ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กฤติกา มายารัก

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ค. 57


                    “ยินดีให้กับเพื่อนของเรา ที่ผ่านแคสติ้งบท ครั้งที่ร้อยเจ็ดสิบพอดี” วีรชัยตะโกนก้องทั่วร้านหมูกระทะ  ติณณารีบยกนิ้วขึ้นจุ๊ปาก

                    “เบาๆสิไอ้บ้า ตะโกนบอกทั้งร้านแบบนี้ กลัวฉันไม่อายเค้ารึไง” หล่อนร้องหันมองดูรอบตัว เห็นลูกค้าโต๊ะอื่นหันมามองพวกหล่อนด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก

                    “แต่ฉันงงนะ ไหนบอกว่ายายฟางได้บทนั้นไป แล้วทำไมจู่ๆแกถึงได้” ณภัคมนต์คีบหมูที่ปิ้งสุกแล้วเข้าปาก

                    “เจ๊จวงบอกว่า ที่ฉันแคสได้ไม่ใช่ละครโทรทัศน์ แต่เป็นรายการเกี่ยวกับการแสดงอะไรสักอย่าง รู้สึกว่าจะเป็นเรียลลิตี้” ติณณาตอบเพื่อนไปอย่างนั้น เพื่อนสาวและเพื่อนชายกายเป็นสาวหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย

                    “เรียลลิตี้!?” ทั้งคู่ตะโกนขึ้นพร้อมกันโดยที่ติณณาไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่อใคร

                    “ใช่ เรียลลิตี้ ฉันก็ไม่เข้าใจหรอกนะ เขานัดคุยพรุ่งนี้ ค่อยไปฟังรายละเอียดเต็มๆละกัน” หล่อนตัดบท ณภัคมนต์หันไปยักไหล่ให้วีรชัยเป็นอันว่าไม่รู้ข้อมูลเพิ่ม

                    “แกต้องระวังตัวให้ดีๆด้วยนะ ช่วงนี้ฉันได้ยินข่าวบ่อย พวกโมเดลลิ่งชอบหลอกเด็กไปแคส แล้วสุดท้ายเอาไปเป็นอะไรรู้มั้ย ขายตัวจ้า” วีรชัยจีบปากจีบคอพูด คว้าหมูชิ้นที่ติณณาประคบประหงมปิ้งอย่างประณีตไป

                    “เออ น่ากลัววะ คนเราเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ” ณภัคมนต์พูดต่อแล้วคีบเบคอนที่ติณณาเล็งไว้เข้าปากไป

                    “แต่คิดดูอีกที ไอ้โอ่ง แกไม่ต้องกลัวหรอก อย่างแกคงขายไม่ออก เขานึกว่าเด็กประถม” แล้ววีรชัยก็ตลกบริโภคแย่งลูกชิ้นไปจากตะเกียบของติณณาต่อหน้าต่อตา หล่อนสุดจะทนกับการถูกแย่งของกินและคำพูดดูถูกของเพื่อนตุ๊ดเต็มที่

                    “นี่ แกจะดูถูกฉันมากไปแล้วนะ ไอ้วี” น้ำเสียงของหล่อนไม่มีวี่แววล้อเล่นเหมือนเคย ทำเอาณภัคมนต์ที่กำลังดูดน้ำอัดลมอยู่ต้องหยุดชะงัก

                     “แกหาว่าฉันหน้าเด็กเกินไปแล้วผู้ชายจะไม่ชอบใช่มั้ย” หล่อนทำเสียงฟึดฟัดกอดอกหน้าเชิด วีรชัยอึ้งไปเล็กน้อย

                    “เอ่อ ฉันไม่ได้หมายถึงหน้า ฉันหมายถึงหุ่” “หน้าแหละ แกหน้าเด็กไง” ณภัคมนต์พูดขัดขึ้นมาก่อนที่วีรชัยจะพูดจบประโยค

                    “นี่แหละ ที่ฉันยอมไม่ได้ รู้มั้ยว่าหน้าเด็กนี่เป็นเทรนด์สมัยนี้เลยนะ โลลิค่อนอ่ะ รู้จักมั้ย ถึงฉันจะหน้าเด็กฉันก็มั่นใจนะ ว่าผู้ชายต้องชอบแน่ๆ” ติณณาพูดไปพลางพยักหน้าไปพลาง วีรชัยย่นคิ้วสงสัย

                    “แกเอาอะไรมามั่นใจวะ”

                    “ก็น้ำมนต์บอกฉันทุกคืน” หล่อนบอกอย่างภูมิใจ ผู้ถูกอ้างชื่อพยักหน้าเห็นด้วย ตุ๊ดเพียงคนเดียวในกลุ่มยกมือก่ายหน้าผาก

                    “ถ้าไม่เชื่อก็ดูนั่น ผู้ชายเสื้อเขียวโต๊ะนู่น” หล่อนใช้สายตาชี้ไปทางซ้ายมือตัวเอง เพื่อนทั้งสองมองตาม เห็นกลุ่มนักศึกษาชายสามสี่คนกำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส ผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่เสื้อสีเขียวต่างจากเพื่อนคนอื่นๆเหล่มองมาทางโต๊ะหล่อน

