คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : นิทานบทที่ 2 :: เธอคนนั้น (100%)
นิทานบทที่ 2
"เธอคนนั้น"
เสียงใสของนกน้อยดังก้องกังวานไปทั่วผืนป่าต้อนรับเช้าวันใหม่
ฤดูใบไม้ร่วงย่างฤดูหนาวเช่นนี้ทำให้อากาศเริ่มเย็นลงหากกลับทำให้ธรรมชาติรอบตัวยิ่งอวดโฉมความสวยงามออกมามากยิ่งขึ้น
ร่างน้อยในชุดกระโปรงแขนยาวสีครีมกำลังทอดน่องไปตามทางเดินในป่า เส้นผมสีทองประกายราวเส้นไหมต้องกับแสงแดดอ่อนยามเช้า
ปากอิ่มสีแดงสดขับขานเพลงโปรดแข่งกับเสียงของนกน้อยในขณะที่ขาเรียวก็ก้าวย่างไปตามทางเดินที่คุ้นเคยอย่างไม่รีบร้อน
“สีเทาเริ่มจางหาย
... เมื่อสีสันแต่งแต้มบนนภา ความหนาวเย็นเริ่มเปลี่ยนเป็นไออุ่น
เมื่อดวงตะวันเริ่มฉายแสง” เสียงใสดังไปตลอดทางที่เดินผ่าน
ร่างน้อยถือตะกร้าสานใบโปรดเดินไปตามทางเรื่อยๆดั่งที่เป็นมาในทุกวัน
สองข้างทางเต็มไปด้วยใบไม้แห้งสีแดงจากการผลัดใบของต้นไม้ใหญ่เริ่มสลัดใบไม้ตกลงมากองทับถมมากขึ้นทุกวัน
“หญิงสาวหลงทางค้นพบทางเดิน
... เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มฉายแสงจากด้านทิศตะวันออก ...
ท้องฟ้ามืดมัวเปลี่ยนเป็นสีคราม ... ราวกับสีดวงตาคู่นั้นของเขา” เสียงท่องบทกลอนประโลมโลกที่เจ้าตัวเคยได้ยินมาจากใครบางคนแถวร้านขนมปังในตัวเมืองดังออกมาเจื้อยแจ้ว
ดวงตาคู่สวยราวดวงดาวยามค่ำคืนกวาดมองไปรอบกายเพื่อมองหาดอกไม้สีขาวที่เขามักจะมาเก็บมันไปปักแจกันในทุกๆเช้า
หากทว่าฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้การจะหาดอกไม้สักดอกเริ่มกลายเป็นเรื่องที่ยากมากกว่าเมื่อก่อนยิ่งนัก
“ความมืดเปลี่ยนเป็นแสงสว่าง
... สีเทาเปลี่ยนเป็นสีคราม ... หลงทางเปลี่ยนเป็นค้นพบ ... เมื่อยามที่ฉันพบเธอ”
ร่างน้อยยิ้มขำกับกลอนที่ตัวเองกำลังท่อง
เคยได้ยินใครสักคนท่องผ่านๆแต่กลับมาติดซะเองช่างน่าขำ โคลงกลอนหรือนิยายปรัมปราคือสิ่งที่เจ้าตัวไม่คล้อยตามแต่กลับชอบอ่านอยู่บ่อยๆ
อันที่จริงบางครั้งเขาก็อ่านเพื่อฆ่าเวลาเพราะเคยมีใครบางคนกล่าวว่า ภาษา บทกวี และสตรีคือของคู่กัน
ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะทำตามคำกล่าวของใครคนนั้นซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร
เพราะพิจารณาแล้วพบว่าชีวิตของเขาขลุกอยู่กับหนังสือปรัชญาและประวัติศาสตร์การเมืองมากเกินไปแล้ว
แต่ในความเห็นของเขานิยายปรัมปราส่วนมากหรือเทพนิยายประโลมโลกก็มักจะจบในแบบคล้ายๆกัน
‘แล้วทั้งคู่ก็ครองรักกันตราบชั่วนิจนิรันดร์’
อยู่ๆรอยยิ้มบางก็ปรากฏขึ้นมุมปากแต่ทว่าดวงตาประกายที่เคยสดใสกลับหลุบมองต่ำดูเศร้าลงไปถนัดตาเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
ถ้าหากสุดท้ายแล้วทุกคนจะได้ครองรักและอยู่ข้างกันตราบชั่วนิจนิรันดร์ หากเป็นเช่นนั้นจริงทำไมพ่อแม่ของเขาจึงจากไปปล่อยให้เขากลายเป็นเด็กกำพร้าเช่นนี้ล่ะ
ความรักแท้จริงคืออะไร
สัมผัสได้หรือไม่ หรือแท้จริงแล้วมันไม่เคยมีอยู่เลย ...
“ฮึก ... ฮือออ”
เสียงสะอื้นจากใครบางคนที่ได้ยินมาจากที่ไม่ไกลทำให้สาวน้อยหลุดออกจากความคิด
ใบหน้าสวยหวานหันมองหาต้นกำเนิดเสียง
สองเท้าที่กำลังย่างเปลี่ยนเส้นทางเพื่อตามเสียงที่ดังขึ้นนั้นไปตามสัญชาติญาณ
“ฮึก ... ตา” เสียงที่ตามมาชัดเจนขึ้นเมื่อภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือหญิงชราใบหน้าเปียกโชกไปด้วยน้ำตา
บนตักนั้นมีชายชราใบหน้าซีดเซียวหลับตานอนแน่นิ่ง สาวน้อยใจกระตุกวูบก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าออกจากหลังพุ่มไม้ที่ยืนหลบอยู่
เสียงย่ำพื้นดินดังขึ้นทำให้หญิงชราหยุดร้องไห้และเงยหน้าขึ้นมามองผู้มาใหม่
ร่างเล็กค่อยๆนั่งลงข้างๆสองตายาย มือเรียวจับฮู๊ทของเสื้อคลุมตัวยาวถอดออกเผยให้เห็นใบหน้างดงาม
ผิวขาวดุจดังหิมะตัดกับริมฝีปากแดงดั่งกุหลาบ งดงามราวกับนางฟ้า
หญิงชราคิดได้เพียงเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะคุณยาย”
เสียงใสเอื้อนเอ่ยถามอย่างห่วงใยจนน้ำตาของหญิงชรากลับมาไหลอีกครั้ง
ใบหน้าเหี่ยวย่นจากริ้วรอยของช่วงอายุดูเศร้าแทบขาดใจ
“ตาเค้าจะไม่อยู่กับยายแล้วแม่หนู
... แม่หนูรู้ไหมว่ายายมันเป็นเมียที่ไม่ได้เรื่องเลย ตาเค้าป่วยหนักแต่ยายพาตาไปรักษาไม่ได้เพราะพวกเราไม่มีเงินพอ
ฮึกกก ... แค่ข้าวกินไปวันๆยังไม่มีจะกินเลย
ชีวิตมันลำบากแต่เราก็อยู่ข้างกันมาตลอด
แต่ตอนนี้ตาเค้าไม่ไหวแล้วยายคงจะต้องปล่อยเค้าไป ฮึก ...
