คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ปฐมบท : ภพฉัน
ปฐมบท
:
ภพฉัน
‘ชาตินี้ชาติใดให้เธอเท่านั้น
สาบานนิรันดร์รักไว้ชั่วกาล
แม้นชีพมลายไม่อาจเปลี่ยนผัน
มอบดวงฤทัยรักมั่นเพียงเธอ’
-----------------------------------
พุทธศักราช
2560 กรุงเทพมหานคร
เสียงเข็มนาฬิกาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบยามรัตติกาล
บนเตียงกว้างปรากฎร่างเล็กของชายหนุ่มหน้าตาน่ารักผู้ซึ่งกำลังตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างน่าเอ็นดู
ในโลกความฝันใบเล็กๆที่มีเพียงเขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมของเหล่าพฤกษชาติน้อยใหญ่ ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว โลกแห่งความฝันอันแสนสงบสุข
ดินแดนที่แตกต่างจากโลกแห่งความจริงที่เป็นอยู่
โลกที่ กันต์นธี มักจะเข้ามาเยือนอยู่เสมอในทุกๆค่ำคืน
เสียงของใครบางคนดังขึ้นมาในความฝัน
ร่างเล็กหยุดชะงักเมื่อพบเข้ากับชายคนหนึ่ง แผ่นหลังกว้างหันหลังให้เขาพร้อมเอ่ยเบาๆด้วยน้ำเสียงละมุนละไม
หากแต่ฟังดูเศร้าจนน่าใจหาย
‘ลม...
เจ้าจงพัดไป’
ใบหน้าฉงนค่อยๆคลี่ยิ้มบางออกมา
ยามที่แผ่นหลังกว้างนั้นหันกลับมา หากโลกใบนี้มีอะไรอีกมากมายที่ยังไม่เคยได้รู้
นี่ก็คงจะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เขาไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดชายที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ถึงทำให้เขารู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้พบกันในความฝัน
ราวกับว่าเราเคยรู้จักกันมาแล้วเมื่อนานแสนนาน...
‘เรารออยู่ตรงนี้...’
และไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมเสียงๆนี้ยังคงเป็นเสียงเดิมที่ร้องเรียกเขาแทบทุกคืน...
ติ๊ดด ~
นาฬิกาปลุกบนโต๊ะข้างเตียงส่งเสียงปลุกตามหน้าที่ของมัน
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ภาพฝันเมื่อครู่ฟุ้งสลายหายไปในอากาศ
ฝันอีกแล้วเหรอเนี่ย..
กันต์นธีหลับตานิ่ง
ก่อนจะค่อยๆลุกนั่งบนเตียงด้วยความอ้อยอิ่ง หาวหวอดจนดวงตากลมโตนั้นหรี่ลงอย่างน่าเอ็นดู
มือขาวเอื้อมหยิบรีโมทข้างโต๊ะมากดปุ่มให้ม่านเปิดออกรับแสงแดดยามเช้า แสงสีทองค่อยๆสาดส่องเข้ามาในห้องกว้าง
ใบหน้าหวานหันมองภาพเช้าวันใหม่จากคอนโดสูงใจจากกรุงที่เห็นเป็นประจำในทุกๆเช้า
ร่างเล็กยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงอย่างคนที่กำลังรวบรวมสติให้เข้าที่เข้าทาง จนเผลอคิดไปถึงความฝันที่เพิ่งเลือนรางไปเมื่อครู่
เขามีความฝัน
ฝันแปลกประหลาดตั้งแต่วัยเด็ก ฝันที่ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเรื่องคุ้นชินไปเสียแล้ว
ฝันที่ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นสิ่งที่เขาขบคิดหาคำตอบอยู่เสมอ
แต่เมื่อไม่มีคำตอบใดๆที่สมเหตุสมผลนักกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาจึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป ไม่คิดไปแตะต้องมัน
เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว
ความฝันก็คือความฝัน...
