ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dangerous's DREAM ล่าฝันซาตาน

    ลำดับตอนที่ #3 : ปีศาจ

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 52


                    ‘ปัง’ เสียงลังกระดาษร่วงสู้พื้นที่ส่งเสียงดังไปทั่วบริเวณ ผู้คนทั้งหลายต่างวิ่งกรูเข้ามาดู ฉันและไอซ์รีบวิ่งเข้าไปหากุ้งที่อยู่ห่างออกไปสักประมาณ 2 เมตรจากที่เกิดเหตุ ไม่ใช่เพราะถูกแรงกระแทกจากกล่อง แต่เพราะถูกใครบางคนพาไป
                    “ฟลุ๊ค” ฟลุ๊คลุกขึ้นแล้วดึงกุ้งขึ้นมาด้วย กล่องที่วางองอยู่บนพื้นนั้นยับไม่เป็นท่า เหมือนกับมีบางอย่างที่ตกใส่มันจนบี้แต่มองไม่เห็น 
    “ขอบคุณนะ” กุ้งหันไปมองฟลุ๊ค แล้วก็ส่งยิ้มให้
    “ไม่เป็นไรหรอก วันหลังหัดสังเกตุสิ่งรอบข้างบ้างสิ ไปแล้วนะ...ยุ่ง ๆ อยู่” ฟลุ๊คพูด
    “ขอโทษค่ะ” กุ้งก้มหัวลงเล็กน้อย แล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ แล้วฟลุ๊คก็เดินจากไปทำธุระของเขาต่อไป
    “ฟลุ๊คขอบคุณมากนะ” กุ้งตะโกนไล่หลัง เราสามคนโบกมือให้ฟลุ๊ค ไอซ์กับกุ้งยังคุยกันต่อเรื่องที่กล่องใส่ของนั่นตกลงมาอย่างแปลกประหลาด แต่ฉันเขาไปดูที่กล่องลังนั่นใกล้ๆ รอยประหลาดเหมือนรอยข่วนสี่รอยประทับอยู่บนนั้น ฉันมองมันอย่างใช้ความคิดก่อนที่จะถูกไอซ์และกุ้งดึงออกมาจากห้วงคิด
    “ไปกันเถอะ” กุ้งบอก
    “ไม่เป็นไรนะกุ้ง” ฉันถามกุ้งอีกครั้ง
    “ไม่เป็นไร” กุ้งส่ายหน้าแล้วเดินนำเราไปที่เคาเตอร์จ่ายเงินของห่างที่อยู่ไม่ไกลมากนัก จากนั้นเราก็ต้องฝ่าสงครามแม่บ้านราคาประหยัดกันอีกครั้ง ซึ่งมันค่อนข้างจะหนักหนากว่าเดิมมากมาย เพราะของที่เราหอบออกมาก็ใช่น้อยๆ แต่ก็เอาเถอะถ้าเทียบกับเรื่องที่ผ่านมาสดๆใหม่ๆมันก็เล็กน้อยมาก แต่ฉันรู้สึกเป็นห่วงกุ้งพิกลจริงๆ ฉันส่งกุ้งขึ้นรถกลับบ้าน  แล้วก็ช่วยไอซ์หอบของขึ้นรถกลับบ้าน จนไอซ์ลงจากรถมีคนมารับไอซ์ที่ป้ายรถเมล์ ฉันโบกมือลาไอซ์แล้วก็นั่งรถต่อไปเรื่อยๆ ถึงบ้าน ฉันรีบเข้าไปในบ้าน...พอเปิดประตูเข้าไปกลับไม่มีใครอยู่บ้าน ในบ้านยังคงมืดแล้วก็เงียบ ที่จริงแล้วมันเป็นปกติเวลาที่ไม่มีใครแล้วจะเงียบแล้วก็มืด ลองมันสว่างสิฉันจะได้วิ่งออกจากบ้าน ฉันขึ้นไปบนห้องของฉันแล้วก็รื้อค้นของมากมาย ของที่จำเป็นสำหรับแผนการที่ฉันวางไว้ 
    “ต้องใช้อะไรบ้างนะ” ฉันหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมา แล้วก็วิ่งเข้าห้องน้ำ หยิบแปรงสีฟัน โฟมล่างหน้า อะไรอีก...ผ้าขนหนู แล้วก็วิ่งออกมาที่ตู้เสื้อผ้า
    “ตัวไหนดีนะ...อ่อ เสื้อนักเรียนด้วย” เอาเป็นว่าฉันหยิบของใช้ที่จำเป็นเข้ากระเป๋าทั้งหมด แล้วหยิบกระดาษจดข้อความแผ่นเล็กๆขึ้นมา เขียนข้อความบางอย่างลงไปแล้วแปะไว้บนตู้เย็น ‘ขอโทษนะคะ..ไปทำงานวิชาคณิตที่บ้างกุ้ง อาจจะค้างที่นั่นไม่ต้องเป็นห่วง‘
     
    “ติ๊งต๋อง” เสียงกริ่งบ้านดังขึ้น 
    “ค่า” กุ้งรีบวิ่งไปที่ประตูบ้าน แล้วเปิดประตูออก
    “อ้าว...ฟิว” 
    “ขอโทษที่มารบกวนนะ” กุ้งทำหน้าเอ๋อๆไปนิดแล้วก็ยิ้ม
    “ไม่เป็นไรจ๊ะ เข้ามาสิ” 
    “กุ้ง...ใครมาน่ะลูก” แม่ของกุ้งชะโงกหน้าออกมาจากห้องครัว มือของเขากำลังใช้ที่ปีแป้งตีแป้งอยู่ในชามแก้ว
    “ฟิวมาค่ะแม่” 
    “อ่อ...ฟิวเองหรือจ๊ะ ดีเลยมาทานข้าวด้วยกันสิ”
    “ขอรบกวนด้วยนะคะ” ฉันยกมือไหว้แม่กุ้ง ก้มหัวเล็กน้อยแล้วเดินขึ้นไปบนห้องของกุ้ง ห้องของกุ้งอยู่ชั้นสองทางขวามือ กุ้งเป็นลูกคนเดียว ห้องก็เลยกว้างเป็นพิเศษ ข้างในตกแต่งด้วยสีฟ้าใส ทุกอย่างๆ ทั้งผ้าปูที่นอน ชั้นวางของแล้วก็ยังเบาะเก้าอี้ ฉันเคยมาบ้างกุ้งบ้างแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะมา ‘ค้าง’
     
    “ค้างหรอ...ได้สิไปบอกแม่ก่อนนะ” แล้วประตูห้องที่เปิดอยู่ก็ปิดลง ฉันเดินไปเดินมารอบๆห้องของกุ้ง แล้วก็นั่งลงเบาะสีฟ้า ข้างๆเป็นเตียงนอนที่มีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ ที่คั่นหนังสือคั่นไว้ที่ 327 ฉันเปิดขึ้นอ่าน มันเป็นหนังสือนิยายน่ะ 
     
    เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ดั่งเบื้องบนกำลังพิโรธหนัก สายลมพัดแรงจนต้นไม้รอบๆด้านแทบจะถูกถอนออกมาจากพื้นดิน พายุใหญ่กำลังจะพักโหมกระหน่ำในไม่ช้า แล้วไม่นานฝนห่าใหญ่ก็ร่วงลงสู่พื้น อุสึอิ (ชื่อตัวละครในนิยายที่อ่านจ๊า) วิ่งเข้าไปหลบฝนที่กำลังเทกระหน่ำในโบสถ์แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล อุสึอิถอดปกฮู๊ดที่ใส่อยู่ออก แล้วยืนตาค้างกับความสวยงามของโบสถ์ แต่ว่าบานประตูโบสถ์นั้นเปิดขั้นอีกครั้ง ยักษ์ตาเดียวก็ประกฎตัวขึ้น ความสูงของมันประมาณ 2 เมตรได้ แต่นั้นหมายถึงอีกแค่ 10 เซนติเมตรอุสึอิก็จะสูงเท่ามันแล้ว อุสึอิ ดึงดาบออกมา แล้วก็พุ่งตรงเข้าหามันทันที 
     
     อืม...สนุก! สนุกจนอ่านวางไม่ลงเลยล่ะ ฉันยังคงใจจดใจจ่อกับการอ่านหนังสือนิยายเล่มนั้นอยู่ มันเป็นหนังสือผจญภัยกึ่งสยองขวัญ เพิ่งรู้เหมือนกันว่ากุ้งชอบอ่านหนังสือแนวๆนี้ จนกุ้งเดินเข้ามาฉันก็ยังไม่รู้เรื่อง 
    “ฟิว...ไปทานข้าวกัน” กุ้งเข้ามาดึงแขนฉัน ฉันเอาที่ขั้นหนังสือเหน็บไว้หน้าเดิม แล้วก็วางมันไว้บนเตียงเหมือนเดิม ฉันถูกกุ้งลากลงมาที่โต๊ะอาหารด้านล่าง แม่และก็พ่อของกุ้งก็นั่งอยู่ด้วย แหะๆ...แต่ฉันเกร็งๆนะ อยู่ในวงของครอบครัวเขาเนี่ย 
    “ทานเลยนะฟิว ไม่ต้องเกรงใจ” ฉันยิ้มให้กับแม่ของกุ้ง แล้วก็ตักซุปไก้เข้าปาก ...อร่อย ! ถึงแม้จะเป็นอาหารธรรมดาปกติที่ทานบ่อยๆแต่อร่อยมาก 
    “ฟิว...” คราวนี้เป็นพ่อของกุ้ง
    “กุ้งอยู่ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง” เอ...ฉันทำหน้าคิดสักแปบ
    “เป็นคนเรียบร้อย แล้วก็เรียนเก่งมากๆเลยล่ะค่ะ แต่บางครั้งก็ซน” 
    “ฟิวก็...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”   
    “แล้วฟิวล่ะเป็นไงบ้าง” อ๊ะ...! แม่กุ้งเป็นผู้เริ่มถาม
    “ฟิวก็เป็นเด็กขยันค่ะ แล้วก็ชอบพูดมากพูดไม่หยุดเลย” รู้สึกว่าโดนกุ้งแก้แค้น แล้วบนโต๊ะอาหารก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แล้วบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็เริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ ฉันหวังว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นจะเป็นแค่ความบังเอิญ ไม่ใช่การตามล่าอะไรนั่นอย่างที่ฉันคาดคิด 
     
