คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : แสงสว่าง
“นั่นมันตัวอะไรน่ะ” ปีศาจร่างซีดเซียวค่อยๆเดินเข้ามาเรื่อยๆ ในมือขวาของมันมีดาบเล่มยักษ์ใหญ่อยู่ข้างกาย ฉันกระชับเคียวในมือแน่น ฟลุ๊คถอดเสื้อคลุมตัวนอกให้กุ้งห่มไว้ แล้วเดินเข้ามาข้าง ๆ ฉัน
“ไม่เป็นไรฟลุ๊ค ฝากดูแลกุ้งด้วยนะ” ฉันเองก็ไม่คิดว่าสู้ไปก็ชนะเหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่านั่งรอความตาย ฉันพุ่งเข้าไปปะทะกับมัน เสียงดาบปะทะกับคมเคียวดัง กิ๊ง ดาบเล่มใหญ่ถูกฟาดลงมาที่พื้นโบสถ์ ฉันหลบไปทางขวา แต่ดาบที่ควรจะลงไปกระแทกพื้นกลับเปลี่ยนทิศทางมาทางฉันอย่างแม่นยำ ไม่ทันที่จะตกใจ ดาบเล่มใหญ่ก็ปะทะกับเคียวเล่มยักษ์ แรงของมันมากจนต้านเอาไว้ไม่อยู่ ฉันลอยออกไปจนชนกับกำแพงโบสถ์ ยังไม่ทันที่จะตั้งตัว ดาบเล่มใหญ่ก็พุ่งเข้ามา
‘ตูม !’
“ฟิว...” พลาดไปนิดเดียว ฉันเบียดตัวออกห่าง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ตัดผมของฉันแหว่งไปนิดหน่อย ฉันงัดเคียวขึ้น คมเคียวถากตัวมันไปเล็กน้อย แต่ไม่มีรอยแผลใด ๆ ปรากฏขึ้นบนร่างของมันแม้แต่เล็กน้อย ฉันค่อย ๆ ยืนขึ้น มันลงดาบมาอีกครั้ง ฉันยกเคียวขึ้นเหนือหัว แล้วค่อยๆยันแรงของมันไว้ แต่ไม่ไหว เขาของฉันค่อยทรุดลงไปเรื่อยๆ แล้วแขนก็เริ่มรับแรงดาบไม่ไหวจนในที่สุด
‘กิ้ง...!’
“ฟลุ๊ค...” ฟลุ๊คเข้ามากันดาบออกจากตัวฉัน แต่ในมือของเขานั้นมีดาบอยู่อีกเล่มหนึ่ง ดาบนั้นมีคมถึงสองคม แล้วตรงด้ามเป็นปีกที่กางออกมา ข้างซ้ายเป็นปีกเทพสีขาวบริสุทธิ์ ส่วนข้างขวาเป็นปีกมารสีดำดูทรงอำนาจ
“ดาบนั่น...” นายไปเอามาจากไหนเนี่ย
“ตรงรูปปั้นนั่นน่ะ” อ๊ะ... ดาบที่เคยอยู่ในมือของรูปปั้นเทพ บัดนั้นถูกแงะออกมาแล้วเรียบร้อย
“นี่...นายไปขโมยของเขามาใช้หรอ”
“นี่...มันใช่เวลามาเถียงกันไหมเนี่ย” ขาดคำดาบของชาถูกเหวี่ยงออกไปด้านข้าง ฉันใครปลายแหลมของส่วนปลายเคียวแทงเข้าไปก่อนที่มันจะลงดาบมาอีกครั้ง มันถอยออกไปตั้งหลักไม่ไกลจากที่เราสองคนยืนอยู่
“เอาไง...” ฉันกระซิบถาม
“ก็คงต้องลุยอย่างเดียวแหละนะ” เราสองคนพุ่งเข้าไปหามัน ฉันกระโดดขึ้น...ถึงมันจะไม่สูงก็เถอะนะ แล้วคงคมเคียวสุดกำลังที่ฉันมี ส่วนฟลุ๊คอ้อมไปด้านหลัง แล้วใช้ดาบแทงขึ้นสวน ดาบของฟลุ๊ค...ดาบที่ฟลุ๊คแอบขโมยมา (น่าจะดีกว่า) ถูกแทงเข้าไปจนทะลุตัวปีศาจนั่น มันนิ่งไป 2 วินาที ร่างนั้นก็สลายไปเป็นทรายสีดำ
“มันไปแล้วหรอ” ฟลุ๊คลุกขึ้น
“ยังหรอก...” กระดิ่งที่ห้อยอยู่ที่หูของฉันยังคงเรืองแสงแรงกล้า มันอยู่ที่ไหน แล้วก็มีบางอย่างหยดลงมาบนพื้น ฉันก้มลงไปแตะๆดู เลือด ! เลือดสีแดงคล้ำจนเกือบดำ แล้วฉันก็เบิกตากว้าง
“ข้างบน” ช้าไปมันใช้ดาบพุ่งลงมาระหว่างเรา ฟลุ๊คกับฉันกระเด็นไปคนละทาง แล้วมันก็หันดาบมาทางฉัน แล้วพุ่งเข้ามาอีกครั้งฉันหันหอกเข้ารับ ฟลุ๊คกระโดดเข้ามาแล้วลงดาบใส่มันทันที แต่ไม่โดนร่างของมันหายไป แล้วเกือบจะทันทีที่มันหายไป ฟลุ๊คถูกบางอย่างที่มองไปไม่เห็นเฉือนไปทั้งตัว เลือดสาดกระเซ็นเกิดเป็นแผลมากมายบนร่างกาย ฟลุ๊คล้มลงแต่ดาบในมือขวายังคงยันไว้
