ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : สำรวจฝัน
“เป็นไปได้ยังไง...มีหรอที่คนเราจะฝันเรื่องเดียวกันในเวลาเดียวกัน” ฉันพูดขึ้น
“นั่นสิ...ฟิวบอกว่าไงนะ...หม่อนเองก็”
“หม่อนบอกแค่ว่า...ถูกไล่ฆ่า
”
“แต่ก็ไม่มีหลักประกันนี่ ว่าไอ้ที่ไล่ฆ่ามันจะไม่ใช่ผี” ต่อตัดบท...ก็จริงเราอาจจะฝันเรื่องเดียวกันก็ได้ งั้นอาจจะไม่ได้เกิดจากสมองของฉันคิดมาก แต่ก็ไม่แน่เราอาจจะคิดมากกันทั้งหมด ฉันกับต่อกำลังเดินเข้าโรงเรียน แต่สมองเราสองคนก็กำลังคิดถึงเรื่องความฝันบ้าๆนี่
“เป็นไปได้ไหม...ถ้าเกิดว่าคนที่ไปขัดห้องน้ำจะฝันเหมือนกันหมด”
“อาจารย์แม่มดบอกให้เราส่งงานก่อนเที่ยง...แล้วต้องไปพร้อมกันทั้งกลุ่ม”
“งั้นเราจะใช้เวลารวมตัวกันถามเรื่องนี้ทีละคน” ต่อพูดจบ เราสองคนพยักหน้าก่อนที่เราจะแยกกันไปนั่งที่ของแต่ละคน ทั้งที่อยู่ติดกัน
ชั่วโมงแรกผ่านไป...สองและสามก็ผ่านไป ถึงแม้ฉันจะไม่มีสมาธิกับการเรียนเลย แต่ก็รู้สึกว่าเวลามักผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสมอ จนเข้าคาบที่สี่ของวัน ฉันหยิบดินสอมือท้าวคางแล้วก็ขีดๆเขียนๆอะไรไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในเรื่องฝันของเมื่อคืน แล้วก็หมดชั่วโมงที่สี่
“ต้า วิน” ฉันเรียกทั้งสองคนที่กำลังเตรียมตัวไปทานข้าว
“ไปส่งงานกันก่อน เดี๋ยวจารย์แม่มดสั่งฆ่าอีก” ต้า หม่อน วินเดินนำหน้า พ่วงต่อที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มอีกคน เพื่อไปเผชิญหน้ากับอาจารย์แม่มดพันๆปี
“ดีมาก...การขัดห้องน้ำคงทำให้พวกเธอความจำดีขึ้นเยอะ” อาจารย์แม่มดมองงานของพวกเราแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี ผลงานออกมาดีติดก็แต่ไอ้ท่านหม่อนที่ลืมเอามาส่ง
“เอาล่ะพวกเธอ...ไปกินข้าวกินปลาไป” เราเดินออกมาจากห้องพักครู แล้วเจอกับต่อที่รออยู่หน้าห้อง
“นี่ รีบเปล่า...มีอะไรอยากถามหน่อย” ต่อเอ่ยปาก
“ไว้วันหลังได้ไหม...รีบ” ต้าพูดแล้วเดินออกไปจากกลุ่มทันที
“ต้า เมื่อคืนฝันหรือเปล่า” ฉันตะโกนถาม เพราะอย่างน้อยเราก็จะได้รู้ว่าต้าฝันเหมือนเราเหนือไม่
“ไม่นี่” ต้าส่ายหัว
“ไม่หรอ....จริงๆอ่ะ” ต้าส่ายหัวแต่ฉันยังคงยื้อ
“จริง...อย่าเรื่องมากได้ป่ะ คนยิ่งรีบๆอยู่” ว่าไงนะ? ฉันกำลังจะอ้าปากพูดต่อ ต่อรีบเอามือขึ้นปิดปากฉันก่อนฉันจะพล่ามอีก
“ไม่เป็นไร...ไม่มีอะไรหรอก” ต่อพูด ต่อเอามือออกจากปากฉัน ฉันหันไปมองต่ออย่างเคืองๆ ต่อยิ้มเป็นเชิงขอโทษ
“หาที่อื่นคุยเถอะ” ต่อเดินนำไปทางหลังอาคาร ที่นั่นมีสวนขนาดเล็กแล้วโต๊ะประมาณ 4 ตัว ที่สำคัญมีคนอยู่น้อยด้วยแล้วน้อยคนที่จะเดินผ่าน เหมือนไร้สาระยังไงไม่รู้สิที่มานั่งกลุ้มใจเรื่องความฝัน
“เมื่อคืนมีใครฝันบ้าง” ฉันเริ่ม ทุกคนพยักหน้าแล้วดูกระตือรือร้นน่าดู ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยนะพวกแก
“ฝันว่าอะไรกันบ้าง”