----------------------------------------------
เสียงสัญญาณต้อนรับลูกค้าดังขึ้นเมื่อมีใครบางคนเดินผ่านประตูกระจกเข้ามา
ร่างเล็กของชายหนุ่มหน้าตาน่ารักปรากฎอยู่ตรงนั้น
ใบหน้าใสซึ่งจัดว่าดูดีทำให้บรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ที่กำลังทำผมอยู่
หรือกำลังนั่งคุยกันอยู่ต่างหันมาให้ความสนใจ
ก่อนที่พวกหล่อนจะพากันหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างตัวตามแบบฉบับไฮโซช่างนินทา
กันต์นธีไม่ได้สนใจว่าใครจะกำลังมองตนอยู่บ้าง
ขาเรียวในรองเท้าหนังราคาแพงค่อยๆ ก้าวตรงไปยังเคาน์เตอร์หินอ่อน
ดวงตากลมโตกวาดสายตามองหาใครบางคน
“อ้าวคุณกันต์”
เสียงแหลมของใครบางคนดังขึ้นมา ดวงตากลมโตจึงปลายตามองไปตามเสียงนั้น อาจเพราะเขาเป็นลูกค้าประจำของร้าน
หรืออาจเป็นเพราะมีนามสกุลของบิดาต่อท้ายชื่อ จึงทำให้ทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาในร้านแห่งนี้
คุณผู้จัดการร้านจอมแบ่งชนชั้นก็มักจะวิ่งแจ้นออกมาต้อนรับเขาด้วยตัวเองเสมอโดยไม่ต้องเสียเวลามองหาพนักงาน
“สวัสดีค่าคุณกันต์
แหม ไม่เจอกันนานเลย หายไปไหนมาคะเนี่ย” คุณผู้จัดการร้านยิ้มแป้นมาแต่ไกล
“ไปปารีสมาน่ะครับ”
มือขาวถอดแว่นกันแดดออกจากใบหน้า คลี่ยิ้มบางๆให้
“ไปหาคุณพ่อคุณแม่อีกล่ะสิคะเนี่ย
ท่านกับคุณหญิงสบายดีนะคะ”
“สบายดีครับ”
“จริงๆถามแบบนั้นก็คงไม่ถูก
งานในสถานทูตมีมากมายทุกวันจะไปสบายได้ยังไง จริงไหมคะคุณกันต์”
ร่างเล็กคลี่ยิ้มบางๆก่อนจะตอบกลับไปน้อยนิดเพื่อไม่ให้เสียมารยาท
“ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั้งครับ”
“อุ๊ย
ดูสิดิฉันก็มัวแต่ชวนคุย วันนี้คุณกันต์อยากทำอะไรดีคะ สระผมเหมือนเดิมหรือว่าอยากทำอะไรดี”
กันต์นธีแอบถอนหายใจน้อยๆเมื่อในที่สุดหญิงสาวก็เข้าเรื่องที่เธอควรพูดเสียที
“วันนี้ยังไม่ทำอะไรทั้งนั้นครับ
ผมนัดเพื่อนไว้เฉยๆ”
“เพื่อน?
อ๋อ คุณวินดี้ใช่ไหมคะ” ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรกลับไป
จู่ๆเสียงแหลมก็ดังมาแต่ไกล กันต์นธีรู้ได้ในทันทีเลยว่าเสียงๆนี้เป็นเสียงของใคร
จะเป็นเสียงใครไปได้ล่ะ
ถ้าไม่ใช่เสียงเพื่อนสนิทของเขาเอง
“กันต์!”
เสียงใสดังก้องจนทั้งเขาและคุณผู้จัดการต้องหันขวับไปมอง
ไม่ทันได้ตั้งตัวดีร่างเล็กของเพื่อนสนิทก็วิ่งเข้ามากระโดดกอดเขาเสียเต็มรักจนเกือบจะทรงตัวไม่อยู่
“เห้ยย”
“เธอขากลับมาแล้ววว”
“วินดี้ปล่อยก่อน
คนมองเต็มแล้วเนี่ย” มือขาวพยายามแกะลูกลิงออกจากตัวเองสุดความสามารถเพราะคนในร้านเริ่มหันมามอง
ในที่สุดสาวน้อยตัวเล็กจึงยอมผละออกมาจากเพื่อนสนิทอย่างเสียมิได้
“ก็ปล่อยเค้ามองไปสิจะสนใจทำไม”
กันต์นธีมองหน้าเพื่อนสนิทตัวเองด้วยแววตาระอาปนหน่ายใจ
ก็รู้อยู่หรอกว่าสนิทกันมาก แต่การจะมากระโดดกอดผู้ชายกลางร้านแบบนี้ก็ใช่เรื่อง วินดี้ เป็นผู้หญิงที่ไม่สนใจการวางภาพลักษณ์ใดๆทั้งสิ้น
อาจเพราะไปอยู่เมืองนอกมานานจึงทำให้ได้รับความคิดแบบตะวันตกมาเยอะเกินไป
เขาคิดว่าอย่างนั้น
แต่ความจริงเราก็โตมาด้วยกันนี่หว่า…
“สนใจบ้างก็ดี
ตัวเองเป็นผู้หญิงนะ”
“เป็นผู้หญิงแล้วมันยังไง
ผู้ชายทำได้ทำไมผู้หญิงจะทำไม่ได้” วินดี้ยักไหล่ไม่สนใจ
“เออเอาเถอะ
ขี้เกียจเถียงกับมึงแล้ววินดี้ ว่าแต่นี่เปลี่ยนสีผมใหม่อีกแล้ว?”