                    “ฉันสังเกตมานานแล้ว เขามองฉัน” ติณณาพูดอย่างมั่นใจ ไม่เห็นวีรชัยที่สำลักควันหมูกะทะเต็มปอด

                    “ฉะ ฉันว่า เขามองน้ำ” “น่าสงสารจัง เขาคงไม่มีความกล้ามากพอ” ติณณาพูดพลางทำเสียงอ่อน แม้หล่อนจะรู้สึกสงสารชายคนนั้นจับใจ แต่เขาก็ไม่ใช่สเปคหล่อนอยู่ดี

                    “เออ เขาน่าสงสารจริงๆ” วีรชัยทำหน้าเบื่อหน่าย ในขณะที่ณภัคมนต์แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนาพวกนั้น

                    “เอางี้ ถ้าแกไม่เชื่อว่าเขาชอบฉัน เดี๋ยวฉันจะพิสูจน์ให้ดู” หล่อนประกาศลั่นโต๊ะ ลุกขึ้นยืนอย่างมาดมั่น ณภัคมนต์จะร้องห้าม แต่วีรชัยก็คว้ามือสาวผมส้มไว้ได้เสียก่อน

                    “หยุดเลย ไอ้น้ำมนต์ ทั้งหมดมันเพราะแกนั่นแหละ ปลูกฝังความคิดเพื่อนผิดๆ” ตุ๊ดคนเดียวในกลุ่มส่งตาเขียวมาให้สาวสวย ณภัคมนต์ทำหน้าไม่ถูก ทั้งคู่ได้แต่นั่งมองติณณาเดินไปยังโต๊ะนักศึกษากลุ่มนั้นอย่างกังวลว่าเพื่อนสาวจะทำอะไร

                    ติณณาเดินผ่านด้วยท่าทางที่หล่อนคิดว่าสวยที่สุดตั้งแต่หัดเดินมาในชีวิต มือซ้ายสยายผมไปด้านข้าง แต่สายตากลับมองไปทางขวา อ้าปากเผยอเล็กน้อยพอให้เซ็กซี่เหมือนนางแบบที่ถ่ายรูปลงนิตยสาร เอวบิดสี่สิบห้าองศาพอเป็นพิธี พอเดินมาจนถึงโต๊ะนักศึกษากลุ่มนั้น หล่อนก็สวมวิญญาณนางเอกละครไทยเหยียบเปลือกกล้วยอากาศลื่นล้มซะงั้น

                    โดยไม่ทันสังเกตว่า กระโปรงคู่ใจที่ใส่มาด้วยนั้น ตะเข็บด้านซ้ายปริแตกแคว่ก!ออกมา

                    วีรชัยและณภัคมนต์ตกใจแทบกรี๊ด เมื่อมองเห็นกางเกงในสีขาวลายแตงโมของเพื่อนสาวโผล่ออกมานอกรอยขาด ไม่เพียงแต่ทั้งสองคนที่เห็น ดูจากปฏิกิริยาของผู้ชายกลุ่มนั้นทั้งโต๊ะแล้ว…. ก็น่าจะไม่รอด

                    “เอ่อ เป็นอะไรมั้ยครับ” ชายเสื้อเขียวรีบเข้าไปพยุงตัวหล่อนด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ หรือเพราะเขาอยู่ใกล้สุด ก็ไม่อาจทราบได้

                    “ไม่เป็นไรค่ะ” ติณณาขยิบตากลับไป ไม่ทันเห็นว่า หนุ่มเสื้อเขียวและเพื่อนเขาทั้งโต๊ะกลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่

                    หล่อนคงเป็นคนเดียวในบริเวณนั้นที่ไม่รู้ถึงสถานการณ์และความจริง ติณณาเดินกลับผ่านไปยังห้องน้ำเพื่อให้สมจริง ทิ้งทุกคนไว้ด้านหลัง โต๊ะผู้ชายกลุ่มนั้นคงตกหลุมรักหล่อนทั้งโต๊ะแล้วสินะ

                    เฮ้อ อันที่จริงแล้ว ชีวิตหล่อนก็น่าหนักใจเหมือนกันนะเนี่ย

    --------------------

                    ความประหลาดใจเพียงอย่างเดียวในชีวิตของติณณาก็คือ หล่อนมั่นใจว่าคงมีผู้ชายหมายปองหล่อนมากมาย (ตามที่ณภัคมนต์พร่ำบอก) แต่ทำไมถึงไม่มีใครมีความกล้ามากพอจะเข้ามาสารภาพกับหล่อนบ้างนะ

                    “ถ้าเขาเข้ามาจีบแกเลย มันก็ดูเป็นผู้ชายเจ้าชู้ใช่มั้ยละ เขาเองคงอยากจะแอบมองแกห่างๆแบบนี้แหละ ผู้ชายบางคนก็เป็นแบบนั้น” เพื่อนสาวตอบหล่อนในขณะที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง

                    หอพักของติณณาเป็นหอพักหญิงล้วน แต่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่เรียนโรงเรียนประจำด้วยกัน รูมเมทของหล่อนก็คือ ณภัคมนต์ ทั้งคู่ไม่เคยแยกจากกันตั้งแต่อายุสิบเอ็ด ดังนั้นเตียงของทั้งคู่จึงอยู่ชิดกัน ติณณาชอบที่จะนอนเบียดณภัคมนต์ บางครั้งก็แย่งผ้าห่มเพื่อน แต่ณภัคมนต์ก็ไม่เคยบ่นเลย ออกจะขำด้วยซ้ำเวลาที่ตื่นมาแล้วเห็นผ้าห่มทั้งหมดกองอยู่ที่ติณณา

                    “แกพูดถูกเนอะ นี่ผู้ชายเสื้อเขียววันนี้อ่ะ ตอนออกจากร้าน เขายิ้มให้ฉันด้วยนะ” ยังอวดต่อ ณภัคมนต์ที่นอนอยู่เพียงแค่พยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไร

                    “พรุ่งนี้แกว่างใช่มั้ย ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ตอนคุยรายละเอียดอ่ะ” นึกขึ้นได้ถึงนัดที่จะต้องคุยวันพรุ่งนี้ จึงหันไปชวนเพื่อนสนิท ณภัคมนต์ทำเป็นยึกยักไปมา

                    “เอ๊ จะไปดีมั้ยน้า ขี้เกียจตื่นจัง” พูดจบก็เอาผ้าห่มคลุมโปงตัวเอง ติณณากระโดดลงเตียงไปดึงผ้าห่มให้เปิดขึ้น

                    “ไม่ต้องเลย ไปด้วยกันเลย ถ้าฉันถูกหลอกไปขาย จะทำไง” หล่อนโวยวายเล็กน้อย ณภัคมนต์หันมาแลบลิ้นใส่

                    “ดี! ฉันจะบอกเขาไปว่า เอาไปขายเลยค่ะ ตัวใหญ่ขนาดนี้ น่าจะชั่งได้หลายโล” สาวผมส้มแกล้งเพื่อนกลับ

                    “ว้าย! คนนะ ไม่ใช่กระต่าย!” ติณณาร้องเสียงหลง

                    “ฉันหมายถึง หมู! โว๊ะ” ณภัคมนต์โวยกลับ

    “อ้าว เหรอ” ติณณายิ้มเขินๆ ณภัคมนต์หัวเราะแล้วลุกขึ้นนั่งคุยจริงจัง

                    “ฉันไปอยู่แล้ว แกไม่ต้องห่วง ฉันเคยทิ้งแกที่ไหน” เพื่อนสาวบอกด้วยแววตายิ้มได้ ติณณาโผเข้ากอดเพื่อนทันที

                    “น่ารักที่สุด” ติณณาจินตนาการไม่ออกเลยว่า ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีณภัคมนต์แล้วชีวิตหล่อนจะเหงาะสักแค่ไหน

                    ณภัคมนต์ลูบผมเพื่อนสาวตัวน้อยอย่างแผ่วเบา

                    “ปิดเทอมนี้เรากลับบ้านกันมั้ย ฉันว่าจะกลับบ้านแหละ เดี๋ยวจะลองคุยกับทางรายการดูก่อนว่า พอจะมีวันว่างบ้างมั้ย”

                    “เอาสิ อยากกลับเหมือนกัน” ณภัคมนต์พยักหน้า ติณณายิ้มกว้าง ปิดเทอมนี้ต้องเป็นปิดเทอมที่สนุกในชีวิตแน่ๆ

                    โดยไม่รู้เลยว่า รายการนั้น “ไม่มีวัน” ให้หล่อนหยุดไปไหนหรอก

    --------------------

                    เป็นอีกครั้งที่ติณณาต้องมายืนอยู่หน้าอาคารพาณิชย์สูงแปดชั้นที่เดิมที่หล่อนเคยมาแคสติ้ง แต่วันนี้แตกต่างออกไป ติณณามาด้วยความมั่นใจในชุดเอี๊ยมยีนส์ เสื้อเชิ้ตสีขาวด้านใน ส่วนณภัคมนต์ที่บ่นกระปอดกระแปดว่าต้องรีบตื่นเลยไม่มีเวลาแต่งหน้ามากนัก ขอแต่งน้อยๆละกัน ณภัคมนต์ใส่เสื้อกล้าม กางเกงยีนส์สีดำขายาว ผ้าพันคอสีชมพูอ่อนผูกเป็นโบว์รอบคอ แต่งหน้าโทนสีส้มอ่อน กรีดอายไลเนอร์ตวัดขึ้นไปเกือบถึงคิ้ว แล้วปาดลิปสติกสีส้มจัดทับลงไป อ๋อ ใช่ ต้องไม่ลืมรองเท้าส้นเข็มสูงหกนิ้วด้วย

                    ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งคู่ก็ขึ้นมาชั้นแปดตามคำบอกของพนักงานต้อนรับด้านล่าง ชั้นบนสุดออกจะเงียบและวังเวงยิ่งในช่วงเวลาที่ไม่มีการแคสติ้งนักแสดงใดๆ บอกได้เลยว่า ยังกะอาคารร้าง

                    พอก้าวออกจากลิฟท์มา ทั้งคู่ก็ตรงไปยังห้องเพียงห้องเดียวที่ดูจะมีการเคลื่อนไหวมากที่สุด ห้องอื่นเป็นห้องโล่งๆไร้เฟอร์นิเจอร์และสิ่งมีชีวิต