“ฟลุ๊ค” ยังไม่ทันที่จะก้มลงดูอาการของฟลุ๊ค ดาบเล่มยักษ์ถูกวาดมาอีกครั้ง เคียวเล่มใหญ่ถูกยกขึ้นมากันไว้อีกครั้ง แต่แรงของมันทำเอาฉันกับฟลุ๊คลอยไปทางกุ้ง แล้วชนกางเขนใหญ่เข้าอย่างจัง
“เป็นไงบ้าง !” กุ้งรีบเข้ามาดูเราสองคนที่เพิ่งร่วงลงมากองอยู่ข้างล่าง ไม่ไหว...คนละระดับกัน สู้ไม่ได้... มันเตรียมจะพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ฉันกับฟลุ๊คบังกุ้งเอาไว้เหมือนเป็นโล่ แล้วมันก็พุ่งเข้ามา ฉันกับฟลุ๊คหลับตาลงรอรับการปะทะเต็มที กุ้งตาเบิกโพลงกว้างขึ้นเรื่องๆทุกครั้งที่มันใกล้เข้ามา
“ไม่นะ...” เสียงกุ้งดังแผ่วเบา แล้วหลับตาลงอย่างวาดกลัว
“ไม่...ไม่จริง ไม่” กุ้งตะโกนออกมา เสียงสีขาวออกมาจากร่างของกุ้ง มันส่องสว่างแต่ไม่แสบตา
‘กิ๊ง’
“เกิดอะไรขึ้น” ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น ดาบเล่มยักษ์ที่พุ่งเข้ามาชนกับอะไรบางอย่าง มันมองไม่เห็นแต่พูดได้คำเดียวว่ามันแข็งแรงมาก มากพอที่จะป้องกันแรงอันมากมายมหาสารของปีศาจร่างซีดเซียวนั่นได้ ไม่แค่นั้น ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ของฟลุ๊ค แล้วรอยขีดข่วนที่อยู่บนร่างกายฉันหายเป็นปกติ ไม่หลงเหลือซึ่งรอยแผลใดๆ ปีศาจนั่นถอยห่างออกไป แล้วมันก็นิ่งอยู่กับที่ วงเวทย์ที่ดำสนิทส่องสว่างอยู่กับพื้น แล้วทันใด คลื่นบางอย่างสีดำก็พุ่งเข้ามาเป็นทางยาวแล้วแรง แล้วมันก็ชนกับบางอย่างที่ปกป้องเราไว้ เหมือนกับบาร์เรีย จนคลื่นพลังนั่นหายไปหมด มันแกว่งดาบจากระยะไกล คลื่นลมจากดาบพุ่งเข้ามาแม้จะแกว่งดาบไปแค่ครั้งเดียว แต่...
‘กิ๊ง...กิ๊ง กิ๊ง กิ๊ง’ เสียงคลื่นปะทะกับบาร์เรียนับครั้งไม่ท้วนจน
‘เปรี๊ย...!’ บาร์เรียที่ห่อหุ้มร่างของเราสามคนนั้นเริ่มร้าว ดาบใหญ่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง
‘กิ๊ง’ บาร์เรียยังคงต้านไหว แต่มันก็เริ่มปริ บาร์เรียที่เริ่มร้าวบางส่วนแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆร่วงลงมาเหมือนดั่งเศษแก้ว
“ทำยังไงดี” ฉันหันไปทางฟลุ๊ค ฟลุ๊คทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“คิดไม่ออก...” กรรม ทันใดนั้นกุ้งก็หลับตาลงแล้วก็พูดประโยคๆหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว
“แอ๊บอาร์มาร์คุโนงิ คีเลสทีสอินนูกูโร ฟัลค์คอน” แล้วกุ้งก็สลบไป