แต่ยายจะอยู่ยังไงล่ะแม่หนู ยายจะอยู่ยังไงต่อไป ฮือออ ... ” เสียงร่ำไห้ราวกับใจจะขาดดังออกมาพร้อมกับคำพูดตัดพ้อต่อโชคชะตาชีวิต
มันพรั่งพรูออกมาอย่างเหลือเก็บเมื่อตรงหน้ามีใครสักคนมารับฟังคนแก่อย่างเขา
ร่างเล็กที่นั่งฟังเงียบๆด้วยความสะเทือนใจจนพูดไม่ออกค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือคุณยายไว้แน่นเป็นการส่งกำลังใจแม้ไม่ได้พูด
แรงบีบเบาๆเพื่อให้กำลังใจทำให้คุณยายแนบหน้าลงกับฝ่ามือน้อยนั้นตัวสั่นจากแรงสะอื้นและเรี่ยวแรงก็แทบจะหมดลงไปตามผู้เป็นสามี
สาวน้อยก้มมองหญิงชราด้วยแววตาสลดก่อนจะละความสนใจหันไปมองยังใบหน้าของชายชรา
แววตาใสสั่นระริกอย่างคนที่กำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง
ใบหน้าซีดเซียวของชายชราที่กำลังจะลาลับโลกใบนี้ไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติยิ่งย้ำเตือนให้คนตัวเล็กเข้าใจโลกมากยิ่งขึ้น
แต่เมื่อยามที่ละสายตากลับมามองหญิงชราที่อิงตัวร้องไห้อยู่กับเขาแทบจะขาดใจก็ยิ่งให้ทำสาวน้อยอดคิดไม่ได้ว่าทำไมโลกนี้ถึงไม่ยุติธรรม
ใบหน้าสวยลากสายตากลับไปมองยังชายชราที่นอนนิ่งหายใจรวยรินอีกครั้ง
ก่อนที่แววตาวูบไหวคู่นั้นจะแปรเปลี่ยนกลับมานิ่งสงบราวผืนน้ำในทะเลสาบ
ปากอิ่มเผยออกก่อนจะตัดสินใจเอื้อนเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา ...
“คุณยายหยุดร้องไห้เถอะค่ะ
เดี๋ยวหนูจะช่วยคุณยายเอง” เพียงเท่านั้นใบหน้าสะอื้นไห้ก็กลับกลายเป็นสงสัยทันที
หญิงชราเงยหน้าขึ้นมามองด้วยใบหน้าที่น้ำตายังไม่หยุดไหล
“หนูจะช่วยอย่างไงลูก”
-----
Once upon a love -----
มือเรียวคู่สวยประคับประคองตะกร้าสานที่มีช่อดอกไม้สีขาวช่อโตวางอยู่อย่างดี
แสงแดดตอนสายสาดส่องให้ความอบอุ่นมากขึ้นกว่าเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ร่างเล็กในกระโปรงครีมอ่อนเดินยิ้มไปตามทางเดิมที่เดินมา
เส้นผมสีทองสยายเต็มแผ่นหลังบาง
หลังจากที่ตกปากรับคำว่าจะช่วยหญิงชราที่น่าสงสารไป เขาก็พยายามสุดความสามารถจนในที่สุดคุณตาที่เกือบจะถูกพระเจ้าพรากลมหายใจไปจากคุณยายก็กลับรอดตายได้อย่างปาฏิหาริย์สร้างความดีใจให้กับหญิงชรามากกว่าสิ่งอื่นใด
ก่อนแยกจากมาคุณยายได้มอบดอกไม้ช่อโตที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้เป็นของตอบแทนที่ได้มอบชีวิตใหม่ให้คนชรา
ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีราคาค่างวดใดๆ แต่หญิงสาวก็รับมันไว้ด้วยความเต็มใจ
จากที่เชื่อไม่สนิทใจว่ารักแท้นั้นมีอยู่จริง พอได้เห็นความรักที่คุณยายมีให้คุณตาครั้งนี้ ความคิดที่ว่าการอยู่ข้างกันชั่วนิจนิรันดร์ด้วยความรักนั้นก็ดูเหมือนจะมีน้ำหนักขึ้นมานิดหน่อย
...
รักแท้อาจจะมีอยู่จริงก็ได้
แต่คงไม่ใช่กับทุกคน ...
เขาเคยอ่านปรัชญาความรักจากหนังสือเล่มหนึ่งที่วางตั้งไว้ในห้องสมุดที่บ้าน
มันกล่าวว่าบนโลกใบนี้นั้นมีความรักมากมายและล้วนแตกต่างกันไป
ความรักต่อเพื่อนร่วมโลก รักของพ่อแม่
รักของพี่น้อง หรือรักที่มีต่อสิ่งที่หลงใหล เช่นเวลาที่เรารักที่จะทำอะไรสักอย่างเหมือนที่เขารักการอ่านหนังสือ
รวมถึงรักสุดท้ายที่ดูจะมีค่าเหลือเกินก็คือความรักของคู่รัก
แต่ทำไมในความคิดขวางโลกน้อยๆของเขากลับคิดว่ามันดูเป็นความรักที่ ...
สัมผัสไม่ได้ และพิสูจน์ได้ยาก
อย่างน้อยความรักอื่นๆก็ยังพอจะพิสูจน์ได้บ้าง
พิสูจน์ได้อย่างไร
... นี่คงจะเป็นคำถามที่เกิดขึ้นตอนนี้
ยกตัวอย่างความรักที่มอบให้เพื่อนร่วมโลก
ตั้งแต่เด็กเขาถูกปลูกฝังมาว่าให้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ทุกข์ยาก หรือเจ็บปวดจากการเจ็บป่วย แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเขาคือหมอที่เที่ยวรักษาคนไปทั่วเลย
เพราะความจริงแล้วเขามีสิ่งหนึ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด …
เป็นสิ่งที่บางครั้งคุณหมอบางคนก็ยังทำไมได้
แล้วมันคืออะไรล่ะ ...
สาวน้อยก้มมองดอกไม้ในตะกร้าก่อนจะยกนิ้วเรียวสวยขึ้นมาลูบเบาๆ นิ้วชี้ข้างซ้ายที่มีรอยบาดบางๆปรากฏต่อสายตาทำให้คำสอนของกวีท่านหนึ่งผุดขึ้นมา กวีท่านนั้นได้กล่าวไว้ว่า
รอยแผลเป็นคือร่องรอยของการใช้ชีวิต
และการใช้ชีวิตคือการมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นไม่ใช่ตัวเอง
ใช่ ... การใช้ชีวิตคือการมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นอย่างที่เขาทำมาตลอดนั่นไง
.
.
.
.
.
‘แล้วหนูจะช่วยยังไงล่ะลูก’
ร่างน้อยไม่ตอบหากมีแต่เพียงใบหน้าที่กำลังมองคุณยายเท่านั้นที่ยิ้มให้เพียงเบาๆ
หญิงชรานึกฉงนในใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีกเมื่อเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้ากำลังหยิบมีดเล็กในตะกร้าสานที่เธอถือขึ้นมาเพื่อทำอะไรสักอย่าง และในทันใดนั้นเองปลายมีดคมวาวก็ถูกกดลงไปที่ปลายนิ้วเรียวสวยเบาๆก่อนที่เลือดจะไหลซึมออกมาสร้างความตกใจให้หญิงชรายิ่งนัก และยิ่งสร้างความตกใจมากขึ้นเมื่อเลือดที่ไหลรินออกมานั้นเป็นสีขาว !
หญิงชรามองเลือดสีขาวบริสุทธิ์ที่ไหลรินออกมาเพิ่มขึ้นด้วยความตกใจสลับกับมองใบหน้าเรียบเฉยของคนตรงหน้า ใบหน้าเรียบเฉยดูไม่ตกใจหรือเจ็บปวดใดๆราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ ร่างเล็กค่อยๆพยุงชายชราขึ้นมาก่อนจะค่อยๆยื่นนิ้วเรียวที่มีหยดเลือดสีขาวแตะเบาๆที่ริมฝีปากแห้งของชายชรา คุณยายมองใบหน้าของสามีสลับกับใบหน้านิ่งของหญิงสาวอย่างช่างใจและประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
รอบตัวเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมยามเช้าพัดหวีดหวิวในป่ากว้าง ได้ยินเสียงฝูงนกที่บินออกมาหากินดังมาจากท้ายป่าไกลๆ และแล้วในตอนนั้นเองสิ่งที่หญิงชราไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อเมื่อสิ่งที่เหลือเชื่อปรากฏต่อหน้า
ใบหน้าซีดของผู้เป็นสามีค่อยๆซับสีเลือดฝาด ก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆเปิดออกช้าๆเพียงแค่ได้สัมผัสกับเลือดสีขาวบริสุทธิ์ของหญิงสาวปริศนาคนนี้
...