    “อิ่มเกินไปแล้ว” ฉันนอนอืดอยู่บนพื้นห้องกุ้ง ไม่น่าทานเข้าไปเยอะเลยจริงๆ พูดได้เลยว่าอยากจะนั่งก็นั่งไม่ได้ จะนอนก็ลำบาก จนนึกเสียใจอยู่ที่อัดข้าวเข้าไป 3 จานกว่าๆ กุ้งก็อึ้งๆนะ แต่พ่อกับแม่ของกุ้งก็เชียร์ให้ฉันทานอีก แล้วฉันก็บ้าจี้ทานไม่หยุดไม่หย่อน ต้องไดเอ็ดกี่วันเนี่ย...เศร้า แต่อาหารที่แม่กุ้งทำมันก็อร่อยจนอดใจไม่ไหวจริงๆ ฉันนอนนิ่งๆไปสักพัก กุ้งก็ออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับชุดนอนแล้วผ้าขนหนูที่คลุมไหล่อยู่ 
    “ฟิวไม่อาบน้ำหรอ” 
    “ขออีกแปบนะ ถ้าไปตอนนี้ฉันต้องกลิ้งแน่เลยล่ะ ไม่สิ ยังไม่มีแรงกลิ้งเลยล่ะกุ้ง” กุ้งยิ้มให้แล้วเดินมานั่งที่เตียง หยิบหนังสือเล่นนั้นขั้นมาอ่าน ฉันจ้องไปที่หนังสือเล่มนั้น สักวันต้องหามาอ่านให้ได้เลยล่ะ 
     
    กุ้ง เด็กมี่เรียบร้อยที่สุดในห้องเลยก็ว่าได้ อย่างที่บอกไป กุ้งเรียนเก่ง ถึงจะไม่เด่นในวิชาอะไรเป็นพิเศษแต่ก็ทำได้ดีทุกๆวิชา แล้วส่วนใหญ่ก็จะแซงเด็กเทพเป็นม้ามืดของห้อง กุ้งมีผมยาวดำตรงแล้วก็ตัดหน้าม้า เหมือนพวกมิโกะเลยแหะ ที่สำคัญกุ้งเป็นคนที่ใจดีมากเลยล่ะ
     
    “นี่...” กุ้งหันมาตามเสียง
    “อะไร” 
    “ขอโทษนะ เรื่องเมื่อเย็นน่ะ” กุ้งยิ้มให้แล้ววางหนังสือลงบนเตียง
    “ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ยังไงฉันก็เป็นนเลือกที่จะไปกับฟิวอยู่แล้วนี่นา”
    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าฉันไม่พากุ้งไปมันก็อาจจะไม่เกิดก็ได้” กุ้งยิ้มอีกทีแล้วเดินลงมาจากเตียง
    “เอาเถอะน่า ถ้าฉันไม่ไปอาจจะหนักกว่านี้ก็ได้นะ” แล้วกุ้งก็ใช้สองมือจับแก้มฉันแล้วก็ดึง
    “ยิ้มๆ” กุ้งยิ้มอีกครั้ง ฉันเองกำลังจะลุกไปอาบน้ำ เสียงโทรศัพท์ในห้องของกุ้งก็ดังขึ้น กุ้งเดินไปรับโทรศัพท์ที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ
    “สวัสดีค่ะ...ค่ะ....อยู่ค่ะ...เห ?...” ฉันขยับปากว่าใครอ่ะ กุ้งก็ขยับตอบ ‘แม่ฟิว’ เจริญล่ะงานนี้
    “อ่อใช่ค่ะ...” กุ้งขยับปากอีกครั้ง ‘มาทำงานอะไร’ ฉันก็ขยับตอบ ‘เลขๆๆ’
    “วิชาคณิตค่ะ...ค่ะไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ...สวัสดีค่ะ” ฉันเอียงคอเล็กน้อย...เรื่องอะไรกันหรอ
    “แม่ฟิวโทรมาน่ะ” ชักเห็นนรกรำไรแล้วสิ 
    “แล้วแม่ว่าไงบ้าง”
    “ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็ถามว่า ฟิวอยู่ไหม แล้วไปทำอะไร” ฉันพยักหน้า โอ้โล่ง ถ้าฟิวบอกว่ามานอนเล่นล่ะก็ ไม่ใช่แค่เห็นนรกรำไรนะ แต่เป็นมาตามถึงนี่เลยล่ะ จากนั้นฉันก็ไปอาบน้ำ พอกลับออกมากุ้งก็หลับไปแล้ว โดยเว้นที่บนเตียงไว้ให้...เตียงมันก็คงจะนอนได้ประมาณสามคนแนะ กะว่าจะออกมราคุยเรื่องโน่นเรื่องนี้สักหน่อย แต่ก็ช่างมันเถอะแล้วไม่นานฉันก็เกิดผล็อยหลับไป
     
    ที่โรงเรียนของอีกวัน ฉันดีใจจังที่ฉันคิดไปเองจริงๆ เรื่องกุ้ง แต่น่าแปลกจังที่ทำไมวันนี้โรงเรียนมันอยู่ใกล้เกินปกติ ฉันเดินเข้าไปในโรงเรียน เอ่อ...ไม่มีใครเลย โรงเรียนว่างเปล่า ไม่มีใครเลยเงียบสนิท ฉันเลยวิ่งขึ้นไปดูบนห้อง ไม่มีใครเลยจริงๆ หรือวันนี้เป็นวันเสาร์ แล้วฉันก็ยกนาฬิกาขึ้นมาดู วันนี้วันอาทิตย์ ? เป็นไปได้ยังไง มันควรจะเป็นวันพุธสิ หรือว่าฉันจะจำผิด...บ้าน่าวันที่ไปค้างบ้างกุ้งมันวันอังคารนี่นา เอ๊ะ...เดี่ยวก่อน แล้วกุ้งหายไปไหนซะล่ะ แล้วฉันก็วิ่งจากชั้น 4 ของตึกลงมาข้างล่าง แล้วก็ชนกับคนอีกคนหนึ่งจนล้มลงไปกองแหมะที่พื้น คนๆนั้นยื่นมือมาช่วยฉัน ฉันแหงนหน้าขึ้นไปมอง 
    “ฟลุ๊ค” แต่...ไหงฟลุ๊คแต่งตัวแบบนี้มาโรงเรียนล่ะเนี่ย หน้าฉันคงจะเริ่มแดงแล้ว
    “ทำอะไรอยู่เนี่ย...”
    “ไม่รู้สิ...ข้างบนไม่มีคนอยู่เลย ว่าแต่นายเหอะ ทำไมแต่งตัวแบบนี้มาโรงเรียนล่ะ”
    “ไม่รู้เหมือนกัน...จำได้ว่าออกจากห้องนอนแล้วจู่ๆก็มาโผล่หน้าโรงเรียนนี่แหละ” หึหึ ไม่น่าท่อนบนไม่ใส่อะไรแถมยังใส่แค่กางเกงขาสั้นอีก แต่มันก็น่าดูเหมือนกันนะ เหอะๆๆ แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ ข้างในกระเป๋าน่าจะมีนี่นา เสื้อที่เอาไปค้างบ้านกุ้ง แต่ฟลุ๊คจะใส่ได้ไหมนะ แล้วฉันก็นั่งลงแล้วเปิดกระเป๋าออกมาดู เห้ย....ชุดใครล่ะเนี่ย มือเป็นเสื้อยีนส์สีดำแขนยาวแล้วก็กางเกงยีนส์ขายาวสีดำ แล้วก็ยังชุดประหลาดๆอีกหนึ่งตัว 
    “นี่มันเสื้อฉันนี่” ฟลุ๊คพูดขึ้นแล้วหยิบเสื้อขึ้นไปดู
    “ดี...งั้นนายควรจะใส่ซะ” 
    “ไปเอามาได้ยังไง...”
    “จะรู้หรอ” เวรกรรมไหมล่ะ ของก็อยู่ในกระเป๋าฉันแต่ฉันกลับตอบว่าไม่รู้ ฟลุ๊คกับฉันไปที่ห้องน้ำ นี่มันเสื้อใครเนี่ย...แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ฉันก็เอามันมาใส่ล่ะ มันเสื้อเสื้อที่มีปกเป็นระบายปิดช่วงคอแล้วคลุมถึงไหล่ แล้วก็มีโบว์ที่หน้าอก แถบกระดุมเป็นผ้าลูกไม้ แล้วกระโปรงพองๆบานๆสีน้ำเงิน แล้วก็ยังมีริบริ้นที่มีจี้รูปพระจันทร์ ซึ่งฉันก็ไม่รู้เอาไว้ทำอะไรแต่ก็เอามาพันคอเอาไว้ แล้วผ้าอีกผืนที่เอามาผูกผมไว้ พอฉันเปลี่ยนเสื้อเสร็จออกมาจากห้องน้ำ ฟลุ๊คยังไม่ออกมาเลย ไม่รู้เข้าไปนานอะไรนักหนา ฉันเดินรอแล้วรออีกอยู่หน้าห้องน้ำก็ยังไม่ออกมา
     
    ฟลุ๊ค นี่ก็เป็นเด็กซนอีกคนของห้องเหมือนกัน แต่อย่างงั้นอย่างงี้ ฟลุ๊คก็รักเพื่อนๆมาก บางครั้งก็พูดมากจนเหมือนคนที่ไม่ค่อยจะเอาอะไร แต่บางครั้งก็จริงจังเหมือนคนที่เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็เป็นหนึ่งในเด็กแรงวัวแรงกระบือของห้องอีกด้วย ก็เป็นนักกีฬานี่นะ ทั้งวอลเลย์ บาส วิ่ง แล้วทุกอย่างที่คนอื่นมาขอให้ลงให้หน่อย แต่คนสมัยนี้แรงเยอะเนาะ... ฟลุ๊คมีผมยาวที่ดำที่ไม่รู้ว่ามันเป็นทรงรึเปล่านะนั่น ยุ่งๆแปลกๆมากกว่า   
     