                    ประตูไม้ด้านหน้าปิดสนิท ติณณาหันไปมองหน้าณภัคมนต์เป็นเชิงถามว่าควรเคาะดีหรือไม่ เพื่อนสาวย่นคิ้วส่งมาให้

                    “ฉันว่าบรรยากาศมันเหมือนตึกผีสิงเลยวะ” ณภัคมนต์พูดตามความจริง ติณณาเองก็รู้สึกไม่ต่าง มันทั้งเงียบเชียบ วังเวง นี่ถ้าอยู่ในหนังผี คงได้ยินเสียงเพลงหลอนดังคลอไปด้วย

                    “นี่ถ้าได้ยินเสียงระนาด หรือเห็นเงาวูบผ่านไปผ่านมา ฉันกลับก่อนนะ” ณภัคมนต์ผู้ไม่เคยกลัวอะไรนอกจากผีบอกไว้ก่อน ติณณาทำหน้าไม่ถูก ย่นจมูกตามด้วย แล้วทั้งคู่ก็ตาโตขึ้นพร้อมกัน เมื่อหล่อนได้กลิ่นหอมอะไรบางอย่างที่คุ้นเคย

                    “นี่ไม่ใช่กลิ่น…..ธูป ใช่มั้ย” ณภัคมนต์ถามคำที่อยู่ในใจหล่อน ติณณาขนลุกชันตามระเบียบ

                    “ทำอะไรน่ะ” เสียงถามดังขึ้นขัดจังหวะ ทั้งคู่สะดุ้งเฮือก หันไปมองด้านหลังของติณณา ปรากฏร่างของสตรีวัยกลางคน ซึ่งหล่อนจำได้ว่า คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเจอที่ไหน

                    “เอ่อ หนูชื่อติณณาค่ะ ที่เจ๊จวงเรียกให้มาวันนี้” พอมาเจอตัวจริงแล้วถึงกับไปไม่ถูก ติณณารีบหันกลับไปยกมือสวัสดีพร้อมกับณภัคมนต์

                    หญิงคนนั้นรวมผมหางม้า หน้าตาท่าทางดูเจ้าระเบียบไม่น้อย แลดูแล้วอายุน่าจะสี่สิบกว่าๆ จ้องมองติณณาและณภัคมนต์ตั้งแต่หัวจรดเท้า

                    “เข้ามาด้านในนี้ ส่วนเธอรออยู่ข้างนอก” หญิงคนนั้นบอกติณณา และสั่งทางสายตาให้ณภัคมนต์รอด้านนอก

                    “ไม่เอาหรอกค่ะ ขอหนูเข้าไปด้วยนะคะ กลิ่นธูปแรงขนาดนี้ เจ้าที่น่าจะดุ” ณภัคมนต์มองซ้ายมองขวาอย่างหวาดกลัว หญิงกลางคนถอนหายใจเบื่อหน่ายด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็มกำลัง

                    “กลิ่นน้ำหอมฉันเอง” ก่อนจะตอบด้วยเสียงเย็นยะเยือก

                    “อะอะไรนะคะ” สองสาวถามพร้อมกันพลางทำหน้าฉงน

                    “ไม่ใช่กลิ่นธูป กลิ่นน้ำหอมฉันเอง พวกเธอนี่ไม่มีรสนิยมเลยรึไง” กระแทกเสียงหงุดหงิดแล้วเปิดประตูเข้าไปทันที ติณณาไม่มีทางเลือกหันไปมองณภัคมนต์ที่ยังคงฉงนอยู่

                    “คนบ้าอะไรเอาธูปมาทาตัว” ณภัคมนต์บ่นเบาๆ ติณณาหลุดขำออกมาแล้วพยักหน้าให้เพื่อนนั่งรอหน้าห้อง ณภัคมนต์ที่หายกลัวแล้วเดินไปห้องฝั่งตรงข้ามซึ่งมีเก้าอี้โซฟาตั้งอยู่ ส่วนหล่อนก็เดินตามหญิงคนนั้นเข้าไป

                    หากว่าหน้าห้องน่ากลัวแล้ว ภายในยิ่งน่ากลัวกว่า ตัวห้องเป็นห้องปิดไม่มีหน้าต่างสักบาน แสงสว่างเพียงอย่างเดียวจึงมาจากดวงไฟสีส้มตรงกลาง ห้องขนาดเล็กไม่ใหญ่นัก ผนังปูด้วยวอลเปเปอร์สีเขียวลวดลายดอกไม้เหมือนภาพวาด เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นล้วนทำจากไม้ออกแบบอย่างหรูหรามีระดับ มีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ตรงหน้า หญิงกลางคนคนนั้นนั่งรอหล่อนอยู่แล้วบนโซฟาทางด้านขวา ติณณาจึงเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาฝั่งซ้าย หลังโต๊ะทำงานคือเก้าอี้ขนาดใหญ่สีดำ และเมื่อเก้าอี้นั้นหมุนมาด้านหน้าแสดงให้เห็นว่าใครนั่งอยู่ หล่อนก็อดตกใจไม่ได้