‘ตา!’ หญิงชราตัวสั่นด้วยความตกใจและดีใจผสมปนเปกันไปหมด
หญิงสาวค่อยๆพยุงคุณตาส่งให้คุณยายในอ้อมอกก่อนจะผละออกมามองดูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
‘แม่หนู! มันเป็นไปได้ยังไงกัน
ฮึก ... แม่หนูทำได้ยังไงกัน!’ หญิงชราประคองสามีไว้แล้วมองหน้าพูดกับสาวน้อยด้วยความตื่นเต้นจนแทบจะระงับตัวเองไว้ไม่อยู่
สาวน้อยลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินเข้าไปประคองทั้งสองสามีภรรยาให้ลุกขึ้นพร้อมกัน
‘ไว้หนูส่งคุณตาคุณยายกลับบ้านก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังนะคะ’
ร่างเล็กเดินออกมาจากกระท่อมเล็กๆท้ายป่า
ตามมาด้วยคุณยายที่บัดนี้ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มผิดกับก่อนหน้านี้
สาวน้อยหันหลังมาเผชิญหน้ากับคุณยายเพื่อกล่าวคำร่ำลาขอตัวกลับบ้านเนื่องจากเห็นว่ามันเริ่มสายแล้ว
‘คุณยายส่งหนูตรงนี้ก็ได้ค่ะ’
‘เอางั้นเหรอจ๊ะ’
‘จริงๆค่ะคุณยาย
ส่งหนูแค่ตรงนี้แล้วกลับไปดูแลคุณตาต่อเถอะนะคะ หนูกลับบ้านเองได้ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ’
ปากอิ่มยกยิ้มให้หญิงชราตรงหน้าเพื่อย้ำให้คุณยายรู้ว่าเขาพูดจริงๆ
‘ถ้าอย่างนั้นก่อนกลับแม่หนูช่วยรับสิ่งนี้ไปด้วยนะ
ถึงมันจะไม่มีราคาอะไรแต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งแทนคำขอบคุณของเราสองคนตายายแล้วกันนะ’ มือเหี่ยวกร้านของคนตรงหน้ายกขึ้นมาจับมือของสาวน้อยแล้ววางช่อดอกไม้สีขาวลงบนมือนุ่ม
‘สวยมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะคุณยาย แล้วก็ที่เราสัญญากันไว้คุณยายห้ามบอกเรื่องนี้กับใครนะคะ’
‘ได้สิจ๊ะ ยายสัญญา’
‘ขอบคุณนะคะ ดูแลตัวเองดีๆนะคะคุณยาย
หนูกลับบ้านแล้วนะ’ คนอายุน้อยกว่าก้มหัวโค้งให้หญิงชราแล้วเงยหน้ามายิ้มให้ก่อนจะค่อยๆหมุนตัวเดินออกไป
หญิงชรายืนยิ้มมองดูนางฟ้าตัวน้อยที่มาชุบชีวิตใหม่ให้เขาค่อยๆเดินจากไป เส้นผมสีทองราวเส้นไหมสะท้อนต้องแสงแดดจนเขาอดยืนมองเงียบๆไม่ได้
แต่เดี๋ยวนะ ... มีเรื่องหนึ่งที่เขายังไม่รู้นี่
‘เดี๋ยวก่อนแม่หนู’ คนถูกเรียกหันกลับมามองด้วยใบหน้าฉงนทันที
‘หนูชื่ออะไรจ๊ะ’
ใบหน้าของร่างเล็กคลี่ยิ้มสดใสภายใต้แสงแดดอบอุ่น
ก่อนที่เสียงใสกังวานจะดังออกมาจากปากก้องไปทั้งผืนป่าและหัวใจของคนฟัง ...
‘แบมแบมค่ะ เรียกหนูว่าแบมแบม’
หญิงชราขอสาบาน
ว่าชื่อนี้จะตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขาตราบนานเท่านาน ...
-----
Once upon a love -----
“โอ๊ยยยยยยยยคุณหนู
หายไปไหนมาตั้งนานสองนานคะเนี่ย” เพียงแค่ก้าวขาเข้ามาในตัวบ้านได้เพียงแค่ข้างเดียว
เสียงแหลมของหญิงอวบที่วิ่งหน้าตื่นแทบถลาเข้ามาหาเขาก็ดังขึ้นมาต้อนรับทันที
แบมแบมหัวเราะกับตัวเองแล้วส่ายหน้าช้าๆกับความตกใจใหญ่โตของคุณป้าที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กๆ
คุณป้ามาธาคือหัวหน้าแม่บ้านในบ้านหลังนี้ ไม่สิ ...
ต้องเรียกว่าคฤหาสน์หลังนี้จึงจะถูก คฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าห่างจากตัวเมืองแสนวุ่นวาย
มีอดีตขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ที่ลาออกจากความวุ่นวายมาใช้ชีวิตเรียบง่ายเป็นผู้ครอบครอง
ความจริงคฤหาสน์หลังนี้เป็นมรดกที่ตกทอดต่อๆกันมาหลายช่วงอายุคนแล้ว
และชายชราที่เป็นผู้ครอบครองคนปัจจุบันก็คือคนเดียวกับคุณปู่ที่เก็บเขามาชุบเลี้ยงหลังจากถูกพ่อแม่แท้ๆของตัวเองทิ้งแล้วจากไปนั่นเอง
“คุณหนู!
ไหนบอกว่าแค่จะไปเดินเล่นไม่ไกลแล้วทำไมหายไปนานขนาดนี้คะ
ป้าอยู่นี่ก็เป็นห่วงกลัวว่าจะเป็นอะไร
นี่ถ้าเกิดไม่กลับมาป้าเกือบส่งคนไปหาแล้วนะคะ”
“ป้ามาธา แบมก็กลับมาแล้วนี่ไง” แบมแบมยิ้มให้คุณป้าที่กำลังช่วยเขาถอดเสื้อคลุมออกด้วยสีหน้ายุ่งๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ทายาทหรือลูกหลานแท้ๆของตระกูลนี้ เป็นเพียงแค่เด็กที่ถูกเก็บมาชุบเลี้ยงจนได้ดี แต่คุณปู่และป้ามาธารวมถึงทุกคนในบ้านหลังนี้ก็ดูแลเทิดทูนเขาอย่างดีราวไข่ในหินก็ไม่ปาน ไม่เคยให้หยิบจับทำงานหนักแม้เขาจะชอบแอบช่วยทำอยู่บ่อยๆ ไม่เคยว่ากล่าวรุนแรงจนเขาเกือบจะเป็นเด็กนิสัยเสียไปแล้ว ตั้งแต่เด็กจนโต เด็กกำพร้าที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่ตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไรหรือหัวนอนปลายเท้ามาจากไหนคนนี้ก็มีชีวิตราวเจ้าหญิงหลังจากจากคุณปู่ได้มอบชีวิตใหม่ให้เขา ทั้งเกียรติยศชื่อเสียงในฐานะหลานสาวของคุณปู่ มีผู้คนรายล้อมคอยให้ใช้สอย มีคุณครูชั้นดีจากในรั้วในวังคอยขัดเกลาวิชาความรู้ ทั้งภาษา วรรณกรรม ดนตรี ปรัชญา การเมือง รวมถึงงานผู้หญิงชั้นสูงที่มีคุณป้ามาธาคอยสอน และอื่นๆอีกมากมายที่เขาได้รับ เขารู้สึกขอบคุณทุกคนอยู่เสมอที่ไม่เคยเห็นว่าเขาเป็นคางคกขึ้นวอและรู้สึกขอบคุณและเทิดทูนคุณปู่ของตัวเองเหนือสิ่งอื่นใดที่หยิบยื่นแต่ชีวิตดีๆมาให้
หากแต่ลึกๆแล้วในใจกลับมีสิ่งหนึ่งที่ตะโกนออกมาจากความเงียบเสมอ ...
เขาไม่ได้ต้องการชีวิตแบบนี้ ...
