ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร้อยรักสลับภพ #ฟิคลาวดวงเดือน

    ลำดับตอนที่ #2 : ปฐมบท : ภพฉัน

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 65




    ปฐมบท : ภพฉัน

     

    ‘ชาตินี้ชาติใดให้เธอเท่านั้น

    สาบานนิรันดร์รักไว้ชั่วกาล

    แม้นชีพมลายไม่อาจเปลี่ยนผัน

    มอบดวงฤทัยรักมั่นเพียงเธอ’

     

    -----------------------------------

     

     

     

    พุทธศักราช 2560 กรุงเทพมหานคร

     

    เสียงเข็มนาฬิกาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบยามรัตติกาล บนเตียงกว้างปรากฎร่างเล็กของชายหนุ่มหน้าตาน่ารักผู้ซึ่งกำลังตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างน่าเอ็นดู ในโลกความฝันใบเล็กๆที่มีเพียงเขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมของเหล่าพฤกษชาติน้อยใหญ่ ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว โลกแห่งความฝันอันแสนสงบสุข ดินแดนที่แตกต่างจากโลกแห่งความจริงที่เป็นอยู่

     

    โลกที่ กันต์นธี มักจะเข้ามาเยือนอยู่เสมอในทุกๆค่ำคืน

     

    เสียงของใครบางคนดังขึ้นมาในความฝัน ร่างเล็กหยุดชะงักเมื่อพบเข้ากับชายคนหนึ่ง แผ่นหลังกว้างหันหลังให้เขาพร้อมเอ่ยเบาๆด้วยน้ำเสียงละมุนละไม หากแต่ฟังดูเศร้าจนน่าใจหาย

     

    ‘ลม... เจ้าจงพัดไป’

     

    ใบหน้าฉงนค่อยๆคลี่ยิ้มบางออกมา ยามที่แผ่นหลังกว้างนั้นหันกลับมา หากโลกใบนี้มีอะไรอีกมากมายที่ยังไม่เคยได้รู้ นี่ก็คงจะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เขาไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดชายที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ถึงทำให้เขารู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้พบกันในความฝัน ราวกับว่าเราเคยรู้จักกันมาแล้วเมื่อนานแสนนาน...

     

    ‘เรารออยู่ตรงนี้...’

     

    และไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมเสียงๆนี้ยังคงเป็นเสียงเดิมที่ร้องเรียกเขาแทบทุกคืน...

     

     

     



    ติ๊ดด ~

     

    นาฬิกาปลุกบนโต๊ะข้างเตียงส่งเสียงปลุกตามหน้าที่ของมัน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ภาพฝันเมื่อครู่ฟุ้งสลายหายไปในอากาศ

     

    ฝันอีกแล้วเหรอเนี่ย..

     

    กันต์นธีหลับตานิ่ง ก่อนจะค่อยๆลุกนั่งบนเตียงด้วยความอ้อยอิ่ง หาวหวอดจนดวงตากลมโตนั้นหรี่ลงอย่างน่าเอ็นดู มือขาวเอื้อมหยิบรีโมทข้างโต๊ะมากดปุ่มให้ม่านเปิดออกรับแสงแดดยามเช้า แสงสีทองค่อยๆสาดส่องเข้ามาในห้องกว้าง ใบหน้าหวานหันมองภาพเช้าวันใหม่จากคอนโดสูงใจจากกรุงที่เห็นเป็นประจำในทุกๆเช้า ร่างเล็กยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงอย่างคนที่กำลังรวบรวมสติให้เข้าที่เข้าทาง จนเผลอคิดไปถึงความฝันที่เพิ่งเลือนรางไปเมื่อครู่

     

    เขามีความฝัน ฝันแปลกประหลาดตั้งแต่วัยเด็ก ฝันที่ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเรื่องคุ้นชินไปเสียแล้ว ฝันที่ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นสิ่งที่เขาขบคิดหาคำตอบอยู่เสมอ แต่เมื่อไม่มีคำตอบใดๆที่สมเหตุสมผลนักกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป ไม่คิดไปแตะต้องมัน

     

    เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ความฝันก็คือความฝัน...