“โดนฆ่า / ถูกผีไล่ / หนีผี” ดีจริงๆ แต่ละคน เริ่มจากคนแรกหม่อน ต่อแล้วก็วิน
“ฝันเหมือนกันเลยแหะ”
“น่านสิ...แต่มีต้าคนเดียวไม่ได้ฝัน” ต่อพูดแล้วเอามือจับไว้ที่คางเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“เราอาจจะคิดถึงกันมากๆก่อนนอนก็ได้” ทุกคนหันไปมองต้นเสียง วิน...ช่างกล้าคิดเนาะ
“เออใช่...คิดมากป่ะเนี่ยต่อกับฟิวอ่ะ” หม่อนพูด
“แล้วไม่มีโดนอะไรบ้างหรอ” ทั้งสามคนทำหน้างงๆ
“หมายถึง โดนฟันหรือว่าถูกจับเหวี่ยงอะไรแบบนี้น่ะ” ฉันเริ่มพูดประกอบท่าทาง แต่มันคงเป็นท่าที่แย่มากเลยทีเดียว เมื่อสามคนเริ่มทำหน้าแปลกๆ แล้วก็ลองนึกดูว่าโดนจับฟันหรือเปล่า หม่อนกับวินส่ายหน้า ต่อไม่มีประฎิกิริยาตอบสนอง
“ไปกินข้าวก่อนนะ...หิว” หม่อนพูดแล้วก็
“หิวนะเนี่ย...” ตามด้วยวิน ฉันพยักหน้าแล้วโบกมือให้มันรีบไปไกลๆ เฮ้อ...มนุษย์เนี่ยเป็นสิ่งที่ขาดของกินไม่ได้จริงๆเลยนะ ฉันเองก็เริ่มหิวแล้วกินเริ่มที่จะเดินตามวินและหม่อนไป แต่แล้วต่อก็จับแขนเสื้อของฉันเอาไว้ ฉันหันไปหาต่อ
“มีอะไรจะให้ดูหน่อย” ต่อถอดเสื้อคลุมตัวนอกของโรงเรียนออก...ม่ายนะหรือต่อจะเป็นพวกโรคจิตขอบโชว์ แล้วถกแขนเสื้อตัวในขึ้น บ้ารึป่าวเนี่ยฉันต่ออ่านะจะทำแบบนั้น เป็นหม่อนว่าไปอย่าง แล้วฉันก็ต้องเบิกตากว้าง รอยแผลสองรอยเป็นทางยาว ฉันยื่นมือจะไปแตะแผล แต่ต่อเอาแขนเสื้อลงเสื้อใส่เสื้อคลุมซะแล้ว
“ไปโดนอะไรมา”
“ไม่รู้สิตื่นมาก็เป็น เลือดเต็มที่นอนเลย” ต่อยิ้ม...ยังจะยิ้มออกอีก
“พอฟิวถามก็เลยนึกขึ้นได้ ถูกลูกธนูสองดอกเฉี่ยวแขนน่ะ”
“จำได้รึเปล่าว่าตัวมันเป็นแบบไหน”
“แบบไหนหรือ...อืม...คงจะประมาณ ศพติดปีกลอยได้ละมั้ง” ฉันสะดุ้ง...ตัวเดียวกัน มังคงจะไม่ใช่ความฝันธรรมดาแล้วล่ะ ถ้ามันส่งผมถึงร่ายกายของต่อขนาดนั้น ต่อคงไม่ละเมอเอาคัตเตอร์มากรีดแขนตัวเอง แต่ที่น่าสงสัยถ้าเป็นแบบนั้นทำไมฉันที่โดนฟันถึงขนาดนั้น บวกกับรอยแผลอีกมากมายถึงไม่เป็นอะไรเลย หรือว่าจะเพราะกระดิ่งนั่น แต่ไม่แน่ถ้ามันทำให้ไอ้ผีบ้านั่นสลายไปได้ แค่รักษาแผลที่เกิดจากความฝันคงไม่ยาก เฮ้ย..ว่าแต่ พวกต่อหม่อนกับวินไม่ได้มีกระดิ่งแบบเรานี่นา แล้วตื่นขึ้นมายังไง หรือตามสัญชาตญาณเวลาฝันร้าย...
“ต่อ...ต่อตื่นขึ้นมาเองหรอ”
“อื้มใช่”
...สายลมพัดเย็นสบาย ต่ออยู่ในสวนสาธารณะ บนชิงช้า คืนนี้ฝนทำท่าจะตกทางฝั่งโรงเรียน แต่ที่นี้ท้องฟ้าแจ่มใสมากจนไม่คิดว่าวันที่อากาศดีๆแบบนี้น่ะหรือจะมีฝนตก ต่อมองไปรอบๆ ที่นี่ไม่มีใครเลยนอกจากตัวของเขา แต่เป็นบรรยากาศที่ดีจริงๆเลยนะ เงียบสงบ...ลมเย็นๆพัดใบไม้และต้นหญ้าสีกันเป็นเสียงดัง ฟังแล้วก็เพลินๆดี แต่แล้ว...
ครืด...
เสียงประหลาดดังขึ้น ต่อหันไปทางต้นเสียง...ไม่มีอะไรหรือเขาคิดไปเอง สายลมเริ่มพัดแรงขึ้น ประสาทการรับรู้ของเขาแหลมคมกว่าทุกๆคน ทั้งรูป รส กลิ่น และเสียง แล้วเขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ได้มีแต่เขาแล้วที่อยู่ในสวน
ครืด...