                    คือคุณปัทมา ที่หล่อนเจอเมื่อวันก่อน ผู้หญิงซึ่งดูน่ากลัวคนหนึ่งเท่าที่เคยเจอ

                    “สวัสดีค่ะ” อารามตกใจทำให้ติณณาทำตัวไม่ถูก จึงยกมือขึ้นสวัสดีไว้ก่อน ปัทมาไม่ตอบอะไร ได้แต่เชิดหน้าจ้องมองหล่อนผ่านหางตา

                    ความเงียบกินเวลาในห้องไปกว่าสองหรือสามนาที เมื่ออีกฝ่ายไม่พูด ติณณาจึงไม่มีอะไรจะพูดด้วย

                    “แนะนำตัวหน่อยสิ” ในที่สุด ปัทมาก็ปริปากพูดออกมา น้ำเสียงเย็นเหมือนลมหนาวริมทะเลสาบ

                    “เอ่อ ชื่อ ติณณาค่ะ” จงใจไม่ตอบชื่อเล่นออกมา คนฟังส่งสายตาเย็นเช่นเดียวกับน้ำเสียงมาให้

                    “ชื่อ โอ่ง ใช่มั้ย” หญิงกลางคนปัดคำตอบหล่อนก่อนหน้านี้ตกไป ติณณาจำต้องพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ

                    “จวงบอกว่า เธอมีทักษะการแสดงดี เธอคิดว่ายังไง” ปัทมาถามต่อด้วยแววตาแบบเดิม พอได้ยินคำชมแบบนั้น ติณณาก็ก้มหน้าอย่างเขินอาย

                    “ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ หนูแค่แถเก่งมากกว่า” หล่อนถ่อมตัวเหมือนอย่างเคย ปัทมาพยักหน้า

                    “ฉันก็ว่างั้นแหละ” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเช่นเคย แต่ติณณากลับรู้สึกเหมือนถูกดึงลงมาบนพื้นแบบฉับพลัน

                    “เธอเล่นละครโดยไม่มีบทได้มั้ย” ฝ่ายโน้นโยนคำถามมา ติณณารีบนั่งตัวตรงยิ้มกลับไป

                    “ได้ค่ะ” ไม่อยากจะโม้ว่าของถนัดหล่อนเลย ความสามารถในการจำบทของหล่อนนั้นดีเลิศแต่ก็ไม่เท่าไหวพริบในการแสดงหรอก

                    “ด้นสด?” อีกฝ่ายเอียงหน้าถามเพื่อความมั่นใจ ติณณาพยักหน้า

                    “ของหมูๆค่ะ” หล่อนตอบอย่างมั่นใจ ผู้ช่วยของปัทมาที่นั่งอยู่ด้านข้างแบะปากหมั่นไส้ ในขณะที่ปัทมาเพียงแค่ยิ้มมุมปาก

                    “งั้นฉันเข้าเรื่องเลยละกัน ฉันชื่อ ปัทมา เป็นผู้จัดละคร”

                    “คุณเคยเป็นดาราด้วย ใช่มั้ยคะ” ติณณาหลุดถามออกไปเมื่อหล่อนเพิ่งนึกออก คนถูกถามนิ่งไปสักพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้

                    “นึกแล้วเชียว หนูก็ว่า คุณหน้าคุ้นๆ” หญิงสาวพูดกับตัวเอง ฟังดูเป็นการกระซิบมากกว่า ปัทมาพูดต่ออย่างไม่สนใจ

                    “เมื่อสิบปีก่อน น้องสาวของฉันกับสามี ถูกฆ่าตายที่บ้านพักตากอากาศด้วยฝีมือของคนร้ายที่ตอนนี้ยังจับตัวไม่ได้” เมื่อหญิงวัยกลางคนเริ่มเล่า แววตาที่ดุดันก็ดูจะปวดร้าวขึ้นมาทันที

                    “คนร้ายคงต้องการสมบัติ นั่นก็คือ โฉนดที่ดินของเกาะน้ำวน และ วังกฤติกา ที่สามีของน้องสาวฉัน เป็นเจ้าของ” ติณณานึกภาพตามที่ปัทมาเล่า เกาะน้ำวน วังกฤติกา หล่อนรู้สึกคุ้นชื่อมาก เหมือนเคยเห็นหรือเคยอ่านจากที่ไหน

                    “คนที่รู้ที่ซ่อนของโฉนดนั่น คือ หนูปิ่น หลานสาวของฉัน ซึ่งตอนนั้นอายุแค่สิบขวบ แต่ยายอิ่ม แม่นมของหนูปิ่นพาหนีไปก่อนที่คนร้ายจะจับตัวไว้ได้ หนูปิ่นเลยรอดพ้นอันตราย แต่จนตอนนี้ผ่านไปสิบปีแล้ว ยังไม่มีใครเจอตัวหนูปิ่นเลย” ปัทมาส่ายหน้าด้วยแววตาเศร้าหมอง ติณณาเผลอยกมือขึ้นปิดปากไว้เพราะสะเทือนใจจากเรื่องที่ได้ฟัง

                    “คุณก็เลยอยากตามหาตัวหนูปิ่นใช่มั้ยคะ” หล่อนถามออกไป นึกถึงหัวอกคนเป็นป้าที่คิดถึงหลานสาวอย่างเป็นห่วงเป็นใย