“กุ้ง...!” ฉันเขย่าตัวกุ้งเบาๆ แสงสว่างพุ่งขึ้นมาจากหุ่นเทพที่อยู่ไม่ไกลจากเรานัก หุ่นนั้นเริ้มขยับ ปีกกว้างๆทั้งสี่กางออก แล้วยื่นมือมาทางเรา ดาบที่เคยแอบหยิบมาใช้เฉยๆเริ่มขยับ แล้วมันก็ลอยหาเจ้าของเดิมในที่สุด เมื่อดาบอยู่ในมือ เทพนั่นก็ไม่รอช้า พุ่งเข้ามาปีศาจร่างซีดเซียวทันที ปีศาจนั่นท่องมนต์อีกครั้ง สายพลังสีดำก็ตัวขึ้นจากพื้นจากนั้นก็พุ่งเข้าหาเทพสี่ปีก ปีกทั้งสี่ของเทพนั่นห่อหุ้มตัวเองไว้ แล้วพลังสีดำที่พุ่งเข้าใส่ก็แตกเป็นพลังสายเล็กสะท้อนกลับไปหาเจ้าของเดิมของมัน สายพลังที่พุ่งกลับไปเข้าโจมตีปีศาจตนนั้น เทพสี่ปีกพุ่งเข้าไปหามันแล้วฟาดดาบต่อเนื่องจากการโจมตีของสายพลังทันที ดาบยักษ์ถูกยกมาป้องกันดาบใหญ่ที่เล็กกว่าแล้วงัดดาบขึ้นสวนทันที แล้วจู่ๆเทพสี่ปีกก็ปรากฏตัวขึ้นอีกด้นหลังของมัน แล้ววาดดาบออกไปด้วยความรวดเร็ว แต่ปีศาจนั้นหลบได้ทัน แล้วพุ่งออกห่างจากเทพที่ต่อกรด้วย เทพสี่ปีกแทงดาบลงไปที่พื้น พื้นโบสถ์แตกออกเป็นทางยาวเข้าไปหาปีศาจเรื่อยๆ แล้วสายเชือกแสงออกพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินแล้วรัดมันไว้กลางอากาศ จากนั้นก็บินขึ้นไปด้วยความเร็วสูงแล้วเสียบดาบเข้าไปที่กลางหน้าอกของมัน แล้วแสงสว่างก็วาบออกมาจากตัวของปีศาจ ปีศาจนั่นกลายเป็นละอองทรายสีดำ แต่มันยังไม่จบ เมื่อทรายนั่นพุ่งขึ้นมาจากพื้นแล้วกลายเป็นร่างปีศาจอีกครั้ง มันวาดดาบใส่เทพสี่ปีกที่ไม่ทันระวังตัวจนกระเด็นไปชนประตูโบสถ์แล้วกระเด็นออกไป ศรพลังเวทย์แสงประมาณเกือบร้อยสายพุ่งเข้ามาในโบสถ์เตรียมเข้าปะทะกับปีศาจที่ยื่นมือออกไปข้างหน้า แล้ววงเวทย์สีดำก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ เมื่อศรเวทย์สีขาวปะทะกับวงเวทย์สีดำมันก็กระจายอกแล้วกลายเป็นละอองเวทย์สีขาวค่อนร่วงลงมาจากตำแหน่งต่างๆที่กระจัดกระจายออกไป
“สุดยอด...” ฟลุ๊คเผลออุทานออกมา
“แต่ว่าทำไมมันเก่งแบบนี้ แล้วจะชนะได้ไหมเนี่ย” ฉันเริ่มเอามือกุมหัวตัวเอง
เทพสี่ปีกบนเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง แต่ทีนี้มีร่างแสงอีกสี่ตนบินเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ในโบสถ์แห่งนี้ที่เริ่มมืดเพราะเทียบหลายต่อหลายเล่มเริ่มดับลงไป ร่างแสงทั้งที่พุ่งเข้ามาหาปีศาจนั่นเป็นสี่ทิศแล้วลงดาบพร้อมกัน ปีศาจนั่นบินขึ้นข้างบน แล้วเทพสี่ปีกก็บินเข้าปะทะกับมันกลางอากาศแล้วเทพแสงสามตนก็บินขึ้นข้างบนแล้วปะทะกับมันอีกสามแรง ส่วนเทพอีกตนบินเข้ามาหาเราแล้วค่อยๆสลายไป ละอองสีขาวเหลืองของแสงเข้ามาห่อบาร์เรียที่เกือบแตกเอาไว้ ไม่แค่เคลือบบาร์เรียเอาไว้ แต่กุ้งที่ยังคงสลบไสลกลับตื่นขึ้นมาอีกด้วย
“นี่...” เสียงของกุ้งเรียกความสนใจของพวกเราไปจากการต่อสู้ตรงหน้า
“กุ้ง...เป็นไงบ้าง” ฉันถาม
“นี่ฉันหลับไปนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย”
“ยังไม่ถึง 5 นาทีหรอก” ฟลุ๊คตอบ
“แล้ว...เทพนั่นมาได้ยังไง” ฉันกับฟลุ๊คต่างมองหน้ากัน
“อ้าว...?ไม่ใช่เธอเรียกมาหรอ” ฟลุ๊คถาม
“ไม่รู้สิ...ฉันจำอะไรไม่ได้เลย” กุ้งพูดพร้อมเอามือกุมศีรษะตัวเอง แล้วเราสามคนก็นั่งมองการปะทะกันของเทพสี่ปีกและปีศาจร่างซีดต่อไป ปีศาจร่างซีดเซียวกับเทพผู้ใช้แสงทั้งสี่ปะทะกันเกินแสงวิบวับจากกระกายดาบ แล้วแสงจากร่างแสงอีกสามตน ดาบทั้งสองปะทะกันดังกิ๊งๆ ท่ามกลางสายตาสามคู่ที่จ้องมองอยู่อย่างพวกเรา
