คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter:2หลบหนี
หลังจากผมกับศิณาเริ่มหลบหนีจากพวกที่จ้องจะเอาตัวเธอก็ผ่านไปได้ประมาณ3วันแล้ว
เท่ากับว่า3วันที่ผ่านมา พวกผมนั้นได้ใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆมาตลอด ตอนแรกเงินเก็บของผมนั้นก็มีมากพอตัว
แต่พอเวลาเริ่มผ่านไปเรื่อยๆ เงินผมก็เริ่มหมดลง จนในที่สุด....
พวกผมจึงตัดสินใจที่จะขึ้นไปบนแผ่นดินใหญ่เพื่อหาทางหลบหนีกันต่อไป
...ถึงแม้ที่นี่จะเป็นเกาะเล็กๆท่ามกลางทะเลสีครามก็จริง แต่ก็ยังมีเรือที่ข้ามฟากไปยังแผ่นดินใหญ่ทุกๆ2ชั่วโมงอยู่
เพราะดังนั้น จึงหายห่วงได้เลย...
“...เอาล่ะ ศิณาเตรียมตัวล่ะ เราจะไปที่แผ่นดินใหญ่แล้วนา”
“อะ...อะไรของนายเนี่ย จู่ๆก็รีบร้อน แล้วอีกอย่างไอ้แผ่นดินใหญ่มันคืออะไรกันแน่ฮะ.........”
“..............”
เครื่องหมายจุดๆขึ้นอยู่ระหว่างผมกับศิณาเต็มไปหมด
“...นี่อย่าว่านะ ว่าเธอไม่เคยออกจากเกาะนี้ไปไหนเลยน่ะ”
“กะ...ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ตั้งแต่ที่ฉันลงมาบนดาวดวงนี้ ก็ยังไม่ได้ไปไหนก็ถูกพวกนั้นมันไล่ตามมาตลอดเลยน่ะ
ไม่ใช่ฉันไม่กล้าที่จะออกไปนะ ไม่ใช่จริงๆนะ....”
น่าน... หลุดปากสารภาพออกมาเองเฉยเลยแฮะ แต่ก็เอาเถอะ จะยอมให้ซักครั้งก็แล้วกัน
“....คร๊าบๆ ผมเชื่อคร๊าบ งั้นผมขอตัวไปซื้อตั๋วให้ท่านก่อนนะคร๊าบ”
ทันทีที่ผมพูดจบ ผมก็รีบวิ่งออกไปที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วทันที
“ดะ....เดี๋ยวสิ รอฉันด้วย”
“คร๊าบๆ.....”
ผมตอบรับเธอไปด้วยน้ำเสียงที่หน่ายใจ แต่เอ๊ะ... วันนี้ผมพูดคำว่าคร๊าบๆไปกี่ครั้งแล้วกันนะ ใครว่างก็ลองนับดูหน่อยละกันนะ...
“...ค่าตั๋วเด็กม.ปลาย2คน 200บาทค่ะ....”
“............”
“..จริงๆแล้วพวกผมเพิ่งขึ้นป.1กันหมาดๆเองนะครับ”
“เพี้ยนแล้วรึไงฮะ ขนาดคนบ้ายังจะหลอกไม่ได้เลยนะ”
ทั้งศิณากับพี่สาวขายตั๋วบ่นออกมาพร้อมกันอย่างเป็นเสียงเดียว
“ซะ ซวยสุดๆเลย สถานการณ์สิ้นหวังMAX เงินเหลืออยู่ไม่ถึง2000แล้วซะด้วย”
“...ก็สมแล้วล่ะนะ ก็3วันที่ผ่านมานายเอาแต่ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยมาตลอดเลยนี่นา”
ศิณาพูดออกมาราวกับแม่ที่กำลังดุลูกยังไงยังงั้น สงสัยเธอจะเป็นพวกที่มีความเป็นแม่ในตัวสูงล่ะมั้ง...
“...งั้นเอาไงดีอ่ะ เงินแทบจะไม่มีแล้วด้วย ขืนอยู่ที่นี่ต่อไป เดี๋ยวไอ้พวกทหารก็อดแดมนั่นก็ตามมาเจออีก...”
ผมพูดออกไปพร้อมกับลงไปนั่งยองๆ พลางเอามือกุมขมับอย่างสิ้นหวัง
“...เฮ้อ จริงๆเลยน้า เอาเถอะ นี่นายลืมไปแล้วหรอฮะ ว่าฉันใช้พลังอะไรได้น่ะ”
“เอ๊ะ...”