    “นี่...ยังไม่เสร็จอีกหรือไงเล่า” ฉันตรงเข้าไปเคาะประตูห้องน้ำที่ฟลุ๊คอยู่ข้างใน
    “ยัง...”
    “อะไรกันเล่า แค่เสื้อตัวกางเกงตัว ของฉันสิมากมาย” แล้วกระตูก็ดีดผึงออกมา โอ๊ย...ขอถอนคำพูด เสื้อของฟลุ๊คมันมีอะไรเยอะแยะไปหมดนี่มันอะไรเนี่ย แถมยังไม่ได้ใส่อีกด้วย 
    “นายไปเอาไอ้พวกนี้มาจากไหนเนี่ย” 
    “ไม่รู้ พอเข้าไปในนั้นเสื้อก็เป็นแบบนี้ไปซะแล้ว” ฉันยกเสื้อแต่ละตัวขึ้นมา...แล้วมองไปที่ตัวฟลุ๊คอีกครั้ง 
    “เห้ย...กางเกงนายหายไปไหนยะ” ฟลุ๊คก้มหน้าลงไปดู มือแทบปิดไม่ทัน ทำไมมันเหลือแค่อันเดอร์แวร์ล่ะเนี่ย ฉันใช้มือหนึ่งบังหน้าตังเองเอาไว้ ตอนนี้หน้าฉันคงแดงก่ำไปแล้ว ขนาดแค่หัวเราะมันยังแดงเลย แล้วนับประสาอะไรกับข้างหน้านี่น่ะ แล้วก็ยื่นกางเกงหนึ่งที่อยู่ในกองผ้าให้ฟลุ๊ค 
    “ใส่เดี๋ยวนี้เลยย่ะ” แล้วก็ยื่นเสื้อให้ตัวหนึ่ง มันเป็นเสื้อแขนยาวสีขาวคอกลมธรรมดา ที่เหลือก็เก็บเข้ากระเป๋า 
    “ไปได้แล้ว” ฟลุ๊คกับฉันเดินออกไปนอกห้องน้ำชาย แล้วฉันก็กล้าที่จะเดินเข้าไปนะ แต่พอเลี้ยวที่มุมเสา จากโรงเรียนธรรมดาๆ กลายเป็นทุ่งดอกไม้ซะแล้ว ทุ่งสีเขียวที่มีทางเดินยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ด้านข้างๆทุ้งสีเขียวมีดอกไม้บานอยู่มากมาย แล้วจู่ๆ
    “หนาว”
    “หา...ปกตินายขี้ร้อนไม่ใช่หรอฟลุ๊ค” 
    “ไม่ให้หนาวได้ไงเล่า หิมะตกแล้วนะ”
    “ห๊ะ” โอ๊ะ...อะไรหล่นใส่มือ เกล็ดน้ำแข็ง แล้วฉันก็แหงนหน้าขึ้นไป...หิมะจริงๆด้วย มันก็เย็นๆดีแต่ชักไม่เข้าท่าแล้วสิ หิมะโปรยปรายลงมาเรื่อยๆ ส่วนที่หิมะค่อยๆลงมากันเยอะๆกำลังกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่แค่นั้น...ปลายยอดไม้ก็เริ่มแข็งตัวแล้วไล่ลงมาเรื่อยๆ 
    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ฉันเริ่มหัวเสียกับสถานการณ์ที่ค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนฉันเองก็เริ่มตามไม่ทัน มือกำลังคว้าเสื้อออกมาจากกระเป๋าให้ฟลุ๊คโดยด่วนที่สุด 
    “อันนี้ไว้คลุม ติดกระดุมด้วยล่ะ” มันเป็นเสื้อคลุมยาวถึงเข่า แต่ว่ามันแขนสั้นก็เลยใส่ทับเสื้อสีขาวที่ยังคงสวมไว้อยู่ แล้วก็มีผ้าผืนใหญ่ที่เอามาพันคอไว้ กับขากางเกงที่เหลือก็เอามาใส่ แต่ว่า...ถ้าเราไม่รีบออกจากที่นี่ เราเองจะเป็นเป็นฝ่ายแข็งตายอยู่ที่นี่ 
    “จะทำอะไรน่ะ...” ฟลุ๊คอุ้มฉันขึ้นแล้วแบกไว้บนหลัง 
    “เกาะแน่นๆนะ” 
    “อะ...เอ๋” ยังไม่ทันตั้งตัวฟลุ๊คก็เริ่มวิ่งออกจากน้ำแข็งที่กำลังคุกคามเข้ามาเต็มที แล้วแผ่นดินก็เกิดสั่นไหวขึ้น ฟลุ๊คหยุดวิ่ง แผ่นดินข้างหลังเรานั้นเกิดเป็นเหวลึกเพราะรอยแยก น้ำแข็งที่ลามเข้ามากำลังไล่ลงเหวไป แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที จากทุ่งดอกไม้กลายเป็นทิวป่าสน แล้วแผ่นดินไหวเมื่อครู่ทำให้ต้นสนต่างล้มระเนระนาด 
    “ฟลุ๊ค...ข่างบน” ต้นสนต้นหนึ่งกำลังจะร่วงลงมาทับ ฟลุ๊คย่อตัวลงแล้วกระโดดขึ้น 
    “กรี๊ด....” ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ สูง...! 
    “นี่นายเป็นยอดมนุษย์หรือไงกันยะ” 
    “ไม่รู้สิ จู่ๆก็รู้สึกเหมือนพลังมันมายมาย” แต่ขณะลอยตัวอยู่กลางอากาศนั้น หิมะที่ยังคงโปรยปรายลงมาทำให้ปลายผมของฟลุ๊คเริ่มแข็งตัว แล้วพอดีกับที่ลงมาที่พื้นนั้น น้ำแข็งก็ไล่ทันเหวขึ้นขึ้นมาพอดี 
    “จับแน่นๆนะฟิว” ฉันเกาะฟลุ๊คแน่นและหลับตาปี๋ ฉันไม่รู้หรอกว่าเรามาไกลกันแค่ไหน แต่จากสายลมที่ปะทะเข้ามาค่อนข้างเร็วเลยทีเดียว เหมือนนั่งมอร์เตอร์ไซค์เลยล่ะ แล้วฟลุ๊คก็หยุดอยู่ตรงที่ๆหนึ่ง ฉันลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วฉันก็เบิกตากว้าง โบสถ์สีขาวที่เคยเห็นในนิยายที่กุ้งอ่าน รอบด้านนั้นเป็นป่าสน ฉันถอดกระเป๋าเป้ออกจากไหล่ทั้งสองข้างแล้วถือมันไว้ ท้องฟ้าเริ่มดำมืด สายฟ้าเริ่มผ่าออกเป็นเส้นตรงยาว สายลมแรงจนต้นสนบางต้นที่รากหยั่งได้ไม่ลึกพอล้มระเนระนาด 
    “เอาไงดีล่ะ” ฟลุ๊คหันมาถามฉัน 
    “เข้าไปหลบในโบสถ์นั่นก็แล้วกัน” ฉันใช้มือที่ถือกระเป๋า ชี้ไปทางโบสถ์ ซึ่งกระเป๋านั่นตอนนี้มันเปลี่ยนไปเป็นเคียวขนาดมหึมาซะแล้ว อะไรกันเนี่ย... คมเคียวนั้นเป็นเหมือนปีกของค้างคาว แล้วไม่ได้มีแค่ด้านเดียว แต่อีกด้านจะเล็กกว่า ฟลุ๊ตทำหน้างงๆ ประมาณ..มันมาไงหว่า เราเดินไปเรื่อยๆแต่ยังไม่ทันจะถึงหน้าโบสถ์ สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาจนเราสองคนต้องวิ่งเข้าไปในโบสถ์
    “ว้าว” ข้างในนี้สวยมากเลย แสงไฟสีเหลืองส้มอ่อนที่ให้ดวงตารู้สึกผ่อนคลาย ข้างบนตกแต่งเป็นกระจกสีๆที่เรียกว่า ‘โมเสจ’ แล้วก็เก้าอี้ที่วางเรียงเหมือนโบสถ์ทั่วๆไป ออร์เกนตั้งอยู่ข้างหน้าไม้กางเขนขนาดใหญ่ ด้านข้างมีรูปปั้นของเทพและปีศาจขนาบข้าง แล้วรอบๆแท่นก็มีเทียน ที่ถูกจุดเอาไว้ ดูโดยรวมก็เป็นโบสถ์ที่สวยงานปกติธรรมดาทั่วๆไป ถ้าไม่
    ‘ตึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง’ เสียงบางอย่างดังขึ้น ฉันกับฟลุ๊คหันไปทางต้นเสียง เสียงออร์แกน..! ที่ไม่มีใครเล่น ใช่...ฉันคิดว่าอีกไม่นานมันจะต้องออกมาแน่นอน แล้วสิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือเตรียมพร้อม 
    “ระวังนะฟลุ๊ค มันกำลังจะมา” 
    “อะไรจะมา”
    “...เดี๋ยวนายก็จะรู้” ฉันกระชับเคียวในมือแน่น แล้วไฟในโบสถ์ก็เริ่มดับลงทีละดวง ฉันเริ่มกระเถิบเข้าหาฟลุ๊ค ตอนนี้หลังของเราชนกัน และเมื่อไฟดับหมด เสียงออร์แกนก็ดับลงไปตาม ตอนนี้ที่นี่เงียบสงบ...เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจของเราสองคน แล้วความเงียบก็ถูกทำลายลงเมื่อเสียงออร์แกนก็ดังขึ้นอีก เทียนทั้งหมดถูกลมพัดดับไป ความมืดเข้าครอบงำพื้นที่ แต่ไม่นานเทียนก็ติดขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ได้มีแค่นั้น เทียนมากมายทั่วบริเวณพากันติดขึ้นทีละดวง จนส่องสว่าง 
    ‘ตึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง’ เสียงออร์แกนสุดท้ายดังขึ้น แล้วบางครั้งก็เริ่มเคลื่อนไหวท่ามกลางแสงสว่างของแสงเทียง รูปปั้นปีศาจมีชีวิต! ปีกของมันค่อยๆกางออกช้าๆ เขาสองข้างของมันยาวแล้วแลดูน่ากลัว แล้วพุ่งเข้ามาหาเราสองคน
    “ฟิว ถอยไป” ฟลุ๊คคว้าเอาเคียวเล่มยักษ์ในมือของฉันไปแล้วพุ่งเข้าหามัน แต่ดูฟลุ๊คเคลื่อนไหวช้าลงแปลกๆ มันใช้มือขวาฟันเข้ามา ฟลุ๊คใช้ด้ามของเคียวยักษ์นั้นกันไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเล็บยาวๆของมันก็ถากใบหน้าของฟลุ๊คไปจนเกิดเป็นเลือดไหล มันเพิ่มแรงมากขึ้น จากที่ต้องใช้มือเดียวประคองเคียวไว้ตอนนี้เริ่มเป็นสอง ปีกซ้ายของมันก็ขยับขึ้นและพัดลงมา ฟลุ๊คกระเด็นไปติดกำแพงโบสถ์อีกด้านดังตูม ฟลุ๊คค่อยๆประคองตัวขึ้นมาแต่ประกฎว่ามันพุ่งเข้ามาอยู่ตรงหน้า แล้วใช้มือต่อยลงที่ฟลุ๊ค ฟลุ๊คเบี่ยงตัวหลบเลี้ยวกระโดดออกห่าง แล้วมันก็เริ่มไล่ต้องฟลุ๊คอีก สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น แถมฟลุ๊คยังเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียวอีกต่างหาก ปีศาจตนนั้นรวดเร็วและยังมีพลังมากจนไม่รู้จะหาวิธีมาชนะแบบไหน แล้วฟลุ๊คก็พลาดเมื่อมันใช้แขนซ้ายปัดฟลุ๊คกระเด็นมาทางฉัน 
    ‘ตูม’ 
