ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    School Story

    ลำดับตอนที่ #2 : -บทที่2-

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 53


     แฮ่ก แฮ่ก หลังจากที่ผมวิ่งมาด้วยความเร็วระดับที่พระเจ้ายังต้องหลีกทางให้แล้ว ในที่สุดก็มาถึงหน้าร้านกาแฟที่คานะเค้านัดผมไว้ ผมก็ได้รีบเข้าไปในร้านทันที แต่เมื่อเข้าไปถึงแล้วนั้น ผมก็พยายามสอดส่องสายตามองหาคานะเค้า แต่มองยังไงก็ไม่เห็นเจอ สงสัยจะยังไม่มาแฮะ ผมคิดดังนั้นจึงได้รีบไปสั่งกาแฟ และจึงค่อยไปเลือกที่นั่ง เพื่อนั่งรอคานะเค้า....
        รอไปประมาณ10นาทีคานะเขาถึงพึ่งเข้ามาในร้าน เธอวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางที่เหนื่อยหอบสุดๆ ก่อนที่เธอจะค่อยๆเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอย่างช้าๆ คงเพราะเธอพึ่งวิ่งมาถึงล่ะมั้งแก้มของเธอเลยเป็นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย  
    .......น่ารักจัง    ไม่ว่ามองจากด้านไหนก็คงบอกได้แต่คำนี้แหละนะ ทุกๆคนคงคิดแบบเดียวกันกับผมสินะ
         “เอ่อ ดนัยคุงคะ”
         “อ๊ะ คะ ครับ”
       เสียงเรียกของเธอช่วยปลุกให้ผมตื่นขึ้นจากภวังค์ รู้สึกเสียดายนิดๆแฮะ
          “เอ่อ เรื่องที่ว่าจะพูดกับผมน่ะครับคืออะไรหรอครับ”
       ผมรีบพูดเข้าประเด็นหลักทันที
        “เอ่อ คือ จะพูดยังไงดีล่ะค่ะ เอ่อ คือว่า....”
      เอาเลยสิครับ พูดออกมาเลย พูดมาเล้ยยยยยยยยย!!!
         “เอ่อ ดนัยคุงอยู่ชมรมอะไรหรอคะ”
        “อะ อ๋อ ผมไม่ได้เข้าชมรมอะไรหรอกครับ ยังไม่รู้เหมือนกันน่ะครับว่าจะเข้าชมรมอะไรดี งั้นเรื่องที่จะบอกกับผมก็คือ”
         “เอ่อ....คะ ค่ะ ถะ...ถ้าไม่รังเกียจ กรุณามาเข้าชมรมค้นคว้ามั๊ยคะ”
       อั้ก!!! รู้สึกเหมือนมีค้อนขนาดใหญ่มาทุบที่กลางกระหม่อมของผม อะไรเนี่ย เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ ผมรู้สึกเสียดายนิดๆเหมือนกันนะ...
        “ถะ ถ้าเกิดคุณไม่เข้าชมรมของฉันล่ะก็ คงต้องโดนยุบชมรมแน่ๆเลยค่ะ”
      จู่ๆคานะเขาก็ตีหน้าเศร้าทันที ท่าทางเหมือนจะร้องไห้เลยแฮะ ไม่สิ ร้องไห้ออกมาจริงๆเลยนี่นา เกิดอะไรขึ้นกันหรอเนี่ย ผมงงไปหมดแล้วนะ
        “เอ่อ เกิดอะไรขึ้นหรอครับ”
       ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพลางเข้าไปปลอบคานะ รู้สึกเหมือนกำลังปลอบเด็กที่กำลังร้องไห้เพราะของเล่นชิ้นใหม่พังยังไงยังงั้นเลยนะ
        “ชมรมของฉันสมาชิกมันไม่พอน่ะค่ะ ถ้าเกิดหาชมรมมาอีกคนไม่ได้ภายในเดือนนี้ล่ะก็ ต้องโดนยุบชมรมแน่ๆเลยล่ะค่ะ ฉันลองไปชวนคนมาหลายคนแล้ว แต่ก็ไม่มีใครยอมมาเข้าเลยน่ะค่ะ”
       เพราะฉะนั้นเลยมาชวนผมเข้าชมรมสินะครับ ฮะ ฮะ ดีใจ ดีใจจนแทบคลั่งเลยล่ะ
        “เอ่อ ถ้าไม่เข้าก็คงไม่ได้สินะครับ โอเคครับ ผมเข้า”