“เร็วจัง” กุ้งพูด
“มองไม่ทันเลยนะ” ฉันหันไปยิ้มแห้งๆให้ฟลุ๊ค แล้วฉันก็นึกบางอย่างขึ้นได้
“จริงสิ...” ฉันถอดกระดิ่งรูปพระจันทร์ที่มาเป็นต่างหูได้อย่างไรไม่รู้ออก มันยังคงเรืองแสงสีแดงเหมือนว่ามันจะไม่มีวันดับ แล้วก็แก้ผ้าผูกผมออก ผมส่วนที่รวบไว้นั้นร่วงลงมาตามแรงธรรมชาติ ฉันเกี่ยวต่างหูกระดิ่งพระจันทร์ไว้ที่ผ้าผูกผม แล้วผูกผ้านั้นไว้ที่จุดเหนือสุดของปลายเคียว
“ขอให้มันเป็นแบบที่ฉันคิดเถอะ”
“อะไรหรอ” กุ้งกับฟลุ๊คพูดพร้อมกัน
“ฉันก็ไม่แน่ใจหรอก..แต่คิดว่าน่าจะจัดการกับเจ้านั่นได้น่ะ” กุ้งกับฟลุ๊คมองหน้าฉันแล้วทำหน้างงๆ ฉันลุกขึ้นแล้วพยายามเดินออกไปจากบาร์เรียที่ห่อหุ้มเราสามคนอยู่ แต่ทำยังไงมันก็ออกไปไม่ได้ เหมือนไม่ได้มีแค่ป้องกันสิ่งภายนอกเข้ามาแต่รวมถึงป้องกันกันไม่ให้เราออกไปด้วย แล้วจะทำยังไงดี ฟลุ๊คเข้ามาจับข้อมือฉัน พลางใช้มืออีกข้างสัมผัสกับบาร์เรียที่กันเราออกจากโลกภายนอกไว้ จากนั้น
“ฟริโอ” ไม่น่าเชื่อ...บาร์เรียที่ทั้งแข็งแรงและทนทานจะสลายลงง่าย กลายเป็นละอองแสงธรรมดาๆ
“ทำได้ไงน่ะ” ฉันหันไปถามฟลุ๊คด้วยความตกใจน่าดู ฟลุ๊คส่ายหน้า
“ไม่รู้เหมือนกัน” ฉันค่อยๆยืนขึ้น ในมือกระชับด้ามเคียวเล่มใหญ่แน่น แล้ววิ่งเข้าไประหว่างการปะทะกันของเทพสี่ปีกกับปีศาจร่างซีดจาง ยังไม่ทันที่จะถึงที่หมาย เทพสี่ปีกก็เสียท่าให้กับดาบเล่มยักษ์ ดาบใหญ่ถูกตวัดจากเบื้องบนปะทะเข้ากับดาบสองคมที่เล็กกว่า แรงเหวี่ยงซัดเทพสี่ปีกลงมากระแทกพื้น ฉับพลัน...รางเวทย์แสงทั้งสามก็หายไป แสงสว่างที่เรืองออกมาจากร่างเวทย์ทั้งสามหายไป ความมืดเริ่มกร่ำกรายอีกครั้ง แค่แสงเทียนเพียงน้อยนิดไม่อาจทำให้เห็นร่างปีศาจได้ เว้นแต่ถ้ามีแสงเรืองที่ออกมาจากกระดิ่งพระจันทร์การสะท้อนภาพปีศาจนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป มัยพุ่งเข้าไปหาเทพสี่ปีก ฉันวิ่งเข้าไปกระโดดตัวขึ้นแล้วเคียวเล่มใหญ่ก็ปะทะกับดาบเล่มยักษ์อีกครั้ง คลื่นพลังการปะทะกันก่อตัวแล้วกระจายออกเรียกลมแรงๆได้ระรอกหนึ่ง ทั้งฉันแล้วปีศาจนั่นต่างถอยออกมาด้วยความรวมเร็วหลังการปะทะ จากนั้นแสงจากวงเวทย์สีดำเริ่มเรืองออกมาอีกครั้ง แล้วสายพลังสีดำก็พุ่งออกมา...ทางฉันซึ่งเหงื่อเริ่มตก
“ว๊าย” ฉันวิ่งหลบพลังสีดำนั่นพัลวัน
“อย่างนี้ก็ขี้โกงน่ะสิ ฉันไม่ได้มีเวทย์มนต์นะยะ” การหลบสายพลังนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะเมื่อมันร่ายออกมาพร้อมกันหลายๆสาย อย่างนี้อย่าว่าแต่จะทำลายมันเลย ลำพังการเข้าประชิดตัวมันคงเป็นได้แค่ฝันซะแล้ว ฉันวิ่งหลบสายพลังสีดำนั่นไปเรื่อยๆ แล้วไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุดลง แล้วนัดสุดท้ายสายพลังมืดออกมาเป็นสิบๆสายเพื่อปิดฉาก ฉันค่อยๆขยับตัวถอยหลังไปเรื่อยแล้วก็ล้มลง ไม่ไหว...ไม่ทันแน่ๆ ไม่รอดแน่
‘ตูม..!’
