ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนในเยอรมัน live in Germany

    ลำดับตอนที่ #4 : ในค่ายนักเรียนแลกเปลี่ยน

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ย. 54


           ทุกๆวันก็จะมีการเรียน โดยจะเรียนตอนเช้าตอน 9.00-12.00 แล้วก็พักกินข้าว แล้วก็เรียนอีกที ตอน 14.00 ถึงกี่โมงแล้วแต่อารมณ์ที่สอน เราพักใน Jugenhaus เป็นที่พักสำหรับเยาวชนที่ราคาถูก ความรู้สึกแรกที่ได้เข้าไปในห้องนอนคือ ห้องน้ำอยู่ไหนว้ะ??? เพราะเห็นแต่อ่างล้างหน้า 2 อ่าง กับเตียง 2 ชั้น 2 เตียง แล้วคำตอบที่ได้รับคือ...... เป็นห้องอาบน้ำรวม โดยมีห้องอาบน้ำรวมแค่ 2 ห้อง (ตื่นกี่โมงไปอาบดี?)
          วันต่อๆมา เมื่อมีเวลาว่างก็เดินสำรวจรอบๆที่พัก ตอนแรกก็คิดว่าบ้านนอกมากค่ะ เพราะไม่มีอะไรเลย แต่ว่า ยังดีที่มี supermarket อยู่ใกล้ๆ (ตอนเข้าบ้านโฮสแล้ว supermarketก็ไม่มี อยากกลับไปที่ค่ายจัง เดี๋ยวเล่านะคะ) ข้างๆ supermarket ก็เป็น mac donal สำหรับคุณผู้หญิงที่จะเอาพวกไดรฟ์เป่าผม ที่หนีบผม ดัดผมมา แนะนำนะคะ ซื้อที่นี่ถูกกว่า และคุณภาพคาดว่าจะดีกว่า
           ในที่พักมีห้องคอมพิวเตอร์ด้วย ดูไฮโซดีนะ แต่ว่ามีคอมอยู่แค่ 1 ตัว กับคนในค่ายประมาณ 40 กว่าคน เคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า ลุกเสียม้าไหมคะ? คาดว่าคนต่า งประเทศอาจยังไม่รู้สุภาษิตนี้ เรามีเพื่อนคนไทยอยู่คนนึงในค่าย พอเธอได้เล่นคอมเมื่อไร เธอจะไม่ลุกเลย (????) คนอื่นจะมานั่งรอ นั่งคุย กดดันเธอ แต่เธอก็ไม่ลุกค่ะ ดังนั้น คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก
             อาหารที่อยู่ในที่พักตอนแรกก็คิดว่ามันอร่อย ดูดี ประณีต แต่หลังจากได้ไปเดินใน supermarket แล้วพบว่า มันเป็นอาหารถุงราคาถูกที่ซื้อมาใส่ไมโครเวฟ เมื่อรู้แล้ว เราก็ยังกินคะ (จะพูดเพื่อ?)
            ระหว่างที่อยู่ที่ค่าย อาจารย์เขาก็แจ้งพวกเราว่า ทุกๆคนต้องเดินทางไปบ้านโฮสเอง โดยต้องนั่งรถไฟไป ในใบแจ้งที่อยู่โฮสบอกว่าเราอยู่ใกล้ Achen และมีหลายคนที่ได้อยู่ใน achen เช่นเดียวกัน ก็เลยคิดในใจว่า ไม่เป็นไร มีเพื่อนไป ไม่หลงหรอก :)ยังคงมีความสุขลั้ลลา