ชีวิตที่ต้องถูกบังคับให้เดินไปตามทางที่เขาไม่ได้เป็นคนวาง
แต่สาวน้อยก็พูดอะไรไม่ได้
เพราะเขาสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะทำทุกอย่างตามที่คุณปู่ต้องการ
เพื่อตอบแทนพระคุณของท่านให้ถึงที่สุด
“แล้วนี่ไปได้ดอกไม้อะไรมาเยอะแยะคะ”
คุณป้ามาธาพับเสื้อคลุมพาดกับแขนไว้แล้วลากสายตาไปมองยังดอกไม้ขาวในตะกร้าที่คุณหนูของเขาถืออยู่
แบมแบมก้มลงมองช่อดอกไม้ที่นอนแน่นิ่งแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วค่อยๆยกมือข้างซ้ายแบออกตรงหน้าหญิงอวบ
“ว๊ายตายแล้วคุณหนู อีกแล้วเหรอคะ!”
“ไม่เป็นไรหรอกป้า นิดเดียวเอง”
“เห้อ บอกเท่าไหร่ก็ไม่ฟังสักที
ถ้าคนอื่นรู้เข้าจะทำยังไงกันคะเนี่ย อีกอย่างถ้าคุณท่านทราบเข้าจะไม่เป็นเรื่องใหญ่โตเหรอคะ”
“ก็อย่าบอกคุณปู่สิ ไม่บอกคุณปู่ก็ไม่รู้”
แบมแบมทำหน้าทะเล้นใส่คนตรงหน้าจนใบหน้าที่ยุ่งอยู่แล้วของป้ามาธายิ่งยุ่งเข้าไปมากกว่าเดิม
“คุณหนูนี่นะ! ดื้อก็เท่านั้น”
“ว่าแต่คุณปู่กลับมาแล้วยังคะป้า”
แบมแบมหาได้สนใจฟังเสียงบ่นของคนตรงหน้า
กลับมองสอดส่ายสายตาหาชายชราที่ออกจากบ้านไปเมื่อกลางดึกเพื่อเข้าวังตามคำสั่งด่วนของพระชนนีแห่งอาณาจักร
ไม่รู้ว่าคำสั่งนั้นคืออะไร
แต่ดูจากอาการร้อนลนของคนที่ทางวังส่งมาก็พอจะเดาได้ว่าไม่น่าจะใช่เรื่องเล็กๆ
“กลับมาแล้วล่ะค่ะ
กลับมาตั้งแต่คุณหนูออกไปได้ราวสิบนาทีนั่นแหละ นี่สั่งถามหาคุณหนูบอกว่าให้เข้าไปพบที่ห้องทำงานด้วยถ้ามาถึง
เหมือนว่าพระชนนีจะมีรับสั่งบางอย่างถึงคุณหนูนะคะ เอ ... เรื่องอะไรกันนะ”
ร่างเล็กได้ฟังก็สะดุดใจเมื่อได้ยินว่าตัวเองมีส่วนในเรื่องนี้ด้วย
ใบหน้าเรียวมองลงที่พื้นพรม คิ้วขมวดน้อยๆพร้อมด้วยสายตาครุ่นคิด
แต่อย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเรื่องอะไรกันที่เกี่ยวโยงกับเขา
ความจริงคุณปู่ของเขาคืออดีตเจ้าคุณอธิการ
ผู้เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของพระราชาผู้ครองอาณาจักรมาถึงสองบัลลังก์
ตระกูลนี้สืบทอดกันโดยเชื้อสายขุนนางตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน
แว่วว่าความจริงแล้วนั้น หนึ่งในสามผู้ร่วมก่อตั้งแคว้นก็คือผู้นำตระกูลคนแรกนั่นเอง
อาณาจักรลูเซียโน่แสนยิ่งใหญ่และมั่งคั่ง
ชื่อของมันมีความหมายว่าแสงสว่าง
อาจะเกี่ยวโยงถึงสัญลักษณ์ของอาณาจักรนั่นก็คือดวงจันทร์
คนลูเซียนนับถือและมีความเชื่อเกี่ยวกับดวงจันทร์มาก
พวกเขาเชื่อกันว่าพระราชาและพระราชวงศ์คือคนที่พระเจ้าส่งลงมาจากพระจันทร์ที่ห่างไกล
เปรียบเสมือนเป็นแสงสว่างแก่บ้านเมืองและประชาชน
และคนลูเซียนก็ยังเชื่ออีกว่าตระกูลผู้ก่อตั้งทั้งสามคือคนที่พระเจ้าส่งลงมารับใช้เชื้อพระวงศ์และเป็นผู้ที่จะดูแลบ้านเมืองในเจริญรุ่งเรือง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมคนลูเซียนรู้จักสามตระกูลนี้กันทุกคน
หากจะกล่าวถึงตระกูลทั้งสามก็คงต้องเริ่มที่ตระกูลแรก
‘ตระกูลบาร์ธาซาร์’ ตระกูลที่ชื่อมีความหมายว่า ผู้คุ้มครองพระราชา
ดังนั้นตระกูลนี้จึงมีเชื้อสายของนักรบ เก่งกาจด้านการทำสงครามและคุ้มครองราชวงศ์ด้วยชีวิต
มีความสัตย์จริงว่าชีวิตที่เกิดมาของคนในตระกูลนี้คือชีวิตของพระราชา
นั่นคือคติประจำใจของคนในตระกูลบาร์ธาซาร์
และทุกๆครั้งที่มีสมาชิกคนใหม่ของราชวงศ์ประสูติ บุตรชายหรือเด็กชายสักคนของบาร์ธาซาร์จะต้องถูกส่งตัวเข้าวังหลวงเพื่อเป็นราชองค์รักษ์ของเชื้อพระวงศ์พระองค์นั้นตราบจนชีวิตจะไร้ลมหายใจ
ตระกูลที่สองคือ ‘ตระกูลบาร์นาบี้’ ความหมายของชื่อคือบุตรชายแห่งความสบายใจ
หรือถ้าจะพูดให้ง่ายคือตระกูลแห่งนักปราชญ์
ผู้ที่จะจรรโลงราชวงศ์และอาณาจักรให้มีแต่ความสงบสุข คนในตระกูลนี้ขึ้นชื่อเรื่องความฉลาดปัญญาเฉียบแหลม
อาจารย์หลายท่านที่เป็นผู้อบรมสั่งสอนเจ้าหญิงเจ้าชายน้อยในราชวงศ์มาอย่างยาวนานก็ล้วนมาจากคนในตระกูลนี้ทั้งนั้น
และตระกูลสุดท้ายก็คือตระกูลที่เขากำลังอยู่ ‘ตระกูลบาสเตียน’ ความหมายคือ ความน่าเคารพนับถือ ซึ่งนั่นเดาได้ไม่ยากเลยว่าตระกูลนี้คือตระกูลของขุนนางผู้มีอำนาจและรับใช้ราชวงศ์มาอย่างยาวนาน
คนในตระกูลบาสเตียนเก่งกาจด้านงานเมืองและมีเสน่ห์เรื่องความเจ้าเล่ห์และฉลาดเป็นกรด
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผู้นำตระกูลทุกรุ่นจึงได้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาราชการแผ่นดินส่วนพระองค์มาอย่างยาวนาน
อีกหนึ่งเรื่องที่คนลูเซียนรู้ดีคือ บุตรชายแห่งบาสเตียนเมื่อโตขึ้นจะได้เป็นขุนนางที่เต็มไปด้วยอำนาจล้นมือ
ส่วนบุตรสาวนั้นกล่าวกันว่าคือหญิงสาวที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปโฉม ความรู้
ความสามารถ และฐานันดร จึงไม่แปลกถ้าหากหลายตระกูลจะต้องการได้ไปเป็นสะใภ้เสริมบารมีให้ตระกูลตัวเอง
แต่บาสเตียนมักจะมีหญิงสาวอยู่คนหนึ่งซึ่งเปรียบดั่งเพชรล้ำค่า ผู้นำตระกูลจะเฝ้าเจียระไนเพชรเม็ดนี้เป็นอย่างดีเพื่อรอวันให้เพชรเม็ดนี้ได้ไปประดับอยู่บนมงกุฎราชินีของอาณาจักร
สมเกียรติของตระกูล !