    “ฟลุ๊ค !” ฉันวิ่งเข้าไปที่ฟลุ๊คแล้วประคองขึ้นมา
    “หนีไปซะ”
    “จะบ้าหรอ”
    “หนีไปซะฟิว”
    “ไม่ได้นะ...” ฉันคว้าเคียวที่มือของฟลุ๊คมาแล้ววิ่งเข้าใส่มันที่กำลังพุ่งเข้าหา
    “อย่าฟิว” ฟลุ๊คตะโกนแต่ไม่ทันแล้ว เมื่อกรงเล็บของมันพุ่งเข้ามาหมายจะปลิดชีวิต ฉันเอาสันเคียวรับ แล้ววาดไปด้านขวาจนมันลอยออกไปและไถลไปกับพื้น ฉันเบิกตากว้าง อะไรกัน เบาจัง... เคียวนั้นเบามือมากคนไม่น่าเชื่อว่าจะทำมาจากเหล็กแล้วอันใหญ่ถึงขนาดนี้ ถ้างั้นก็
    “เอาล่ะนะ” ฉันพุ่งเข้าหามัน แล้วก็ใช้คมเคียวฟาดเข้าตัวมัน มันใช้มือขึ้นรับ จนเกิดบาดแผลใหญ่ เลือดสีเหลืองเริ่มไหลย้อยลงมาสู่พื้นโบสถ์ แล้วมันใช้อีกมือหนึ่งพุ่งเข้ามา ฉันถอยออกไปห่างมันด้วยความรวดเร็ว ปีกมันเริ่มกระพือขึ้น ตอนนี้มันลอยขึ้นเบื้องบน แล้วบินโฉบลงที่ตัวฉัน ฉันใช้เคียวต้านเอาไว้ แต่ไม่ไหว ฉันลอยไปตามแรงกระแทกของมัน แต่ก็ไม่ไกลมากนัก ฉันพยุงตัวขึ้นมา ตอนนี้มันลอยอยู่ข้างบน แล้วบินโฉบลงมาอีกครั้ง ฉันใช้เคียวบล็อกเอาไว้ แต่แรงของมันกำลังทำให้ฉันค่อยๆเลื่อนถอยหลังออกไปเรื่อยๆ 
    “ยังไม่ใช่เวลาจะยอมแพ้นะ” ฟลุ๊คเข้ามาข้างหลังแล้วดันตัวของฉันไว้ ฉันวาดเคียวขึ้นด้านบนแล้วมันก็ลอยขึ้นไปอีก แต่คราวนี้มันได้แผลตามไปด้วย ฟลุ๊คจับฉันแล้วกระโดดขึ้นไป เคียวเล่มใหญ่ถูกวาดอีกครั้ง ปีศาจตนนั้นถูกแรงเคียวอัดลงข้างล่าง จนพื้นโบสถ์กลายเป็นรูใหญ่ 
    “โห...นี่ฉันแรงเยอะขนาดนี้เลยหรอ”
    “เพิ่งรู้หรอ ? ” ปาก...   ว่าแล้วก็เอาศอกกระทุ้งไปหน่อย หึหึ
    “เอาล่ะ...ไปเล่นมันเลย” แล้วเราก็พุ่งลงเบื้องล่างอีกครั้ง มันพยุงตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันเริ่มกระซิบกับฟลุ๊ค
    “นี่ฟลุ๊ค...”
    “อะไร”
    “ถ้ามันพุ่งเข้าหาเราอีก จับฉันกระโดดขึ้นให้พ้นหัวมันนะ กระโดดตีลังกาอ่ะคิดว่าทำได้ไหม”
    “ไม่มีปัญหา”
    “โอเค ที่เหลือฉันจัดการเอง” ฟลุ๊คพยักหน้า แล้วก็เป็นไปตามคาด มันพุ่งเข้ามาอีกครั้ง พอมันเข้ามาใกล้ประมาณ 2 เมตร
    “ตอนนี้ล่ะ”  ฟลุ๊คพาฉันกระโดดขึ้นมา เคียวยังคงไม่ลอยออกจากพื้น แล้วพอฟลุ๊คหมุนตีลังกาเคียวก็จะวาดเป็นวงพอดี นั่นหมายถึงการฟันผ่ากลางปีศาจตนนั้น เลือดสีเหลืองซาดกระเซ็นไปทั่วทั้งโต๊ะ ออร์แกน รวมถึงกางเขน แล้วร่างของปีศาจนั่นก็ถูกไฟลุกพรึบแล้วหายไป 
    “ฟิวดูนั่น...”   ฟลุ๊คเบิกตากว้าง เลือกสีเหลืองที่ซาดกระเซ็นไปทั่วนั่น ทำให้เกิดร่างของคนๆหนึ่งบนไม้กางเขนขนาดยักษ์ที่ผนังโบสถ์ ร่างของหญิงสาว นั้นไม่ได้สติ แล้วยังไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่หรือเปล่า แต่ร่างนั้นมันทำให้เรี่ยวแรงของฉันแทบหมดไป เคียวอันใหญ่ในมือหล่นลงจากมือของฉัน
    “กุ้ง...!” ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาไม้กางเขนนั่น ส่วนฟลุ๊คกระโดดพุ่งขึ้นไป ฟลุ๊คใช้มือดึงโซ่ที่พันธนาการตัวกุ้งออกแต่มันไม่ออก ฉันวิ่งไปหยิบเคียวที่วางอยู่กับพื้นขึ้นมา 
    “ฟลุ๊ค...พาฉันขึ้นไปที” ฟลุ๊คกระโดดลงมาแล้วอุ้มฉันขึ้นไป ฉันฟันโซ่แตกออกเป็นชิ้นๆ แล้วเอาตัวกุ้งลงมา
    “กุ้ง...กุ้ง” ฉันใช้มือตบหน้ากุ้งเบาๆ แต่กุ้งก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง น้ำตาเริ่มนองใบหน้า 
    “กุ้งตื่นสิ...กุ้ง”
    “ยังไม่ตายแค่สลบไปน่ะ” ฉันหันไปมองฟลุ๊ค 
    “จริงหรอ...” ฟลุ๊คพยักหน้า ตาของกุ้งค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ 
    “ฟิว...ฟลุ๊ค...” ฉันยิ้มไปร้องไห้ไป แล้วดึงร่างที่บอบช้ำของกุ้งขึ้นมาสวมกวด 
    “ทำไม พวกเธอถึงมีดาบแผลมากมายแบบนี้” กุ้งเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาเต็มที
    “ช่างมันเถอะ...ไม่เป็นไรหรอกกุ้ง พักซะเถอะ”   ฟลุ๊คพูดขึ้น แล้วแสงสีแดงก็เรืองขึ้น...จากไหน 
    “ฟิวที่หูของเธอ” ฉันทำหน้างงๆ หูของฉันทำไม แล้วฉันก็วิ่งไปที่ออร์แกนที่อยู่ใกล้ๆ ออร์แอกหลังนั้นสะอาดจนมองเห็นเงาสะท้อน แต่ก็ไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ถึงแบบนั้นฉันก็จำได้ดี กระดิ่งสีโลหิต กำลังเรืองแสงตอบสนองของบางอย่างที่กำลังใกล้เข้ามาด้วยความรวดเร็ว ฉันวิ่งกลับไปหยิบเคียวขึ้นมา
    “ฟลุ๊ค...”
    “ทำไม...เกิดอะไรขึ้น” ทั้งฟลุ๊คแล้วกุ้งทำหน้างงๆ
    “ดูแลกุ้งด้วยนะ” 
    “ทำไม...ฟิวจะไปไหน” กุ้งพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
    “ฉันไม่ไปไหนหรอก...แต่มันกำลังมา” 
    “อะไรที่กำลังมาฟิว” กุ้งเริ่มร้องไห้ออกมา แต่ไม่ทันที่ฉันจะตอบอะไร ประตูโบสถ์ก็เปิดผางออกมา...!                      
                    ‘ปัง’ เสียงลังกระดาษร่วงสู้พื้นที่ส่งเสียงดังไปทั่วบริเวณ ผู้คนทั้งหลายต่างวิ่งกรูเข้ามาดู ฉันและไอซ์รีบวิ่งเข้าไปหากุ้งที่อยู่ห่างออกไปสักประมาณ 2 เมตรจากที่เกิดเหตุ ไม่ใช่เพราะถูกแรงกระแทกจากกล่อง แต่เพราะถูกใครบางคนพาไป
                    “ฟลุ๊ค” ฟลุ๊คลุกขึ้นแล้วดึงกุ้งขึ้นมาด้วย กล่องที่วางองอยู่บนพื้นนั้นยับไม่เป็นท่า เหมือนกับมีบางอย่างที่ตกใส่มันจนบี้แต่มองไม่เห็น 
    “ขอบคุณนะ” กุ้งหันไปมองฟลุ๊ค แล้วก็ส่งยิ้มให้
    “ไม่เป็นไรหรอก วันหลังหัดสังเกตุสิ่งรอบข้างบ้างสิ ไปแล้วนะ...ยุ่ง ๆ อยู่” ฟลุ๊คพูด
    “ขอโทษค่ะ” กุ้งก้มหัวลงเล็กน้อย แล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ แล้วฟลุ๊คก็เดินจากไปทำธุระของเขาต่อไป
    “ฟลุ๊คขอบคุณมากนะ” กุ้งตะโกนไล่หลัง เราสามคนโบกมือให้ฟลุ๊ค ไอซ์กับกุ้งยังคุยกันต่อเรื่องที่กล่องใส่ของนั่นตกลงมาอย่างแปลกประหลาด แต่ฉันเขาไปดูที่กล่องลังนั่นใกล้ๆ รอยประหลาดเหมือนรอยข่วนสี่รอยประทับอยู่บนนั้น ฉันมองมันอย่างใช้ความคิดก่อนที่จะถูกไอซ์และกุ้งดึงออกมาจากห้วงคิด
    “ไปกันเถอะ” กุ้งบอก
    “ไม่เป็นไรนะกุ้ง” ฉันถามกุ้งอีกครั้ง
    “ไม่เป็นไร” กุ้งส่ายหน้าแล้วเดินนำเราไปที่เคาเตอร์จ่ายเงินของห่างที่อยู่ไม่ไกลมากนัก จากนั้นเราก็ต้องฝ่าสงครามแม่บ้านราคาประหยัดกันอีกครั้ง ซึ่งมันค่อนข้างจะหนักหนากว่าเดิมมากมาย เพราะของที่เราหอบออกมาก็ใช่น้อยๆ แต่ก็เอาเถอะถ้าเทียบกับเรื่องที่ผ่านมาสดๆใหม่ๆมันก็เล็กน้อยมาก แต่ฉันรู้สึกเป็นห่วงกุ้งพิกลจริงๆ ฉันส่งกุ้งขึ้นรถกลับบ้าน  แล้วก็ช่วยไอซ์หอบของขึ้นรถกลับบ้าน จนไอซ์ลงจากรถมีคนมารับไอซ์ที่ป้ายรถเมล์ ฉันโบกมือลาไอซ์แล้วก็นั่งรถต่อไปเรื่อยๆ ถึงบ้าน ฉันรีบเข้าไปในบ้าน...พอเปิดประตูเข้าไปกลับไม่มีใครอยู่บ้าน ในบ้านยังคงมืดแล้วก็เงียบ ที่จริงแล้วมันเป็นปกติเวลาที่ไม่มีใครแล้วจะเงียบแล้วก็มืด ลองมันสว่างสิฉันจะได้วิ่งออกจากบ้าน ฉันขึ้นไปบนห้องของฉันแล้วก็รื้อค้นของมากมาย ของที่จำเป็นสำหรับแผนการที่ฉันวางไว้ 
    “ต้องใช้อะไรบ้างนะ” ฉันหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมา แล้วก็วิ่งเข้าห้องน้ำ หยิบแปรงสีฟัน โฟมล่างหน้า อะไรอีก...ผ้าขนหนู แล้วก็วิ่งออกมาที่ตู้เสื้อผ้า
    “ตัวไหนดีนะ...อ่อ เสื้อนักเรียนด้วย” เอาเป็นว่าฉันหยิบของใช้ที่จำเป็นเข้ากระเป๋าทั้งหมด แล้วหยิบกระดาษจดข้อความแผ่นเล็กๆขึ้นมา เขียนข้อความบางอย่างลงไปแล้วแปะไว้บนตู้เย็น ‘ขอโทษนะคะ..ไปทำงานวิชาคณิตที่บ้างกุ้ง อาจจะค้างที่นั่นไม่ต้องเป็นห่วง‘
     
