ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    School Story

    ลำดับตอนที่ #3 : -บทที่3-

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 53


     กริ๊ง!!!! เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นมาเป็นระยะ ทำให้ผมตื่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ผมจะยื่นมือออกไปควานหานาฬิกาเพื่อกดปิด
             “อา เช้าแล้วหรอฟะเนี่ย”
      ผมนอนกลิ้งเกือกซักพักก่อนที่ผมจะลุกขึ้นไปล้างหน้า แปรงฟัน จัดปิ่นโตและเตรียมตัวไปโรงเรียน
      เสร็จแล้วผมจึงรีบไปหยิบกระเป๋าและไปโรงเรียนทันที
      บาดแผลเมื่อหลายวันก่อนที่ผมโดนท่อนไม้ฟาดหัวนั้น ตอนนี้ก็ยังไม่หายดี ส่วนบาดแผลที่อื่นๆ รอยช้ำทั้งหลายแหล่ ตอนนี้ก็หายเป็นปลิดทิ้งหมดแล้วแหละ แต่ถึงแม้มันจะเจ็บซักแค่ไหนก็เถอะนะ แต่มันก็ทำให้ได้เจอกับประสบการณ์ดีหลายอย่างมาแทนที่ มันก็พอทดแทนกันได้ล่ะนะ
           “โอ้ว ดนัยว้อย”
       เสียงของผู้ชายคนหนึ่งตะโกนเรียกผมมาจากข้างหลัง ทำให้ผมต้องหันหลังไปมองอย่างเลี่ยงไม่ได้
            “อ้าว ไซโตะ”
       ไอ้ไซโตะวันนี้มันก็ยังอยู่ในสภาพเรียบร้อยเหมือนเดิมทุกประการ
            “แผลเป็นไงมั่งวะ”
            “เออ ก็ดีขึ้นแล้วมากแล้วล่ะน่ะ แต่หมอเค้าก็ยังให้พันหัวอยู่อย่างเนี่ยอีกซักพักน่ะ”
           “งั้นหรอฟะ”
       มันตอบมาสั้นๆ
       หลังจากที่ผมกับไอ้ไซโตะจะมาถึงโรงเรียนออดก็ดังขึ้นพอดิบพอดี แถมครูวันนี้ยังลาป่วยอีกอะไรมันจะโชคดีปานนั้นนะ แต่เวลาครูไม่อยู่อย่างนี้น่ะนะอย่างคิดเลยว่านักเรียนมันจะเรียนกันน่ะ บางคนก็นั่งเอาเกมส์กดมาเล่น บางคนก็ตั้งกลุ่มคุยกันโขมงโฉงเฉง บางคนก็เอานิตยสารมาอ่าน เรื่องที่นักเรียนจะเรียนเวลาครูไม่อยู่น่ะนะ ผมเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่า...ไม่มีแน่นอน
          “เออ ถ้างั้นฉันอ่านหนังสือเตรียมสอบก่อนนะว้อย จะสอบแล้วน่ะ หนังสือมันต้องอ่านหลายๆรอบถึงจะจำได้...”