พลัง พลัง พลังอะไรกันหว่า...?
“อ๊ะ วาร์ปไง...”
“ใช่แล้ว...”
ศิณาพูดตอบรับพลางยืนกอดอกด้วยท่าทางที่ถือดีเต็มที่
“งั้นเธอจะวาร์ปที่เดียวไปถึงแผ่นดินใหญ่เลยใช่มะ...”
“...จะบ้าหรอ”
“เอ๊ะ...”
“พลังของฉันสามารถเคลื่อนย้ายสสารได้ไกลสุดก็แค่ เอ... ถ้าใช้หน่วยวัดระยะทางของมนุษย์โลกก็น่าจะซักประมาณ5กิโลเมตรได้ล่ะมั้ง”
“...................”
เอ... เกาะนี้อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลของจ.พังงาประมาณ10กิโลเมตรได้มั้ง
“ไอ้พลังซังกะบ๊วยนี่ เวลายามคับขันทำไมมันเสรือกมาใช้ไม่ได้ล่ะว้อย!!!!”
ผมตะโกนออกไปอย่างเหลืออดเต็มที
“ไหงนายมาว่าพลังคนอื่นตามใจชอบยังเงี้ยล่ะฮะ... ถึงตอนนี้มันจะยังไปถึงที่ชายฝั่งได้ แต่อย่างน้อยก็ขึ้นไปบนเรือได้ล่ะนะ...”
“เอ๊ะ...”
จริงสิ ถ้าพวกผมจะขึ้นไปบนเรือมันก็แค่ไม่กี่ร้อยเมตรเองนี่นา ...เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมผมถึงคิดไม่ได้กันนะ อยากเอาหัวไปทุ่มใส่กำแพงจริงๆ
“โอ้ว สุดยอด ท่านพลังกับเจ้าของพลังครับ ผมขอเทิดทูนบูชาอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้เลยล่ะครับ...”
“เอาสิ เทิดทูนฉันเข้าไปอีก บูชาฉันเข้าไปอีกเยอะๆเลยนะ...”
<b>ฮะ ฮะ ฮะ!!!</b> หลังจากที่ศิณาเจอคำพูดยุยอของเข้าไป ทำเอาเธอหัวเราะอย่างลืมตัวไปทันที
“ฮะแฮ่ม เอาล่ะ จับมือฉันเอาไว้ให้แน่นๆกับหลับตาซะล่ะ”
“เอ๊ะ โอ้ว...”
ผมทำตามที่ศิณาเธอสั่งทันที ผมจับมือของเธอไว้แน่น หลังจากนั้นไม่นานผมก็รู้สึกได้ ถึงความอ่อนโยนที่ได้ส่งผ่านมือของเธออย่างได้อย่างชัดเจน
“เอาล่ะนะ...”
ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกถึงแสงประหลาดที่พุ่งเข้ามาเต็มหน้าผม ประสาทสัมผัสของผมค่อยๆหลุดลอยไป แต่มันก็กลับทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ถึงแม้ว่าผมจะเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้วก็เถอะ ยังไงมันก็ยังเป็นประสบการณ์อันแปลกใหม่ของผมอยู่ดีนั่นแหละ
“ถึงแล้วล่ะ...”
“อ๊ะ...”
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา ภาพที่ผมเห็นก็คือ ผมกำลังยืนอยู่บนเรือลำใหญ่ลำหนึ่ง
“เฮ้อ ในที่สุดก็ขึ้นมาได้ซักทีสินะ”
ผมถอนใจออกมาอย่างโล่งอก แต่เอ๊ะ...? ยะ อย่างนี้มันเรียกว่าเป็นอาชญากรรมได้รึเปล่าเนี่ย นี่ผมต้องกลายเป็นผู้ก่อการร้ายตั้งแต่เด็กซะแล้วเรอะ
“ในที่สุดก็ได้ออกมาจากเกาะนั้นซักทีสินะ...”
“เอ๊ะ...”
ทันทีที่ผมเห็นรอยยิ้มของศิณา คามคิดทั้งหลายแหล่กลับแปรเปลี่ยนเป็นประโยคๆหนึ่งแทนซะงั้นแหละ...