กันต์นธีไล่สายตามองผมยาวสลวยของคนตรงหน้า
ก่อนเขาจะบินไปฝรั่งเศสเป็นอีกสีหนึ่ง ผ่านไปแค่อาทิตย์เดียวกลับกลายเป็นสีใหม่ไปเสียแล้ว
“สวยปะ” คนตัวเล็กตอบพลางหมุนตัวให้ดูหนึ่งรอบ
ใบหน้าสดใสแย้มยิ้มอย่างภูมิใจกับผมสีใหม่ของตัวเอง
“เออ ก็สวยดี”
“มีรสนิยมมากไม่เสียแรงที่เป็นเพื่อนรัก
หึ่ยย ขอกอดทีไอ้ต้าว” แล้วเขาก็รู้ตัวว่าทำผิดอีกครั้งที่ตอบแบบนั้นออกไป
เพราะยัยเพื่อนตัวแสบเล่นดีใจจนต้องกระโดดกอดเขาอีกรอบ
“ไม่เอาา
มึงปล่อยก่อน” กันต์นธีพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดรัดแน่นของเพื่อนสนิทที่ชอบหลอกสกินชิพเขาด้วยความมันเขี้ยวมาตั้งแต่เด็กๆ
และในตอนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับวินดี้นั่นเอง ร่างสูงโปร่งของผู้มาเยือนคนใหม่ก็ก้าวเข้ามา
“วินดี้
มึงเรียบร้อยหน่อยดิ” สองเพื่อนรักที่กำลังกอดกันกลมถูกมือใหญ่ของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทอีกคนจับแยก
วินดี้จึงยอมผละออกจากเขาอีกครั้งเพราะสู้แรงดึงของคนตัวใหญ่ไม่ไหว
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด
มือบางเอื้อมไปตีไหล่หนาของอีกคนทันทีด้วยความเร็วและรุนแรง
ระบายอารมณ์ให้สมกับที่ถูกขัดใจ
“ฮุน!
อีกแล้วนะ” คนตัวใหญ่ที่เป็นคนจับสองเพื่อนสนิทแยกจากกันรีบรวบมือเล็กนั้นไว้แล้วปัดทิ้งไปไกลๆตัวเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง
“โอ้ย เจ็บนะเว้ย!”
“สมควร!”
วินดี้ถลึงตาใส่คนตัวสูงกว่าอย่างเอาเรื่อง
“ก็ต้องขวางดิ
มึงอ่ะชอบแต๊ะอั๋งไอ้กันต์ มันจะช้ำตายอยู่แล้วนั่น"
“ก็คิดถึงเพื่อนไม่ได้หรือไง"
“อย่ามาเว่อร์หน่อยเลย
ไม่เจอกันแค่อาทิตย์เดียวทำมาคิดถึง คิดถึงมันหรือคิดถึงของที่ฝากมันซื้อกันแน่”
แค่พูดจบฮุนก็ถูกมือเล็กฟาดลงที่ต้นแขนอีกรอบ
เพี๊ยะ!
“โอ๊ยเจ็บนะวินดี้!”
