ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปะป๊าอุ้มบุญ mpreg)

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1 ทำร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 66


    สีฝุ่นก้าวเดินไปตามทางที่ใช้ผ่านเป็นประจำด้วยความหวั่นใจ เมื่อมันทั้งมืดและน่ากลัว หลอดไฟที่ติดตามเสาคอยให้แสงสว่างก็ไม่มีประโยชน์เมื่อมันพังลงไปหมดแล้ว นอกจากนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบยังไม่คิดเข้ามาซ่อมแซม ถนนเส้นนี้จึงมีเพียงความมืดมิดเป็นที่มั่วสุมของพวกขี้ยา สีฝุ่นจึงกลัวว่าสักวันตนเองจะโดนทำร้ายเข้า แต่โชคดีที่มันไม่เป็นอย่างนั้น

    สีฝุ่นมาถึงบ้านโดยปลอดภัย เขาถอดรองเท้าผ้าใบที่ขาดรุ่ยออก เปิดประตูเข้าไปในบ้านปูนชั้นเดียวหลังเก่า แต่ต้องชะงักเมื่อมีคนพุ่งเข้ามากระชากกระเป๋าที่สะพายออกไปจากตัว เขาแย่งคืนไม่ยอมปล่อยมือจากของสำคัญ แม้จะตกใจกลัวมากแค่ไหนก็ตาม

    “เอาเงินมาให้กู!”

    สีฝุ่นจ้องมองคนที่กำลังตวาดตนเองเสียงดัง เขาไม่เข้าใจว่าพ่อมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ในเมื่อก่อนหน้านั้นตำรวจจับไปแล้ว

    “ไม่ กระเป๋าผม ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นผมจะโทรแจ้งตำรวจ” สีฝุ่นไม่ได้ขู่ แต่เขาจะทำจริง ๆ หากแต่ชายตรงหน้ามีหรือจะยอม พุ่งเข้ามาล็อกคอหวังทำร้าย

    ความกลัวก่อเกิดขึ้นในใจ เขาดิ้นขัดขืนขณะเดียวกันก็หายใจลำบาก เมื่อแรงที่ชายอีกคนใช้รัดคอไม่น้อยเลย เขากำลังบ้า มากไปกว่านั้นคือกำลังจะคลั่งเมื่อไม่ได้ดื่มเหล้า

    “เงิน เงิน ส่งเงินมาให้กู!”

    “ผะ ผมไม่มีเงิน ผมไม่มีหรอกนะ ผมเอาไปรักษาแม่หมดแล้ว” สีฝุ่นตื่นกลัวเข้าไปทุกทีเมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นพ่อ อีกฝ่ายจะฆ่าเขาให้ได้ ซึ่งมันเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นหลายครั้งแล้ว

    เขาขัดขืน ถีบแข้งถีบขา ในที่สุดก็เป็นอิสระ เขาถอยออกห่าง เตรียมโทรแจ้งตำรวจ แต่มันก็ช้าไปเมื่อหมัดหนัก ๆ พุ่งชนแก้มเนียน กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้ง สมองมึนเบลอไปชั่วขณะ

    สีฝุ่นโดนผลัก เขาล้มลง สายตาจับจ้องกระเป๋าที่ถูกแย่งไป จังหวะเดียวกันเสียงผู้เป็นแม่ก็ดังขึ้น ร่างของหญิงวัยกลางคนยืนเกาะประตูห้องนอนมองมาทางนี้ด้วยสายตาเคืองโกรธ ในมือกำโทรศัพท์ปุ่มกดแน่น

    “กูโทรแจ้งตำรวจแล้ว มึงไสหัวออกไปจากบ้านกูเดี๋ยวนี้!”