“ฮึ...ช่างมันเหอะ”
“♩♪♬♭♪♫♩♬♫♪♩♫♬♭♫♪♩”
“เอ๊ะ...”
เสียงเพลงที่ดังคุ้นหูมันกำลังเริ่มบรรเลงอีกครั้ง โดยมันได้พรั่งพรูออกมาจากปากของศิณานั่นเอง
“ศิณา เพลงนั้น เธอเป็นคนร้องหรอ...”
“หืม ใช่สิ ทำไมหรอ มันแปลกหรือไงที่ฉันร้องเพลงน่ะ”
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก...”
ผมได้เจอแล้วสินะ ต้นตอของเพลงที่หาคนร้องไม่ได้น่ะ
หลังจากนั้นไม่นานเรือก็ค่อยๆออกไปจากท่าช้าๆ ผมค่อยๆหันกลับไปมองเกาะที่ผมเกิดมาตั้งแต่เด็กอีกครั้ง พอมองอย่างนี้ เกาะที่ผมวิ่งไปเท่าไหร่ก็ไม่ยอมครบรอบซักทีนั้น มันเล็กแค่นี้เองหรอเนี่ย
...สักวัน ผมจะต้องกลับมาที่นี่อีกแน่ๆ ในสักวัน เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งเปลี่ยนไปซะล่ะ รอฉันด้วยนะ แล้วซักวัน ฉันจะกลับมาหาแกแน่ๆ...
<b>ปรู๊นนน!!!</b> เสียงนี้คือเสียงแรกที่ผมได้ยินหลังจากผมลืมตาตื่นขึ้นมา
“อ๊ะ...”
“อ้าว ตื่นแล้วหรอ ถึงแล้วล่ะ นายรีบๆไปเตรียมตัวปะ..”
“อืม...”
สงสัยสมองผมยังจะไม่ค่อยคืนมาได้ซักไหร่ ผมจึงค่อยๆนั่งรวบรวมสติทีละเล็กทีละน้อย จนในที่สุดก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“เอาล่ะ รีบๆลงกันเถอะศิณา เดี๋ยวก็ไปไม่ทันรถเที่ยวขึ้นกรุงเทพหรอกนา”
“..................”
ผมรีบเดินไปจับมือศิณา เธอไม่ตอบรับอะไรเหมือนเช่นเคย ก่อนที่พวกผมจะรีบวิ่งลงไปยังทางออกด้านล่างทันที........
หลังจากที่พวกผมลงมาจากเรือเฟอร์รี่เสร็จพวกผมจึงรีบมุ่งหน้าไปยังท่าขึ้นรถบัสตรงข้างหน้าท่าเรือ ก่อนที่จะขึ้นรถบัสเพื่อเข้ากรุงเทพทันที ตอนแรกทันทีที่มาถึง ศิณาก็เอาแต่ถามผมว่าไอ้นั่นคืออะไร ไอ้นู่นใช้ทำอะไรไปตลอดทาง ผมจึงต้องตอบเธอไปอย่างช่วยไม่ได้ตลอดทางที่มา แต่พอขึ้นมาบนรถบัสปุ๊บ ศิณาเธอก็หลับลงไปในทันที สงสัยเป็นเพราะวันนี้วิ่งไปวิ่งมาตลอดทั้งวันสินะ เอาเถอะ อยู่เงียบอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ผมจึงถอดเสื้อคลุมที่ผมใส่อยู่ เอาไปคลุมบนตัวเธอทันที
...ถึงแม้เธอจะเป็นผู้หญิงที่แปลกหรือว่ามาจากต่างดาวยังไงก็ตาม เธอก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆน่ารักเพียงเท่านั้น แต่เธอก็กลับต้องมาหนีเจ้าพวกทหารแยงกี้นั่นมาตลอดจนพบกับผม เอาเถอะ ยังไงก็แล้วแต่ ตอนนี้นอนหลับให้สบายเถอะนะ ผมจะคอยเฝ้ามองเธออยู่ข้างๆตรงนี้เอง ไม่ต้องเป็นห่วง....
“...ฝันดีนะ...”
“...........................”
“อะ....อืม”
“อ้าว...ตื่นแล้วเรอะ”
“...ที่นี่ที่ไหนแล้วเนี่ย”
ศิณาถามผมด้วยน้ำเสียงที่งัวเงีย
“นี่ ศิณา”
“หืม....”