                    “ฉันพยายามตามหาหนูปิ่น ตลอดสิบปีมานี้ ฉันต้องยอมเลิกเป็นดาราเพื่อจะมีเวลาตามหามากขึ้น” ปัทมาหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาซับน้ำตาตัวเอง ทำเอาติณณาอยากจะร้องไห้ตามไปด้วย ไม่ได้สังเกตว่าผู้หญิงที่นั่งข้างตัว ผู้ช่วยของปัทมาแอบอมยิ้มขำอยู่คนเดียว

                    “คุณคงเป็นห่วงหนูปิ่นมากเลยสินะคะ” หญิงสาวเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงตรงหน้าได้อย่างดี

                    “เป็นห่วงมากเลยล่ะ ถ้าหนูปิ่นเป็นอะไรไป แล้วใครจะหาโฉนดนั่นเจอ” ปัทมากล่าวด้วยแววตาแข็งกร้าว ติณณาสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย

                    “ฉันหมายถึง ฉันอยากให้หนูปิ่นกลับมาเร็วๆ จะได้ยกสมบัติทั้งหมดให้หนูปิ่นสักที รวมถึงโฉนดนั่นด้วย” ปัทมารีบเปลี่ยนท่าที ติณณาพยักหน้าเข้าใจ เอียงคอสงสัย

                    “ถ้าอย่างนั้น มันเกี่ยวอะไรกับ ที่หนูแคสติ้งเหรอคะ”

                    ปัทมาหันมองหน้าผู้ช่วย แล้วหันมาทางติณณาอีกครั้ง ใบหน้าดูจริงจังขึ้นมา และน้ำเสียงก็เย็นเฉียบอย่างเคย

                    “ฉันอยากให้เธอมารับบทเป็นหนูปิ่น หลานสาวของฉันที่กลับมา” ประกายตาของปัทมาไม่มีท่าทีล้อเล่นเลย ติณณางุนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะถามเสียงอ่อน

                    “หมายถึงให้หนูไปเล่น เป็นเด็กสิบขวบเหรอคะ” ผู้ช่วยของปัทมาหัวเราะพรืด หากแต่คู่สนทนาของหล่อนไม่ขำด้วย

                    “เป็นหนูปิ่นตอนโตสิ หนูปิ่นที่กลับมาแล้วไง”

                    “หนูไม่เข้าใจค่ะ คุณจะทำละครเรื่องนี้เหรอคะ แล้วทำไมถึงให้หนู….เดี๋ยวนะคะ คุณจะให้หนูไปหลอกคนในครอบคุณงั้นเหรอคะ” หล่อนเริ่มผูกเรื่องเข้าด้วยกัน จากที่เคยอ่านบทละครมาบ้างจึงเข้าใจอย่างไม่ยากเย็น

                    ปัทมาไม่ได้ตอบอะไรแต่พยักหน้ายืนยันว่าหล่อนคิดถูก

                    “เพื่ออะไร?” ติณณายังไม่เข้าใจเหตุผล หล่อนไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจเจตนาของผู้หญิงคนนี้

                    “โฉนดเกาะน้ำวนและวังกฤติกา ยังอยู่บนเกาะนั้น ฉันเชื่อว่า ภภีม พี่ชายบุญธรรมของหนูปิ่นจะต้องรู้ที่ซ่อนของโฉนด เพียงแต่ไอ้ภภีมไม่เคยคิดจะบอกใคร ฮึ! เพราะมันกะจะฮุบทุกอย่างไว้คนเดียวนะสิ” เมื่อพูดถึงชื่อนี้ แววตาของปัทมาก็ดูร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างประหลาด

                    “แต่หนูก็ยังไม่เข้าใจ แล้วการที่หนูปิ่นกลับไป มันจะช่วยอะไรได้คะ” ไม่รู้ว่าเพราะหล่อนสมองช้า หรือเพราะไม่เคยคิดจะหลอกลวงใครอยู่ในหัว จึงเกิดคำถามขึ้นมากมายเต็มไปหมด

                    “ถ้าหนูปิ่นกลับมา ภภีมก็จำเป็นจะต้องยกสมบัติและบอกที่ซ่อนของโฉนดนั้นให้แน่ๆ” ปัทมาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ประสานมือไว้บนโต๊ะ

                    “แต่นี่คือการหลอกลวงนี่คะ” ติณณาถามขึ้นมาตรงๆ ปัทมาหรี่ตามองหล่อน

                    “มันไม่ใช่การแสดง แต่มันคือการต้มตุ๋น อย่างนี้หนูทำไม่ได้หรอกค่ะ” หล่อนรู้สึกหน้าชาเหมือนมีใครมาตีแสกหน้าตรงๆ ความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทำงานแสดงหายไปสนิท หล่อนลุกขึ้นยืนโดยไม่ได้สนใจมารยาท

                    “ถ้าเป็นแบบนี้ หนูขอตัวละกันค่ะ” คิดในใจว่าคงต้องรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกณภัคมนต์ แล้วรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

                    “ทั้งหมดนี้ เป็นแค่เรื่องแต่ง” เสียงของหญิงผู้กุมอำนาจดังขึ้นหยุดขาทั้งคู่ของติณณาไว้

                    “ยังไงคะ หนูงงไปหมดแล้ว” หล่อนหมุนตัวกลับหันไปเผชิญหน้าด้วย ปัทมาจ้องมองหล่อนด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออกว่าต้องการจะสื่ออะไร

                    “นี่คือบทละครไงละ ฉันแค่แต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อจะใช้ถ่ายทำ” หญิงกลางคนลุกขึ้นนั่งตัวตรง เพื่อพูดเรื่องเครียดจริงจัง

                    “ถ่ายทำ? หมายความว่า เรื่องเกาะน้ำวน วังกฤติกา หนูปิ่น?