    “กูไปแน่ เงินก็ไม่มีสักบาท พวกมึงแม่งเฮงซวย”!” ค้นกระเป๋าทุกซอกทุกมุมก็ยังไม่เจอของที่ต้องการ ทำให้ปากระเป๋าใส่หน้าลูกชายด้วยความโกรธ เท่านั้นยังไม่พอกระหน่ำเตะระบายอารมณ์

    สีฝุ่นใช้แขนป้องกันตนเอง แต่มันไม่ช่วยอะไรเมื่อเขาโดนทำร้ายเจ็บระบมไปทั้งตัว พอเหลือบมองไปทางประตูจึงเห็นว่ามารดาเดินตรงมาทางนี้

    “อึก แม่อย่าเข้ามา” สีฝุ่นเอ่ยห้าม ถ้ามารดาเข้ามายุ่งไม่แคล้วต้องโดนทำร้าย เขาไม่ต้องการแบบนั้น แต่คนเป็นแม่ฟังเสียที่ไหน เธอไม่สามารถทนยืนมองลูกถูกทำร้ายได้

    “มึงหยุดนะ หยุดทำลูกกู!” เธอสั่ง น้ำเสียงสั่นเคลือเมื่อทั้งเสียใจและสงสารลูก เธอเข้าไปทุบตี หวังทำให้อดีตสามีเจ็บตัว

    “”เงินอยู่ไหน!” คนคลั่งเปลี่ยนเป้าหมาย กระชากผมภรรยาถามหาเงิน สีฝุ่นที่ไม่อยากเห็นแม่เจ็บล้วงหยิบคัตเตอร์ในกระเป๋ากางเกงเข้ามาแทงคนที่ได้ชื่อว่าพ่อ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้จะเป็นพวกเขาเองที่แย่

    “อ๊าก!” เขาร้องเสียงหลงผลักอดีตภรรยาออก หวังจะเอาคืนลูกชาย แต่เพราะเห็นท่าทางจริงจังจึงยอมยืนนิ่งแม้ไม่อยากทำก็ตาม

    “แน่จริงก็เข้ามาสิ ถ้าอยากโดนแทงไส้แตกก็เข้ามา!” สีฝุ่นหันปลายมีดมาทางชายแก่ จ้องมองด้วยแววตามุ่งร้าย

    “โธ่เว้ย” ผู้บุกรุกเดินออกจากบ้านด้วยอาการหัวเสีย เมื่อเขาไม่

    อยากเสี่ยง

    สีฝุ่นรีบตรงไปล็อกบ้านก่อนกลับมาหาผู้เป็นแม่

    “ฮึก เจ็บมากไหมลูก?” เธอลูบมือไปตามกรอบหน้าได้รูป เห็นรอยช้ำและรอยเลือดก็ทำให้เธอเจ็บปวดเหลือเกิน

    “ผมชินแล้วครับ ว่าแต่แม่เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

    “ไม่ลูก แม่ไม่เจ็บสักนิด” เธอส่ายหน้า ร่างกายเธอไม่เคยเจ็บ แต่หัวใจของเธอนี่สิ เจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นลูกถูกทำร้ายร่างกายและเธอช่วยอะไรไม่ได้

    “ครับ เราไปนอนกันดีกว่า เงินเดือนผมออกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เราย้ายไปอยู่ที่อื่นกัน” สีฝุ่นบอกผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม รั้งอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ปลอดภัย สักวันคนคนนั้นต้องกกลับมาที่นี่อีก

    “จ้ะ” เดือนรับคำลูกชาย สีฝุ่นจึงได้เข้ามาประคองผู้เป็นแม่ พาเดินเข้าไปนอนในห้อง

    แม้นอนอยู่บนฟูกนอนสีฝุ่นก็ยังไม่หลับ เขานึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้า

    พ่อกับแม่เขานั้นหย่าร้างกันมานานหลายปีแล้ว แต่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่เคยปล่อยแม่เขาไป ตามวนเวียนก่อกวน อยู่เสมอ แม้จะย้ายหนีก็ตามเจอ ไม่รู้ว่าตนเองไปผูกกรรมอะไรไว้ ถึงหนีไม่พ้นเสียที

    ตลอดมาสีฝุ่นกับแม่ถูกทำร้ายร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาในวัยเด็กต้องทนมองภาพที่พ่อทุบตีแม่ จนเกิดเป็นปมในใจ เมื่อโตพอทำงานหาเงินจึงพาแม่หนีออกมาทันที ปากกัดตีนถีบสู้สุดใจ แต่ท้ายสุดก็หนีไม่เคยพ้น