“มีน้ำลายติดอยู่ที่หน้าน่ะ...”
อ๊ะ .....เธอสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ พลางรีบใช้แขนเสื้อเช็ดไปมาบนใบหน้าทันที
“หืม...นี่มัน ...เสื้อของนายนี่นา...”
“...เอ๊ะ อ๋อ ก็ฉันเห็นเธอท่าทางหนาว ฉันก็เลยเอาเสื้อไปห่มให้น่ะสิ ฉันไม่ได้ทำอะไรเกินเลยเลยนะ สาบานเลย”
“อ๋อ หรอ”
เธอตอบผมกลับมาด้วยคำพูดที่เย็นชา
“แล้วตกลงมันถึงไหนแล้วเนี่ย...”
“...อะ อ๋อ จะถึงหมอชิตแล้วล่ะ นี่ไงเห็นหลังคาลิบๆอยู่นู่นน่ะ”
ผมพูดพลางชี้นิ้วไปที่หลังคาของสถานีหมอชิตที่ผมเห็น
“หมอชิต... มันคืออะไรหรอ”
“..........”
เครื่องหมายจุดๆ อยู่ดีๆก็ขึ้นๆมาระหว่างผมกับศิณาอีกครั้ง
“...เอ่อ มันก็คือสถานีที่รถบัสของพวกเราจะไปจอดไง เครือๆกับสถานีอวกาศของดาวเธอล่ะมั้ง...”
“อ๋อ...หรอ”
เธอตอบรับผมกลับมาด้วยประโยคและน้ำเสียงที่เย็นชาอีกเช่นเคย ก่อนที่เธอ จะหันกลับไปมองข้างทางอีกครั้งหนึ่ง แต่ผมก็ไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทางที่เฉยเมยของเธอ ผมจึงได้แต่นั่งเหม่อรอให้รถเข้าไปเทียบท่าเหมือนเดิม...
หลังจากนั้นไม่นาน รถบัสที่พวกผมนั่งมาก็ได้จอดเทียบท่าที่ชานชาลา พวกผมสองคนจึงเดินไปหยิบกระเป๋า ก่อนที่จะเดินลงไปทอดน่องที่สถานีหมอชิตอีกซักแป๊บ
“...แล้วนี่เราจะไปไหนก่อนดีล่ะฮะ....”
“...เดี๋ยวพวกเราไปอยู่กันที่บ้านของญาติฉัน แล้วก็หางานทำซักพัก นึงก่อน แล้วเดี๋ยวเราค่อยออกเดินทางกันต่อ...”
“อืม...เอางั้นก็ได้ งั้นจะยืนบื้ออยู่ทำไมล่ะ รีบๆไปซักทีสิ”
“............”
“ฉันพูดไม่ได้ยินหรือไงฮะ...”
ศิณาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ขึงขัง
“หึ...หึ...หึ”
“ไหงนายทำหน้าอย่างนั้นล่ะฮะ แล้วจู่ๆหัวเราะอะไรของนายกันน่ะ”
ศิณาพูดพลางเดินถอยออกจากผมไปด้วยสีหน้าที่ขยะแขยง
“เรามากรุงเทพทั้งที มันต้องไปที่นี่ก่อนสิ...”
“เอ๋...”
“ที่นี่ยังไงล่ะ.....”
ผ่างงง... จู่ๆภาพแบ็คกราวน์ของผมก็ได้เปลี่ยนอย่างกะทันหัน
“ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย...แล้วอีกอย่าง ไอ้หุ่นที่ลอกเลียนแบบมนุษย์นั่นมันคืออะไรกันฮะ...”
“ไอ้นั่นเขาเรียกว่าฟิกเกอร์ยังไงล่ะ...”
“แล้วตกลง ที่นี่มันคือที่ไหนกันล่ะเนี่ย...”
“มันก็คือ... มันก็คือ...”
สถานที่ที่พวกผมกำลังยืนอยู่นั้น มันก็คือ มันก็คือ........
“สถานที่อันวิเศษสุดของฉัน ย่านIron Bridgeยังไงล่ะ...”
“..............”
ศิณาเธอไม่ตอบผมกลับมา เธอเอาแต่จ้องหน้าผมนิ่งไม่เคลื่อนไหว
“คงยังงงอยู่ล่ะสิ เอาเถอะ ลองเข้ามาดูก่อนละกันนะ...”