       หลังจากที่ผมตอบตกลงไปนั้น ใบหน้าที่เคยเศร้าสร้อยของคานะนั้น จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าแห่งรอยยิ้มแทน
         “จะเข้าสินะคะ ขะ...ขอบคุณมากคะ ขอบคุณจริงค่ะ”
       อะ อีกแล้ว พอซะทีเถอะครับ รอยยิ้มที่ฆ่าคนได้แบบนั้นน่ะ ให้ตายสิ โรบิ้น ในโลกนี้ยังมีคนที่น่ารักแบบนี้อยู่บนโลกอีกหรอเนี่ย ขอบคุณจริงๆครับ ขอบคุณจากใจเลยครับ
       หลังจากนั้นผมกับคานะก็ยังนั่งคุยกันต่ออีกประมาณ30นาที ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านไป ผมไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนที่จะเดินกลับบ้านไป
        “เฮ้อ ลำบากใจเหมือนกันแฮะ จู่ๆคนที่น่ารักขนาดนั้นมานัดเจอกันที่ร้านกาแฟ แถมยังชวนเข้าชมรมอีก แค่นั้นยังไม่พอนะ ยังคุยกันแบบสนิทสนมอีก เหมือนฝันเลยแฮะ”
       เหมือนฝันยังไม่พอนะ มันต้องเป็นฝันในอุดมคติเลยล่ะ และในขณะที่จิตใต้สำนึกของผมกำลังตีกันยุ่งเหยิงอยู่นั้น สายตาของผมก็ได้บังเอิญไปสบกับผู้หญิงที่คุ้นเคยคนหนึ่งเข้า .......
      ....คานะกำลังวิ่งหนีบางสิ่งบางอย่างมา
        “นั่นมันคานะนี่นา วิ่งหนีไรมาฟะ โอ้ว คา-...”
       ผมพูดไม่ทันขาดคำ สายตาของผมก็ได้ไปสบกับกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่ง คานะกำลังวิ่งหนีกลุ่มเด็กผู้ชายกลุ่มนี้อยู่นี่เอง
            “นี่เธอน่ะ อย่าหนีเลยน่า ไปเที่ยวกันพวกเราหน่อยดีกว่านะ-...”
       ผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูดขึ้นมายังไม่ทันขาดคำ ปลายเท้าของผมก็ได้เสยเข้าที่ปลายคางของมันอย่างแรงโดยไม่รู้ตัว
           “อั้ก” ร่างของผู้ชายคนนั้นกระเด็นไปข้างหลังทันที
           “นี่แก ทำอะไรฟะ”เด็กผู้ชายตะโกนใส่หน้าผมด้วยท่าทางที่จะเอาเรื่อง
           “พวกแกนั่นแหละทำอะไรอยู่วะ…”
           “เป็นไรหรือป่าวครับ คานะ”
        ผมหันไปถามคานะโดยไม่สนเด็กผู้ชายกลุ่มนั้นที่หันมาจ้องมองด้วยสายตาอาฆาตอย่างเห็นได้ชัด
           “ดนัยคุง....  ดะ ดนัยคุงเธอรีบหนีไปเถอะนะ พวกมันเป็นนักเลงนะ แล้วก็ยังมีอีกตั้งเยอะ เธอหนีไปเถอะนะ ฉะ ฉันไม่เป็นไรหรอก”
       คานะพูดออกมาทั้งน้ำตา ทำเอาผมพลางเศร้าไปด้วย ทำยังไงนะ ทำยังไงถึงจะช่วยเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากตาของเธอได้นะ
           “ไม่เป็นไรหรอก ไอ้พวกสวะเศษเดนพวกนี้น่ะไม่ใช่คู่มือของผมหรอก ผมจะปกป้องเธอเอง”
      พอผมพูดจบผมก็ได้ถอดเสื้อคลุมส่งให้คานะเนื่องจากผมสังเกตเห็นว่า เธอใส่เสื้อตัวบางๆกับกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียวเท่านั้น ท่าทางเธอแลจะอายน่าดูเลยนะเนี่ย
           “ไม่ต้องกลัวมันว้อย ล่อแมร่งเลย”
      พวกมันพูดไม่ทันขาดคำ พวกเศษเดนสังคมทั้งหลายแหล่ก็ได้วิ่งเข้ามาหาผมทันที
           “ชิ! ไอ้พวกหมาหมู่”
      ผมพูดสั้นๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาคนกลุ่มนั้นทันที
           “ดนัยคุง...”
      เสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงสุดท้ายก็คือเสียงของคานะที่เรียกผมเอง แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลาที่จะหันหลังกลับไปมองคานะเขาแล้ว
      ผมไม่รอช้า ง้างหมัดใส่หน้าคนที่เข้ามาใกล้ผมที่สุดทันที หมัดของผมซัดเข้าใส่ใบหน้าของชายในกลุ่มนั้นเต็มๆ ผู้ชายคนนั้นถึงกับล้มลงทันที สงสัยผมจะมีพรสวรรค์ในเรื่องชกต่อยไม่เบาเลยนะเนี่ย
          “ไอ้บ้าเอ้ย”
    ผู้ชายอีกคนหนึ่งตะโกนออกมาพลางฟาดไม้เข้าใส่หัวผมเต็มๆ
         “อั้ก...”
     ...เจ็บแฮะ ไม่สิ เจ็บสุดๆไปเลยนะเนี่ย ผมรู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆที่ไหลออกมาจากหัวได้อย่างชัดเจน ผมถึงกับทรุดลงไปนั่งทันที แต่ ผมจะยอมแพ้แค่นี้ไม่ได้ เพื่อคานะ ผมจะไม่ยอมปล่อยไอ้คนที่ทำให้ผู้หญิงร้องไห้ยืนลอยหน้าลอยตาอยู่เป็นแน่
         “ย้ากกกกกกกกกกก!”
       หมัดขวาตรงของผมซัดเข้าใส่โหนกแก้มของชายคนนั้น ผมรู้สึกได้ถึงกระดูกโหนกแก้มของอีกฝ่ายที่ยุบไปตามแรงหมัดของผมได้ ทำให้ผู้ชายคนนั้นลงไปนอนข้างๆเพื่อนของมันที่ลงไปนอนอยู่แล้วทันที
         “เหวอ”
       ไอ้พวกคนที่เหลือนั้นเมื่อเห็นผมยังยืนอยู่ได้ พวกมันถึงกับร้องออกมาเสียงหลงและวิ่งหนีไปทันที
        “ชิ!  ไอ้พวกสถุล”
        “ดนัยคุง...”
       เมื่อผมได้ยินเสียงของคานะจึงหันหลังไปมองเธอ คานะวิ่งมาด้วยสีหน้าที่ตกใจเป็นอันมาก
        “ดะ ดนัยคุง เลือด เลือดออกมาจากหัวเธอน่ะ เดี๋ยวนะ รอแป๊บนึงนะ”
        ท่าทางเธอจะตกใจมากที่เห็นผมหัวแตกแฮะ ก็แหงแหละ เลือดออกเยอะขนาดนี้นี่นา แต่ไม่เห็นต้องร้องไห้ออกมาก็ได้นี่นา พอผมเห็นคานะร้องไห้ทีไร ทำไมมันถึงต้องรู้สึกเจ็บปวดด้วยนะ ไม่รู้จริงๆ
        อึก... จู่ๆหัวผมก็ได้มืดลงทันที ทุกสิ่งทุกอย่างมันมืดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้คือเสียงที่คอยเรียกผมอยู่ตลอดเวลา อะไรนะ ดนัย ดนัย ได้ยินไม่ค่อยชัดเลยน่ะ พูดให้ชัดๆกว่านี้หน่อยสิ ใครนะ เสียงใครกัน
        หลังจากนั้นผมก็หมดสติไป...
         ต๊อก ต๊อก
        เสียงของมีดที่ดังกระทบเขียงนั้น เป็นเสียงแรกที่ผมได้ยินตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ทำให้ผมต้องหันหน้าไปมองคนที่กำลังยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ทำอาหาร ...ผู้หญิงที่ตัวเล็ก ผมที่ยาวคลอเคลียอยู่ตรงไหปลาร้ากำลังยืนอยู่ตรงนั้น
             “โอ๊ย!...” จู่ๆความเจ็บปวดก็ได้แผ่ซ่านไปทั่วหัวของผม ผมเอามือคลำหัวของผม ก็ได้ทราบว่า มีผ้าพันแผลพันอยู่รอบหัวผม อ๋อ จริงสิ ผมโดนคนฟาดหัวมานี่นา แต่ว่า ผมโดนฟาดหัวที่ในเมืองนี่นา แล้วทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้นะ…
             “อ้าว ตื่นแล้วหรอคะ”
           ผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ค่อยๆเดินเข้ามาหาผม พร้อมด้วยกับข้าวจำนวนมากที่วางอยู่บนถาด
             “เอ่อ คานะครับ ที่นี่ ที่ไหนหรอ”
             “อ่อ ที่บ้านของฉันเองค่ะ”
          พอคานะพูดจบผมก็ได้มองไปรอบๆบ้าน เอ... ถ้าเกิดมองดีๆแล้ว นี่เป็นบ้านที่ใหญ่มากพอตัวเลยนะเนี่ย
             “...ตอนที่คุณสลบไปน่ะ ฉันตกใจมากเลยล่ะค่ะ จะโทรเรียกรถพยาบาล โทรศัพท์ฉันก็ดันแบตหมด ฉันเลยต้องแบกคุณมาคนเดียวจนถึงที่นี่เลยล่ะค่ะ แล้วอีกอย่าง...”