“หยาบคายที่สุด
ต้องคิดถึงมันอยู่แล้วสิ นี่เพื่อนนะ”
“เหรอ”
ฮุนบ่นเพื่อนสนิทตัวเล็กพลางลูบแขนที่ถูกฟาดจนขึ้นรอยแดงไปด้วย
“พอๆพวกมึงเลิกทะเลาะกันสักที
กูอยากไปหาอะไรกินแล้ว หิวเข้าใจมไหม” แล้วก็เป็นเขาอีกแล้วนั่นเองที่ต้องห้ามศึกเพื่อนรักทั้งสองก่อนที่มันจะยืดเยื้อไปมากกว่านี้
และนั่นจะทำให้เขาไม่ได้หาอะไรลงท้องสักที
สองคู่กัดเลิกตีกันเหมือนอย่างทุกครั้งที่กันต์นธีคอยห้าม
แต่ยัยตัวแสบก็ยังไม่วายฟาดลงไปที่แขนคนตัวสูงอีกครั้งด้วยความไม่อยากยอมแพ้
ก่อนจะรีบเดินหนีไปจัดการธุระผมของตัวเองให้เสร็จเรียบร้อย
“ไอ้อ้วน!
ตัวนิดเดียวทำไมแรงเยอะจังวะ!” ทิ้งไว้แค่เพียงฮุนที่ยืนบ่นและเขาที่ยืนขำอยู่ข้างๆเท่านั้น
---------------------------------
หลังออกมาจากร้านทำผมอันเป็นจุดนัดพบของวันนี้
สามสหายเพื่อนรักก็ตรงดิ่งมาที่ร้านอาหารหรูซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก
ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากไปไหนไกลในวันที่แดดร้อนเช่นนี้ อีกทั้งท้องก็เริ่มครวญครางให้หาอะไรส่งลงไปเสียแล้ว
อาหารน่ารับประทานมากมายถูกสั่งไปเป็นที่เรียบร้อย
กันต์นธีจึงเริ่มหยิบของฝากที่หอบมาจากฝรั่งเศสออกมาให้เพื่อนรักทั้งสองคนเหมือนอย่างทุกๆครั้งที่ต้องบินไปหาบิดามารดา
เขาเคยชินเสียแล้วกับชีวิตที่ต้องแยกจากครอบครัว
บิดาของเขาคือหนึ่งในเอกอัครราชทูตไทยผู้มีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ต้องไปประจำการอยู่ต่างแดน
และเพราะบิดาคือชายที่มีชีวิตครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านพักนักการทูตมากกว่าบ้านของตัวเอง
ทำให้ครอบครัวของเราจำเป็นต้องโยกย้ายถิ่นฐานอยู่ตลอดเวลา ด้วยเพราะเหตุนี้ผู้เป็นแม่จึงพยายามอบรมเขาให้สามารถดูแลตัวเองได้ตั้งแต่เด็ก
หลังจากบรรลุนิติภาวะมาไม่กี่ปีกันต์นธีจึงถูกปล่อยให้ใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ความจริงจะพูดว่าตัวคนเดียวก็คงไม่ถูกมากนัก
เพราะเมื่อครั้งที่พ่อของเขาถูกย้ายไปประจำการที่ประเทศอังกฤษ ตอนนั้นกันต์นธีกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมต้นและยังคงอยู่ในความดูแลของบิดามารดา
เขามีเพื่อนสนิทสองคน ทั้งคู่เป็นคนเกาหลีใต้ขนานแท้แต่เกิดและเติบโตอยู่ที่ประเทศไทยเพราะบิดามารดาย้ายรกรากมาทำธุรกิจนานนับหลายสิบปีแล้ว
และสองคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
ฮุนและวินดี้นั่นเอง
บิดามารดาของทั้งฮุนและวินดี้มองหาโรงเรียนดีๆที่คู่ควรให้กับลูกทั้งสองคนตามความนิยมของนักธุรกิจผู้มีอันจะกิน
และผลสุดท้ายก็มาตกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ประเทศยอดนิยมตลอดกาลสำหรับการศึกษาเล่าเรียน
เราสามคนรู้จักกันครั้งแรกตอนมัธยมต้น และด้วยวัยที่ใกล้เคียงกัน
ทั้งยังพูดภาษาเดียวกัน อีกทั้งยังบังเอิญเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกัน นับตั้งแต่ตอนนั้นจวบจนทุกวันนี้พวกเขาทั้งสามคนก็ไม่เคยแยกจากกันอีกเลย
นั่นจึงเพียงพอแล้วที่จะพูดว่าฮุนกับวินดี้เป็นเพื่อนที่เขารักและรู้ใจกันมากที่สุดในโลก
“อะนี่
ของพวกมึง”
“Thanks!”