ผมไม่รอช้า รีบจับมือศิณาก่อนที่จะรีบลากเธอเข้าไปในร้านทันที
“...โอ้ว ไอ้นี่อย่างเจ๋งง่ะ ฟิกเกอร์ล็อตจำกัดของไคโยไดนี่นา พี่สาวครับ ผมเอาฟิกเกอร์ตัวนี้ตัวหนึ่ง อ๊ะ หนังสืออีเวนท์นี่นา เจ๋งฟ่ะ พี่สาว ผมเอาเล่มนี้ด้วย เอ๊ะ ดีวีดีจำนวนจำกัดของ000นี่นา พี่สาว เอาอันนี้ด้วยครับ แล้วก็อันนี้ อันนู้น อันนั้นด้วยครับ...”
“...นะ นี่นาย ซื้อเกินไปหรือเปล่าเนี่ย แล้วเงินมันจะพอใช้เหรอ...”
ศิณาหันจ้องมองผมด้วยสีหน้าที่วิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“...ไม่เป็นไรหรอก ฉันมีเงินเก็บไว้เพื่อของพวกนี้อีกนิดหน่อย เพราะงั้น หายห่วง...”
ผมหันหน้าไปพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้เธอด้วยสีหน้าที่แสดงออกอย่างมุ่งมั่น
“...เอาเถอะ ยังไงก็แล้วแต่ รีบๆเหอะน่า ร้านนี้ บรรยากาศมันแลร้อนๆยังไงพิกลแฮะ...”
“คร๊าบๆ...”
ทันทีที่ผมตอบรับศิณาเสร็จ ผมก็รีบวิ่งไปที่คิดเงินอย่างไม่รอช้าทันที
“หนักชิบ...”
“ก็แหงล่ะสิ นายเล่นซื้อเอาๆทำยังกับเงินเป็นกระดาษเงินกระดาษทองยังไงยังงั้นแหละ แล้วงี้เงินจะพอใช้เรอะ...”
“ก็บอกว่าหายห่วงไงเล่า ไม่ต้องกลัวหรอก...”
“ให้มันได้งี้สินะ...”
ศิณาหันมามองผมด้วยสีหน้าที่คล้ายกับแม่ที่เอือมระอาลูกที่ทำตัวเหลวแหลกยังไงยังงั้น
“...เธอนี่น้า”
“อะไรฮะ...”
“เอ๊ะ ปะ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
ทันทีที่ผมสบตากับเธอผมก็ต้องรีบเบือนหน้าหนีอย่างร้อนรน
“แล้วนี่เมื่อไหร่ ญาติของนายจะมารับฉันซักทีฮะ...”
“เอ๊ะ ใครว่าเค้าจะมารับล่ะ...”
“หา...”
“พวกเราจะไปหาเค้าที่บ้านต่างหาก...”
“......................”
ศิณาจ้องมองหน้าผมนิ่งอย่างตาไม่กระพริบ
“...แล้วนายจะมายืนทำอะไรตรงนี้กันล่ะห๊า!!!!!!!”
“โอ้ย...”
จู่ๆลูกเตะที่แสนหนักหน่วงก็ได้มากระทบกับแผ่นหลังของผม ทำให้ผมทรุดลงไปกองกับพื้นทันที
“ทำอะไรของเธอเนี่ย...”
“นายนั่นแหละ ชักช้าอะไรอยู่ได้ฮะ ไปได้แล้ว ฉันอยากไปพักบ้าง”
“...........”
ผมไม่สามารถที่จะแย้งเธอไปได้อย่างทันท่วงที ทำให้ผมได้แต่นั่งทำตากระปริบๆอยู่บนพื้นเพียงเท่านั้น
“จะชักช้าอยู่ทำไมล่ะฮะ....”
“............ คร๊าบๆ ผมน้อมรับด้วยก้าวเลยคร๊าบบบ”
“ดีมาก...”
ผมค่อยใช้มือทั้งสองข้างพยุงตัวขึ้นมา ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลังของผมนั้น ตอนนี้มันก็ยังแผลงฤทธิ์อยู่ แต่ก็เอาเถอะ วันนี้จะยอมให้ซักวันก็ได้ แค่วันนี้เท่านั้นนะ........
อย่างน้อยๆก็หลังตอนที่ผมได้แยกจากกับเธอก่อนก็แล้วกัน...
-END CHAPTER2-
ความคิดเห็น