           “หืม”
           “ระ...เรื่องเมื่อกี้นี้ ขะ...ขอบคุณมากเลยนะคะ”
           “เอ๊ะ อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ชอบพวกคนอย่างงั้นอยู่แล้วด้วย...”
        แต่สาเหตุที่ผมช่วยคานะนั้น ที่จริงแล้วมันคือ ผมโกรธที่พกมันทำคานะร้องไห้ ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ผมถึงบอกสาเหตุที่แท้จริงให้คานะรู้ไม่ได้ ทำไมกันนะ ทำไมกัน
          “เอ่อ ถ้าเกิดมีคนมาทำอะไรคุณอีกละก็ บะ บอกผมได้นะครับผมยินดีช่วยคุณเสมอเลยนะครับ...”
        อ๊ากกกกกกกกก!!! ทำไมจู่ๆผมถึงพูดเรื่องน่าอายนั้นไปได้นะ มันดูน่าหมั่นไส้ยังไงไม่รู้แฮะ แต่เอาเถอะ พูดไปแล้วมันก็แก้อะไรไม่ได้แล้วล่ะ
         คานะอึ้งกับคำพูดของผมซักพัก แต่หลังจากนั้นก็กลับมาหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
           “...คุณน่ะ เป็นคนดีจังเลยน้า เอาเถอะทานข้าวกันดีกว่าค่ะ”
       เธอพูดไม่ทันขาดคำก็ได้หยิบจานข้าวมาตั้งเรียงทันที
          “กับข้าวพวกนี้ คนทำคือเธอเองหรอ”
        เธอไม่ตอบแต่กลับพยักหน้าเป็นการตอบรับแทน
          “โอโห เก่งแฮะ”
        ผมชมเธอไปสั้นๆ แต่จู่ๆคานะก็ได้แต่นั่งก้มหน้างุดๆ ผมสังเกตเห็นได้ว่าหูของเธอแดงอย่างเห็นได้ชัด นี่ผม... พูดอะไรผิดไปรึเปล่าเนี่ย
        หลังจากนั้นประมาณ15นาทีหลังจากผมทานข้าวกับคานะเสร็จแล้ว ผมจึงเดินไปหยิบเสื้อคลุม ก่อนที่จะไปบอกลาคานะเพื่อขอกลับบ้าน เธอก็พยักหน้าเป็นการตอบรับเช่นเคย... นี่เธอเป็นนางาโตะรึป่าวเนี่ย ผมคิดยังงั้นไปโดยที่ไม่ได้รู้ตัว แต่ผมคิดยังงั้นจริงๆนะ
        “ดะ เดี๋ยวก่อนค่ะ”
        “หืม...”
        ในขณะที่ผมกำลังจะเดินออกจากบ้านของคานะไป จู่ๆเธอก็ได้มาดึงชายเสื้อของผมไว้ เธอมีอะไรจะบอกผมกันแน่นะ
        “เอ่อ เรื่องวันนี้น่ะ ขอบใจมากจริงๆเลยนะคะ”
        ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะ ผมถึงได้อมยิ้มออกมาโดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยซักนิด
        “อืม นี่ก็ดึกแล้วนะ ไปนอนได้แล้วปะ เดี๋ยวก็เป็นลมหรอกนะ”
        ผมพูดก่อนที่จะมองหน้าคานะซึ่งเธอก็พยักหน้าตอบรับมาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่ผมจะเดินกลับบ้านของผมไป ส่วนเรื่องที่ผมคิดว่า ยายนี่น่ะ น่ารักสุดๆไปเลย ก็ยังคงต้องเก็บเป็นความลับต่อไปล่ะนะ

    -จบบทที่2-

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×