     

    ----------------------------------------------

     

     

    เสียงสัญญาณต้อนรับลูกค้าดังขึ้นเมื่อมีใครบางคนเดินผ่านประตูกระจกเข้ามา ร่างเล็กของชายหนุ่มหน้าตาน่ารักปรากฎอยู่ตรงนั้น ใบหน้าใสซึ่งจัดว่าดูดีทำให้บรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ที่กำลังทำผมอยู่ หรือกำลังนั่งคุยกันอยู่ต่างหันมาให้ความสนใจ ก่อนที่พวกหล่อนจะพากันหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างตัวตามแบบฉบับไฮโซช่างนินทา

     

    กันต์นธีไม่ได้สนใจว่าใครจะกำลังมองตนอยู่บ้าง ขาเรียวในรองเท้าหนังราคาแพงค่อยๆ ก้าวตรงไปยังเคาน์เตอร์หินอ่อน ดวงตากลมโตกวาดสายตามองหาใครบางคน

     

    “อ้าวคุณกันต์” เสียงแหลมของใครบางคนดังขึ้นมา ดวงตากลมโตจึงปลายตามองไปตามเสียงนั้น อาจเพราะเขาเป็นลูกค้าประจำของร้าน หรืออาจเป็นเพราะมีนามสกุลของบิดาต่อท้ายชื่อ จึงทำให้ทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาในร้านแห่งนี้ คุณผู้จัดการร้านจอมแบ่งชนชั้นก็มักจะวิ่งแจ้นออกมาต้อนรับเขาด้วยตัวเองเสมอโดยไม่ต้องเสียเวลามองหาพนักงาน

     

    “สวัสดีค่าคุณกันต์ แหม ไม่เจอกันนานเลย หายไปไหนมาคะเนี่ย” คุณผู้จัดการร้านยิ้มแป้นมาแต่ไกล

     

    “ไปปารีสมาน่ะครับ” มือขาวถอดแว่นกันแดดออกจากใบหน้า คลี่ยิ้มบางๆให้

     

    “ไปหาคุณพ่อคุณแม่อีกล่ะสิคะเนี่ย ท่านกับคุณหญิงสบายดีนะคะ”

     

    “สบายดีครับ”

     

    “จริงๆถามแบบนั้นก็คงไม่ถูก งานในสถานทูตมีมากมายทุกวันจะไปสบายได้ยังไง จริงไหมคะคุณกันต์” ร่างเล็กคลี่ยิ้มบางๆก่อนจะตอบกลับไปน้อยนิดเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

     

    “ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั้งครับ”

     

    “อุ๊ย ดูสิดิฉันก็มัวแต่ชวนคุย วันนี้คุณกันต์อยากทำอะไรดีคะ สระผมเหมือนเดิมหรือว่าอยากทำอะไรดี” กันต์นธีแอบถอนหายใจน้อยๆเมื่อในที่สุดหญิงสาวก็เข้าเรื่องที่เธอควรพูดเสียที

     

    “วันนี้ยังไม่ทำอะไรทั้งนั้นครับ ผมนัดเพื่อนไว้เฉยๆ”

     

    “เพื่อน? อ๋อ คุณวินดี้ใช่ไหมคะ” ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรกลับไป จู่ๆเสียงแหลมก็ดังมาแต่ไกล กันต์นธีรู้ได้ในทันทีเลยว่าเสียงๆนี้เป็นเสียงของใคร

     

    จะเป็นเสียงใครไปได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่เสียงเพื่อนสนิทของเขาเอง

     

    “กันต์!” เสียงใสดังก้องจนทั้งเขาและคุณผู้จัดการต้องหันขวับไปมอง ไม่ทันได้ตั้งตัวดีร่างเล็กของเพื่อนสนิทก็วิ่งเข้ามากระโดดกอดเขาเสียเต็มรักจนเกือบจะทรงตัวไม่อยู่

     

    เห้ยย

     

    “เธอขากลับมาแล้ววว”

     

    “วินดี้ปล่อยก่อน คนมองเต็มแล้วเนี่ย” มือขาวพยายามแกะลูกลิงออกจากตัวเองสุดความสามารถเพราะคนในร้านเริ่มหันมามอง ในที่สุดสาวน้อยตัวเล็กจึงยอมผละออกมาจากเพื่อนสนิทอย่างเสียมิได้

     