และพระชนนีองค์ปัจจุบันก็เป็นบุตรสาวที่ถูกขัดเกลามาจากตระกูลบาสเตียนเช่นกัน
อีกทั้งยังเป็นหลานสาวแท้ๆของคุณปู่อีกด้วย
“คุณหนูคะ ป้าว่าเราเลิกคุยกันแล้วไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยดีกว่าค่ะเดี๋ยวคุณท่านจะรอนาน คุณหนูอยากจะรับชาหรือไปเปลี่ยนชุดก่อนดีคะ” หญิงอวบถามคุณหนูของเขาไปด้วยพร้อมทั้งเอื้อมไปหยิบตะกร้าส่งให้คนรับใช้นำไปเก็บ
แบมแบมส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเอื้อนเอ่ยอย่างคนเอาแต่ใจเหมือนทุกครั้ง
“ไม่รับทั้งชาและก็ไม่เปลี่ยนชุดด้วยค่ะป้า
แบมขอเข้าไปหาคุณปู่เลยแล้วกันนะคะ” แบมแบมพูดจบก็หันหลังก้าวฉับๆหายลับไปยังโถงทางเดินมุ่งสู่ห้องทำงานของคุณปู่ที่ตั้งอยู่ปีกซ้ายของตัวคฤหาสน์ทันที
ทิ้งไว้เพียงเสื้อคลุมผ้าเนื้อดีให้คุณป้าดูต่างหน้า
“อ้าว คุณหนู!”
-----
Once upon a love -----
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามาสิ” เสียงอนุญาตของชายชราผู้เป็นเจ้าของห้องและเจ้าของชีวิตของคนในคฤหาสน์หลังนี้ดังขึ้น
แบมแบมจึงผลักประตูไม้เข้าไปแล้วปิดลงอย่างเบามือ
ห้องนี้มืดเล็กน้อยเมื่อเทียบกับข้างนอกเนื่องจากคุณปู่สายตาไม่ค่อยสู้แสงนักจึงมักชอบปิดม่านไว้เสมอ
สองเท้าในรองเท้าเนื้อดีก้าวมาหยุดลงข้างๆโซฟาบุหนังกำมะหยี่ตัวโปรดของคุณปู่ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
ชายชราเหลือบมองหลานสาว มือเหี่ยวย่นพับหนังสือเล่มหนาที่อ่านอยู่แล้ววางไว้บนโต๊ะ
“หายไปไหนมาหลายชั่วโมง
มาธาบ่นโวยวายซะปู่รำคาญเลย” คุณปู่ถามคนตัวเล็กพลางรินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วยื่นให้หลานสาว
ไอร้อนระเหยออกมาพร้อมกลิ่นของชาทำให้ภายในห้องรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แบมแบมรับถ้วยชามาถือไว้แล้วเดินไปนั่งที่โซฟาอีกตัวตรงข้าม
“ไปเก็บดอกไม้ในป่ามาค่ะคุณปู่ แบมว่าจะเอามาเปลี่ยนใส่แจกันในห้องทำงานของคุณปู่นี่แหละค่ะ
เพราะของเก่าเหี่ยวหมดแล้ว” สาวน้อยพูดพรางหันไปมองแจกันใหญ่ที่มีดอกไม้เหี่ยวจนแทบจะแห้งปักอยู่
“แต่ฤดูใบไม้ร่วงอย่างนี้หาดอกไม้ยากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากเลยนะคะคุณปู่”
“ถ้ามันหายากนักแล้วเจ้าจะลำบากไปหาทำไมกันเล่า
ไปซื้อไม่ง่ายกว่าหรือ”
“แบมไม่อยากซื้อค่ะ
เพราะตามร้านขายดอกไม้ในเมืองดอกไม้ก็มักจะเหมือนๆกันไปหมด
แบมอยากให้ดอกไม้ที่จะปักให้คุณปู่เป็นดอกไม้ที่ไม่เหมือนใคร
เวลาที่คุณปู่มองคุณปู่จะได้รับรู้ว่าดอกไม้ดอกนี้แบมตั้งใจให้คุณปู่มากแค่ไหน”
ได้ฟังคำบอกเล่าของหลานสาวก็ทำเอาชายชรายิ้มไม่หุบ
สายตาคมของคนมองเห็นโลกมาเยอะลอบมองใบหน้างดงามของหลานสาวที่ตนเฝ้าดูแลขัดเกลามาเป็นอย่างดี
กิริยามารยาทก็งดงามสมกับเป็นคนชั้นสูง ความรู้ความสามารถก็หลักแหลมเกินสตรี
หน้าตาผิวพรรณก็งดงามราวคนในรั้วในวัง ไม่มีสิ่งใดด้อยไปกว่าสตรีชั้นสูงจากตระกูลอื่นเลยสักนิด
คิดอยู่คนเดียวชายชราก็เผลอยิ้มกว้างมากขึ้นด้วยความภูมิใจ
“แบมแบม” เสียงเรียกชื่อตัวเองดังขึ้นทำให้คนร่างเล็กที่กำลังดื่มชาอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง
“คะคุณปู่”
“ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว”
“17 ย่าง 18 ค่ะ” ดวงตากลมโตกระพริบอย่างไม่เข้าใจความคิดของคุณปู่
อยู่ๆจะมาถามอายุเขาทำไมกัน
“เกือบ 16
ปีแล้วสินะ ... ตอนนั้นเจ้าเพิ่งอายุได้ราวๆ ... 2 ขวบเองกระมัง” แบมแบมมองหน้าคุณปู่ของตัวเองเงียบๆ
ก็พอจะเข้าใจถึงเรื่องที่คุณปู่กำลังพูดอยู่ คุณปู่คงหมายถึงตอนที่ท่านไปพบเขาถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง
คุณปู่เคยเล่าว่าตอนนั้นท่านออกไปราชการที่เมืองใต้สุดของอาณาจักร
ดินแดนที่ติดกับทะเลและเป็นเมืองท่าสำคัญของลูเซียโน่ แล้ววันหนึ่งคุณปู่ก็ได้พบเขาถูกวางทิ้งไว้ใกล้ชายฝั่งห่างไกลผู้คน
“ถ้าตอนนั้นคุณปู่ไม่เก็บแบมมาเลี้ยง
... แบมอาจจะตายไปแล้วก็ได้” แบมแบมพูดขึ้นพลางมองดูไอระเหยออกจากถ้วยชาด้วยสีหน้าที่ไม่ยินดียินร้าย
“แต่พระผู้เป็นเจ้าคงยังไม่อยากให้เจ้าตาย
ท่านคงอยากให้เจ้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบาสเตียน
ท่านคงเห็นว่าเจ้าเหมาะสมและคู่ควรที่จะเป็นหลานสาวของปู่”
แบมแบมไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
หากเพียงแค่ยิ้มและนั่งฟังสิ่งที่ชายชราจะพูดต่อไปเท่านั้น
“แบมแบม คนเราเกิดมาเพื่อสิ่งใดนะ”
“มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นค่ะ”
“แล้วการมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นคืออะไร”
“คือการช่วยเหลือให้เขาพ้นจากความทุกข์ค่ะ”
“ฉลาดมาก” ชายชรายิ้มมุมปากแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ
แบมแบมยังคงนั่งถือถ้วยชามองหน้าผู้เป็นปู่ด้วยความเงียบ รอว่าสิ่งที่คุณปู่ต้องการจะพูดนั้นคืออะไรกันแน่
“ลูเซียโน่เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
...” อยู่ๆคุณปู่ก็เปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมาเสียเฉยๆ
ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยได้พูดอะไรค้างไว้เลย แบมแบมจากที่ยิ่งสงสัยอยู่แล้วคราวนี้ก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยมากขึ้น
“เป็นอาณาจักรที่มั่งคั่งไปด้วยทรัพย์สินและทรัพยากร
อาณาเขตของเราใหญ่ไม่เป็นสองรองใคร อำนาจทางการเมืองของเราก็เป็นที่ยำเกรงของอาณาจักรอื่นๆ
และอีกไม่นานเราก็จะรวมสมาพันธ์เพื่อเป็นหนึ่งแล้ว และเจ้ารู้ใช่ไหมว่าอาณาจักรของเราต้องการสิ่งใด”
แบมแบมพยักหน้ารับรู้ เหตุการณ์สำคัญของลูเซียโน่ตอนนี้คือการรวมสมาพันธ์กับแคว้นใหญ่เล็กที่รายล้อมให้เป็นหนึ่งเดียว
ซึ่งการรวมสมาพันธ์ผู้นำจากทุกอาณาจักรจะต้องลงมติเลือกแคว้นที่ดีที่สุดให้ขึ้นมาเป็นผู้นำสมาพันธ์
ซึ่งแน่นอนว่าลูเซียโน่คือตัวเก็งที่กำลังถูกจับตามองอยู่ตอนนี้
“รู้ค่ะ
เราต้องการเป็นผู้นำสมาพันธ์”
“ใช่ ... แล้วเจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้สิ่งที่แคว้นเรากำลังหวั่นวิตกอยู่คือสิ่งใด”
“ไม่รู้ค่ะคุณปู่” แบมแบมส่ายหน้าเมื่อคิดไม่ออกว่าแคว้นที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างแบบนี้จะมีสิ่งใดต้องน่าหวั่นวิตก
"......" อยู่ๆชายชราก็เงียบไป มือเหี่ยวหมุนถ้วยชาในมือเล่น สายตาคมมองดูน้ำชากำลังวนไปมาในถ้วยชาราคาแพงก่อนจะค่อยๆตกตะกอน เสียงถอนหายใจดังออกมาทำให้แบมแบมที่นั่งรอฟังคำตอบต้องนึกฉงนใจ ราวกับว่าคุณปู่มีสิ่งที่อยากบอกแต่ลังเลว่าควรพูดดีหรือไม่
“แบมแบม ...”