                    “ไม่มีจริง” ปัทมาพูดต่อ

                    “ฉันเล่าให้เธอฟังเพื่อจะพิสูจน์ว่า เรื่องฟังดูเป็นเรื่องแต่งรึเปล่า” พอได้ฟังคำอธิบาย ติณณาก็อ้าปากค้างออกมา

                    “ที่คุณเล่าเมื่อกี้ เอ่อ คือ คุณแค่….

                    “อยากรู้ว่าเรื่องน่าเชื่อถือมั้ยเฉยๆ” คนนั่งอยู่บนเก้าอี้ยิ้มกริ่ม

                    เพียงเท่านั้นติณณาก็ร้องว้าวออกมาโดยไม่มีเสียง หล่อนรีบเดินกลับไปนั่งที่เดิม

                    “อันที่จริง มันก็ยังดูแต่งๆไปบ้างนิดหน่อยนะคะ แต่ว่าคุณเล่าซะจนหนูเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องจริงเลยค่ะ หนูก็คิดแล้วเชียวว่าคุณคงไม่เลวร้ายถึงกับจ้างคนมาหลอกครอบครัวตัวเองเพื่อเอาสมบัติหรอก ใช่มั้ยคะ”

                    ปัทมากระแอมไอ ผู้ช่วยจึงต้องยกแก้วน้ำดื่มมาเสิร์ฟให้

                    “ฉันมีโปรเจคต์เป็นรายการเรียลลิตี้กึ่งละคร โดยเรื่องทั้งหมดก็เป็นอย่างที่เล่าให้เธอฟังนี่แหละ หนูปิ่นทายาทเพียงคนเดียวหายตัวไปเป็นสิบปี ก่อนจะกลับมาทวงสมบัติคืน ความตั้งใจของหนูปิ่นก็คือการตามหาโฉนดที่ดินที่ถูกซ่อนอยู่” ปัทมาเริ่มเล่าต่อเมื่อเห็นว่าติณณามีท่าทีสนใจมากขึ้น

                    “แต่หนูปิ่นรู้ที่ซ่อนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ” หญิงสาวขัดขึ้นด้วยเพราะหล่อนไม่เข้าใจเรื่องราว

                    “ก็ความจำเสื่อมไง หนูปิ่นความจำเสื่อม” ปัทมาฉุกคิดไปครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา และติณณาก็พยักหน้าเข้าใจ

                    “อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ อืม แต่แล้วมันจะมีเรื่องอะไรเหรอคะ ก็แค่ตามหาโฉนดที่ดิน ไม่น่าจะยาก” หล่อนครุ่นคิดเพราะยังนึกภาพไม่ออก ปัทมาโน้มตัวมาใกล้หล่อนมากขึ้น

                    “นั่นแหละ ความสนุกของมัน เพราะภายในวังนอกจากจะมีแค่หนูปิ่นแล้ว ยังมีคนอื่นๆอีก และแต่ละคนก็กระหายในสมบัติพอๆกัน ดังนั้น พวกมันจะต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางหนูปิ่นไงละ” ติณณาอ้าปากค้างเมื่อนึกถึงโครงสร้างของละคร ฟังดูแล้วก็น่าสนุกนะ

    “แต่มันเป็นเรียลลิตี้กึ่งละครยังไงคะ หนูไม่เข้าใจ” หล่อนย่นคิ้วถามอีกครั้ง ปัทมาลอบสบตากับผู้ช่วย แล้วจึงหันมาอธิบาย

    “เพราะนักแสดงทุกคนต้องสวมบทบาทเป็นคนๆนั้นตลอดเวลา 24 ชั่วโมง”

    24 ชั่วโมง!!” ติณณาร้องขึ้น หัวใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก หล่อนไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน

    “เพื่อให้สมจริง นักแสดงทุกคนจะต้องอาศัยอยู่ในนั้น กินนอนที่นั่นและสวมบทบาทเป็นคนๆนั้น ห้ามหลุดตัวจริงของตัวเองออกมาเด็ดขาด” หญิงกลางคนเล่าต่ออย่างกับไม่เห็นสีหน้าตกใจของติณณา

    “ทุกคนในนั้น ห้ามพูดเรื่องส่วนตัวของกันและกัน หมายความว่า เราจะไม่รู้จักตัวจริงกันเหรอคะ” หล่อนยังคงทำตาโตอยู่ด้วยเพราะไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน

    “ใช่ ห้ามทัก ห้ามท้วง ห้ามถาม คนที่เธอจะถามได้ คือฉันกับ มะลิ เท่านั้น” ปัทมาพยักเพยิดไปทางผู้ช่วยซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างติณณา มะลิพยักหน้าให้ติณณาราวกับเพิ่งเจอกัน