วินดี้รับถุงที่เขายื่นให้ถุงแรกมาเปิดดู
ก่อนจะหวีดร้องออกมาเสียยกใหญ่เมื่อเธอพบว่าของในถุงนั้นคือสิ่งใด
“อ้วน
มึงจะกรี๊ดอะไรนักหนาเนี่ย” ฮุนเงยหน้าจากโทรศัพท์ เหวใส่คนตรงข้ามทันที
“กูตื่นเต้น!
มึงงง รู้ไหมว่าขวดนี้คือตัวท็อปเลยนะเว้ย..”
มือขาวยกน้ำหอมราคาแพงขึ้นมาโชว์ด้วยความตื่นเต้น
รีบอธิบายคุณสมบัติแสนเลิศเลอให้เพื่อนรักฟังด้วยหน้าตาแช่มชื่น
“ในช็อปที่ไทยหายากมากนะมึง จะไม่ให้กรี๊ดได้ไงฮุน
นี่มันน้ำหอมที่คนสวยๆควรมีไม่รู้เหรอ”
“แล้วกูจะไปรู้ได้ไงล่ะ” ฮุนทำหน้างง
แต่วินดี้ไม่ได้สนใจอีกต่อไปว่าเพื่อนจะรู้หรือไม่รู้ว่าน้ำหอมในมือมีค่าแค่ไหน
น้ำหอมถูกวางลงข้างกายก่อนที่แม่สาวผมทองจะโผเข้าหอมแก้มคนตัวเล็กที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ
ไม่ให้กันต์นธีได้ตั้งตัวทันอีกรอบ
“มานี่ซิ
มาให้แม่จุ๊บที”
“เห้ย! ไม่เอา
อี๋น้ำลาย” เขาตกใจตาโต แกะยัยเพื่อนตัวเล็กที่จับหน้าไปหอมแก้มซ้ายแก้มขวาไปมาจนแทบช้ำ
ความจริงเขาควรจะชินแล้วได้แล้วกับการกระทำไม่สนใจสายตาชาวบ้านของวินดี้
“Love
you!”
“เอาตรงๆนะวินดี้
มึงไม่ต้องรักกูขนาดนี้ก็ได้ ขนลุก” เมื่อยัยหัวทองยอมปล่อยเขาแล้วหันไปกอดถุงน้ำหอมด้วยสีหน้ามีความสุขเหมือนไม่เคยมีความสุขมาก่อนในชีวิต
กันต์นธีจึงรีบดึงทิชชู่ที่อยู่บนโต๊ะมาเช็ดคราบน้ำลายจากรอยจูบที่แก้มทันที
รอยลิปสติกแบรนด์ดังทิ้งร่องรอยอยู่ที่แก้มจางๆ ใบหน้าของเขาคงเหยเกจนฮุนที่นั่งมองอยู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“มึงไม่ต้องมาหัวเราะเลย!”