“คะคุณปู่”
“.... เจ้ารู้ดีใช่ไหมว่าเจ้าเกิดมาพร้อมสิ่งใด”
“.....”
“เจ้าเคยสงสัยไหมว่าเหตุใดเลือดในกายของเจ้าถึงเป็นสีขาวบริสุทธิ์ไม่เหมือนสีเลือดของคนอื่นๆที่เป็นสีแดง”
“ค่ะ”
“ก็เพราะพระผู้เป็นเจ้าท่านกำหนดมาแล้วว่าเจ้าคือคนที่ท่านส่งลงมาให้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์”
“ไม่ใช่หรอกค่ะคุณปู่
แบมไม่ได้มีค่าอะไรขนาดนั้น”
“มีสิ ... เจ้าน่ะมีค่ามากเสียด้วย”
ชายชราพูดจบก็วางถ้วยชาลงแล้วเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักก่อนจะหยิบหีบเล็กๆใบหนึ่งขึ้นมา
“ลุกขึ้นมาหาปู่ตรงนี้สิแบมแบม”
แบมแบมวางถ้วยชาในมือไว้ที่โต๊ะแล้วลุกขึ้นเดินไปหาคุณปู่ตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
ร่างเล็กเดินไปทรุดลงที่พื้นพรมตรงหน้าเก้าอี้ตัวโปรดของผู้เป็นปู่ ชายชรายื่นหีบใบเล็กๆแกะสลักด้วยรูปเถาวัลย์พันเกี่ยวกับดวงจันทร์ มีเพชรเม็ดเล็กๆฝังไว้ตรงกลางให้
“อะไรหรือคะคุณปู่” แบมแบมเอื้อมมือไปรับหีบนั้นมาถือไว้แล้วเงยหน้ามองจ้องคุณปู่ของตัวเองด้วยสีหน้าสงสัย
“เปิดดูสิ” ร่างบางทำตามคำสั่ง
นิ้วเรียวค่อยๆเปิดฝาออก ด้านในของหีบถูกบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงและในนั้นมีสร้อยเส้นหนึ่งวางอยู่ เขาค่อยๆหยิบมันขึ้นมาดู สร้อยเส้นเล็กน่าจะทำจากทองคำขาว
มีจี้รูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวห้อยอยู่ พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีขาวแวววาวมีเพชรสีน้ำเงินซัพไฟร์ประกายวิบวับฝังอยู่ตรงกลาง
“สวยจังค่ะคุณปู่” แบมแบมเอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆทว่าสายตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวจี้อย่างหลงใหลราวกับว่ามันมีมนตร์สะกดบางอย่างสามารถบังคับไม่ให้ผู้จ้องมองละสายตาไปที่ใดได้
“นั่นของเจ้า”
“คะ ?” ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะละสายตาเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นปู่ด้วยความสงสัยเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ ชายชราค่อยๆก้มตัวลงมาหาหลานสาวที่นั่งอยู่กับพื้น สายตาคมมองไปที่ตัวจี้ด้วยแววตาบางอย่างที่มีความหมายแฝงอยู่ภายใน
“เจ้ารู้มั้ยว่ามันหมายความว่าอย่างไร”
แบมแบมได้แต่ส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ
“พระจันทร์เพียงครึ่งเสี้ยว
นั่นหมายความว่าผู้ครอบครองจะต้องตามหาอีกส่วนที่หายไป”
“.......”
“สร้อยเส้นนี้มันเป็นของเจ้าตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ”
“อะไรนะคะ”
“แล้วรู้มั้ยว่าใครให้มา”
“ไม่รู้ค่ะ”
“พระชนนีเป็นผู้ประทานให้เจ้า”
แบมแบมตกใจกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ หัวใจเต้นรัวกว่าปกติเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าใครคือเจ้าของที่ให้สร้อยเส้นนี้กับเขา ถึงแม้ตนจะเป็นคนใกล้ชิดเสด็จลุงของอดีตพระราชินีแห่งลูเซียโน่
แต่ตั้งแต่เด็กจนวันนี้ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะได้เข้าเฝ้าพระองค์หรือแม้แต่จะรู้ว่าพระพักตร์นั้นเป็นเช่นไร
จะงดงามสมคำร่ำลือหรือไม่เขาก็ไม่เคยรู้
หากแต่วันนี้คุณปู่ที่นั่งอยู่ตรงหน้ากลับบอกว่าพระองค์ประทานสร้อยเส้นนี้ให้เขาตั้งแต่เด็กๆ
ซึ่งนั่นหมายความว่าพระองค์รู้จักเขา
“พระชนนี ? จริงหรือคะคุณปู่
พระองค์ประทานให้แบมทำไมกัน” ชายชรายิ้มให้กับความฉลาดถามของหลานสาว ถามแบบนี้เขาจะได้เข้าเรื่องเลยเสียที
“ก็ประทานเพื่อเป็นของกำนัลให้ว่าที่พระสุณิสาของพระองค์ไงล่ะ” แววตาสั่นระริกวูบไหวเมื่อคำตอบหลุดออกมาจากปากของคนตรงหน้า ร่างน้อยพยายามควบคุมสติแล้วทวนสิ่งที่ได้ยินออกมาอีกครั้งถึงแม้ว่าเมื่อครู่จะได้ยินไม่ผิดเพี้ยนแล้วก็ตาม
“พระสุณิสา ... ลูกสะใภ้น่ะเหรอคะ” น้ำเสียงแผ่วเบาราวกับคนเริ่มวิตกอะไรขึ้นมาสักอย่างดังขึ้นในความเงียบ ในหัวเริ่มรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะตามมา แบมแบมเป็นคนฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าคำพูดของคุณปู่หมายถึงอะไรและอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
ชายชรายืดตัวกลับมานั่งพิงเบาะโซฟาตัวโปรดแล้วถอนหายใจช้าๆอย่างใจเย็น
“พระจันทร์คือสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์ลูเซียน่าแห่งอาณาจักรลูเซียโน่ สร้อยที่เจ้ากำลังถืออยู่ในมือในอดีตมันเคยอยู่บนคอของพระราชินีแห่งลูเซียโน่มาแล้วทุกพระองค์ ..."