เสียงนั่นดังขึ้นอีก ที่นี้ต่อไม่ได้หันไปมองแต่หน้าแล้ว แต่ลุกขึ้นจากชิงช้าที่นั่งแล้วหันไป บางอย่างแฝงกายอยู่ในความมืดมืด พุ่มไม้เล็กๆสั่นไกว ต่อค่อยๆก้าวขาถอยหลังออกไปเรื่อยๆ
ครืด..................
เสียงนั้นดังขึ้นเป็นทางยาว ร่างของบางอย่างค่อยออกมาจากพุ่มไม้ แต่ความมืดนั้นยังคงปลกคลุมร่างของมันทั้งหมด จนมันเข้ามาเรื่อยๆ ฟ้าเบื้องบนผ่าลงมาเป็นทางยาว แสงของสายฟ้ามหึมาสาดส่องไปทั่วสวน ทำให้ร่างของมันปรากฏขึ้น ร่างสูงใหญ่แต่ดูซีดเซียวเหมือนศพ ปีกของมันกว้างพอๆกับรถยนต์สองคัน มือขวามันถือคันธนูเอาไว้ ไม่ต้องรอให้มันเดินเข้ามาใกล้ไปกว่านี้อีก วิ่ง! ต่อวิ่งออกไปเรื่อยๆ ความเร็วของมันระดับเท่าเดิม และหวังว่าคงจะไม่รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
ฝีเท้าของต่อเริ่มลดลงเรื่อยๆ ขาเริ่มอ่อนแรงแม้ว่าจะวิ่งมาได้ไม่ไกลมากนัก แต่คงถ่วงเวลาได้นิดหน่อย และเดินไปอีกนิดก็จะออกจากสวนนี้ได้แล้ว แต่ว่า... ต่อเดินเตะเข้ากับอะไรบางอย่าง มันเป็นแค่ก้อนหินธรรมดา มันลอยไปและเกือบจะใกล้ออกจากเขตของสวนนี่เต็มที แต่ว่ามีบางอย่างทำให้หินก้อนนั้นหยุดลง ต่อเบิกตากว้างแล้ววิ่งไปที่หินก้อนนั้น
‘ทำไม’ คำถามแล่นอยู่ในหัว มันควรจะกลิ้งออกไปนอกสวนแล้วสิ ต่อลองยื่นมือออกไป แล้วมือนั้นก็กระทบกับ...บางอย่างที่กั้นอยู่ เหมือนกำแพงที่ทำจากกระจกใสๆ ยิ่งใช้มือทุบก็ยิ่งเจ็บ แม้กระทั่งหาหินก้อนโตๆทุบ ของบางอย่างกระเด็นหล่นออกจากข้อมือ สร้อยไม้กางเขน...แต่สร้อยนั้นกลับเป็นสีแดงสดเหมือนกลับถูกเลือดอาบ ต่อค่อยๆก้มลง มือพยายามจะเอื้อมลงเก็บสร้อยนั่นขึ้นมาเงาจากมือบดบังสร้อยกางเขนที่ร่วมสู่พื้น แล้วทันใดสร้อยนั่นก็กลับเป็นสีเงินปกติ แต่พอเอามือออกมันกลับเป็นสีแดงเหมือนเดิม
‘แสงสะท้อนหรอ?’ ต่อแหงนหน้ามองไปยังต้นแสงพระจันทร์ดวงสีแดงเข้มส่องสว่างอยู่เบื้องบน
‘คืนใดที่พระจันทร์อาบด้วยสีของโลหิต วันนั้นเจ้าปีศาจจะขึ้นมาบนโลกจากขุมนรก วันที่พระจันทร์เป็นสีแดง จะเป็นวันที่ประตูนรกเปิดในรอบหลายปี แล้วเจ้าปีศาจจะพาดวงวิญญาณทั้งหมดของมนุษย์ที่เห็นมันกลับนรกไปเป็นเครื่องสังเวยให้กับตัวเอง’ สังเวยกับตัวเอง ถูกจับตัวไป ความตาย เสียงทั้งหลายวิ่งวนอยู่ในหัวของต่อ แต่ว่า...