    “ก็ปล่อยเค้ามองไปสิจะสนใจทำไมกันต์นธีมองหน้าเพื่อนสนิทตัวเองด้วยแววตาระอาปนหน่ายใจ ก็รู้อยู่หรอกว่าสนิทกันมาก แต่การจะมากระโดดกอดผู้ชายกลางร้านแบบนี้ก็ใช่เรื่อง วินดี้ เป็นผู้หญิงที่ไม่สนใจการวางภาพลักษณ์ใดๆทั้งสิ้น อาจเพราะไปอยู่เมืองนอกมานานจึงทำให้ได้รับความคิดแบบตะวันตกมาเยอะเกินไป เขาคิดว่าอย่างนั้น

     

    แต่ความจริงเราก็โตมาด้วยกันนี่หว่า

     

    “สนใจบ้างก็ดี ตัวเองเป็นผู้หญิงนะ”

     

    เป็นผู้หญิงแล้วมันยังไง ผู้ชายทำได้ทำไมผู้หญิงจะทำไม่ได้ วินดี้ยักไหล่ไม่สนใจ

     

    “เออเอาเถอะ ขี้เกียจเถียงกับมึงแล้ววินดี้ ว่าแต่นี่เปลี่ยนสีผมใหม่อีกแล้ว?” กันต์นธีไล่สายตามองผมยาวสลวยของคนตรงหน้า ก่อนเขาจะบินไปฝรั่งเศสเป็นอีกสีหนึ่ง ผ่านไปแค่อาทิตย์เดียวกลับกลายเป็นสีใหม่ไปเสียแล้ว

     

    “สวยปะ” คนตัวเล็กตอบพลางหมุนตัวให้ดูหนึ่งรอบ ใบหน้าสดใสแย้มยิ้มอย่างภูมิใจกับผมสีใหม่ของตัวเอง

     

    “เออ ก็สวยดี”

     

    “มีรสนิยมมากไม่เสียแรงที่เป็นเพื่อนรัก หึ่ยย ขอกอดทีไอ้ต้าว” แล้วเขาก็รู้ตัวว่าทำผิดอีกครั้งที่ตอบแบบนั้นออกไป เพราะยัยเพื่อนตัวแสบเล่นดีใจจนต้องกระโดดกอดเขาอีกรอบ

     

    “ไม่เอาา มึงปล่อยก่อน” กันต์นธีพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดรัดแน่นของเพื่อนสนิทที่ชอบหลอกสกินชิพเขาด้วยความมันเขี้ยวมาตั้งแต่เด็กๆ และในตอนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับวินดี้นั่นเอง ร่างสูงโปร่งของผู้มาเยือนคนใหม่ก็ก้าวเข้ามา

     

    “วินดี้ มึงเรียบร้อยหน่อยดิ” สองเพื่อนรักที่กำลังกอดกันกลมถูกมือใหญ่ของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทอีกคนจับแยก วินดี้จึงยอมผละออกจากเขาอีกครั้งเพราะสู้แรงดึงของคนตัวใหญ่ไม่ไหว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด มือบางเอื้อมไปตีไหล่หนาของอีกคนทันทีด้วยความเร็วและรุนแรง ระบายอารมณ์ให้สมกับที่ถูกขัดใจ

     

    ฮุน! อีกแล้วนะ” คนตัวใหญ่ที่เป็นคนจับสองเพื่อนสนิทแยกจากกันรีบรวบมือเล็กนั้นไว้แล้วปัดทิ้งไปไกลๆตัวเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง

     

    “โอ้ย เจ็บนะเว้ย!”

     

    “สมควร!” วินดี้ถลึงตาใส่คนตัวสูงกว่าอย่างเอาเรื่อง

     

    “ก็ต้องขวางดิ มึงอ่ะชอบแต๊ะอั๋งไอ้กันต์ มันจะช้ำตายอยู่แล้วนั่น"

     

    “ก็คิดถึงเพื่อนไม่ได้หรือไง"

     

    “อย่ามาเว่อร์หน่อยเลย ไม่เจอกันแค่อาทิตย์เดียวทำมาคิดถึง คิดถึงมันหรือคิดถึงของที่ฝากมันซื้อกันแน่” แค่พูดจบฮุนก็ถูกมือเล็กฟาดลงที่ต้นแขนอีกรอบ

     

    เพี๊ยะ!

     

    “โอ๊ยเจ็บนะวินดี้!”

