    "ส่วนทีมวิศวะกรก็น่าจะเป็นทีมเดิมกับเมื่อคราวที่แล้ว และจำไว้ว่าโปรเจ็คนี้เป็นโปรเจ็คใหญ่มาก ดังนั้นต้องรอบคอบที่สุด เอาล่ะข้อมูลเบื้องต้นก็มีแค่นี้ ไว้พวกคุณค่อยไปปรึกษากันต่อเองนะ" เสียงของเจ้านายดังขึ้น แล้วชายวัยกลางคนก็ลุกเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วปานลมหอบ เป็นการจบประชุมในเช้านี้ไปโดยปริยาย กันต์นธีเห็นดังนั้นจึงรีบเก็บของก่อนจะวิ่งตามออกไป

     

             น้าครับเดินตามมาจนกระทั่งเห็นว่าปลอดคนพอจะคุยกันได้สะดวก คนตัวเล็กจึงร้องเรียกชายวัยกลางคนไว้

     

    คุณน้าหันกลับมามองผู้เป็น หลานชายช้าๆ

     

             ว่าไง

     

             น้าบอกมาเถอะว่าทำไมต้องเป็นผมคนเป็นน้ายกยิ้มทันที มองใบหน้าจริงจังของหลานชายตัวโตที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะตอบออกไป

     

             ทำไมไม่ไปถามแม่แกดูล่ะ ว่าไปตกปากรับคำคุณหญิงคนไหนมาให้น้องชายอย่างฉันช่วยอีกกันต์นธีถึงกับถอนหายใจ เข้าใจแล้วว่าเหตุใดลูกค้าจึงเลือกเขาเป็นหัวหน้าทีม

     

    แม่ของเขาเป็นภริยาท่านทูต ซึ่งแน่นอนว่าจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของผู้มีอันจะกินทั้งหลาย สมาคมนั้นสมาคมนี้ล้วนแต่พากันดาหน้าเข้ามาหาพ่อกับแม่ของเขาเพื่อหวังให้เป็นเกียรติกับสมาคมของตนไม่เคยขาด ในฐานะของเอกอัครราชทูตและภริยา จึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะให้ความช่วยเหลือตามหน้าที่ และเขาผู้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวก็โดนร่างแหนั้นไปด้วย เหมือนเช่นครั้งนี้

     

             คราวนี้ใครอีกล่ะครับ

     

             คุณหญิงเสริม เธอบอกว่าอยากบูรณะบ้านเก่าของตระกูลเธอ เห็นว่าร้อยกว่าปีแล้วมั้ง เออใช่ บางหลังบอกว่าอยากสร้างใหม่เลยก็มี รวยดีเนอะคุณหญิงเนี่ยคนเป็นน้าดูอารมณ์ดีแม้จะพูดถึงเรื่องงานจริงจังอยู่ก็ตาม ขัดกับใบหน้าของหลานชายที่เริ่มงอแงแล้ว

     

    แต่ผมไม่ถนัดงานบูรณะเลยนะครับ ยิ่งเป็นอาคารโบราณแบบนี้ด้วยกันต์นธีรีบท้วงขึ้นมาทันที

     

    แกก็รู้ว่าคุณหญิงเสริมเป็นเพื่อนอยากสนิทกับแม่แกชายวัยกลางคนพูดพลางหัวเราะเบาๆ กันต์นธีฟังแล้วเถียงต่อไม่ถูก เขาเข้าใจดีว่าใครๆก็อยากสนิทสนมกับคุณรสาคนสวย

     

    เอาน่า แกก็รับๆไปทำเถอะ ถือว่าเอาหน้าให้พ่อกับแม่แกอีกครั้งแล้วกันคนเป็นน้าพูดติดตลกร้าย มือหนายกขึ้นตบไหล่หลานชายให้กำลังใจก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้เขายืนถอนหายใจอยู่เพียงลำพัง

     

    คนตัวเล็กมองรูปในแฟ้มที่ถือติดมือมาอีกครั้ง มือขาวเปิดเอกสารนั้นดูผ่านๆและหยุดลงที่ภาพของบ้านเก่าหลังใหญ่หลังหนึ่ง เขามองมันอย่างพินิจ

     

    โคโลเนียล ต้นรัชกาลที่ห้า

    ผู้ถือโฉนด : หม่อมหลวงวราภา ติณมาตย์

     

    มือขาวปิดแฟ้มลง ขายาวเดินกลับห้องประชุมเพื่อเริ่มทำงานต่อไป โดยไม่รู้สักนิดว่าสายลมที่พัดอบอวลอยู่ในบ้านหลังนั้นมานับร้อยๆปีกำลังพัดเรียกเขาให้หวนกลับไป...

     

    ยามเมื่อลมพัดหวน ลมก็อวลแต่กลิ่นมณฑาทอง...

    คราใดลมพัดหวน ลมจะพัดเจ้ากลับมา...

     

    ------------------------------------

     

    #ร้อยรักสลับภพ





    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×