“ฟิว...!” เอ๋ ไหงไม่รู้สึกเจ็บ ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง ปีก... ปีกทั้งสี่ปกป้องฉันและเจ้าของเอาไว้ แล้วก็ทำให้ฉันได้เห็นหน้าเขาอย่างถนัดตา ฉันตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ใช้มือสั่นๆค่อยชี้หน้าท่านเทพตรงหน้า
“นาย...”
ปีกทั้งสี่ค่อยๆหายไป เทพจากรูปปั้นค่อยๆยืนขึ้น กระชับดาบแน่น แล้วพุ่งเข้าหาปีศาจตรงหน้า สายพลังที่ดำออกมาจากจากวงเวทย์อีกครั้ง ท่านเทพหลบได้อย่างคล่องแคล่วกว่าตอนที่มีปีกงอกออกมามากมาย ไม่นานก็เข้าประชิดตัวปีศาจ ดาบเล็กตวัดขึ้นปะทะดาบใหญ่ ดาบใหญ่ลอยออกไปจากมือของปีศาจผู้เป็นเจ้าของ แต่จังหวะนั้นหมัดของปีศาจได้อัดเข้าไปเต็มๆกลางท้องของเทพสี่ปีกจนลอยละลิ่วออกไปไกล ฉันเข้าไปฟาดเคียวต่อทันที ถัดออกไปเทพที่ลอยอยู่จากแรงต่อย ใช้เท้ายันพื้นไว้แล้วกลับตัวพุ่งเข้าไปหาปีศาจที่ตอนนี้ไร้ซึ่งอาวุธ ฉันแล้วเทพสี่ปีกลงอาวุธพร้อมกับ ปีศาจร่างซีดเซียวยกมือขึ้นกันอาวุธของเราทั้งคู่
‘กิ๊ง’ เหมือนมีบางอย่างปกป้องปีศาจนั่นไว้ มันผลักมือทั้งคู่ออกข้างๆ แรงอัดอากาศผลักเราทั้งคู่ออกไปคนละทาง
‘ตูม !’ เราต่างกระแทกผนังโบสถ์กันคนละทาง ปีศาจนั่นยื่นมือไปทางดาบ แล้วดาบใหญ่ลอยเข้าหาเจ้าของ จากนั้น มันเข้าพุ่งมาทางฉันแต่ว่าช้ากว่าเทพสี่ปีก เทพสี่ปีกเข้ามาทางฉันแล้วกาปีกทั้งสี่ออก วงแหวนเวทย์กางขึ้นกลางอากาศแล้วศรแสงประมาณร้อยดอกก็ออกมา ปีศาจใช้มือวาดเป็นวงขนาดใหญ่ แล้ววงเวทย์สีดำก็ออกมาเป็นเกราะป้องกัน แม้จะไม่เข้าถึงตัวแต่ด้วยแรงปะทะทำให้มันค่อยๆเคลื่อนออกไปเรื่อยๆจนห่างจากเราพอสมควร เทพสี่ปีกดึงฉันที่นอนกลิ้งจากแรงกระแทกอยู่ขึ้นแล้วก็เอามือมาลูบหัวฉัน
“นี่...ถึงนานจะเป็นเทพก็ไม่มีหมายความว่าฉันจะให้นายลูบหัวฉันเล่นหรอกนะ” เทพนั่นยิ้ม จากนั้นก็ท่องอะไรที่ฉันฟังไม่รู้เรื่องออกมา
“แอ๊บอาร์มาร์เอจิทาลิลิส เพร็พ เอ๊กซิโม” แล้วก็เกิดแสงสีเหลืองสว่างขึ้นแล้วห่อหุ้มร่างกายของฉันเอาไว้ จากนั้นก็หายไป แล้วเราสองคนก็ตั้งท่าจะลุยกับปีศาจนั่นอีกครั้ง
“พร้อมนะท่านเทพ” ฉันพูด เทพสี่ปีกพยักหน้า จากนั้นเราก็พุ่งเข้าไปหาปีศาจ
“เบาจัง” ฉันพูดกับตัวเองรู้สึกว่าร่างกายมันเบาขึ้นถนัดตาแล้วก็เคลื่อนไหวได้คล่องขึ้นเยอะ ดาบเล็กและเคียวเล่มใหญ่เข้าปะทะดาบใหญ่พร้อมกัน แล้วจู่ๆเทพสี่ปีกก็หายไปอยู่ด้านหลังมัน เราลงอาวุธพร้อมกันอีกครั้ง
‘กิ้ง’ บาร์เรียอันใหญ่ถูกร่ายขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเปลี่ยนไป บาร์เรียนั่นพอถูกกระแทกก็เริ่มร้าวแล้วทะลุในที่สุด แต่เคียวขนาดใหญ่นั้นกลับไม่โดนตัวของปีศาจเป้าหมาย มันลอยขึ้นข้างบนเพื่อหลบดาบเล็กแล้วเคียวที่อยู่ในกำมือของฉัน กระโดดขึ้นไป...สูงกว่าเดิมนิดหน่อย แต่มันก็ยังไม่พอที่จะเกี่ยวมันลงมาชำแหระได้ แม้ว่าเคียวเล่มนี้จะใหญ่ก็ตามที ฉันก้มลงสุดแล้วกระโดดขึ้นอีกที ได้ผล...ไม่อยากเชื่อว่าฉันจะกระโดดได้สูงขนาดนี้ แต่...สูงเกินไปแล้วน๊า