"........"
"เลือดสีน้ำเงินคือเลือดของเชื้อพระวงศ์ และสีน้ำเงินของเพชรที่ประดับอยู่ก็หมายถึงเลือดขัตติยา ดังนั้นการที่สร้อยเส้นนี้ตกอยู่ที่ใครนั่นหมายความว่าคนๆนั้นได้ถูกคัดสรรและเลือกให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเชื้อพระวงศ์แล้ว ..." ชายชรามองดูหลานสาวที่นั่งนิ่งฟังสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่ด้วยสีหน้าและแววตาที่เขาก็ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้
"นี่คือสร้อยคอที่ตกทอดต่อกันมาในสายราชินี พระราชินีทุกพระองค์ล้วนแต่เคยสวมใส่เมื่อตอนที่ยังเป็นพระคู่หมั้น และอีกเสี้ยวที่หายไปก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล หากแต่อยู่ที่องค์ชายรัชทายาทผู้เป็นว่าที่สามีนั่นแหละ"
"........"
"ตอนนี้ทุกอย่างดำเนินมาถึงเวลาที่ควรจะเป็นแล้ว ปู่อยากจะถามเจ้าว่า ..."
"....." แบมแบมยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง
"เจ้าพร้อมจะเป็นเลือดสีน้ำเงินหรือไม่แบมแบม” คนฉลาดอย่างแบมแบมไม่ต้องอธิบายอะไรมากไปกว่านี้เขาก็เข้าใจทุกอย่างได้อย่างง่ายได้ ร่างบางยืดตัวเต็มความสูงแล้วเก็บสร้อยเส้นนั้นลงในหีบตามเดิม ใบหน้างดงามเงยขึ้นสบตากับคนเป็นปู่
นี่คงจะเป็นคำตอบว่าทำไมเขาถึงถูกเลี้ยงดูราวเจ้าหญิงมาตลอดสินะ ...
“นี่คือสิ่งที่ควรต้องทำหรือเปล่าคะคุณปู่”
คำตอบฟังดูเหมือนตัดพ้อแต่จริงๆแล้วบนใบหน้านั้นกับเรียบนิ่งและแววตาใสก็ไม่หวั่นเกรง
แบมแบมกำลังใช้ความคิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่อยากทำกับสิ่งที่ควรทำ
เขาควรเลือกทางไหนกัน
“องค์ราชินีของอาณาจักรหลายพระองค์ล้วนเป็นสตรีชั้นสูงที่มาจากตระกูลของเรา
หากขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีของบาสเตียนย่อมหมายความว่านั่นคือสตรีที่เหมาะสมจะนั่งอยู่บนบัลลังก์เคียงข้างพระราชามากที่สุด”
ชายชราไม่ตอบให้ตรงคำถาม หากแต่พูดเพื่อให้แบมแบมคิดเอง เขารู้ดีว่าคนฉลาดอย่างแบมแบมรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั่นหมายถึงอะไร
“แต่แบมไม่ใช่สายเลือดบาสเตียนแท้
เลือดที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของแบมอาจจะทำให้เลือดสีน้ำเงินของราชวงศ์ลูเซียน่าเปลี่ยนสีก็ได้นะคะคุณปู่”
“ไม่หรอก เลือดของเจ้าเป็นเลือดบริสุทธ์แบมแบม
เลือดสีขาวของเจ้าไม่ว่าจะอยู่ร่วมกับสีใดก็มิอาจทำให้สีนั้นผันแปรหรือแปดเปื้อนไปได้
มีแต่ยิ่งทำให้สีนั้นแวววาวมากขึ้นต่างหาก” หมดข้อโต้แย้งใดๆ แบมแบมนั่งฟังเสียงทุ้มที่กังวานอยู่ในห้องอย่างนิ่งงัน
คำพูดมากมายของคุณปู่วนเวียนอยู่ในหัว ร่างบางมองพื้นพรมนิ่งอย่างใช้ความคิด
ตั้งแต่เกิดมาเขาก็มีชีวิตที่ต้องอยู่ในกรอบเสมอไม่เคยได้ใช้ชีวิตธรรมดาอย่างเด็กสาวคนอื่นๆ แม้แต่เลือดข้นที่มีในกายก็ผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ
นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วก็ได้ อาจจะมีใครบางคนกำหนดมันมาแล้วให้เป็นแบบนี้ ซึ่งเขาก็ควรที่จะเดินไปตามทางที่ใครคนนั้นวางไว้
แม้ในใจที่ลึกที่สุดมันจะตะโกนเรียกร้องออกมาอีกครั้งแต่แน่นอนว่าเขาก็มิอาจทำตามมันได้อยู่ดี ยังไงก็ตามชีวิตที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่สามารถกำหนดอะไรได้อยู่แล้ว
ชินเสียแล้วล่ะ
บันไดชีวิตที่ต้องเลือกก้าวขึ้นไปอีกขั้นมันคงไม่มีอะไรน่ากลัวมากไปกว่านี้หรอก
มันก็เป็นแค่อีกครั้งที่เขาต้องจำใจเดินเข้าไปไขกุญแจทองคำเพื่อล็อคกรงขังให้ตัวเองอีกชั้นเท่านั้นเอง
...
“ค่ะคุณปู่ ... แบมเข้าใจทุกอย่างแล้ว ถ้ามันเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่กำหนดไว้แล้ว แบมก็พร้อมที่จะทำตามโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ สุดแล้วแต่คุณปู่จะเห็นควรเถอะค่ะ”
-----
Once upon a love -----
หลังจากบทสนทนาที่กำลังจะเปลี่ยนชีวิตของคนสองคนจบลงเมื่อตอนกลางวัน ตลอดทั้งวันนี้ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอของแบมแบมก็ยิ้มไม่ค่อยออกเท่าไหร่นัก แต่ทว่ายามที่ค่ำคืนดึกสงัดมาถึง ใครหลายคนคงเข้าสู่นิทรากันหมดแล้วรวมถึงร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงกว้างด้วยเช่นกัน
แบมแบมกลับกำลังหลับตาพริ้ม รอยยิ้มที่วาดลงบนใบหน้ากำลังยิ้มอย่างคนฝันดี
ในโลกแห่งความฝันคือโลกเดียวที่เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้และเป็นสถานที่เดียวที่ทำให้เขาไม่ต้องคิดอะไร
.
.
.
.
.
เสียงเปียโนใสที่ดังก้องกังวานในสวนสวยคลอไปกับเสียงน้ำพุสาดกระเซ็นโดนดอกไม้กอน้อยด้านล่างทำให้แบมแบมพยายามตามหาเสียงไพเราะจับใจนั้นให้เจอ สองเท้าน้อยที่คราวนี้ไร้รองเท้าคู่สวยเช่นทุกครั้งกำลังเหยียบย่ำไปตามพื้นหญ้าสีเขียวขจีให้ความรู้สึกดีมากกว่าการเหยียบพื้นพรมราคาแพงยิ่งนัก แสงแดดสดใสสาดส่องไปทั่วทุกบริเวณ แบมแบมเดินลึกเข้าไปในสวนดอกไม้นานาพันธ์ที่เขามักจะได้เข้ามาเป็นประจำทุกๆคืน
สวนที่มักจะมีใครคนหนึ่งเฝ้ารอเขาอยู่เสมอ
เสียงเปียโนกับบทเพลงประหลาดที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนหากแต่เพราะจับใจยังดังอยู่ต่อเนื่องและเริ่มดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
จนในที่สุดร่างบางในชุดกระโปรงสีขาวธรรมดาไร้ลวดลายก็เดินมาถึงศาลาสีขาวที่ถูกรายล้อมไปด้วยเถาวัลย์และดอกไม้
ภาพตรงหน้าทำให้เขาเผลอยิ้มกว้างออกมา
ชายหนุ่มในชุดสีขาวไม่ต่างจากเขาหากทว่าใบหน้ากลับบึ้งตึงคือคนที่เล่นเปียโนสีขาวหลังใหญ่นั่นเอง
แบมแบมยิ้มจนตาหยีแล้วรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหา
ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปปั้นแกะสลักสะท้อนกับแสงแดดอ่อนที่สาดส่องประทะใบหน้า
แบมแบมเดินมานั่งลงที่นั่งตรงข้ามแล้วถอนหายใจช้าๆ รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้เข้ามาที่แห่งนี้
แม้ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนบนโลกใบนี้ แต่ทุกครั้งที่หลับตาลงสถานที่ลึกลับแห่งนี้ก็จะเด่นชัดอยู่ในความทรงจำทุกครั้งไป
รวมถึงเขาคนนี้ด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มลึกลับที่แบมแบมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าคือใคร
ตึ้ง!