        ยกเว้นไอ้บ้านี่
        ผู้ชายที่ทีชื่อว่าไซโตะนี่ต้องเรียกว่าเป็นเด็กเรียนอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ผิดกับคาแร็คเตอร์ของมัน แถมมันยังเป็นสมาชิกสภานักเรียนอีกนะ เรียกได้ว่ามันเป็นนักเรียนตัวอย่างเลยก็ว่าได้
        “เออๆ”
       หลังจากนั้นซักพัก คาบแรกก็ได้หมดไป ครูที่เข้ามาสอนคาบ2ก็เข้ามาสอนตามปกติ
       ...หลังจากที่เรียนคาบสุดท้ายเสร็จแล้ว ผมกับไอ้ไซโตะก็ได้เดินออกจากห้องไป
       “ฉันไปก่อนนะ ดนัย”
       “เออ เจอกันพรุ่งนี้นะว้อย”
       ไอ้ไซโตะมันอยู่ชมรมกรีฑา ถึงเห็นมันจะเป็นนักเรียนท่าทางNERDๆแบบนี้ แต่มันเล่นกีฬาเก่งไม่ใช่เล่นเลยนา มันเคยได้รางวัลมาแล้วไม่รู้กี่รางวัล ผมก็อิจฉามันนิดๆเหมือนกันนะ
      แต่ผมนั้น ถึงเมื่อก่อนผมจะไม่ได้เข้าชมรมอะไร แต่เดี๋ยวนี้ผมก็ได้เข้ากิจกรรมชมรมแล้วนา ชมรมค้นคว้าไง
       ผมเดินเข้าไปบนตึกของกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ผมเดินมาเรื่อยๆก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงหน้าห้องห้องหนึ่ง ตรงประตูมีป้ายเขียนติดอยู่ว่า [ชมรมค้นคว้า] ผมจึงเปิดประตูเข้าไปทันที
        “โย่ คานะ”
       ผมทักทายคานะที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโต๊ะกลางห้อง ท่าทางเธอแลจะชอบอ่านหนังสือแฮะ เพราะทุกครั้งที่ผมเข้ามาที่ห้องชมรมทีไร ก็จะได้พบกับเธอที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ทุกครั้งไป ท่าทางของเธอนั้นเป็นนางาโตะ หรือ ทาบาสะได้อย่างสบายๆเลยนะเนี่ย
       ผมเดินเอากระเป๋าไปวางลงบนโต๊ะ ก่อนที่จะไปนั่งตรงคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมห้อง ผมกดสวิตซ์เปิดเครื่องคอมทันที งานชมรมของผมนั้นคือการเล่นคอมนั่นเอง เพราะงานชมรมมันไม่มีให้ทำ มันเลยว่างแบบสุดๆ
      ยังดีนะ ที่มันยังมีคอมอยู่ไม่งั้นผมคงได้คลั่งตายแน่ๆ
      ผมเข้าอินเตอร์เน็ต แว้บไปเว็บนู้นเว็บนี้ ส่วนคานะเขาก็ได้แต่นั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆตามภาษา แต่แล้ว จู่ๆประตูก็ได้เปิดออกมาโดยที่ผมยังไม่ได้ทันตั้งตัว
      ....คนที่เปิดประตูออกมานั้นเป็นผู้หญิงครับ ผมที่ยาวสลวยสีดำ ผิวที่ขาวราวกับไข่มุก ตาส่องชั้นที่กลมโตส่องประกาย คิ้วเรียวที่ได้รูปจมูกที่โด่งพองาม ใบหน้าที่ได้รูป เธอเป็นหญิงสาวที่สวยงามมาก สวยซะจนเหมือนรูปปั้นที่ถูกปั้นโดยช่างฝีมือดีเลยทีเดียว
       เธอจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่ละสายตา ทำเอาผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ท่าทางเธอแลจะเป็นคนดีซะด้วยนะเนี่ย
          “คานะ นายชั้นต่ำนี่เป็นใครน่ะ”
          “.........”
      ผมขอถอนคำพูดเมื่อกี้นี้ได้ไหมเนี่ย
          “รุ่นพี่ซาโอริ...”
      เมื่อคานะเห็นผู้หญิงคนนั้นถึงกับสะดุ้งทันที เอ๊ะ เมื่อกี้คานะบอกว่าอะไรนะซาโอริหรอ ระ หรือว่า จะเป็นรุ่นพี่ซาโอริที่ไอ้ไซโตะเคยพูดถึง
          “นายน่ะ กล้าดียังไงถึงไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ของพระเจ้าอย่างชั้นฮะ”
      น่าน สถาปนาตัวเองเป็นพระเจ้าเฉยเลยแฮะ
          “พูดแล้วยังไม่ลงมาอีกนะสงสัยคงอยากโดนดีซะแล้วมั้งเนี่ย นายสวะชั้นต่ำ…”
          “.....”
          “ฮะ อะไรนะครับ”
           “ชั้นบอกให้แกลงไปจากเก้าอี้ของชั้นไงงงงงงงงง!!”
      จู่ๆเธอก็เดินเข้ามาข้างหลังผมก่อนที่จะจับผมใส่ท่าเยอรมัน ซูเพล็กซ์ทันที
          “อั้ก!!!”