    “ติ๊งต๋อง” เสียงกริ่งบ้านดังขึ้น 
    “ค่า” กุ้งรีบวิ่งไปที่ประตูบ้าน แล้วเปิดประตูออก
    “อ้าว...ฟิว” 
    “ขอโทษที่มารบกวนนะ” กุ้งทำหน้าเอ๋อๆไปนิดแล้วก็ยิ้ม
    “ไม่เป็นไรจ๊ะ เข้ามาสิ” 
    “กุ้ง...ใครมาน่ะลูก” แม่ของกุ้งชะโงกหน้าออกมาจากห้องครัว มือของเขากำลังใช้ที่ปีแป้งตีแป้งอยู่ในชามแก้ว
    “ฟิวมาค่ะแม่” 
    “อ่อ...ฟิวเองหรือจ๊ะ ดีเลยมาทานข้าวด้วยกันสิ”
    “ขอรบกวนด้วยนะคะ” ฉันยกมือไหว้แม่กุ้ง ก้มหัวเล็กน้อยแล้วเดินขึ้นไปบนห้องของกุ้ง ห้องของกุ้งอยู่ชั้นสองทางขวามือ กุ้งเป็นลูกคนเดียว ห้องก็เลยกว้างเป็นพิเศษ ข้างในตกแต่งด้วยสีฟ้าใส ทุกอย่างๆ ทั้งผ้าปูที่นอน ชั้นวางของแล้วก็ยังเบาะเก้าอี้ ฉันเคยมาบ้างกุ้งบ้างแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะมา ‘ค้าง’
     