    “แต่คุณเป็นผู้จัดไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงอยู่ในรายการด้วย”

    “ดูแลความเรียบร้อยยังไงละ” ปัทมาตอบคำถามหล่อน มาถึงตรงนี้ ติณณาจึงหายข้องใจ

    “และฉันเองก็เล่นเป็นหนึ่งตัวละครในเรื่องนี้เหมือนกัน เล่นบทที่ฉันบอกเธอนั่นแหละ ป้าของหนูปิ่น” ปัทมาบอกหล่อนอย่างนั้น ติณณายังสงสัยว่า ที่จริงแล้วให้พวกทีมงานมาคอยดูแลความเรียบร้อยก็ได้นี่ ทำไมปัทมาจะต้องลงมาจัดการด้วยตัวเอง แต่คิดดูอีกที เขาอาจจะอยากกลับเข้าวงการก็ได้

    “แต่หนูก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมจะต้องแสดงละครตลอด24ชั่วโมงด้วยละคะ”

    “เราจะติดกล้องไว้ทั่ววัง ถ่ายทอดสดให้คนดูตลอด24ชั่วโมง เหมือนรายการเรียลลิตี้ร้องเพลงไง แต่นี่เป็นการแสดงละคร” ได้ยินตามนั้น ติณณาจึงร้อง อ๋อ ออกมาเบาๆ

    “แล้วยังไงต่อคะ ถ้ารายการเรียลลิตี้ก็จะเป็นการแข่งขันเพื่อหาคนที่ร้องดีที่สุด คนดูโหวตเยอะที่สุด แล้วรายการนี้?

    “เป็นรายการที่คนดูจะส่ง SMS มาโหวตเหมือนกัน และใครที่เล่นได้ดีที่สุด สนุกที่สุด อยู่จนจบ ก็จะได้รับรางวัลเซ็นต์สัญญาเล่นละครกับบริษัทของฉัน” คำตอบของปัทมาทำให้ติณณาแทบจะกระโดดโลดเต้น หล่อนอ้าปากค้างไปในทันทีเมื่อได้ยินว่าผู้ชนะจะได้อะไร

    “จริงเหรอคะ เยี่ยมไปเลย” ติณณาเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ยิ้มกว้างอย่างเดียว

    “ถ้าเธอตกลง ฉันจะอีเมลล์รายละเอียดของละครเรื่องนี้ รวมทั้งบทของเธอไปให้ สัปดาห์หน้าเราจะเริ่มถ่ายทำกันเลย” ปัทมากล่าวสรุป ติณณาเกือบจะพยักหน้าอยู่รอมร่อถ้าไม่ได้ยินประโยคสุดท้าย

    “สัปดาห์หน้า? ทำไมเร็วจังเลยคะ หนูยังไม่ได้เตรียมตัวทำอะไรหรอก” หล่อนร้องขึ้น

    “ไม่ต้องเตรียมตัวทำอะไรหรอก ขอแค่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับที่สุด ห้ามบอกใครแม้แต่เพื่อนสนิทเด็ดขาด” มะลิที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น ติณณากัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิด

    “ไม่ให้บอกใคร แต่หนูต้องบอกเพื่อนสิคะ เขาจะได้โหวตให้หนูได้” หล่อนท้วงขึ้นมา มะลิหันไปมองผู้เป็นเจ้านาย

    “ระหว่างนี้เป็นการเตรียมการ ฉันจำเป็นต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับที่สุด เพราะมันเป็นโปรเจคต์ใหญ่มาก ถ้าคู่แข่งรู้เข้าจะถูกขโมยไอเดียไปง่ายๆ ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไป เธอรับผิดชอบกับสิ่งที่จะตามมาไหวมั้ยละ” แววตาของปัทมาดูดุดันขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่าติณณาจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้ แต่หล่อนก็กลัวจะเสียเปรียบถ้าไม่มีใครช่วยโหวตให้

    “เดี๋ยวพอรายการเริ่มออนแอร์ เพื่อนเธอก็คงจะเห็นการโปรโมตทางโฆษณาเองแหละ ถึงตอนนั้น เพื่อนเธอคงโหวตให้ได้” มะลิช่วยเติมขึ้นมา สีหน้าของติณณาจึงดีขึ้น จริงสินะ ถ้ารายการออนแอร์เมื่อไหร่ ณภัคมนต์และวีรชัยคงจะรู้เอง

    “แล้วคนอื่นนอกจากหนู เขาเป็นใครกันบ้างเหรอคะ” หล่อนหันไปถามอย่างตื่นเต้น อยากเริ่มแสดงใจจะขาดอยู่แล้ว

    “สัปดาห์หน้า เธอก็จะรู้เองแหละ” ปัทมายิ้มมุมปาก ติณณาไม่รู้เลยว่า นั่นเป็นรอยยิ้มที่อันตราย และหล่อนควรจะถอยห่างจากเรื่องนี้ให้มากที่สุด แต่สิ่งที่หล่อนทำกลับตรงข้ามคือ ติณณาตั้งใจกระโดดลงเรือลำนี้ โดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลยแม้แต่น้อย 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×