โดนเขาเหวใส่คนตรงข้ามก็รีบหุบปากแทบไม่ทัน
“ก็กูตลก” แต่ก็ยังไม่วายตีหน้ากวนใส่เขา
มือขาววางทิชชู่แผ่นสุดท้ายลงบนโต๊ะแล้วจ้องหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าจริงจัง
“เออ
ว่าแต่เรื่องที่ฝากให้มึงช่วยดูให้สรุปว่ายังไงบ้าง”
“โปรเจ็คอ่ะเหรอ”
ฮุนเอ่ยถึงงานที่ฝากให้ช่วยดูแลในช่วงที่ต้องไปฝรั่งเศส เขาสองคนมีอาชีพเป็นสถาปนิก
อาชีพที่แทบจะหาเวลาว่างไม่ค่อยได้ แต่กันต์นธีกลับจัดการเวลางานจนมีเวลาบินไปเยี่ยมพ่อแม่ได้อย่างน่าประหลาด
“ไม่ใช่
หมายถึงเรื่องประมูลของ” ส่ายหน้าอย่างเร็ว เขาไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น
“อ๋อ”
ฮุนทำหน้าเข้าใจ ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็คงเหลืออยู่เพียงแค่เรื่องเดียว
แต่เพราะว่าอาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟเสียก่อน บทสนทนาจึงหยุดไปสักพัก
และเมื่อพนักงานเสิร์ฟอาหารครบทุกอย่างแล้ว
บทสนทนาจึงดำเนินต่อ
“อะ เอาไป
กว่าจะได้มามึงรู้ไหมว่ากูต้องสู้แค่ไหน จะถอดใจก็ไม่ได้เพราะเพื่อนขอ”
มือใหญ่หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าข้างตัว
ก่อนจะยื่นกล่องใบเล็กขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ถูกหุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินมาตรงหน้าเขา
ดวงตากลมโตมองคนตรงหน้าอย่างขอบคุณ รอยยิ้มน่ารักเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง
มือขาวรับกล่องนั้นมาถือไว้อย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น
“ขอบคุณมากนะมึง”
“หืม อะไรอ่ะ
ไปประมูลอะไรมาเล่นอีกแล้ว” วินดี้ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยความสนใจ
“มึงอย่าเรียกว่าประมูลเล่นๆเลย
รอบนี้ป๋ากันต์อยากได้หนักมาก ทุ่มไม่อั้น!”
กันต์นธีไม่ได้สนใจเพื่อนรักทั้งสองคนที่กำลังนินทาเขาระยะเผาขน
มือเล็กรีบเปิดกล่องออกดูทันที และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนเก็บรอยยิ้มไว้ไม่ไหว
ภาพของนาฬิกาพกสีเงินสะท้อนกับแสงไฟในร้านจนเกิดประกายแวววาว
ประเมินดูจากสายตาก็พอจะเดาได้ว่าตัวเรือนทำมาจากทองคำขาว
แววตากลมโตฉายแวววิบวับยิ่งกว่านาฬิกาเสียอีก
“สวยมาก
ขอบใจมึงมากฮุน”
คนตัวเล็กเงยหน้ามองเพื่อนแล้วยิ้มร่าเมื่อสิ่งที่อยู่ในมือตอนนี้คือนาฬิกาพกโบราณที่ตัวเองบังคับแกมขอร้องให้ฮุนไปประมูลมาให้
เนื่องจากงานประมูลดันถูกจัดขึ้นตอนที่เขาต้องไปฝรั่งเศสพอดี
“เออ
เลี้ยงข้าวกูเลย" พยักหน้าอย่างยินดี
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักเรียนนอกที่มีไลฟ์สไตล์แบบคนเมืองกรุงทั่วไป
แต่จริงๆแล้วงานอดิเรกและความสนใจของเขาคือการศึกษาประวัติศาสตร์และสะสมของเก่าโบราณหายากควรค่าแก่การเก็บรักษาอย่างเช่นเจ้าสิ่งนี้
“นึกว่าอะไร
เลิกเป็นสถาปนิกไหม ไปเป็นนักสะสมของเก่าให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
พอวินดี้ได้เห็นว่าของในกล่องคืออะไร ก็เริ่มบ่นเพื่อนตัวเองอีกครั้ง
“เดี๋ยวมันก็ด่าอีกหรอก”
ฮุนเอ่ยเตือนคนหัวทองด้วยน้ำเสียงเหย้าแหย่
ทั้งที่ใจก็รู้สึกไม่ต่างไปจากวินดี้สักเท่าไหร่ คนตัวสูงรู้ดีว่าเพื่อนของตัวเองเป็นพวกชอบสะสมของเก่า