     

    “หยาบคายที่สุด ต้องคิดถึงมันอยู่แล้วสิ นี่เพื่อนนะ”

     

    “เหรอ” ฮุนบ่นเพื่อนสนิทตัวเล็กพลางลูบแขนที่ถูกฟาดจนขึ้นรอยแดงไปด้วย

     

    “พอๆพวกมึงเลิกทะเลาะกันสักที กูอยากไปหาอะไรกินแล้ว หิวเข้าใจมไหม” แล้วก็เป็นเขาอีกแล้วนั่นเองที่ต้องห้ามศึกเพื่อนรักทั้งสองก่อนที่มันจะยืดเยื้อไปมากกว่านี้ และนั่นจะทำให้เขาไม่ได้หาอะไรลงท้องสักที

     

    สองคู่กัดเลิกตีกันเหมือนอย่างทุกครั้งที่กันต์นธีคอยห้าม แต่ยัยตัวแสบก็ยังไม่วายฟาดลงไปที่แขนคนตัวสูงอีกครั้งด้วยความไม่อยากยอมแพ้ ก่อนจะรีบเดินหนีไปจัดการธุระผมของตัวเองให้เสร็จเรียบร้อย

     

    “ไอ้อ้วน! ตัวนิดเดียวทำไมแรงเยอะจังวะ!” ทิ้งไว้แค่เพียงฮุนที่ยืนบ่นและเขาที่ยืนขำอยู่ข้างๆเท่านั้น

     

     

    ---------------------------------

     

     

     

    หลังออกมาจากร้านทำผมอันเป็นจุดนัดพบของวันนี้ สามสหายเพื่อนรักก็ตรงดิ่งมาที่ร้านอาหารหรูซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากไปไหนไกลในวันที่แดดร้อนเช่นนี้ อีกทั้งท้องก็เริ่มครวญครางให้หาอะไรส่งลงไปเสียแล้ว

     

    อาหารน่ารับประทานมากมายถูกสั่งไปเป็นที่เรียบร้อย กันต์นธีจึงเริ่มหยิบของฝากที่หอบมาจากฝรั่งเศสออกมาให้เพื่อนรักทั้งสองคนเหมือนอย่างทุกๆครั้งที่ต้องบินไปหาบิดามารดา

     

    เขาเคยชินเสียแล้วกับชีวิตที่ต้องแยกจากครอบครัว

     

    บิดาของเขาคือหนึ่งในเอกอัครราชทูตไทยผู้มีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ต้องไปประจำการอยู่ต่างแดน และเพราะบิดาคือชายที่มีชีวิตครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านพักนักการทูตมากกว่าบ้านของตัวเอง ทำให้ครอบครัวของเราจำเป็นต้องโยกย้ายถิ่นฐานอยู่ตลอดเวลา ด้วยเพราะเหตุนี้ผู้เป็นแม่จึงพยายามอบรมเขาให้สามารถดูแลตัวเองได้ตั้งแต่เด็ก หลังจากบรรลุนิติภาวะมาไม่กี่ปีกันต์นธีจึงถูกปล่อยให้ใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาจนถึงปัจจุบัน

     

    แต่ความจริงจะพูดว่าตัวคนเดียวก็คงไม่ถูกมากนัก เพราะเมื่อครั้งที่พ่อของเขาถูกย้ายไปประจำการที่ประเทศอังกฤษ ตอนนั้นกันต์นธีกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมต้นและยังคงอยู่ในความดูแลของบิดามารดา เขามีเพื่อนสนิทสองคน ทั้งคู่เป็นคนเกาหลีใต้ขนานแท้แต่เกิดและเติบโตอยู่ที่ประเทศไทยเพราะบิดามารดาย้ายรกรากมาทำธุรกิจนานนับหลายสิบปีแล้ว

     

    และสองคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ฮุนและวินดี้นั่นเอง

     

    บิดามารดาของทั้งฮุนและวินดี้มองหาโรงเรียนดีๆที่คู่ควรให้กับลูกทั้งสองคนตามความนิยมของนักธุรกิจผู้มีอันจะกิน และผลสุดท้ายก็มาตกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ประเทศยอดนิยมตลอดกาลสำหรับการศึกษาเล่าเรียน เราสามคนรู้จักกันครั้งแรกตอนมัธยมต้น และด้วยวัยที่ใกล้เคียงกัน ทั้งยังพูดภาษาเดียวกัน อีกทั้งยังบังเอิญเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกัน นับตั้งแต่ตอนนั้นจวบจนทุกวันนี้พวกเขาทั้งสามคนก็ไม่เคยแยกจากกันอีกเลย