‘คิดว่าฉันจะยอมตายอยู่ตรงนี้หรอ’ ต่อคิด ไอ้นี่มันบ้าระห่ำกว่าที่คิดแหะ ลูกธนูพุ่งมาแต่ไกล เฉี่ยวแขนของต่อแล้วทะลุกำแพงกระจกนั่นออกไป เลือดซึมเล็ดออกมานอกผิวหนังต่อไม่มากนัก เป็นแค่รอยถากๆแต่ก็เรียกเลือกให้ซึมออกมาได้ ต่อหันไปหาทิศที่ลูกธนูบินมา สายตาเย็นชาแต่แฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โกรธผีอ่านะ ลูกธนูลอยมาอีกสองดอก ต่อวิ่งหลบไปทางซ้ายที่มีต้นไม้ใหญ่บังอยู่ แสงสีแดงส่องลงมาทำให้พอจะเห็นว่ามันอยู่ที่ตรงไหน มันค่อยๆเดินเข้ามาเรื่อยๆ มือของมันง้างคันธนูและเตรียมที่จะยิงอีก ลูกธนูสามดอก ต่อก้มหลบอยู่ใต้ต้นไม้ ถึงแม้ว่าต้นไม้นั่นจะบังตัวบางๆของต่อมิดก็เถอะ เสียงคันธนูดีดผึง ลูกธนูเสียดสีกับลมเป็นเสียงดังยาว
‘ตึง’ ลูกธนูนั่นจนกับต้นไม้นั่นเต็มๆสามดอก แต่ไม่นึกว่ามันจะรุนแรงขนาดนั้น ต่อแหงนหน้ามองต้นไม้ มันค่อยๆเอียงลงมา ต่อเบิกตากว้างและหลบออกไปทางขวา
‘ตูม’ ลำต้นใหญ่ล้มทำให้แผ่นดินบริเวณนั้นเกิดสั่นสะเทือน ต่อตั้งหลักลุกขึ้น แล้วดึงลูกธนูสามดอกนั้นออกจากลำต้น แต่มันติดแน่นมากๆ มันเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ลูกธนูนั่นดึงออกมาได้แล้วหนึ่งดอก มันใกล้เข้ามาอีกเรื่อยๆ อีกประมาณห้าเมตร ธนูดอกที่สองออกมาได้ มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่ง...ประชิดตัวในที่สุด คันธนูถือเงื้อขึ้นมาเตรียมจะปะทะกับร่างของต่อ
“ออกมาสิเว้ย” ลูกธนูหลุดออกมาต่อเอามันชูขึ้นมาป้องกัน คันธนูกระแทกกับลูกธนู คันธนูถูกกระแทกเด้งกลับออกไป แต่ลูกธนูออกนั้นงอจนหัก ต่อพลิกตัวอย่างรวดเร็วและวิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
“แฮ่กๆ” เสียงหอบดังเป็นระรอก ต่อใช้มือพิงกับต้นไม้ใหญ่อีกต้นในสวน ลูกธนูยังคงอยู่ในมือ ต่อมองลูกธนูในมืออย่างใช้สมอง
‘ต้องหาที่ซ่อน...มีโอกาสแค่สองครั้งเท่านั้น’ ต่อคิดอีกครั้ง ต่อแหงนหน้ามองขึ้นไปบนต้นไม้แล้วถอนหายใจเฮือกยาวๆ
‘ช่วยไม่ได้แหะ ถึงจะไม่เคยปีนก็เหอะ’ ต่อปีนต้นไม้ขึ้นไปเรื่อยๆ ลัดเลาะไปตามกิ่งไม้ จนถึงจุดๆหนึ่งแล้วเขาก็นั่งหลบอยู่ข้างบน ต่อมองหันซ้ายขวาไปรอบๆตัว แล้วเขาก็เจอกิ่งไม้อันหนึ่ง มันเป็นท่อนโค้งยาวเหมาะจะมาทำเป็นคันธนูอย่างง่ายๆ ความแข็งของมันก็อยู่นะดับพอดี ไม่อ่อนจนหักง่ายหรือแข็งไปจนงอไม่ได้ ต่อแกะเปลือกไม้ออกให้เหลือแต่ตัวไม้ เชือกรองเท้าถูกดึงออกมาจากรองเท้าผ้าใบทั้งสองแล้วมัดเป็นสายธนู ต่อลองง้างดู...แล้วมันก็ใช้ได้ ที่เหลือก็แค่รอเวลาเท่านั้น ต่อหยิบสร้อยไม้กางแขนออกมาจากกระเป๋า เขามองมันอยู่สักพักแล้วก็เอามือข้างที่มีไม้กางเขนจับคันธนูเอาไว้ แค่รอเวลาเท่านั้น...
เสียงกิ่งไม้ถูกันดังซ่าๆเข้ามาเรื่อยๆ ต่อเริ่มง้างคันธนูที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ อันที่จริงเพิ่งจะเมื่อกี้นี้เอง เงาของมันเข้ามาเรื่อยๆ ก้อนเมฆบนฟ้าเริ่มหลีกทางให้แสงจันทร์ส่องสว่างไปทั่วพื้นที่ สายธนูถูกขึงตึงพอดีกับที่มันเข้ามาใกล้พอดี