      ผมกระแทกกับพื้นจนเกิดเสียงดังไปทั่วห้อง
          “อะ อา เจ็บสุดๆเลยว่ะ เจ็บจนเหมือนกะโหลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆเลยแฮะ”
      นะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ผมงงไปหมดแล้ว จู่ๆก็มีผู้หญิงมาใส่ท่ามวยปล้ำกับผม มะ มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย
          “อืม เก้าอี้ตัวนี้แหละ ความรู้สึกแบบนี้มันใช่เลย หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วล่ะ”
       ผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาพลางถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย
          “คะ คานะ นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ผมงงไปหมดแล้วนะ”
       ผมหันไปถามคานะที่วิ่งอย่างลุกลนมาทางผม
          “อะ อ๋อ นี่เป็นประธานชมรมของชมรมนี้น่ะ เธอมีชื่อว่าคุณชิสะ ซาโอริ อยู่ปี2น่ะ”
       ชิสะ ซาโอริ มิน่าล่ะ ไซโตะเพื่อนรักเอ๋ย สงสัยแกจะพูดถูกซะแล้วล่ะนะ
          “เออคานะ นายสวะนี่เป็นใครกันน่ะ ท่าทางแลจะไม่ใช่คนของประเทศนี้นี่นา เป็นพวกหมาพันธุ์ทางหรอ”
       รุ่นพี่ถามคานะด้วยท่าทางถือดี พลางชี้นิ้วมาที่ผม
         “อะ อ๋อ คนๆนี้เขาเป็นสมาชิกคนที่3ของชมรมไงคะ เขามีชื่อว่าดนัยค่ะ ดนัย วิเชษฐ์วรกานต์ เพิ่งย้ายมาจากประเทศไทยค่ะ”
         “อ๋อ คะ ครับผม ผมชื่อว่าดนัยครับ ดนัย วิเชษฐ์วรกานต์ฝากตัวด้วยนะครับ”
      ผมแนะนำตัวไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรแบบสุดๆ
         “คนชั้นต่ำอย่างนายไม่มีสิทธิ์ที่จะมาฝากตัวกับคนอย่างชั้น แต่ก็เอาเถอะ ในฐานะที่ฉันเป็นพระเจ้า จะยอมรับคนอย่างแกเอามาใช้เป็นทาสก็ได้นะ สำนึกบุญคุณซะด้วยล่ะ”
         “ทะ ทำไมผมถึงถูกลดขั้นไปเป็นทาสแบบนั้นล่ะครับ”
         “หา ว่าไงนะ นี่แกมีปัญหากับการตัดสินใจของท่านซาโอริอย่างงั้นหรอฮะ ชั้นบอกยังไง มันก็ต้องเป็นไปตามการตัดสินใจของชั้นสิ เข้าใจมั้ย ไอ้โคโลนี่ของพารามีเซียมดนัย”
       แม่เจ้าวุ้ย เอาแต่ใจสุดๆเลยฟ่ะ
         “เอ่อ ช่วยเรียกผมแบบคนธรรมดาจะได้มั๊ยครับ”
       พอผมพูดเสร็จสายตาที่คมกริบราวกับคมมีดของดาบญี่ปุ่นที่วาววับ ก็ได้จ้องมองมาที่ผมอย่างไม่คลาดสายตา ก่อนที่รุ่นพี่จะมากระชากคอเสื้อของผมเข้าไปใกล้ตัวของรุ่นพี่ทันที
         “นี่แก กล้าต่อปากต่อคำกับท่านซาโอริอย่างนั้นหรอ จะกล้าดีเกินไปหน่อยแล้วนะ สงสัยจะต้องลงโทษกันซักหน่อยละมั้งเนี่ย ชิ แต่ก็เอาเถอะเห็นแก่คานะเค้าที่อุตส่าห์ไปชวนแกมาเข้าชมรมของชั้น ฉันยอมปล่อยให้พักนึงก็ได้ สำนึกในบุญคุณซะด้วยล่ะ ไอ้เชื้อโรคดนัย”
        “คะ ครับ ผมสำนึกแล้วครับ”
        “เสียงดังกว่านั้นอีก”
        “โอ้ว เยสเซอร์ ครับผม โปรดให้อภัยแก่เศษเดนชั้นต่ำอย่างผมด้วยเถอะครับ”
         “ดีมาก”
       ในที่สุดรุ่นพี่ก็ปล่อยมือจากคอเสื้อผมซักที
         “ปะ เป็นอะไรมั้ยคะ ดนัยคุง”
          “อะ อ๋อ ไม่เป็นไรมากหรอกครับ”
        ชิ! ผมเห็นแก่รอยยิ้มของคานะที่ส่งมาทางผม ดังนั้น ผมยอมยกโทษให้ก็ได้
         “เออ คานะ ในช่วงที่ฉันหยุดไปเนี่ย มีคนมาขอความช่วยเหลือที่ชมรมเรารึยังฮะ”
         “อ๋อ ยังไม่มีเลยค่ะ ที่มาครั้งสุดท้ายก็ตอนเปิดเทอมนู่นแหละค่ะ”
        สงสัยคานะเค้าจะเป็นเลขาของชมรมนี้สินะ
          “ชิ!”
