คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : กระดิ่งสีโลหิต
“เห้ย”
“เป็นอะไร...” ฉันตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆเพื่อนของฉันก็ร้องออกมา มันควานหาของในกระเป๋าอย่างเอาเป็นเอาตาย ตกลงแกหาอะไร?
“ลืมเอาการบ้านมา”
“แค่นี้อ่าหรอ” โถ...เรื่องแค่นี้ ทำอย่างกะโลกจะระเบิด
“แล้วงานอะไร”
“งานของยัยแม่มดพันปีอ่าสิ”
“อ่อ...ของท่านแม่มด” เหวอ...ของยัยแม่มด
“แก...อย่าบอกนะว่างาน....” ไม่มีคำตอบใดๆลอยกลับมา นอกจากการพยักหน้า แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันฆ่ามันตายคามือ
“ไม่โกรธกันนะ...” ฉันหันไปยิ้มหวานๆให้มัน
“ไม่โกรธเลยจ๊า” ฉันกัดฟันพูด แล้วประทับฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของมันจนหลังแทบหัก แล้วก็เดินเข้าโรงเรียนมาเลย ไอ้บ้า ทำฉันซวย
ฉันเดินเข้ามาโรงเรียน นักเรียนทั้งหลายต่างหลีกทางให้ฉันที่กำลังเดินตึงตังเข้าโรงเรียนด้วยอาการหวาดกลัว คนที่เดินหลบเฉยๆก็ไม่เท่าไหร่ แต่บางคนที่มันเอามือลูบสร้อยพระนั่นมันคืออะไร นี่...คนนะ ไม่ใช่ผีจะได้กลัวขนาดเอาพระขึ้นมาขู่
หลายคนอาจจะสงสัย ท่านจารย์แม่มดพันปี ไม่ได้มีเวทย์มนต์หรืออะไรทำนองนี้แหละค่ะ เป็นแค่อาจารย์สอนภาษาไทยที่โหดมากถึงโหดที่สุด ถือไม้เรียวอันยาวไล่หวดก้นเด็ก แล้วหม่อนลืมเอางานของจารย์แกมาส่ง งานนี้เสร็จเจ้าค่ะ
เส้นทางในโรงเรียนเมื่อเดินจากหน้าโรงเรียนเข้าไป ข้างหน้าจะเจอห้องประชาสัมพันธ์ที่มีนักเรียนชมรมกระจายเสียงคอยนั่งแหกปากให้ฟังทุกวัน ฝั่งตรงข้ามจะเป็นสระว่ายน้ำ จากนั้นก็จะเจออาคารเรียนหลังแรก ด้านขวาเป็นตึกเรียนกลางน้ำที่ยังสร้างไม่เสร็จ ถ้าเลี้ยวซ้ายจากหัวมุมนี้จะเจอกับร้านขายน้ำเล็กๆที่ตกแต่งไว้ให้เหมือนร้านกาแฟเล็กในสวนที่มีต้นไม้บ่อปลาและน้ำพุ เลยสวนนี้ไปจะเจอกับสนามกีฬากลางแจ้งและหอประชุมที่อยู่อีกฝากของถนนภายในโรงเรียน ตรงข่ามหอประชุมทางด้านขวาจะเป็นโรงอาหาร และตึกเรียนที่เป็นอาคารไม้ ซึ่งฉันไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่เพราะบรรยากาศมันไม่ชวนน่าอยู่คนเดียวเลยจริงๆ
ฉันขึ้นห้องไปอย่างอารมณ์เสีย ประมาณว่าแดดก็ร้อน ตึกก็สูง เด็กก็เยอะวุ่นวาย แต่ที่แย่สุดก็คืออาจารย์วิชาภาษาไทยที่ฉันและคนในโรงเรียนต่างเรียกเธอว่ายัยแม่มดพันปีคงจะฆ่าฉันเมื่อรู้ว่าฉันและเพื่อนไม่มีของมาเซ่นแกตั้งแต่ชั่วโมงแรกของวัน ฉันวาง...ทุ่มดีกว่า ทุ่มกระเป๋าที่ถูกสะพายไว้บนหลังลงบนโต๊ะดังตึงใหญ่ๆอย่างอารมณ์เสีย ทำให้เพื่อนแถวนั้นแอบสะดุ้งเฮือกกันหมด ยกเว้นแต่เพื่อนที่นั่งข้างๆ สงสัยอาจจะชิน