‘ฟิ้ว’ ลูกธนูถูกดีดออกไป แต่เหมือนกับว่า ลูกธนูจะถูกดีดสวนกลับมาด้วยความรวดเร็ว แค่เสี้ยววินาทีที่ถูกธนูของต่อถูกดีดออก มันหันควับขึ้นมาตรงตำแหน่งที่ต่ออยู่ ไม่จำเป็นต้องอาศัยลูกธนูบนหลัง มันใช้มือเปล่าง้างคันธนู แล้วทันได้ที่สายธนูดีดผึง ลูกธนูสองลูกก็ถูกปล่อยออกมา ทั้งๆที่ตอนแรกยังมองไม่เห็น ลูกธนูของต่อถูกผ่าตัดเป็นสองท่อนตามความยาว จนกระทั่ง ลูกธนูนั่นตัดผ่านแขนของต่อไปเป็นทางยาว ต่อร่วงลงมาจากบนนั้น แผลนั้นยาวและลึกไล่ไปตามท่อนแขน เลือดไหลออกมาจากรอยแผลยาวทั้งสองอย่างเจิ่งนอง ส่วนคันธนูนั้นหลุดออกจากมือไปแล้วกระเด็นออกไปไกล
‘ความฝัน...ความฝันที่เจ็บปวดเหมือนของจริง’ ต่อคิด มันยังอยู่กับที่แต่ขยับเขยื้อนใดๆ แต่มันหยิบลูกธนูออกมาอันดอก คันธนูใหญ่ถูกง้างขึ้นอีกครั้ง ลูกธนูดีดผึง แต่จากลูกธนูหนึ่งลูกกระจายออกมาเป็นหลายสิบและหลายร้อย ต่อเบิกตากว้าง กับภาพข้างหน้า ลูกธนูใกล้เข้ามาทุกๆที ต่อถอนหายใจ
‘ฝันของฉัน ความคิดของฉัน อย่ามา...ควบคุมความฝันของฉันนะ” ต่อหยิบไม้กางเขนที่ยังคงพันอยู่ในมือขึ้นมา แล้ววางไว้บนนิ้วชี้ติดกับนิ้วโป้งข้างซ้ายคล้ายลักษณะจับคันธนูลูกธนูถูกง้างออก สายตาสีเทาจ้องไปที่เป้าหมายอย่างมุ่งมั่น แล้วกางเขนในมือส่องสว่างเป็นสีน้ำเงินเข้มแทนที่จะเป็นสีแดงจากแสงสะท้อนของดวงจันทร์
‘ฟิ้ว’ ลูกธนูถูกดีดออกไป ปลายศรของลูกธนูเปล่งแสงสีน้ำเงินเข้มออกมา ธนูนับร้องที่ค่อยๆสวนทางเข้ามานั้น สลายกลายเป็นละอองฝุ่น ร่างศพยกคันธนูขึ้นมา ลูกธนูสีน้ำเงินปะทะกับบาเลียที่คันธนูนั้นต้านเอาไว้ คลื่นพลังทั้งสองที่ปะทะกันนั้นทำให้เกิดสายลมแรงพัดมา ร่างปีศาจนั่นค่อยๆเลื่อนตามแรงของลูกธนู
‘ยังหรอกน่า ฉันต่างหากที่ต้องเป็นผู้ควบคุมฝันตัวเอง’ กางเขนสีน้ำเงินถูกง้างอีกละรอก ทั้งที่ไม่มีลูกธนูหลงเหลืออยู่ ตาสีเทาเล็งไปที่เป้าหมายที่ยังคงต้านพลังของลูกธนูดอกแรก
‘ฟิ้ว’ ลูกธนูอีกดอกหนึ่งดีดผึง ความว่างเปล่าแปรเปลี่ยนเป็นดอกธนูสีน้ำเงินใสตัดกับแสงของพระจันทร์อย่างสุดขั้ว เมื่อลูกธนูดอกสองกระทบกันม่านบาเลีย ม่านบาเลียเริ่มร้าว แล้วแตกไปในที่สุด ลูกธนูทั้งสองตรงเข้าปักบริเวณอกด้านซ้ายของปีศาจร่างศพนั่น หัวใจ ธนูทั้งสองแทงเข้าไปในหัวใจของปีศาจนั่นแล้วปักอยู่อย่างนั้น ร่างศพค่อยๆสลายไปทีละนิดจนหายไป และความฝันนี้ก็จบลง
“แกนี่...แรงนะ” ฉันอึ้งๆเงียบๆไป ต่อก็ยิ้มๆให้
“ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าถ้าพลาดนิดเดียวก็อาจจะหลับไม่ตื่น”
“ก็จริง” แต่ขนาดเอาอาวุธศัตรูมาใช้ก็ใช่ย่อยแล้วล่ะจร๊า
“แล้วแผลนั่น....” ฉันใช้นิ้วชี้ไปที่แขนต่อ
“ไม่เป็นไรหรอก...พอตื่นมามันก็เกือบหายแล้วล่ะ” ฉันคงโชคดีละมั้งที่ไม่มีแผล
“คิดว่าจะมีคนอื่นนอกจากเราไหมที่ฝันอะไรพวกนี้น่ะ” ต่อพยักหน้า
“จะทำยังไงดีถึงจะรู้ว่ามีใครบ้าง” ฉันหันไปมองหน้าต่อ ต่อยิ้มที่มุมปากเล็กๆ ฉันเอียงคอเล็กน้อย...ต่อจะทำอะไรนะ