    เขาทำทุกวิธีทาง ทั้งแจ้งตำรวจ ทั้งขอความช่วยเหลือ แต่ท้ายสุดก็ต้องถูกปล่อยตัวออกมา ไม่สามารถขังคุกได้ตลอดชีวิต เมื่อความผิดที่เขาทำไม่ได้ถึงตาย เพียงทำร้ายร่างกายผู้อื่น ทำร้ายจนแม่เขาเดินไม่ได้ไปเป็นปี แม้ตอนนี้จะดีขึ้นแล้ว แต่มันก็ไม่ได้กลับมาเหมือนเดิม

    สีฝุ่นนอนไม่หลับไปตลอดทั้งคืน เขาเฝ้าคิดว่าจะพาผู้เป็นแม่ไปอยู่ที่ไหนดี

    ตอนนี้สีฝุ่นมีเงินเก็บอยู่ประมาณสองหมื่นต้น ๆ แม้ไม่มากแต่แค่นี้ก็ช่วยทำให้เขาพอลืมตาอ้าปากได้ สีฝุ่นขอบคุณตนเองที่ขยัน ขอบคุณที่เขาสู้ได้มากขนาดนี้

    สีฝุ่นพาแม่ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า สองมือหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ หลังก็สะพายกระเป๋าที่มีสัมภาระของตนเอง คอยประคองผู้เป็นแม่เดินไปตามทางเพื่อออกไปนั่งรถหน้าปากซอย

    สีฝุ่นตัดสินใจแล้วว่าจะไปเช่าหอพักใกล้มหาวิทยาลัย ตอนนี้เขาเรียนอยู่ชั้นปีหนึ่ง ถ้าแม่อยู่ที่นั้นเขาก็จะไม่ต้องเดินทางไปกลับไกล แวะมาหาแม่ได้ตลอด

    สีฝุ่นที่จัดการธุระตรงนี้จนทุกอย่างเรียบร้อยดีโผล่หน้ามาที่มหาวิทยาลัย เขาไม่ได้เข้าเรียนวิชาก่อนหน้า ไม่รู้ว่ามีการเช็คชื่อไปหรือเปล่า

    ตอนนี้เขาเรียนอยู่คณะบัญชีปีหนึ่ง เมื่อมาถึงจึงรีบตรงไปที่ห้องเรียน เดินผ่านโรงอาหารไม่ได้สนใจจะเข้าไป เมื่อตอนเช้าเขากินข้าวไปแล้ว ทั้งยังอิ่มอยู่จึงอยากประหยัดเงินตรงส่วนนี้ไว้

    แต่เดินมาได้ไม่ทันไรก็ต้องรีบค้นกระเป๋าหาแมสมาสวมใส่ เมื่อรอยแผลที่ถูกกระทำจากเมื่อวานยังเด่นชัด กลายเป็นจุดดึงดูดให้ทุกคนหันมาสนใจ

    รอยช้ำบนใบหน้าว่าปวดบวมแล้ว แต่รอยช้ำตามร่างกายนี่สิปวดยิ่งกว่า ขยับกายมากก็ไม่ได้ เจ็บระบมไปหมด แต่เขาเจ็บบ่อยจนชินกับมันแล้วล่ะ

    เมื่อสวมแมสเรียบร้อยสีฝุ่นจึงได้เดินต่อไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีใครบางคนจ้องมองด้วยความสงสัยและเป็นห่วง

    เลิกคราสอีกทีพระอาทิตย์ก็จะตกดินแล้ว สีฝุ่นแวะซื้อข้าวเย็น เอากับข้าวเข้าไปให้แม่ที่ห้องก่อนออกไปทำงานต่อ เมื่อยังมีสิ่งให้ต้องรับผิดชอบ