เสียงเปียโนกังวานใสที่กำลังขับกล่อมคนฟังอยู่ๆก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงดังฟังน่าใจหาย
แบมแบมสะดุ้งลืมตาแล้วหันมองคนบรรเลงทันที ชายหนุ่มคนนั้นปล่อยมือลงจากแป้นแล้วก้มหน้า
แววตาไร้ความรู้สึกจดจ้องไปที่ฝ่ามือของตัวเองนิ่งเสียจนแบมแบมต้องร้องถาม
“เป็นอะไรไป
ทำไมอยู่ๆถึงหยุดเล่นล่ะ”
“ต่อไปนี้เราคงไม่ได้พบกับเธอแล้วนะ”
อยู่ๆชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าเขา
แววตาสีนิลที่เคยไร้ความรู้สึกวูบไหวไม่มั่นคง ใบหน้านั้นดูเศร้าลงไปถนัดตา
“ทำไมกัน”
“เราต้องไปแล้ว”
“ไปไหน นายจะไปไหน”
“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่เราต้องไปแล้ว เค้าเรียกเราแล้ว”
“ใครเรียก บอกฉันสิว่าใครเรียกนาย”
แบมแบมผุดลุกขึ้นเต็มความสูงด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆภาพตรงหน้ากำลังจะเลือนหายไป
ชายหนุ่มในชุดสีขาวค่อยๆจางหายแทบจะมลายหายไปหมด แบมแบมตกใจและตั้งตัวไม่ถูกสองขารีบวิ่งเข้ามาจะคว้าร่างนั้นเอาไว้
แต่ทว่าสุดท้ายสิ่งที่คว้าได้คือความว่างเปล่า
“เดี๋ยวสิ! จะไปไหนน่ะ
นายหายไปแบบนี้ไม่ได้นะ” แบมแบมยืนคว้างอยู่กับที่
ปากอิ่มร้องเรียกคนที่เพิ่งหายไปให้กลับมา แต่แม้จะส่งเสียงออกมาดังสักแค่ไหนรอบตัวก็เงียบสงบดังเช่นเดิม
ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งกับพื้น สีหน้าสับสนและแววตาใจหายนั้นแสดงชัดออกมาบนใบหน้างดงาม
ก่อนที่สุดท้ายน้ำตาเม็ดใหญ่จะร่วงหยดลงบนฝ่ามือน้อย
นอกจากจะเกิดมามีความสามารถที่แปลกไปจากคนอื่นแล้วนั้น แบมแบมยังมีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่งในชีวิตก็คือ ในทุกๆค่ำคืนที่เขาหลับไหล ในความฝันเขามักจะได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งในสถานที่แห่งนี้เสมอ ทุกครั้งที่ได้พบกัน ความรู้สึกที่ว่าโลกใบนี้ช่างโหดร้ายก็จะสลายหายไป เป็นโลกที่มีแต่ความสบายใจ แต่เมื่อสุดท้ายเขาลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความจริงก็จะลืมภาพทุกอย่างในความฝันรวมถึงใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นจนหมดสิ้น
เพราะยังไงความฝันมันก็คือความฝัน ...
แบมแบมนั่งนิ่งอยู่กับที่
แววตาเลื่อนลอยกวาดมองไปรอบๆตัว ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่อยู่ที่นี่แล้ว
ต่อไปโลกใบนี้จะมีความหมายอะไร เพื่อนคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเป็นตัวเองหายไปไม่มีวันกลับแล้ว
โลกความฝันนี้ก็คงจะเงียบเหงาชอบกล
‘เราจะได้เจอกันอีกครั้งมั้ย ...’ ร่างบางพึมพำกับตัวเองก่อนจะหลับตาลง
.
.
.
.
ร่างน้อยที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงลืมตาโพรงท่ามกลางความมืด แบมแบมผุดลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงแล้วยกมือมายีผมอย่างงงๆ นี่เขาตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างไม่มีสาเหตุหรือ สมองพยายามประมวลผมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหลับไปก็จำได้แค่ตอนที่เขาอ่านหนังสือแล้วเผลอหลับก็เท่านั้น คนตัวเล็กนั่งงงกับตัวเองแล้วกวาดตามองไปรอบๆห้องด้วยความรู้สึกโหวงแปลกๆ ใบหน้าเรียวหันไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดผ้าม่านขาวทิ้งไว้จนแสงจันทร์สีนวลผ่องสาดส่องเข้ามาในห้องกว้าง ดวงตาคู่สวยมองออกไปนอกหน้าต่างจับจ้องไปยังพระจันทร์และท้องฟ้าของฤดูใบไม้ร่วงที่ถูกประดับไปด้วยดวงดาวพร่างพราย บัดนี้พระจันทร์ที่ส่องแสงอยู่คงใกล้จะเต็มดวงในเร็ววันนี้เสียแล้ว
อยู่ๆแบมแบมก็นั่งเหม่อมองดวงจันทร์นิ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุด้วยความรู้สึกแปลกๆที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่ทว่าแล้วสุดท้ายคนตัวเล็กก็ตัดสินใจละสายตากลับมาก่อนจะสะบัดหัวไล่ความรู้สึกแปลกๆที่กำลังเกาะกุมจิตใจให้ออกไป
สงสัยจะคิดมากถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกับคุณปู่ไปหน่อย ร่างบางปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้แล้ววางไว้ข้างเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
หากทว่าดวงตากลมโตก็ยังคงนอนมองดวงจันทร์สีนวลนอกหน้าต่างไม่วางตา
ทำไมถึงรู้สึก ...
เหมือนมีใครบางคนกำลังมองเราลงมาจากบนนั้นเลยนะ
และนั่นคือความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่เขาจะเข้าสู่นิทราไปอีกครั้ง
-----
Once upon a love -----
PIN PIN TALK
ฮิ้วววววว จบแล้วตอนสอง *จุดพลุ*
ก่อนอื่นขอสารภาพเลยว่าการแต่งฟิคเรื่องนี้ยากมากกกกกก *ก.ไก่แปดล้านตัว*
นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมไรท์ถึงอัพช้าเหลือเกิน
เพราะต้องเกลาแล้วเกลาอีกให้ภาษาสวยงามที่สุดค่ะ
เรื่องนี้แบมแบมเป็นผู้หญิงจ๋าเลยอ่ะ รีดรู้สึกแปลกๆมั้ยเอ่ย -3-
วิจารณ์ได้น้าเค้าอยากรู้
เพราะเค้าไม่มั่นใจแนวนี้เท่าไหร่เลย แต่งยังไงให้คนอ่านเข้าใจพล็อต
โคตรยาก T0T
แต่สุดท้ายก็หวังว่าจะชอบกันนะคะ เราตั้งใจมากเลยกับเรื่องนี้
ฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ถ้ามีเวลาว่างฝากติชมผ่าน แท็ก #เทพนิยายมบ
ในทวิตด้วยน้า ><
เค้าจะได้เอาคำติชมไปพัฒนา นี่จริงจังนะรู้ยัง ! -3- จุ๊บุ ><
ความคิดเห็น