“นี่มันอะไรเนี่ย” กระดาษแผ่นหนึ่งถูกเขียนหัวข้อว่า ‘สำรวจความฝัน’ แล้วก็มีข้อความเขียนเอาไว้ที่มุมกระดาษ ‘จากชมรมผลสำรวจ’ (ชมรมบ้าอะไรของแกเนี่ย) ‘เนื่องจากเราค้นพบว่า ความฝันเกิดขึ้นจากที่สมองของคนเรากำลังทำงานในเวลาหลับ (เค้ารู้กันนานแล้วนะ) นั่นหมายถึงว่า เรามีอะไรมากมายในสมองจนเกิดการสร้างภาพขึ้นมาเป็นความฝัน และเราอยากรู้ว่า มีเด็กมากน้อยขนาดไหนที่มีผลของความเครียดหรือจิตนาการชั้นสูงซึ่งก่อให้เกิดฝัน จากนั้นก็ทำการส่งของมูลไปยัง สถาบันการศึกษาขั้นสูง ‘High Brain’ (มันเป็นสถาบันต๊อยอะไรเนี่ย) ‘เพื่อปรับหลักสูตรการศึกษาใหม่เป็นหลักสูตรกิน นอน *หมายถึงจะกินก็กิน จะนอนก็นอน จะเรียนก็เรียน* (เวรกรรม อย่าเอาไอ้ต่อไปบริหารการศึกมานะ เด็กไทยได้ล่มจมก็คราวนี้แหละ) ‘เราจึงต้องการผลสำรวจเพื่ออนาคตของเด็กไทยต่อไป ขอบคุณ’
...ใครจะเชื่อแกล่ะทีนี้ ลำพังชื่อสถาบันบ้าบออะไร ตั้งให้มันมีสติปัญญาให้มากกว่านี้ก็ไม่ได้ แล้วอย่างนี้ใครมันจะไปเชื่อถือล่ะเนี่ย แต่ผิดคาด คือกระดาษที่เราใช้ออกแบบสำรวจข้อมูลคือใบรายชื่อ นั่นคือสามารถรู้ชื่อของเด็กในโรงเรียนทุกๆคนได้ ถ้าอยากจะรู้มันนะ แต่ตอนนี้เราสองคนต้องการแค่ข้อมูลของเพื่อนๆในห้องเท่านั้น
“ไหนๆดูสิ...ฝันว่าได้ไปออกเดทกับ วันเดอร์เกิน
” ใครเนี่ย...ไปเดทกับดาราเกาหลีอ่านะ อย่างนี้เรียกว่าฝันเฟื่อง
“ถูกตำรวจจับ ข้อหาสวยเกินเหตุ” เวรกรรม...! อย่างนี้เรียกว่าฝันดีในฝันร้าย
“ถูกกระเทยกล้ามล่ำบึกแต๊ะอั๋ง” ต๊าย... ฝันดีนี่นา...
“ไปเที่ยวทะเล แล้วดำเป็นนิโกรกลับมา...เศร้าใจ” แนะนำ...งั้นอย่าไปเลยทะเล ลำพังไม่ไปยังขนาดนี้ อันนี้เรียกว่าฝันที่เป็นจริง แต่ก็มีคนฝันว่าถูกตามล่านะ ก็มีฉันล่ะคนแรก แล้วก็ต่อ หม่อน วิน หมู มิ้งค์ เค้ก ไอซ์ ความจริงอาจจะมีคนอื่นๆอีกก็ได้นะ หรือไม่ก็ความจริงคนในนี้อาจจะไม่ได้พูดความจริง อาจจะเห็นเล่นเรื่องเล่นๆก็ได้ หึหึ ถ้าเจอแบบเดียวกันแล้วจะรู้ว่าเล่นกันถึงตาย
หมู หมูเป็นนักดนตรีของห้อง ที่จริงห้องเราก็นักดนตรีเยอะนะ หมูมีผมยาวประบ่าดำ ตัวขาวสูงและหน้าตาดี ที่สำคัญ หมูป๊อบในหมู่ของนักเรียนด้วยกันมาก ไม่ว่าจะเป็นพี่ๆน้องๆ แล้วก็ยังเป็นนักวิ่งอีกด้วย ใครจะไปรู้ว่ามันแรงควายมากๆ แรงเยอะจริงๆนะ เวลามีวันแข่งกีฬาทีไร ก็จะมีสาวๆมานั่งป้อนน้ำ ป้อนขนมนมเนยให้ถึงที่ อิจฉาอยากมีคนเลี้ยงขนมบ้าง แต่ที่คนหลายๆคนนั้นชอบหมู คงไม่ใช่เพราะ กีฬาดี ดนตรีเก่ง แล้วก็หน้าตารูปร่างที่ดูเด่นอย่างเดียวหรอก อาจจะเป็นเพราะหมูเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี ยิ้มเก่ง เป็นกันเองแล้วก็ไม่ถือตัว นี่อาจจะเป็นเหตุผลจริงๆที่ใครหลายๆคนร้องเรียกชื่อหมูบ่อยๆ
มิ้งค์ นี่ก็เป็นนักดนตรีหญิงของห้องเหมือนกัน และแค่หนึ่งเดียว นอกจากนั้น...ยังเป็นสาวกของโอตาคุ โรริต้าแล้วก็งานคอสเพลอีกด้วย มีงานที่ไหนมีมิ้งค์ที่นั่น แต่มิ้งค์ก็โรริจริงๆนั่นแหละ ขนาดตัวที่สามารถเอาเก็บเข้ากระเป๋าแล้วก็ยังทรงผมแกละที่บิดเกลียวอีกด้วย มิ้ง...เป็นคนที่กันเองแบบสุดๆ ไม่มีลูกเล่นหรือไรเลย ตรงๆ ยังไงก็ได้ มิ้งค์เองก็เคยเล่นกีตาร์คู่กับหมูนะ แล้วก็ถูกแฟนคลับสาวๆทั้งหลายรวมถึงชมรม ‘คนรักพี่หมู’ เขม่นเอา แล้วมิ้งค์ก็มานั่งหัวเราะ เหอะๆ...ไม่ตลกสักหน่อย