     

    นั่นจึงเพียงพอแล้วที่จะพูดว่าฮุนกับวินดี้เป็นเพื่อนที่เขารักและรู้ใจกันมากที่สุดในโลก

     

    “อะนี่ ของพวกมึง”

     

    Thanks!” วินดี้รับถุงที่เขายื่นให้ถุงแรกมาเปิดดู ก่อนจะหวีดร้องออกมาเสียยกใหญ่เมื่อเธอพบว่าของในถุงนั้นคือสิ่งใด

     

    “อ้วน มึงจะกรี๊ดอะไรนักหนาเนี่ย” ฮุนเงยหน้าจากโทรศัพท์ เหวใส่คนตรงข้ามทันที

     

    “กูตื่นเต้น! มึงงง รู้ไหมว่าขวดนี้คือตัวท็อปเลยนะเว้ย..” มือขาวยกน้ำหอมราคาแพงขึ้นมาโชว์ด้วยความตื่นเต้น รีบอธิบายคุณสมบัติแสนเลิศเลอให้เพื่อนรักฟังด้วยหน้าตาแช่มชื่น “ในช็อปที่ไทยหายากมากนะมึง จะไม่ให้กรี๊ดได้ไงฮุน นี่มันน้ำหอมที่คนสวยๆควรมีไม่รู้เหรอ”

     

    “แล้วกูจะไปรู้ได้ไงล่ะ” ฮุนทำหน้างง แต่วินดี้ไม่ได้สนใจอีกต่อไปว่าเพื่อนจะรู้หรือไม่รู้ว่าน้ำหอมในมือมีค่าแค่ไหน น้ำหอมถูกวางลงข้างกายก่อนที่แม่สาวผมทองจะโผเข้าหอมแก้มคนตัวเล็กที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ไม่ให้กันต์นธีได้ตั้งตัวทันอีกรอบ

     

    “มานี่ซิ มาให้แม่จุ๊บที”

     

    “เห้ย! ไม่เอา อี๋น้ำลาย” เขาตกใจตาโต แกะยัยเพื่อนตัวเล็กที่จับหน้าไปหอมแก้มซ้ายแก้มขวาไปมาจนแทบช้ำ ความจริงเขาควรจะชินแล้วได้แล้วกับการกระทำไม่สนใจสายตาชาวบ้านของวินดี้

     

    Love you!”

     

    “เอาตรงๆนะวินดี้ มึงไม่ต้องรักกูขนาดนี้ก็ได้ ขนลุก” เมื่อยัยหัวทองยอมปล่อยเขาแล้วหันไปกอดถุงน้ำหอมด้วยสีหน้ามีความสุขเหมือนไม่เคยมีความสุขมาก่อนในชีวิต กันต์นธีจึงรีบดึงทิชชู่ที่อยู่บนโต๊ะมาเช็ดคราบน้ำลายจากรอยจูบที่แก้มทันที รอยลิปสติกแบรนด์ดังทิ้งร่องรอยอยู่ที่แก้มจางๆ ใบหน้าของเขาคงเหยเกจนฮุนที่นั่งมองอยู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

     

    “มึงไม่ต้องมาหัวเราะเลย!” โดนเขาเหวใส่คนตรงข้ามก็รีบหุบปากแทบไม่ทัน

     

    “ก็กูตลก” แต่ก็ยังไม่วายตีหน้ากวนใส่เขา มือขาววางทิชชู่แผ่นสุดท้ายลงบนโต๊ะแล้วจ้องหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าจริงจัง

     

    “เออ ว่าแต่เรื่องที่ฝากให้มึงช่วยดูให้สรุปว่ายังไงบ้าง”

     

    “โปรเจ็คอ่ะเหรอ” ฮุนเอ่ยถึงงานที่ฝากให้ช่วยดูแลในช่วงที่ต้องไปฝรั่งเศส เขาสองคนมีอาชีพเป็นสถาปนิก อาชีพที่แทบจะหาเวลาว่างไม่ค่อยได้ แต่กันต์นธีกลับจัดการเวลางานจนมีเวลาบินไปเยี่ยมพ่อแม่ได้อย่างน่าประหลาด

     