    “ค้างหรอ...ได้สิไปบอกแม่ก่อนนะ” แล้วประตูห้องที่เปิดอยู่ก็ปิดลง ฉันเดินไปเดินมารอบๆห้องของกุ้ง แล้วก็นั่งลงเบาะสีฟ้า ข้างๆเป็นเตียงนอนที่มีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ ที่คั่นหนังสือคั่นไว้ที่ 327 ฉันเปิดขึ้นอ่าน มันเป็นหนังสือนิยายน่ะ 
     
    เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ดั่งเบื้องบนกำลังพิโรธหนัก สายลมพัดแรงจนต้นไม้รอบๆด้านแทบจะถูกถอนออกมาจากพื้นดิน พายุใหญ่กำลังจะพักโหมกระหน่ำในไม่ช้า แล้วไม่นานฝนห่าใหญ่ก็ร่วงลงสู่พื้น อุสึอิ (ชื่อตัวละครในนิยายที่อ่านจ๊า) วิ่งเข้าไปหลบฝนที่กำลังเทกระหน่ำในโบสถ์แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล อุสึอิถอดปกฮู๊ดที่ใส่อยู่ออก แล้วยืนตาค้างกับความสวยงามของโบสถ์ แต่ว่าบานประตูโบสถ์นั้นเปิดขั้นอีกครั้ง ยักษ์ตาเดียวก็ประกฎตัวขึ้น ความสูงของมันประมาณ 2 เมตรได้ แต่นั้นหมายถึงอีกแค่ 10 เซนติเมตรอุสึอิก็จะสูงเท่ามันแล้ว อุสึอิ ดึงดาบออกมา แล้วก็พุ่งตรงเข้าหามันทันที 
     
     อืม...สนุก! สนุกจนอ่านวางไม่ลงเลยล่ะ ฉันยังคงใจจดใจจ่อกับการอ่านหนังสือนิยายเล่มนั้นอยู่ มันเป็นหนังสือผจญภัยกึ่งสยองขวัญ เพิ่งรู้เหมือนกันว่ากุ้งชอบอ่านหนังสือแนวๆนี้ จนกุ้งเดินเข้ามาฉันก็ยังไม่รู้เรื่อง 
    “ฟิว...ไปทานข้าวกัน” กุ้งเข้ามาดึงแขนฉัน ฉันเอาที่ขั้นหนังสือเหน็บไว้หน้าเดิม แล้วก็วางมันไว้บนเตียงเหมือนเดิม ฉันถูกกุ้งลากลงมาที่โต๊ะอาหารด้านล่าง แม่และก็พ่อของกุ้งก็นั่งอยู่ด้วย แหะๆ...แต่ฉันเกร็งๆนะ อยู่ในวงของครอบครัวเขาเนี่ย 
    “ทานเลยนะฟิว ไม่ต้องเกรงใจ” ฉันยิ้มให้กับแม่ของกุ้ง แล้วก็ตักซุปไก้เข้าปาก ...อร่อย ! ถึงแม้จะเป็นอาหารธรรมดาปกติที่ทานบ่อยๆแต่อร่อยมาก 
    “ฟิว...” คราวนี้เป็นพ่อของกุ้ง
    “กุ้งอยู่ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง” เอ...ฉันทำหน้าคิดสักแปบ
    “เป็นคนเรียบร้อย แล้วก็เรียนเก่งมากๆเลยล่ะค่ะ แต่บางครั้งก็ซน” 
    “ฟิวก็...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”   
    “แล้วฟิวล่ะเป็นไงบ้าง” อ๊ะ...! แม่กุ้งเป็นผู้เริ่มถาม
    “ฟิวก็เป็นเด็กขยันค่ะ แล้วก็ชอบพูดมากพูดไม่หยุดเลย” รู้สึกว่าโดนกุ้งแก้แค้น แล้วบนโต๊ะอาหารก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แล้วบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็เริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ ฉันหวังว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นจะเป็นแค่ความบังเอิญ ไม่ใช่การตามล่าอะไรนั่นอย่างที่ฉันคาดคิด 
     