“กรี๊ด...สูงเกินไปแล้ว”
“นี่จะแหกปากทำไมเล่า”
“อ้าว...!” ฟลุ๊คจับฉันกระโดดขึ้นมาบนนี้ โถ่...ก็นึกว่าโดดสูง เราสองคนพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนประจันหน้ากับปีศาจนั้นแล้วก็...พุ่งต่อไป
“เลยแล้ว...” ปีศาจนั่นมองตามขึ้นมา เราขึ้นไปสูงมากกว่าที่จำเป็นมากมายจนแทบจะชนเพดานโบสถ์
“รู้แล้วล่ะน่า...จอดละนะ”
“หา...อย่าบอกนะว่านายจะ...” ฟลุ๊คยิ้มให้ฉันหนึ่งครั้ง
“กรี๊ด.....” ปล่อยฉันลงกลางอากาศ แรงดึงดูดของโลกลากฉันลงพื้นโบสถ์แล้วกำลงพุ่งเข้าหาปีศาจนั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฉันใช้มือทั้งสองข้างจับที่ด้ามเคียวยักษ์เอาไว้ แล้วกดมันลงเต็มที่ คลื่นพลังจากแรงปะทะกระจายตัวออกไป กระจกสีแตกอกเป็นเสี่ยงๆ เปลวเทียนที่เหลืออีกไม่มากนักดับหมด ไม้กางเขนยักษ์ที่ถูกขึงตายไว้กับผนังโบสถ์ก็หลุดออกแล้วร่วงลงสู่พื้น
‘ตูม’ การปะทะกันยังคงดำเนินต่อไป คลื่นประจุพลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มีท่าทีว่าใครจะชนะ แล้วศรแสงก็พุ่งขึ้นมาจากด้านล่าง แล้วปะทะเข้ากับบาร์เรียที่ถูกกางไว้จนเกิดเป็นรอยร้าวและเริ่มปริ เคียวเล่มใหญ่ค่อยๆเจาะเข้าไปทีละเล็กทีละน้อย แสงจากกระดิ่งพระจันทร์เริ่มส่องแสงแรงขึ้นจนบริเวณใกล้เคียงนั้นสว่างไสว แล้วบาเรียร์ก็แตกออก คมเคียวปะทะร่างของปีศาจจนร่างซีดเซียวค่อยๆสลายไป จบกันสักที แล้วฉันก็นึกขึ้นได้
“กรี๊ด.....” ถ้ามันตายฉันก็ร่วงนะสิ
“แม่จ๋าพ่อจ๋าช่วยลูกด้วย” มือทั้งสองพยายามตีปีกอย่างสุดความสามารถ แต่ว่ายิ่งทำยิ่งรู้สึกเหมือนยิ่งดิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น
“ม่าย... ไม่ ไม่ ไม่นะ” จะถึงพื้นแล้ว
‘วูบ’ ฉันถูกหอบไปอีกทางก่อนที่จะดิ่งลงพื้น ฉันมองขึ้นไปด้านบน ปีกทั้งสี่กำลังโบกบินอยู่กลางอากาศ เขาพาฉันลอดประตูโบสถ์ออกมาภายนอกที่ยังคงมืดแต่แสงแดดจากดวงอาทิตย์ก็คงจะกร่ำกรายเข้ามาในไม่ช้า แล้วร่อนลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิง โฮะโฮะโฮะ ฟลุ๊คพากุ้งออกมาภายนอก ป่าสนตอนแรกหายไปแล้ว เหลือเพียงกลุ่มเมฆขนาดใหญ่แล้วหน้าผาที่สูงชันทีด้านล่างนั้นเป็นทะเลเมฆไกลสุดลูกหูลูกตา แสงแดดค่อยๆส่องสว่างขับไล่ความมืดมิดออกไป พร้อมกับดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆลอยขึ้นมาเหนือกลีบเมฆ สายลมเย็นเข้ามาปะทะร่างที่เหนื่อยล้าทำให้รู้สึกสดชื่นและมีพลังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“จบแล้วสินะ” ฉันพูดขึ้นมาลอยๆ
“ยังไม่จบหรอก” ฉันหันไปทางต้นเสียง เทพสี่ปีกที่เพิ่งจะเริ่มปริปากพูดตั้งแต่ได้พบกัน เขาหันมาทางพวกเราหลังจากเก็บปีกทั้งสี่ไป กุ้งแล้วฟลุ๊คทำหน้าเหวอไปสักพัก... ไม่ต่างจากตอนที่ฉันได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆครั้งแรก เหมือนกันอย่างกับถอดแบบ...