    “ไม่ใช่ หมายถึงเรื่องประมูลของ” ส่ายหน้าอย่างเร็ว เขาไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น

     

    “อ๋อ” ฮุนทำหน้าเข้าใจ ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็คงเหลืออยู่เพียงแค่เรื่องเดียว แต่เพราะว่าอาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟเสียก่อน บทสนทนาจึงหยุดไปสักพัก

     

    และเมื่อพนักงานเสิร์ฟอาหารครบทุกอย่างแล้ว บทสนทนาจึงดำเนินต่อ

     

    “อะ เอาไป กว่าจะได้มามึงรู้ไหมว่ากูต้องสู้แค่ไหน จะถอดใจก็ไม่ได้เพราะเพื่อนขอ” มือใหญ่หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าข้างตัว ก่อนจะยื่นกล่องใบเล็กขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ถูกหุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินมาตรงหน้าเขา ดวงตากลมโตมองคนตรงหน้าอย่างขอบคุณ รอยยิ้มน่ารักเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง มือขาวรับกล่องนั้นมาถือไว้อย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น

     

    ขอบคุณมากนะมึง

     

    “หืม อะไรอ่ะ ไปประมูลอะไรมาเล่นอีกแล้ว” วินดี้ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยความสนใจ

     

    “มึงอย่าเรียกว่าประมูลเล่นๆเลย รอบนี้ป๋ากันต์อยากได้หนักมาก ทุ่มไม่อั้น!”

     

    กันต์นธีไม่ได้สนใจเพื่อนรักทั้งสองคนที่กำลังนินทาเขาระยะเผาขน มือเล็กรีบเปิดกล่องออกดูทันที และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนเก็บรอยยิ้มไว้ไม่ไหว ภาพของนาฬิกาพกสีเงินสะท้อนกับแสงไฟในร้านจนเกิดประกายแวววาว ประเมินดูจากสายตาก็พอจะเดาได้ว่าตัวเรือนทำมาจากทองคำขาว แววตากลมโตฉายแวววิบวับยิ่งกว่านาฬิกาเสียอีก

     

    “สวยมาก ขอบใจมึงมากฮุน” คนตัวเล็กเงยหน้ามองเพื่อนแล้วยิ้มร่าเมื่อสิ่งที่อยู่ในมือตอนนี้คือนาฬิกาพกโบราณที่ตัวเองบังคับแกมขอร้องให้ฮุนไปประมูลมาให้ เนื่องจากงานประมูลดันถูกจัดขึ้นตอนที่เขาต้องไปฝรั่งเศสพอดี

     

    “เออ เลี้ยงข้าวกูเลย" พยักหน้าอย่างยินดี ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักเรียนนอกที่มีไลฟ์สไตล์แบบคนเมืองกรุงทั่วไป แต่จริงๆแล้วงานอดิเรกและความสนใจของเขาคือการศึกษาประวัติศาสตร์และสะสมของเก่าโบราณหายากควรค่าแก่การเก็บรักษาอย่างเช่นเจ้าสิ่งนี้

     

    “นึกว่าอะไร เลิกเป็นสถาปนิกไหม ไปเป็นนักสะสมของเก่าให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย” พอวินดี้ได้เห็นว่าของในกล่องคืออะไร ก็เริ่มบ่นเพื่อนตัวเองอีกครั้ง

     

    “เดี๋ยวมันก็ด่าอีกหรอก” ฮุนเอ่ยเตือนคนหัวทองด้วยน้ำเสียงเหย้าแหย่ ทั้งที่ใจก็รู้สึกไม่ต่างไปจากวินดี้สักเท่าไหร่ คนตัวสูงรู้ดีว่าเพื่อนของตัวเองเป็นพวกชอบสะสมของเก่า เขากับวินดี้เคยคิดเล่นๆว่าของมากมายที่มีอยู่ในคอนโดไม่นับรวมที่บ้านของคนตัวเล็กนั้นอาจจะเยอะพอที่จะเอามาตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ได้เลยทีเดียว

     

    “ก็มันชอบสะสมอะไรแปลกๆอะ ของเก่าๆทั้งนั้นเลยด้วย ระวังจะโดนเจ้าของคนเก่าเค้าตามมาหักคอ!” วินดี้ชี้ส้อมมาทางเพื่อนสนิท ทำท่าคอพับคออ่อน