    “อิ่มเกินไปแล้ว” ฉันนอนอืดอยู่บนพื้นห้องกุ้ง ไม่น่าทานเข้าไปเยอะเลยจริงๆ พูดได้เลยว่าอยากจะนั่งก็นั่งไม่ได้ จะนอนก็ลำบาก จนนึกเสียใจอยู่ที่อัดข้าวเข้าไป 3 จานกว่าๆ กุ้งก็อึ้งๆนะ แต่พ่อกับแม่ของกุ้งก็เชียร์ให้ฉันทานอีก แล้วฉันก็บ้าจี้ทานไม่หยุดไม่หย่อน ต้องไดเอ็ดกี่วันเนี่ย...เศร้า แต่อาหารที่แม่กุ้งทำมันก็อร่อยจนอดใจไม่ไหวจริงๆ ฉันนอนนิ่งๆไปสักพัก กุ้งก็ออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับชุดนอนแล้วผ้าขนหนูที่คลุมไหล่อยู่ 
    “ฟิวไม่อาบน้ำหรอ” 
    “ขออีกแปบนะ ถ้าไปตอนนี้ฉันต้องกลิ้งแน่เลยล่ะ ไม่สิ ยังไม่มีแรงกลิ้งเลยล่ะกุ้ง” กุ้งยิ้มให้แล้วเดินมานั่งที่เตียง หยิบหนังสือเล่นนั้นขั้นมาอ่าน ฉันจ้องไปที่หนังสือเล่มนั้น สักวันต้องหามาอ่านให้ได้เลยล่ะ 
     
    กุ้ง เด็กมี่เรียบร้อยที่สุดในห้องเลยก็ว่าได้ อย่างที่บอกไป กุ้งเรียนเก่ง ถึงจะไม่เด่นในวิชาอะไรเป็นพิเศษแต่ก็ทำได้ดีทุกๆวิชา แล้วส่วนใหญ่ก็จะแซงเด็กเทพเป็นม้ามืดของห้อง กุ้งมีผมยาวดำตรงแล้วก็ตัดหน้าม้า เหมือนพวกมิโกะเลยแหะ ที่สำคัญกุ้งเป็นคนที่ใจดีมากเลยล่ะ
     
    “นี่...” กุ้งหันมาตามเสียง
    “อะไร” 
    “ขอโทษนะ เรื่องเมื่อเย็นน่ะ” กุ้งยิ้มให้แล้ววางหนังสือลงบนเตียง
    “ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ยังไงฉันก็เป็นนเลือกที่จะไปกับฟิวอยู่แล้วนี่นา”
    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าฉันไม่พากุ้งไปมันก็อาจจะไม่เกิดก็ได้” กุ้งยิ้มอีกทีแล้วเดินลงมาจากเตียง
    “เอาเถอะน่า ถ้าฉันไม่ไปอาจจะหนักกว่านี้ก็ได้นะ” แล้วกุ้งก็ใช้สองมือจับแก้มฉันแล้วก็ดึง
    “ยิ้มๆ” กุ้งยิ้มอีกครั้ง ฉันเองกำลังจะลุกไปอาบน้ำ เสียงโทรศัพท์ในห้องของกุ้งก็ดังขึ้น กุ้งเดินไปรับโทรศัพท์ที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ
    “สวัสดีค่ะ...ค่ะ....อยู่ค่ะ...เห ?...” ฉันขยับปากว่าใครอ่ะ กุ้งก็ขยับตอบ ‘แม่ฟิว’ เจริญล่ะงานนี้
    “อ่อใช่ค่ะ...” กุ้งขยับปากอีกครั้ง ‘มาทำงานอะไร’ ฉันก็ขยับตอบ ‘เลขๆๆ’
    “วิชาคณิตค่ะ...ค่ะไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ...สวัสดีค่ะ” ฉันเอียงคอเล็กน้อย...เรื่องอะไรกันหรอ
    “แม่ฟิวโทรมาน่ะ” ชักเห็นนรกรำไรแล้วสิ 
    “แล้วแม่ว่าไงบ้าง”
    “ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็ถามว่า ฟิวอยู่ไหม แล้วไปทำอะไร” ฉันพยักหน้า โอ้โล่ง ถ้าฟิวบอกว่ามานอนเล่นล่ะก็ ไม่ใช่แค่เห็นนรกรำไรนะ แต่เป็นมาตามถึงนี่เลยล่ะ จากนั้นฉันก็ไปอาบน้ำ พอกลับออกมากุ้งก็หลับไปแล้ว โดยเว้นที่บนเตียงไว้ให้...เตียงมันก็คงจะนอนได้ประมาณสามคนแนะ กะว่าจะออกมราคุยเรื่องโน่นเรื่องนี้สักหน่อย แต่ก็ช่างมันเถอะแล้วไม่นานฉันก็เกิดผล็อยหลับไป
     
    ที่โรงเรียนของอีกวัน ฉันดีใจจังที่ฉันคิดไปเองจริงๆ เรื่องกุ้ง แต่น่าแปลกจังที่ทำไมวันนี้โรงเรียนมันอยู่ใกล้เกินปกติ ฉันเดินเข้าไปในโรงเรียน เอ่อ...ไม่มีใครเลย โรงเรียนว่างเปล่า ไม่มีใครเลยเงียบสนิท ฉันเลยวิ่งขึ้นไปดูบนห้อง ไม่มีใครเลยจริงๆ หรือวันนี้เป็นวันเสาร์ แล้วฉันก็ยกนาฬิกาขึ้นมาดู วันนี้วันอาทิตย์ ? เป็นไปได้ยังไง มันควรจะเป็นวันพุธสิ หรือว่าฉันจะจำผิด...บ้าน่าวันที่ไปค้างบ้างกุ้งมันวันอังคารนี่นา เอ๊ะ...เดี่ยวก่อน แล้วกุ้งหายไปไหนซะล่ะ แล้วฉันก็วิ่งจากชั้น 4 ของตึกลงมาข้างล่าง แล้วก็ชนกับคนอีกคนหนึ่งจนล้มลงไปกองแหมะที่พื้น คนๆนั้นยื่นมือมาช่วยฉัน ฉันแหงนหน้าขึ้นไปมอง 
    “ฟลุ๊ค” แต่...ไหงฟลุ๊คแต่งตัวแบบนี้มาโรงเรียนล่ะเนี่ย หน้าฉันคงจะเริ่มแดงแล้ว
    “ทำอะไรอยู่เนี่ย...”
    “ไม่รู้สิ...ข้างบนไม่มีคนอยู่เลย ว่าแต่นายเหอะ ทำไมแต่งตัวแบบนี้มาโรงเรียนล่ะ”
    “ไม่รู้เหมือนกัน...จำได้ว่าออกจากห้องนอนแล้วจู่ๆก็มาโผล่หน้าโรงเรียนนี่แหละ” หึหึ ไม่น่าท่อนบนไม่ใส่อะไรแถมยังใส่แค่กางเกงขาสั้นอีก แต่มันก็น่าดูเหมือนกันนะ เหอะๆๆ แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ ข้างในกระเป๋าน่าจะมีนี่นา เสื้อที่เอาไปค้างบ้านกุ้ง แต่ฟลุ๊คจะใส่ได้ไหมนะ แล้วฉันก็นั่งลงแล้วเปิดกระเป๋าออกมาดู เห้ย....ชุดใครล่ะเนี่ย มือเป็นเสื้อยีนส์สีดำแขนยาวแล้วก็กางเกงยีนส์ขายาวสีดำ แล้วก็ยังชุดประหลาดๆอีกหนึ่งตัว 
    “นี่มันเสื้อฉันนี่” ฟลุ๊คพูดขึ้นแล้วหยิบเสื้อขึ้นไปดู
    “ดี...งั้นนายควรจะใส่ซะ” 
    “ไปเอามาได้ยังไง...”
    “จะรู้หรอ” เวรกรรมไหมล่ะ ของก็อยู่ในกระเป๋าฉันแต่ฉันกลับตอบว่าไม่รู้ ฟลุ๊คกับฉันไปที่ห้องน้ำ นี่มันเสื้อใครเนี่ย...แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ฉันก็เอามันมาใส่ล่ะ มันเสื้อเสื้อที่มีปกเป็นระบายปิดช่วงคอแล้วคลุมถึงไหล่ แล้วก็มีโบว์ที่หน้าอก แถบกระดุมเป็นผ้าลูกไม้ แล้วกระโปรงพองๆบานๆสีน้ำเงิน แล้วก็ยังมีริบริ้นที่มีจี้รูปพระจันทร์ ซึ่งฉันก็ไม่รู้เอาไว้ทำอะไรแต่ก็เอามาพันคอเอาไว้ แล้วผ้าอีกผืนที่เอามาผูกผมไว้ พอฉันเปลี่ยนเสื้อเสร็จออกมาจากห้องน้ำ ฟลุ๊คยังไม่ออกมาเลย ไม่รู้เข้าไปนานอะไรนักหนา ฉันเดินรอแล้วรออีกอยู่หน้าห้องน้ำก็ยังไม่ออกมา
     
    ฟลุ๊ค นี่ก็เป็นเด็กซนอีกคนของห้องเหมือนกัน แต่อย่างงั้นอย่างงี้ ฟลุ๊คก็รักเพื่อนๆมาก บางครั้งก็พูดมากจนเหมือนคนที่ไม่ค่อยจะเอาอะไร แต่บางครั้งก็จริงจังเหมือนคนที่เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็เป็นหนึ่งในเด็กแรงวัวแรงกระบือของห้องอีกด้วย ก็เป็นนักกีฬานี่นะ ทั้งวอลเลย์ บาส วิ่ง แล้วทุกอย่างที่คนอื่นมาขอให้ลงให้หน่อย แต่คนสมัยนี้แรงเยอะเนาะ... ฟลุ๊คมีผมยาวที่ดำที่ไม่รู้ว่ามันเป็นทรงรึเปล่านะนั่น ยุ่งๆแปลกๆมากกว่า   
     