เขากับวินดี้เคยคิดเล่นๆว่าของมากมายที่มีอยู่ในคอนโดไม่นับรวมที่บ้านของคนตัวเล็กนั้นอาจจะเยอะพอที่จะเอามาตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ได้เลยทีเดียว
“ก็มันชอบสะสมอะไรแปลกๆอะ
ของเก่าๆทั้งนั้นเลยด้วย ระวังจะโดนเจ้าของคนเก่าเค้าตามมาหักคอ!” วินดี้ชี้ส้อมมาทางเพื่อนสนิท ทำท่าคอพับคออ่อน
“มึงดูหนังมากเกินไปปะ”
กันต์นธีเอ่ยขึ้นอย่างหน่ายใจ
“แกลองคิดดูนะ
ของพวกนี้มันอยู่มาก่อนที่แกจะเกิดด้วยซ้ำ แล้วถ้าเกิดว่าเจ้าของคนเก่าเค้าไม่ยินยอมให้คนอื่นเอามาขายต่อแบบนี้แกจะทำยังไง
ไม่กลัวเหรอ น่ากลัวจะตายใช่ปะฮุน” แล้ววินดี้ก็หันไปหาแนวร่วม
“ไอ้กันต์มันอาจจะเป็นเจ้าของคนเก่าเองก็ได้ใครจะไปรู้
ถึงได้ตามซื้อตามเก็บขนาดนี้” สิ้นคำพูดของฮุน วินดี้ก็ทำตาโตตกใจแบบคนชอบเล่นใหญ่
แต่เขาไม่ได้สนใจแล้วว่าเพื่อนทั้งสองคนจะเห็นด้วยหรือไม่กับการที่เขายอมสูญเสียเงินไปมากมายเพียงเพื่อของเก่าๆที่ทำได้มากสุดแค่วางไว้ดู
"แกชอบเพราะอะไรวะ
ถามตรงๆเลย" วินดี้ยังคงถามต่อไปด้วยความสงสัย
“ไม่รู้สิ
แค่รู้สึกว่าเวลาได้นั่งมองของพวกนี้มันรู้สึกสงบยังไงก็ไม่รู้ กูอาจจะเป็นเจ้าของคนเก่าจริงๆก็ได้มั้ง”
คลี่ยิ้มแล้วปิดกล่องวางลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปเพราะตอนนี้ความสนใจทั้งหมดถูกยกให้กับจานพาสต้ากลิ่นหอมตรงหน้าแล้ว
ฮุนกับวินดี้มองหน้ากัน ก่อนจะเลิกสนใจเมื่อเห็นกันต์นธีเริ่มลงมือทานอาหารแล้ว
เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับนาฬิกาเรือนนี้อีกต่อไปในวงสนทนา
เพราะลึกลงไปในใจตอนนี้กำลังรู้สึกดีมากกว่าทุกวันอย่างไม่มีเหตุผล
หัวใจของเขากำลังรู้สึกอบอุ่น
ราวกับได้ของรักของหวงกลับคืนมา...
------------------------------------------
ประตูบานใหญ่ของคอนโดหรูใจกลางเมืองถูกปิดลง
ตามมาด้วยเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี กันต์นธีก้าวเข้ามาในห้องของตัวเอง มือขาวถือกล่องที่ได้รับมาจากเพื่อนสนิทไว้อย่างดี
รองเท้าแบรนด์โปรดถูกถอดไปทาง
กระเป๋าใบแพงถูกโยนลงโซฟาอย่างไม่ใยดี
ตามด้วยร่างของคนตัวเล็กทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างสบายใจ
มือขาววางกล่องที่ถือมาอย่างดีตลอดทางลงที่โต๊ะหน้าโซฟาด้วยความเบามือ
เปิดฝากล่องออกแล้วหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาชื่นชมอีกครั้ง
นั่งมองมันอยู่สักครู่ราวกับคนตกอยู่ในภวังค์ หลงใหลจนน่าประหลาด ก่อนที่จะวางมันลงแล้วลุกขึ้นหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการทำความสะอาดร่างกายที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันให้สะอาด
เพียงแค่เสียงประตูห้องน้ำปิดลง
นาฬิกาพกที่ถูกวางทิ้งไว้กลางห้องก็ร่ำร้องเรียกหาเจ้าของทันที เข็มนาฬิกาที่หยุดเดินไปแล้วนานนับร้อยปี
อยู่ดีๆก็ใช้งานขึ้นมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์!
เสียงเข็มนาฬิกาเบาเสียจนคนที่อยู่ในห้องน้ำไม่อาจได้ยิน
ไม่ได้ยินสักนิดว่านาฬิกาเรือนนี้กลับมาเดินอีกครั้งแล้ว...
มันกำลังเริ่มเดิน ถอยหลัง แล้ว...
----------------------------------------------
#ร้อยรักสลับภพ
ความคิดเห็น