เค้ก น้องสาวฝาแฝดของต่อ พี่น้องคู่นี้ต่างกันราวปลายฟ้ากับก้นเหว คนหนึ่งก็ดูเงียบๆ ไม่พูดไม่ยิ้มนอกจากจะยิ้มแบบวางแผนการไม่ก็แสยะ ส่วนอีกคนก็นางฟ้ามาโปรด อ่อนหวานเรียบร้อย ยิ้มเข้าไปวันๆไม่ทำอะไร จนเหมือนจะเอ๋อ แต่จะเหมือนกันก็ตรงผมนี่แหละ ดำเงาแต่ก็รวบไว้ทางด้านซ้าย ก็ไม่รู้จะพูดอะไรมาก สำหรับเค้กคำว่านางฟ้าบ่งบอกความเป็นตัวเองที่สุด ไม่ใช่สวยเด่นอะไรหรอก แต่ด้วยนิสัยแล้วกิริยาท่าทางให้
ไอซ์ คนนี้น่ากลัวเป็นที่สุด ถึงแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยๆ น่ารักๆดูคิกคุอาโนเนะ แต่จริงๆแล้วเธอคนนั้นโหดร้าย ทารุณแล้วก็ยังน่ากลัว ที่จริงก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก คนที่ไม่รู้จักไอซ์ดีอาจจคิดว่าไอซ์เป็นคนที่เงียบแล้วก็เข้าถึงยาก แต่จริงๆไม่ใช่เลยล่ะ ไอซ์ยิ้มง่ายแล้วเวลาวีนจะน่ากลัวมาก ไอซ์มีผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตดัดยาว
“...กลุ่มเราโดนทั้งก๊กเลยแหะ” ฉันพูดกับต่อเบาๆ
“นั่นสิ...บ้า กุ้งยังไม่โดน ” ต่อพูดแล้วเก็บโพยเข้ากระเป๋าไป ไม่นานนักกริ่งเลิกเรียนก็ดังขึ้น เราสองคนเก็บของลงกระเป๋า แล้วลุกออกจากที่นั่ง ต่อเดินออกไปข้างนอกแล้วเดินลงบันไดไปกับเค้ก ส่วนฉันปกติแล้วกลับบ้านกับไอซ์แล้วก็เพื่อนอีกคนหนึ่งที่ชื่อกุ้ง ทั้งสองคนเดินตามออกมา ฉันเป็นคนเริ่มพูดกับสองคนนั้นเป็นคนแรก
“กลับเลยไหมไอซ์”
“ไม่อ่ะ...เดี๋ยวจะไปซื้อของก่อน” ไอซ์ตอบแล้วก็ใช้มือล้วงกระเป๋ากระโปรงแล้วหยิบโทรศัพท์ที่ดังพอดีขึ้นมา
“แล้วกุ้งล่ะ” กุ้งหันมามองหน้าเราสองคนที่กำลังรอคำตอบ แม้ไอซ์จะคุยโทรศัพทย์อยู่
“ก็ว่าจะกลับเลยน่ะ แต่หนีเที่ยวสักแปบคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” พูบจบแล้วกุ้งก็ยิ้ม เราจึงตัดสินใจไปซื้อของกับไอซ์กันก่อน
เราทั้งสามยืนรอรถเมล์ที่ผ่านหน้าห้างใกล้ๆ แล้วก็คุยกันไปเรื่อยๆ ถึงเรื่องงาน ความซวยของฉัน แต่ไม่ได้คุยเรื่องฝันให้กุ้งฟัง แล้วฉันก็คิดว่าจะลองถามไอซ์เรื่องนี้ดู รถเมล์มาแล้ว วันนี้คนข้างบนค่อนข้างเยอะพอสมควร เพราะเป็นรถที่มีคนขึ้นมากอยู่แล้วบวกกับเวลาเลิกเรียนที่นักเรียนทั้งโรงเรียนจะกลับบ้าน ไม่ก็ไปเดินเล่นกันก่อนกลับบ้าน ฉันไม่เห็นว่าการเดินเล่นในห้างและเดินดูของมันจะสนุกตรงไหน แถมยังทำให้ตังค์ในกระเป๋าเงินค่อยๆลดลงไปอีก เราขึ้นไปบนรถเมล์ มีคนยืนกับประมาณเกือบครึ่งคันรถได้ เราเองก็คงต้องยืนเหมือนกัน แต่ว่ากุ้งนี่โชคดีหน่อยที่มีนักเรียนนายร้อยหน้าตา...หล่อลากมากๆคนหนึ่งลุกให้นั่ง ที่จริงแล้วก่อนเราขึ้นไปยังไม่มีใครยืนหรอกค่ะ แต่คนที่ขึ้นป้ายนี้เยอะพอสมควร เราก็เลยกลายเป็นหนึ่งในครึ่งรถที่ยืนกันอย่างกะทันหัน แต่ว่าเหมือนโดนกลั่นแกล้ง ถัดไปอีกป้าย หน้าตลาดที่มีคนเยอะมากแล้วส่วนใหญ่ก็คงเป็นนักเรียนที่หิว ไม่ก็ว่างพอที่จะหาคอลเรสเตอรอลจากหมึกย่าง ไอศกรีมทอด แล้วก็ของอื่นๆอีกมาใส่ตัว ว่าแต่เขาฉันเองก็ทำ แต่เรื่องนั้นขอพักไว้ก่อน ตอนนี้รถเมล์ที่ฉันยืนโหนราวอยู่นั้นแน่นอย่างปลากระป๋อง จนบางคนก็ห้อยโหนอยู่ตรงประตูรถ บางคนนี่เห็นรถมาแต่ไกลก็ทำท่าดีใจอยู่หรอก แต่พอรถเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก็ประมาณว่า...แม่เจ้า สาบานสิว่านั่นรถเมล์ไม่ใช่ปลากระป๋อง แล้วก็หันกระไปอีกทางอย่างจำใจ