    “นี่...ยังไม่เสร็จอีกหรือไงเล่า” ฉันตรงเข้าไปเคาะประตูห้องน้ำที่ฟลุ๊คอยู่ข้างใน
    “ยัง...”
    “อะไรกันเล่า แค่เสื้อตัวกางเกงตัว ของฉันสิมากมาย” แล้วกระตูก็ดีดผึงออกมา โอ๊ย...ขอถอนคำพูด เสื้อของฟลุ๊คมันมีอะไรเยอะแยะไปหมดนี่มันอะไรเนี่ย แถมยังไม่ได้ใส่อีกด้วย 
    “นายไปเอาไอ้พวกนี้มาจากไหนเนี่ย” 
    “ไม่รู้ พอเข้าไปในนั้นเสื้อก็เป็นแบบนี้ไปซะแล้ว” ฉันยกเสื้อแต่ละตัวขึ้นมา...แล้วมองไปที่ตัวฟลุ๊คอีกครั้ง 
    “เห้ย...กางเกงนายหายไปไหนยะ” ฟลุ๊คก้มหน้าลงไปดู มือแทบปิดไม่ทัน ทำไมมันเหลือแค่อันเดอร์แวร์ล่ะเนี่ย ฉันใช้มือหนึ่งบังหน้าตังเองเอาไว้ ตอนนี้หน้าฉันคงแดงก่ำไปแล้ว ขนาดแค่หัวเราะมันยังแดงเลย แล้วนับประสาอะไรกับข้างหน้านี่น่ะ แล้วก็ยื่นกางเกงหนึ่งที่อยู่ในกองผ้าให้ฟลุ๊ค 
    “ใส่เดี๋ยวนี้เลยย่ะ” แล้วก็ยื่นเสื้อให้ตัวหนึ่ง มันเป็นเสื้อแขนยาวสีขาวคอกลมธรรมดา ที่เหลือก็เก็บเข้ากระเป๋า 
    “ไปได้แล้ว” ฟลุ๊คกับฉันเดินออกไปนอกห้องน้ำชาย แล้วฉันก็กล้าที่จะเดินเข้าไปนะ แต่พอเลี้ยวที่มุมเสา จากโรงเรียนธรรมดาๆ กลายเป็นทุ่งดอกไม้ซะแล้ว ทุ่งสีเขียวที่มีทางเดินยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ด้านข้างๆทุ้งสีเขียวมีดอกไม้บานอยู่มากมาย แล้วจู่ๆ
    “หนาว”
    “หา...ปกตินายขี้ร้อนไม่ใช่หรอฟลุ๊ค” 
    “ไม่ให้หนาวได้ไงเล่า หิมะตกแล้วนะ”
    “ห๊ะ” โอ๊ะ...อะไรหล่นใส่มือ เกล็ดน้ำแข็ง แล้วฉันก็แหงนหน้าขึ้นไป...หิมะจริงๆด้วย มันก็เย็นๆดีแต่ชักไม่เข้าท่าแล้วสิ หิมะโปรยปรายลงมาเรื่อยๆ ส่วนที่หิมะค่อยๆลงมากันเยอะๆกำลังกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่แค่นั้น...ปลายยอดไม้ก็เริ่มแข็งตัวแล้วไล่ลงมาเรื่อยๆ 
    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ฉันเริ่มหัวเสียกับสถานการณ์ที่ค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนฉันเองก็เริ่มตามไม่ทัน มือกำลังคว้าเสื้อออกมาจากกระเป๋าให้ฟลุ๊คโดยด่วนที่สุด 
    “อันนี้ไว้คลุม ติดกระดุมด้วยล่ะ” มันเป็นเสื้อคลุมยาวถึงเข่า แต่ว่ามันแขนสั้นก็เลยใส่ทับเสื้อสีขาวที่ยังคงสวมไว้อยู่ แล้วก็มีผ้าผืนใหญ่ที่เอามาพันคอไว้ กับขากางเกงที่เหลือก็เอามาใส่ แต่ว่า...ถ้าเราไม่รีบออกจากที่นี่ เราเองจะเป็นเป็นฝ่ายแข็งตายอยู่ที่นี่ 
    “จะทำอะไรน่ะ...” ฟลุ๊คอุ้มฉันขึ้นแล้วแบกไว้บนหลัง 
    “เกาะแน่นๆนะ” 
    “อะ...เอ๋” ยังไม่ทันตั้งตัวฟลุ๊คก็เริ่มวิ่งออกจากน้ำแข็งที่กำลังคุกคามเข้ามาเต็มที แล้วแผ่นดินก็เกิดสั่นไหวขึ้น ฟลุ๊คหยุดวิ่ง แผ่นดินข้างหลังเรานั้นเกิดเป็นเหวลึกเพราะรอยแยก น้ำแข็งที่ลามเข้ามากำลังไล่ลงเหวไป แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที จากทุ่งดอกไม้กลายเป็นทิวป่าสน แล้วแผ่นดินไหวเมื่อครู่ทำให้ต้นสนต่างล้มระเนระนาด 
    “ฟลุ๊ค...ข่างบน” ต้นสนต้นหนึ่งกำลังจะร่วงลงมาทับ ฟลุ๊คย่อตัวลงแล้วกระโดดขึ้น 
    “กรี๊ด....” ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ สูง...! 
    “นี่นายเป็นยอดมนุษย์หรือไงกันยะ” 
    “ไม่รู้สิ จู่ๆก็รู้สึกเหมือนพลังมันมายมาย” แต่ขณะลอยตัวอยู่กลางอากาศนั้น หิมะที่ยังคงโปรยปรายลงมาทำให้ปลายผมของฟลุ๊คเริ่มแข็งตัว แล้วพอดีกับที่ลงมาที่พื้นนั้น น้ำแข็งก็ไล่ทันเหวขึ้นขึ้นมาพอดี 
    “จับแน่นๆนะฟิว” ฉันเกาะฟลุ๊คแน่นและหลับตาปี๋ ฉันไม่รู้หรอกว่าเรามาไกลกันแค่ไหน แต่จากสายลมที่ปะทะเข้ามาค่อนข้างเร็วเลยทีเดียว เหมือนนั่งมอร์เตอร์ไซค์เลยล่ะ แล้วฟลุ๊คก็หยุดอยู่ตรงที่ๆหนึ่ง ฉันลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วฉันก็เบิกตากว้าง โบสถ์สีขาวที่เคยเห็นในนิยายที่กุ้งอ่าน รอบด้านนั้นเป็นป่าสน ฉันถอดกระเป๋าเป้ออกจากไหล่ทั้งสองข้างแล้วถือมันไว้ ท้องฟ้าเริ่มดำมืด สายฟ้าเริ่มผ่าออกเป็นเส้นตรงยาว สายลมแรงจนต้นสนบางต้นที่รากหยั่งได้ไม่ลึกพอล้มระเนระนาด 
    “เอาไงดีล่ะ” ฟลุ๊คหันมาถามฉัน 
    “เข้าไปหลบในโบสถ์นั่นก็แล้วกัน” ฉันใช้มือที่ถือกระเป๋า ชี้ไปทางโบสถ์ ซึ่งกระเป๋านั่นตอนนี้มันเปลี่ยนไปเป็นเคียวขนาดมหึมาซะแล้ว อะไรกันเนี่ย... คมเคียวนั้นเป็นเหมือนปีกของค้างคาว แล้วไม่ได้มีแค่ด้านเดียว แต่อีกด้านจะเล็กกว่า ฟลุ๊ตทำหน้างงๆ ประมาณ..มันมาไงหว่า เราเดินไปเรื่อยๆแต่ยังไม่ทันจะถึงหน้าโบสถ์ สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาจนเราสองคนต้องวิ่งเข้าไปในโบสถ์
    “ว้าว” ข้างในนี้สวยมากเลย แสงไฟสีเหลืองส้มอ่อนที่ให้ดวงตารู้สึกผ่อนคลาย ข้างบนตกแต่งเป็นกระจกสีๆที่เรียกว่า ‘โมเสจ’ แล้วก็เก้าอี้ที่วางเรียงเหมือนโบสถ์ทั่วๆไป ออร์เกนตั้งอยู่ข้างหน้าไม้กางเขนขนาดใหญ่ ด้านข้างมีรูปปั้นของเทพและปีศาจขนาบข้าง แล้วรอบๆแท่นก็มีเทียน ที่ถูกจุดเอาไว้ ดูโดยรวมก็เป็นโบสถ์ที่สวยงานปกติธรรมดาทั่วๆไป ถ้าไม่
    ‘ตึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง’ เสียงบางอย่างดังขึ้น ฉันกับฟลุ๊คหันไปทางต้นเสียง เสียงออร์แกน..! ที่ไม่มีใครเล่น ใช่...ฉันคิดว่าอีกไม่นานมันจะต้องออกมาแน่นอน แล้วสิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือเตรียมพร้อม 
    “ระวังนะฟลุ๊ค มันกำลังจะมา” 
    “อะไรจะมา”
    “...เดี๋ยวนายก็จะรู้” ฉันกระชับเคียวในมือแน่น แล้วไฟในโบสถ์ก็เริ่มดับลงทีละดวง ฉันเริ่มกระเถิบเข้าหาฟลุ๊ค ตอนนี้หลังของเราชนกัน และเมื่อไฟดับหมด เสียงออร์แกนก็ดับลงไปตาม ตอนนี้ที่นี่เงียบสงบ...เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจของเราสองคน แล้วความเงียบก็ถูกทำลายลงเมื่อเสียงออร์แกนก็ดังขึ้นอีก เทียนทั้งหมดถูกลมพัดดับไป ความมืดเข้าครอบงำพื้นที่ แต่ไม่นานเทียนก็ติดขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ได้มีแค่นั้น เทียนมากมายทั่วบริเวณพากันติดขึ้นทีละดวง จนส่องสว่าง 
    ‘ตึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง’ เสียงออร์แกนสุดท้ายดังขึ้น แล้วบางครั้งก็เริ่มเคลื่อนไหวท่ามกลางแสงสว่างของแสงเทียง รูปปั้นปีศาจมีชีวิต! ปีกของมันค่อยๆกางออกช้าๆ เขาสองข้างของมันยาวแล้วแลดูน่ากลัว แล้วพุ่งเข้ามาหาเราสองคน
    “ฟิว ถอยไป” ฟลุ๊คคว้าเอาเคียวเล่มยักษ์ในมือของฉันไปแล้วพุ่งเข้าหามัน แต่ดูฟลุ๊คเคลื่อนไหวช้าลงแปลกๆ มันใช้มือขวาฟันเข้ามา ฟลุ๊คใช้ด้ามของเคียวยักษ์นั้นกันไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเล็บยาวๆของมันก็ถากใบหน้าของฟลุ๊คไปจนเกิดเป็นเลือดไหล มันเพิ่มแรงมากขึ้น จากที่ต้องใช้มือเดียวประคองเคียวไว้ตอนนี้เริ่มเป็นสอง ปีกซ้ายของมันก็ขยับขึ้นและพัดลงมา ฟลุ๊คกระเด็นไปติดกำแพงโบสถ์อีกด้านดังตูม ฟลุ๊คค่อยๆประคองตัวขึ้นมาแต่ประกฎว่ามันพุ่งเข้ามาอยู่ตรงหน้า แล้วใช้มือต่อยลงที่ฟลุ๊ค ฟลุ๊คเบี่ยงตัวหลบเลี้ยวกระโดดออกห่าง แล้วมันก็เริ่มไล่ต้องฟลุ๊คอีก สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น แถมฟลุ๊คยังเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียวอีกต่างหาก ปีศาจตนนั้นรวดเร็วและยังมีพลังมากจนไม่รู้จะหาวิธีมาชนะแบบไหน แล้วฟลุ๊คก็พลาดเมื่อมันใช้แขนซ้ายปัดฟลุ๊คกระเด็นมาทางฉัน 
    ‘ตูม’ 
    “ฟลุ๊ค !” ฉันวิ่งเข้าไปที่ฟลุ๊คแล้วประคองขึ้นมา
    “หนีไปซะ”
    “จะบ้าหรอ”
    “หนีไปซะฟิว”
    “ไม่ได้นะ...” ฉันคว้าเคียวที่มือของฟลุ๊คมาแล้ววิ่งเข้าใส่มันที่กำลังพุ่งเข้าหา
    “อย่าฟิว” ฟลุ๊คตะโกนแต่ไม่ทันแล้ว เมื่อกรงเล็บของมันพุ่งเข้ามาหมายจะปลิดชีวิต ฉันเอาสันเคียวรับ แล้ววาดไปด้านขวาจนมันลอยออกไปและไถลไปกับพื้น ฉันเบิกตากว้าง อะไรกัน เบาจัง... เคียวนั้นเบามือมากคนไม่น่าเชื่อว่าจะทำมาจากเหล็กแล้วอันใหญ่ถึงขนาดนี้ ถ้างั้นก็
    “เอาล่ะนะ” ฉันพุ่งเข้าหามัน แล้วก็ใช้คมเคียวฟาดเข้าตัวมัน มันใช้มือขึ้นรับ จนเกิดบาดแผลใหญ่ เลือดสีเหลืองเริ่มไหลย้อยลงมาสู่พื้นโบสถ์ แล้วมันใช้อีกมือหนึ่งพุ่งเข้ามา ฉันถอยออกไปห่างมันด้วยความรวดเร็ว ปีกมันเริ่มกระพือขึ้น ตอนนี้มันลอยขึ้นเบื้องบน แล้วบินโฉบลงที่ตัวฉัน ฉันใช้เคียวต้านเอาไว้ แต่ไม่ไหว ฉันลอยไปตามแรงกระแทกของมัน แต่ก็ไม่ไกลมากนัก ฉันพยุงตัวขึ้นมา ตอนนี้มันลอยอยู่ข้างบน แล้วบินโฉบลงมาอีกครั้ง ฉันใช้เคียวบล็อกเอาไว้ แต่แรงของมันกำลังทำให้ฉันค่อยๆเลื่อนถอยหลังออกไปเรื่อยๆ 
    “ยังไม่ใช่เวลาจะยอมแพ้นะ” ฟลุ๊คเข้ามาข้างหลังแล้วดันตัวของฉันไว้ ฉันวาดเคียวขึ้นด้านบนแล้วมันก็ลอยขึ้นไปอีก แต่คราวนี้มันได้แผลตามไปด้วย ฟลุ๊คจับฉันแล้วกระโดดขึ้นไป เคียวเล่มใหญ่ถูกวาดอีกครั้ง ปีศาจตนนั้นถูกแรงเคียวอัดลงข้างล่าง จนพื้นโบสถ์กลายเป็นรูใหญ่ 
    “โห...นี่ฉันแรงเยอะขนาดนี้เลยหรอ”
    “เพิ่งรู้หรอ ? ” ปาก...   ว่าแล้วก็เอาศอกกระทุ้งไปหน่อย หึหึ
    “เอาล่ะ...ไปเล่นมันเลย” แล้วเราก็พุ่งลงเบื้องล่างอีกครั้ง มันพยุงตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันเริ่มกระซิบกับฟลุ๊ค
    “นี่ฟลุ๊ค...”
    “อะไร”
    “ถ้ามันพุ่งเข้าหาเราอีก จับฉันกระโดดขึ้นให้พ้นหัวมันนะ กระโดดตีลังกาอ่ะคิดว่าทำได้ไหม”
    “ไม่มีปัญหา”
    “โอเค ที่เหลือฉันจัดการเอง” ฟลุ๊คพยักหน้า แล้วก็เป็นไปตามคาด มันพุ่งเข้ามาอีกครั้ง พอมันเข้ามาใกล้ประมาณ 2 เมตร
    “ตอนนี้ล่ะ”  ฟลุ๊คพาฉันกระโดดขึ้นมา เคียวยังคงไม่ลอยออกจากพื้น แล้วพอฟลุ๊คหมุนตีลังกาเคียวก็จะวาดเป็นวงพอดี นั่นหมายถึงการฟันผ่ากลางปีศาจตนนั้น เลือดสีเหลืองซาดกระเซ็นไปทั่วทั้งโต๊ะ ออร์แกน รวมถึงกางเขน แล้วร่างของปีศาจนั่นก็ถูกไฟลุกพรึบแล้วหายไป 
    “ฟิวดูนั่น...”   ฟลุ๊คเบิกตากว้าง เลือกสีเหลืองที่ซาดกระเซ็นไปทั่วนั่น ทำให้เกิดร่างของคนๆหนึ่งบนไม้กางเขนขนาดยักษ์ที่ผนังโบสถ์ ร่างของหญิงสาว นั้นไม่ได้สติ แล้วยังไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่หรือเปล่า แต่ร่างนั้นมันทำให้เรี่ยวแรงของฉันแทบหมดไป เคียวอันใหญ่ในมือหล่นลงจากมือของฉัน
    “กุ้ง...!” ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาไม้กางเขนนั่น ส่วนฟลุ๊คกระโดดพุ่งขึ้นไป ฟลุ๊คใช้มือดึงโซ่ที่พันธนาการตัวกุ้งออกแต่มันไม่ออก ฉันวิ่งไปหยิบเคียวที่วางอยู่กับพื้นขึ้นมา 
    “ฟลุ๊ค...พาฉันขึ้นไปที” ฟลุ๊คกระโดดลงมาแล้วอุ้มฉันขึ้นไป ฉันฟันโซ่แตกออกเป็นชิ้นๆ แล้วเอาตัวกุ้งลงมา
    “กุ้ง...กุ้ง” ฉันใช้มือตบหน้ากุ้งเบาๆ แต่กุ้งก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง น้ำตาเริ่มนองใบหน้า 
    “กุ้งตื่นสิ...กุ้ง”
    “ยังไม่ตายแค่สลบไปน่ะ” ฉันหันไปมองฟลุ๊ค 
    “จริงหรอ...” ฟลุ๊คพยักหน้า ตาของกุ้งค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ 
    “ฟิว...ฟลุ๊ค...” ฉันยิ้มไปร้องไห้ไป แล้วดึงร่างที่บอบช้ำของกุ้งขึ้นมาสวมกวด 
    “ทำไม พวกเธอถึงมีดาบแผลมากมายแบบนี้” กุ้งเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาเต็มที
    “ช่างมันเถอะ...ไม่เป็นไรหรอกกุ้ง พักซะเถอะ”   ฟลุ๊คพูดขึ้น แล้วแสงสีแดงก็เรืองขึ้น...จากไหน 
    “ฟิวที่หูของเธอ” ฉันทำหน้างงๆ หูของฉันทำไม แล้วฉันก็วิ่งไปที่ออร์แกนที่อยู่ใกล้ๆ ออร์แอกหลังนั้นสะอาดจนมองเห็นเงาสะท้อน แต่ก็ไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ถึงแบบนั้นฉันก็จำได้ดี กระดิ่งสีโลหิต กำลังเรืองแสงตอบสนองของบางอย่างที่กำลังใกล้เข้ามาด้วยความรวดเร็ว ฉันวิ่งกลับไปหยิบเคียวขึ้นมา
    “ฟลุ๊ค...”
    “ทำไม...เกิดอะไรขึ้น” ทั้งฟลุ๊คแล้วกุ้งทำหน้างงๆ
    “ดูแลกุ้งด้วยนะ” 
    “ทำไม...ฟิวจะไปไหน” กุ้งพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
    “ฉันไม่ไปไหนหรอก...แต่มันกำลังมา” 
    “อะไรที่กำลังมาฟิว” กุ้งเริ่มร้องไห้ออกมา แต่ไม่ทันที่ฉันจะตอบอะไร ประตูโบสถ์ก็เปิดผางออกมา...!                     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×