            ในที่สุดข่าวร้ายก็มาเยียน อาจารย์แจ้งว่า เรา....ต้องเดินทางไปคนเดียว เพราะ บ้านเราอยู่ใกล้ koeln (โคโลนจ์)มากกว่า ซึ่งรถไฟจะออกตอน 11 โมง และจะถึงที่สถานีปลายทางเวลา 14.00 ซึ่งเราเป็นคนสุดท้ายที่จะได้เดินทาง ไปคนเดียวแล้วไปคนสุดท้ายอีก เฮ้อ ตอนนั้นเริ่มวิตก สถานะในเฟสบุ๊คบ่งบอกถึงต้องการกำลังใจ กลัวของที่จะเอาไปไม่ครบ ของหนักใครจะช่วยเรายก? กระเป๋าลาก 2 ใบ ใบใหญ่ 30 กิโล ใบเล็ก 10 กิโล โน๊ตบุ๊คอีก 1 เครื่อง แล้วกระเป๋าเป้ 1 ใบ (หนักมาก)
            อาจารย์ที่คุมเขาก็ให้นัดเจอตอนเช้า เวลา 6 โมงเพราะมีเพื่อนบางคนได้รถไฟตอน 8 โมง แต่ไปกันเป็นกลุ่ม (ทำไมเราโชคร้ายวะ?) อาจารย์เขาก็สอนวิธีดู สอนการดูที่นั่ง แล้วเน้นสำคัญว่า พอลงจากรถไฟห้ามเดินไปไหน ให้รออยู่ตรงนั้น เช้าวันรุ่งขึ้น ฝนตกแต่เช้าเลยค่ะ ทำให้อากาศหนาวมากๆๆๆ สงสัยดีใจที่พวกเราไปมั้ง พอไปถึงที่สถานนีรถไฟ แค่พวกเรายืนก็เกือบเต็มสถานีแล้ว แล้วอาจารย์เขาก็บอกให้เรานั่งรอ เพราะจะเดินไปส่งคนอื่นก่อน เราก็นั่งรอคนเดียวประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วอาจารย์ก็เดินมาค่ะ......... พร้อมแบกกระเป๋าเป้มานึงใบ............ แล้วบอกกับเราด้วยหน้าเศร้าๆว่า ฉันรู้ว่าคุณมีความสามารถ เพื่อนของคุณลืมกระเป๋าเอาไว้ บ้านเขาอยู่ใกล้คุณ ดังนั้น ให้คุณถือกระเป๋าไป แล้วโทรบอกให้เขามาเอาบ้านคุณถ้ากระเป๋าเป้ใบนั้น มันจะเบาๆ เราก็จะมาบ่นเลย แต่กระเป๋าเป้ใบนั้น มันหนักกว่ากระเป๋าเราอีก และด้วยนิสัยคนไทย บวกกับความที่เราเป็นคนดี เราจึงบอกด้วยรอยยิ้มนางสาวไทยว่า ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำได้” ดังนั้น กระเป๋า 4 ใบ น้ำหนักร่วม 50 กิโลกรัมค่ะ
              ถึงเวลาออกเดินทาง เราได้ที่นั่งริมหน้าต่าง รถไฟนี้คือรถไฟ ice เป็นรถไฟความเร็วสูงเอาไว้เดินทางไปแบบข้ามจังหวัดคะ เวลาปกติ ถ้าออกเดินทางไปไหน ไม่มีอะไรเราก็จะหลับ แต่ตอนอยู่ในรถไฟมันหลับไม่ได้ กลัวเลยสถานี ก็เลยนั่งตาแข็งไปเรื่อยๆ ประมาณเที่ยง เริ่มปวดฉี่ ทำไงดี??? ทนไม่ไหวแล้ววว เลยเดินไปเข้าห้องน้ำที่รถไฟ สำหรับใครที่อยากลองประสบการณ์แปลกใหม่แล้วละก็ การเข้าห้องน้ำระหว่างที่รถไฟวิ่งก็ดีนะคะ แบบฉี่ไป เหมือนนวดก้นไปในตัว พอเสร็จธุระก็โล่ง ไปนั่งตาแข็งนับสถานีต่อ และแล้วก็ถึงที่ สถานีโคโลน
               โดยเมื่อลงจากรถไฟปุ๊บ โฮสพ่อก็มาช่วยยกของทันที (ขอบคุณนะคะ) แต่ว่า ธรรมเนียมที่ประเทศไทยไม่มีเหมือนเยอรมันคือการกอด พอลงจากรถไฟมาปุ๊บ มีคนมากอด เป็นคุณ คุณจะรู้สึกยังไงคะ? ยอมรับว่าตอนนั้นตกใจมากๆ แต่ก็ดีใจที่ไม่ถูกทิ้งให้รอในสถานี
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×