“ฟลุ๊ค...ฟลุ๊คมีญาติเป็นเทพหรอ” กุ้งหันไปถามฟลุ๊ค
“เธอจะบ้าหรอ...เราจะไปมีญาติเป็นเทพได้ยังไงกันเล่า” ฉันแล้วกุ้งพยักหน้า
“หรือจะเป็นดอปเพลเกงเกอร์” ฉันพูดบ้าง
“ที่คนหนึ่งเจออีกคนแล้วต้องตายน่ะหรอ” กุ้งเสริม
“นี่พวกเธออย่าพูดอะไรน่ากลัวๆแบบนั้นสิ”
“งั้นนายก็คงคนใกล้ถึงเวลาแล้วล่ะฟลุ๊คเพราะท่านเทพนี่คงไม่ตายหรอก” ฉันพยักหน้ากับความคิดของตัวเอง กุ้งยิ้มแห้งๆ
“พวกเจ้าเลิกเถียงกันได้แล้ว...ทำตัวเป็นเด็กๆ” ฉันหันมาก้มหัวเป็นเชิงของโทษท่านเทพสี่ปีก
“เจ้าก็คือข้า...แต่ข้าไม่ใช่เจ้า” ทุกคนทำหน้างงกันเต็มที่
“ข้าชื่อฟัลค์คอน เป็นเทพแห่งแสงสว่างของที่นี่”
“แล้วที่นี่ที่ไหน...” ฟลุ๊คถาม
“ที่นี่คือ ซอมเนียม เทลลัส” เอ้าๆแข่งกันงง
“อะไรรัดๆนะ” ฉันถามใหม่
“เอาเป็นว่าสำหรับพวกเจ้า มันก็คือโลกแห่งความฝนนั้นแหละ”
“แล้วที่บอกผมคือท่าน แต่ท่านไม่ใช่ผมล่ะ” ฟลุ๊คถามต่อ ฉันและกุ้งก็หันไปทำตาปริบๆใส่
“เจ้าเกิดมาจากเสี้ยวหนึ่งของจิตใจของข้า ก่อนที่ข้าจะถูกสาปให้เป็นรูปปั้น ข้าได้ถอดจิตของข้าและเพื่อนๆออกจากร่างมาส่วนหนึ่ง แต่ข้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าจิตของข้าไปอยู่ ณ แห่งใด จนวันนี้” เราสามคนพยักหน้า
“ข้าต้องขอบคุณเจ้า” ท่านเทพเดินเข้าไปก้มหัวงามๆให้กับกุ้ง เล่นเอากุ้งก้มตอบแทบไม่ทัน
“แล้วที่ท่านว่ามันยังไม่จบคือ...?” ฉันเป็นฝ่ายถาม
“นั่นเป็นปีศาจที่น่ากลัวที่สุดของโลกใบนี้ ปีศาจที่สาปข้าและเพื่อนให้กลายเป็นรูปปั้นหินสลัก นั่นไม่ใช่ร่างจริงของมันเป็นแค่ร่างจำแลง มันสามารถออกไปจากโลกนี้ได้ถ้าได้รับพลังจากแสงจันทร์เต็มดวง”
“แค่วันพระจันทร์เต็มดวง...แต่ทำไมถึงได้เจอกับมันบ่อยจัง” ฉันเถียงใส่
“เจ้าเคยพบกับมันรึ” ฉันพยักหน้า...
“พระจันทร์ที่นี่น่ะ เต็มดวงในรอบสามปีเป็นเวลาสองเดือน” สองเดือน...!
“พวกเจ้าจงระวังไว้ให้ดี แล้วเพื่อนของเจ้าอีกเก้าคนก็กำลังตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน...”
“แล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าใครเป็นจิตของเพื่อนๆท่าน” ฉันแย้ง
“ใครก็ตามที่ถูกมันหมายหัวไว้ นั่นก็คือเหล่าเพื่อนๆของข้า เอาล่ะได้เวลาที่เจ้าต้องกลับไปยังที่ๆพวกเจ้ามากันแล้ว” เทพฟัลค์คอนชูมือขึ้นเหนือศีรษะของเราทั้งสามคน ปีกทั้งสี่กางออกจนสุด แสงสว่างจากวงแหวนเวทย์เบื้องล่างเรืองขึ้น แล้วมนต์ก็ค่อยๆทยอยออกมาจากปาก
“แอ๊บอาร์มาร์อิวบาร์ อะบิวโกเอคเควียอัคโทริต้า เทลลัสไฟดัส ฟัลค์คอน เซเฟียว” แล้วก็มีแสงสว่างวูบขึ้น จนเราหายไปจากตรงนั้น แต่ยังมีอีกคนที่ยืนหันซ้ายหันขวาอย่างงงๆ
“อ้าว...?แล้วฉันล่ะ” กุ้งยังยืนหันซ้ายหันขวาขณะที่ฉันและฟลุ๊คหายไปหมดแล้ว แล้วทันใดนั้น เทพฟัลค์คอนก็เดินเข้ามาสวมกอดกุ้งอย่างเบาบาง
“ท่านจะทำอะไรน่ะ” หน้ากุ้งเริ่มออกแดง แล้วเริ่มดิ้นออกจากพันธนาการของเทพผู้หล่อเหลา แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าอีกร่างมันดูเฉยๆนะ
“ข้าของอยู่แบบนี้สักพักได้ไหม” กุ้งหยุดการดิ้นลง อยู่เฉยๆ
“ข้ารอเจ้ามานานหรือเกิน คุโนงิ”
“อ...เอ๋ คุโนงิหรอคะ...”