    สถานที่ทำงานของเขาคือร้านนั่งชิลทำตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟจึงได้กลับมืดค่ำอยู่บ่อย ๆ เพราะกว่าร้านจะปิดก็ข้ามไปวันใหม่แล้ว แต่ถึงจะเลิกช้าอย่างไรก็ไม่ใช่ปัญหาเมื่อเงินดี เจ้าของร้านเอ็นดู

    สีฝุ่นเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าของทางร้าน เขาเดินเข้าไปในครัว เวลานี้ยังไม่วุ่นวายนักเพราะลูกค้าจะเยอะช่วงดึก ๆ

    “ทำไมวันนี้สวมแมสล่ะ” แนนที่เพิ่งเดินเอาถาดมาเก็บถามรุ่นน้องคนสนิท เธอพอรู้เรื่องราวของสีฝุ่นมาบ้างจึงนึกห่วง

    “มีแผลนิดหน่อยครับ”สีฝุ่นตอบกลับทั้งรอยยิ้ม แม้จะมองไม่เห็นเพราะสวมแมสปิดไว้ก็ตาม

    แนนได้ยินจูงมือรุ่นน้องออกมาคุยในที่ลับตาคน เธอเอ่ยขอให้สีฝุ่นถอดแมสให้ดู คนฟังยอมทำตาม เขาดึงแมสสีดำออก เผยให้เห็นรอยช้ำตรงแก้มซ้าย

    ”สีฝุ่น แกได้ทายาหรือยัง!” แนนขมวดคิ้วถาม

    ”เมื่อเช้าทาแล้วครับ“เขาเกาท้ายทอยไม่มั่นใจเมื่อรุ่นพี่มองมาเชิงตำหนิ

    ”ได้พกยามาด้วยไหม“ แนนใช้หลังมืออังหน้าผากวัดอุณหภูมิ รู้สึกห่วงใย เมื่อรอยช้ำที่เห็นมีมากจนเธอกังวล ”นี่แกช้ำในไหมวะ“

    ”ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ ผมแข็งแรงจะตายโดนแค่นี้ไม่เจ็บหรอก”

    “อย่ามาปากเก่ง” เธอว่าพลางหยิกแขนรุ่นน้อง สีฝุ่นที่ช้ำอยู่แล้วแสดงสีหน้าเจ็บปวดจึงโดนดุไปเสียยกใหญ่

    “เอาให้เจ็บไปเลย ปากเก่งดีนัก ว่าแต่แกได้แจ้งตำรวจหรือยัง”

    “ยังครับ แต่พาแม่ย้ายที่อยู่แล้ว”

    “ดีแล้วอย่าให้ตามเจอเถอะ ฉันไม่อยากเห็นแกเจ็บ“

    ทั้งสองคุยกันอยู่สักพักจึงได้กลับไปทำงานต่อ เพราะแอบอู้มาหลายนาทีแล้ว

    สีฝุ่นคอยยกอาหารในครัวไปเสิร์ฟให้ลูกค้าหน้าร้าน เดินกลับไปกลับมาแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง

    “ฝุ่น ๆ ยกอาหารถาดนี้ไปเสิร์ฟโต๊ะเจ็ดหน่อย”

    “ครับ” สีฝุ่นรับคำ รับถาดอาหารเดินเข้าไปในร้าน เมื่อมาถึงโต๊ะดังกล่าวจึงวางจานอาหารลงทีละจาน

    “ขออนุญาตนะครับ”

    ระหว่างที่สีฝุ่นกำลังจัดโต๊ะ กลับมีสายตาหนึ่งคู่คอยจ้องมอง แม้สีหน้าจะเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ แต่แววตาของเขาส่องประกายสื่ออกมาได้ว่ากำลังสนใจ

    “รับอะไรเพิ่มไหมครับ” สีฝุ่นถามลูกค้า ก่อนชะงักไปเมื่อเห็นว่ามีคนที่ตนคุ้นหน้านั่งอยู่ด้วย เราสองคนสบตากัน เขายิ้ม ก้มศีรษะลงเล็กน้อย

    “พวกมึง เอาอะไรเพิ่มไหม” เจ้าทัพกวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะ เอ่ยถามกลุ่มเพื่อนสนิทที่นั่งจิบเหล้ากันอยู่