     

    “มึงดูหนังมากเกินไปปะ” กันต์นธีเอ่ยขึ้นอย่างหน่ายใจ

     

    “แกลองคิดดูนะ ของพวกนี้มันอยู่มาก่อนที่แกจะเกิดด้วยซ้ำ แล้วถ้าเกิดว่าเจ้าของคนเก่าเค้าไม่ยินยอมให้คนอื่นเอามาขายต่อแบบนี้แกจะทำยังไง ไม่กลัวเหรอ น่ากลัวจะตายใช่ปะฮุน” แล้ววินดี้ก็หันไปหาแนวร่วม

     

    “ไอ้กันต์มันอาจจะเป็นเจ้าของคนเก่าเองก็ได้ใครจะไปรู้ ถึงได้ตามซื้อตามเก็บขนาดนี้” สิ้นคำพูดของฮุน วินดี้ก็ทำตาโตตกใจแบบคนชอบเล่นใหญ่ แต่เขาไม่ได้สนใจแล้วว่าเพื่อนทั้งสองคนจะเห็นด้วยหรือไม่กับการที่เขายอมสูญเสียเงินไปมากมายเพียงเพื่อของเก่าๆที่ทำได้มากสุดแค่วางไว้ดู

     

    "แกชอบเพราะอะไรวะ ถามตรงๆเลย" วินดี้ยังคงถามต่อไปด้วยความสงสัย

     

    “ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าเวลาได้นั่งมองของพวกนี้มันรู้สึกสงบยังไงก็ไม่รู้ กูอาจจะเป็นเจ้าของคนเก่าจริงๆก็ได้มั้ง” คลี่ยิ้มแล้วปิดกล่องวางลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปเพราะตอนนี้ความสนใจทั้งหมดถูกยกให้กับจานพาสต้ากลิ่นหอมตรงหน้าแล้ว ฮุนกับวินดี้มองหน้ากัน ก่อนจะเลิกสนใจเมื่อเห็นกันต์นธีเริ่มลงมือทานอาหารแล้ว

     

    เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับนาฬิกาเรือนนี้อีกต่อไปในวงสนทนา เพราะลึกลงไปในใจตอนนี้กำลังรู้สึกดีมากกว่าทุกวันอย่างไม่มีเหตุผล

     

    หัวใจของเขากำลังรู้สึกอบอุ่น

     

    ราวกับได้ของรักของหวงกลับคืนมา...

     

     

    ------------------------------------------

     

     

    ประตูบานใหญ่ของคอนโดหรูใจกลางเมืองถูกปิดลง ตามมาด้วยเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี กันต์นธีก้าวเข้ามาในห้องของตัวเอง มือขาวถือกล่องที่ได้รับมาจากเพื่อนสนิทไว้อย่างดี

     

    รองเท้าแบรนด์โปรดถูกถอดไปทาง กระเป๋าใบแพงถูกโยนลงโซฟาอย่างไม่ใยดี ตามด้วยร่างของคนตัวเล็กทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างสบายใจ มือขาววางกล่องที่ถือมาอย่างดีตลอดทางลงที่โต๊ะหน้าโซฟาด้วยความเบามือ เปิดฝากล่องออกแล้วหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาชื่นชมอีกครั้ง นั่งมองมันอยู่สักครู่ราวกับคนตกอยู่ในภวังค์ หลงใหลจนน่าประหลาด ก่อนที่จะวางมันลงแล้วลุกขึ้นหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการทำความสะอาดร่างกายที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันให้สะอาด

     

    เพียงแค่เสียงประตูห้องน้ำปิดลง นาฬิกาพกที่ถูกวางทิ้งไว้กลางห้องก็ร่ำร้องเรียกหาเจ้าของทันที เข็มนาฬิกาที่หยุดเดินไปแล้วนานนับร้อยปี อยู่ดีๆก็ใช้งานขึ้นมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์!

     

    เสียงเข็มนาฬิกาเบาเสียจนคนที่อยู่ในห้องน้ำไม่อาจได้ยิน ไม่ได้ยินสักนิดว่านาฬิกาเรือนนี้กลับมาเดินอีกครั้งแล้ว...

     

    มันกำลังเริ่มเดิน ถอยหลัง แล้ว...

     

    ----------------------------------------------

     

    #ร้อยรักสลับภพ



     


    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×