“ข้าจะรอ รอจนกว่าจะได้พบร่างที่แท้จริงของเจ้าอีกครั้ง คุโนงิ” แล้วคำมนต์ก็ค่อยๆออกมาจากปากของเทพสี่ปีกอีกครั้ง
“อัคโทริต้า คุโนงิ” แสงสว่างวาบอีกครั้ง ร่างของกุ้งค่อยๆกลายเป็นละอองสีขาว แต่ก่อนจะหายไปหมด กุ้งสวมกอดเทพฟัลค์คอนตอบ จนร่างค่อยๆสลายไปคาอ้อมกอดของเทพสี่ปีก ฟัลค์คอนมองขึ้นไปบนฟ้าเบื้องบน แสงแดดเริ่มส่องแสงแรงกล้ามากขึ้น และเขาก็บินหายไปจากตรงนั้น
“อ๊ะ...” เปลือกตาที่เคยปิดสนิทของฉันลืมขึ้นอีกครั้ง ในห้องสีฟ้าใสที่แดดยามเช้าและเสียงนกลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ฉันค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนเตียง เหมือนยาวนานเหลือเกินจากการหลับฝันครั้งนี้ แต่มันกลับผ่านไปเพียงชั่วข้ามคืน ฉันหันไปทางกุ้งที่ยังคงหลับตาอยู่ แต่น้ำตาค่อยๆไหลออกมาจากหางตาเป็นทาง ฉันเริ่มสะกิดกุ้ง แพขนตาหนาค่อยๆขยับอย่างช้าจนตื่นเต็มตา
“ ฟิว...”
“อรุณสวัสดิ์จ๊ะ” ฉันยิ้มให้กุ้งขณะที่กุ้งยังคงงงและสับสน
“ฝันไปหรอกหรอ...ดีจัง”
“อื้ม...แค่ฝันไปน่ะ แต่ว่า...จะอธิบายยังไงดีล่ะ” กุ้งเริ่มเอียงคอไม่ค่อยเข้าใจที่ฉันพูดเท่าไหร่
“เอาเป็นว่าความฝันนั้นเกิดขึ้นจริงๆแล้วกัน” แล้วกุ้งก็หน้าเริ่มขึ้นสีขึ้นเรื่อยๆ
“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า...หน้าแดงเชียว” กุ้งสะดุ้งขึ้นเพราะโดดทัก
“เปล่าจ๊ะ...ไม่มีอะไร” ฉันยังคงยิ้มแบบงงๆ แต่ก็เอาเถอะแค่ไม่มีใครเป็นอะไรไปก็ดีแล้วล่ะ
“จริงสิ...วันนี้มีการจัดงานวิทยาศาสตร์นี่นา...แต่เดี๋ยว...วันนี้วันอะไร”
“วันพุธไงเล่า” กุ้งพูดแล้วก็หยิบปฏิทินบนหัวเตียงมาให้ดู
“เห้อ...ไม่ได้ฝันไป เอาล่ะๆ เตรียมตัวไปลุยงานกัน” พูดจบกันกับกุ้งก็แยกกันไปเตรียมตัว แต่ขณะนั้นในหัวของฉันยังคงคิดเรื่องที่ผ่านมา แม้จะเป็นเพียงแค่ความฝัน หรือมันอาจจะเกิดขึ้นจริง จะเป็นอย่างไรที่มีใครเกิดเป็นอะไรไป ฉันฉันก็หยุดการกระทำทุกอย่างลงเมื่อจมสู่ห้วงคิด แล้วฉันก็เงยหน้ามองกระจกในห้องน้ำ ฉันต้องไม่กลัว ไม่ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าฉันแล้วเพื่อนๆจะต้องแบกรับภาระที่เกินกว่าเด็กม.ปลายจะทำได้ แต่ถ้าเราทั้งหมดช่วยกันยังไงก็ต้องผ่านมันไปได้แน่นอน
“สู้ต่อไป...” แล้วฉันก็ตะโกนขึ้น กุ้งสะดุ้งหันมาทางฉัน ฉันฉีกยิ้มให้กับกุ้ง จากนั้นเราก็เดินออกจากบ้าน มุ่งหน้าสู่โรงเรียน มุ่งสู่การผญจภัยของพวกเรา
ความคิดเห็น