    “พอแล้ว”

    “เออ ไม่รับเพิ่มแล้วครับ” ประโยคแรกรับคำเพื่อน ประโยคที่สองบอกเด็กเสิร์ฟ

    สีฝุ่นพยักหน้ารับเดินจากไป โดยมีสายตาของอชิระมองตามจนร่างนั้นหายลับไปจากสายตาจึงได้หันกลับมาสนใจเพื่อนของตนเองต่อ

    “เมื่อคืนปั่นรายงานอาจารย์ชลมนจนหัวหมุน กูลืมว่าต้องส่งวันนี้ ดีนะเสร็จทัน ไม่อย่างนั้นกูตาย” เจ้าทัพบ่นไม่จริงจังนัก

    “คนแบบมึงไม่ลืมน่ะสิแปลก” คีรินต่อว่า

    “กูก็ไม่ได้ลืมบ่อยไหม แปลกอะไร ทีพวกมึงเถอะพอรู้ว่าไอ้อชิทำรายงานเสร็จก็รีบเอาของมันมาลอก ไอ้พวกกาฝาก”

    น้อมรับครับ” คนฟังยิ้มรับด้วยความภาคภูมิใจ

    “พูดอย่างกับมึงไม่ลอกมัน มึงอะตัวดี ใช่ไหมอชิ”

    “ใช่” เขาพยักหน้าเห็นด้วย จอมทัพจึงได้โวยวายออกมาไม่จริงจังนัก

    ในกลุ่มของอชิมีเพื่อนอยู่สามคนคือเจ้าทัพ ณนนท์ คีริน แล้วก็ตัวเขา ไม่บ่อยนักที่จะมาร้านนั่งชิว เพราะจะไปที่ผับกันเสียมากกว่า แต่เพราะมีใครคนหนึ่งที่เขาให้ความสนใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายทำงานอยู่ที่นี่จึงมา

    ซึ่งเขาก็ได้พบจริง ๆ

    ระหว่างที่สีฝุ่นคอยเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหาร อชิระก็ลอบมองอยู่บ่อยครั้ง ก่อนเขาจะตัดสินใจเรียกอีกฝ่ายมาที่โต๊ะ

    “ขอน้ำส้มเพิ่มหนึ่งแก้ว”

    “ได้ครับ” สีฝุ่นรับคำ เดินหายเข้าไปในครัว จากนั้นจึงออกมาพร้อมเครื่องดื่มที่ลูกค้าต้องการ หากแต่ก็ต้องพบกับความตกใจเมื่อแบงค์สีเทาถูกวางลงในถาด

    สีฝุ่นตาโต ถามคำถามที่ตนเองสงสัย เมื่อเขาไม่แน่ใจว่าเงินตรงส่วนนี้เป็นค่าอาหารหรือว่าทิปของเขา

    “จะเช็คบิลแล้วเหรอครับ?”

    “ไม่ เก็บไว้สิ”

    “ขอบคุณครับ” สีฝุ่นยิ้มกว้างเมื่อได้ยิน เขายกมือไหว้อีกฝ่ายเป็นการขอบคุณ

    “เมื่อกี้ให้แบงค์เทาไปเลย สายเปย์จัด” เมื่อสีฝุ่นเดินจากไปณนนท์จึงพูดขึ้น พวกเขาก็รู้อยู่หรอกว่าบ้านมันรวย แต่นี่ออกจะมากไปไหม?

    “มึงถูกใจเด็กเสิร์ฟใช่ไหม?”

    “ใช่ ปกติไม่น่าให้ทิปเยอะแบบนี้นะ”

    คำถามจากเหล่าเพื่อนถูกสาดมา พร้อมกันแทบแยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร

    “ก็แค่อยากให้ ไม่ได้ถูกใจ เลิกจับผิดได้แล้ว” อชิระตัดบท

    “ อย่ามาโกหกพวกกู เป็นเพื่อนมึงมากี่ปีทำไมจะดูไม่ออก”

    “…”

    ฝากเอ็นดูด้วยนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×