ถึงห้าง แทบตายคารถ เราสามคนระเห็จระหอบลงรถกับอย่างหมดแรงเต็มที แต่ก็ต้องมาผจญกับด่านแรกก็คือตลาดนัดหน้าห้างที่มีประจำทุกวัน แถมคนเองก็ไม่ต่างอะไรกับปลากระป๋องวิ่งได้ที่เพิ่งลงมา ฉันหันหน้าไปทางไอซ์แล้วส่งสายตาอ้อนวอนประมาณว่า...กลับกันเถอะน๊า ส่วนไอซ์ก็ส่งสัญญาณตอบกลับ ไหนๆก็มาแล้วให้ถึงจุดหมายไปเลยเถอะน๊า
เราเดินฝ่าสงครามลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์เข้ามาในห้าง แทบลากเลือด เดี๋ยวทางขาวก็ลด 30 เปอร์เซ็น ทางซ้ายซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ถูกใจแม่บ้านราคาประหยัดจริงๆ โดยเฉพาะคำว่า discount 50 % ที่ถูกแปะไว้ทำให้ลูกค้าทั้งหลายทั้งปวงต่างเข้าไปจับจองกันเป็นเจ้าของกันพัลวัน แล้วก็ยังมีอีกพวกที่คอยหาของสวยๆงามๆ แฟร์ชั่นใหม่ มาประดับร่างกายให้ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน เข้าไปดูก็ดูเฉยๆไม่ได้ ต้องมายืนกรี๊ดนั่งกรี๊ด แล้วก็พี่คะมีกระจกไหม เธอสวยแล้วยัง แล้วก็จะมีเสียงตอบรับว่าสวยจะตาย ไม่ก็...เนี่ยคุณน้องออกจะดูดี๊ดูดี พวกที่บ้ายอหน่อยก็จะ...อ๋อหรอ แหมพี่นี่ล่ะก็ซื้อแล้วกันเนี่ย โดยหารู้ไม่ว่าไม่เข้าเข้ากับใบคุณเธอเลยสักกะติ๊ด
“ซื้ออะไรล่ะ” ฉันเริ่มอีก
“เดี๋ยวนะดูก่อน” ไอซ์หยิบกระดาษใบเล็กๆขึ้นมา เป็นรายการที่ต้องซื้อแม่ของไอซ์โทรมาบอกตอนที่เรากำลังเดินออกมาขึ้นรถ
“ไปกันยัง...”กุ้งวิ่งเข้ามาหลังจากขอแวะไปซื้อไอศกรีมจากร้านใกล้ๆมาแล้วเราก็ดูของในรายการกัน
“เยอะ...!” ฉันบ่นอุบอิบ
“รีบไปเหอะเดี๋ยวค่ำ...กุ้งยิ่งต้องรีบกลับอยู่” แล้วไอซ์ก็ลากฉันเดินขึ้นบันไดกันไปซื้อของกัน เริ่มจาก...
“ถังขยะเนี่ยนะ” แล้วก็ฉันอีกที่มีปัญหา
“อื้ม”
“ไอซ์ แม่ไอซ์ให้แบกถังขยะกลับบ้านหรอ” กุ้งถาม แล้วเราก็นึกภาพกัน ผู้หญิงตัวเล็กๆแบกถังขยะอันเบอเริ่มกลับบ้าน
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ อันเล็ก ไม่ใช่แบบที่พวกแกคิดหรอก” เห้อ...โล่งอก
เราเดินซื้อของกันไปเรื่อยๆ จนเกือบครบแล้ว ตอนนี้เรากำลังอยู่ในมุมของเครื่องใช้ในครัวอยู่ ฉันกำลังเดินดูแก้วน้ำอันเล็กๆ แล้วก็ถ้วยกาแฟคู่กันอยู่ กุ้งเองก็เดินดูขึ้นไปเรื่อยๆอยู่แถวๆนั้น แล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อฉันได้ยินเสียงดังตึงมาจากที่ไหนสักแห่ง แล้วเมื่อหันไปทางต้นเสียง ลังกระดาษใส่ของขนาดใหญ่กำลังจะร่วงลงมาสู่พื้นเบื้องล่าง แต่ปกติมันอาจจะทำให้ฉันอึ้งไปนิดหน่อย เว้นแต่ถ้าตอนนี้มีกุ้งอยู่ข้างล่างกล่องนั่น
“กุ้ง....!”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น