        รุ่นพี่เดาะลิ้นอย่างอารมณ์เสีย ก็แหงแหละครับ ชมรมที่มีชื่อว่าค้นคว้าแต่ไม่รู้ว่ามันค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องอะไรน่ะ แถมยังมีประธานชมรมเป็นคนอย่างนี้อีก ใครจะกล้าเข้ามาล่ะครับ
        “แกมองอะไรหา ไอ้เชื้อราดนัย”
        “ปะ เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
      เมื่อเห็นรุ่นพี่มองผมด้วยสายตาที่เหมือนจะเอาเรื่องแล้ว ผมจึงต้องหันหน้ากลับไปทันที
        “เอาล่ะ ฉันตัดสินใจแล้ว วันอาทิตย์นี้เราจะไปภูเขากัน”
        “คะ ครับ???”
       จู่ๆรุ่นพี่เค้าพูดเรื่องอะไรกันเนี่ย
        “เราจะลองไปที่ภูเขาดู เผื่ออาจจะได้เจอเรื่องลึกลับอย่างไม่คาดคิดก็ได้นะ”
      ตกลงนี่มันชมรมค้นคว้าเรื่องลึกลับหรอครับเนี่ย ผมงงไปหมดแล้วนะ
          “คานะเธอคงว่างสินะ”
         “คะ ค่ะ”
          “ส่วนเจ้า เชื้อราดนัย”
         “คะ ครับ”
         “ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าว่าง วันหยุดทั้งที พวกเชื้อราอย่างนายก็คงได้แต่สร้างความเดือดร้อนให้แกโลกเราสินะ”
      แล้วถ้าเกิดผมไม่ว่างล่ะครับ ผมอยากจะย้อนรุ่นพี่เค้าไปอย่างนี้จริงๆนะ แต่เมื่อผมเห็นสายตาของรุ่นพี่แล้ว ผมจึงคิดว่าไม่ย้อนรุ่นพี่ไปดีกว่า อย่างนั้นคงดีต่อชีวิตผมมากกว่านะ ผมยังไม่อยากตายตอนนี้น่ะครับ
        “โอเค งั้นตอน10โมงวันอาทิตย์ เจอกันที่หน้าสถานีรถไฟของโรงเรียน ถ้าเกิดใครไม่มาล่ะก็ โทษคือตายสถานเดียว ไม่มีการอุทธรณ์โทษด้วย เข้าใจมั้ย”
        “ครับ/ค่ะ”
       “โอเค งั้นเลิกชมรมได้”
       รุ่นพี่พูดออกมาก่อนที่จะเดินไปหยิบกระเป๋าและเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองพวกผมอีกเลยเป็นครั้งที่สอง
      “ยะ อย่าไปถือสารุ่นพี่เค้าเลยนะคะ เค้าเป็นคนอย่างนี้แหละค่ะ”
      สงสัยคานะเค้าเห็นผมแลจะไม่พอใจรุ่นพี่แฮะ แต่ก็เอาเถอะนะ
      “เอ่อ ได้ครับ ผมก็ไม่ค่อยถือสาเรื่องแบบนี้เท่าไหร่หรอกครับ”
     จู่ๆคานะก็เปลี่ยนสีหน้าทันที กลายเป็นสีหน้าที่มีแต่รอยยิ้มแทน
      “คะ ค่ะ งั้นวันนี้เรากลับบ้านด้วยกันเลยนะคะ”
      “เอ๊ะ คะ ครับ...”
    เอ๊ะ เดินกลับบ้านด้วยกันหรอ……

    -จบบทที่3-

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×