“เป็นอะไรมาอีกล่ะ” มันถามแต่ปาก มือยังคงถือหนังสือการ์ตูนอ่านอย่างใจจดใจจ่อ นี่! ถ้าสนใจจะหันมาบ้างก็ขอบคุณ ฉันนั่งลงอย่างหงุดหงิด จนเพื่อนที่นั่งข้างๆอุตส่าห์ละจากการ์ตูนที่มันบูชาดั่งเทพเจ้ามาสนใจ
“ก็ไอ้หม่อนน่ะสิ...ลืมเอาการบ้านของเจ๊พันปีมาส่ง”
“แกตาย....” ขอบคุณ แกคงถนัดปลอบใจคนสินะ ฉันฟุบหน้าลงบนโต๊ะอย่างเหนื่อยอ่อน สงสัยจะลงแรงเดินกระทืบเท้าหนักไปหน่อย สมองกำลังทำงานหาทางเพื่อจะหาเหตุผลให้ฉันสามารถวิ่งหนีออกจากบทลงโทษที่ฉันอดคิดถึงมันไม่ได้ ก่อนที่จารย์แกจะมาถึง แต่การทำแบบนี้ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แถมทำให้ฉันหลับไปอย่างไม่ทันรู้สึกตัว
สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง...เฮ้ย....ที่นี่ที่ไหน... แสงจันทร์สาดส่อง เสียงใบไม้เสียดสีกันดังซ่าๆๆ หญ้าที่ถูกสายลมกระทบพลิ้วไหว ความมืดเริ่มปกคลุมท้องฟ้า เมฆก้อนมหึมากำลังกลืนกินดวงจันทร์ที่กำลังส่องแสง แล้วในที่สุดดวงจันทร์นั้นก็หายไป เสียงของอะไรบางอย่างลอยเข้ามาในโสตประสาทหูทั้งสองข้าง ฉันหันซ้ายหันขวาไม่มีอะไรแตกต่าง ทุ่งหญ้ากว้างๆที่ยังคงมืดสนิท ไม่มีอะไรนอกจากตัวฉันและโต๊ะนักเรียนที่ฉันแอบหลับ ฉันค่อยๆลุกขึ้นยืนและพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์รอบด้าน แต่ฉันไม่อาจจะเข้าใจอะไรได้แม้แต่ที่นี่คือที่ไหนฉันยังไม่รู้เลยสักนิด เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ เมฆบนฟ้าค่อยๆเปิดทางออกให้พระจันทร์เปิดตัวอีกครั้ง แล้วแสงสีแดงดั่งเลือดก็อาบลงมาบนร่างกายของฉันและบางสิ่งที่อยู่ข้างหลัง มันมีปีกค้างคาวใหญ่และกว้างร่างของมันเป็นเหมือนกับมนุษย์แต่ร่างมนุษย์อะไรจะดูเป็นสีคล้ำเหมือนศพที่เดินได้ ใบหน้าของมันถูกปอยผมยาวๆปรกไว้จนมองไม่เห็น เขาของมันยาวขึ้นมา หรือนี่คือ ‘ซาตาน’ ในมือของมันมีเคียวขนาดมหึมาที่กำลังจะพาดลงมาบนตัวฉัน...
‘ปึก’
“โอ๊ย...” บางอย่างกระแทกหัวฉัน...ฉันตื่นขึ้นมาจากหลับใหล รอบข้างฉันยังเหมือนเดิม...ห้องเรียนกว้างๆที่มีนักเรียนจ้องกับแบบบอกบุญไม่รับ ทำไมหรอ...? น้ำลายฉันยืดหรอ? แล้วฉันก็รู้เหตุผลนั้น ยัยแม่มดยักษ์ ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วหนังสือประกอบการสอนที่หยั่งกับสมุดหน้าเหลือง นี่ฉันคงถึกสินะที่โดนเข้าไปแล้วเหมือนๆสะกิดๆ
“จะนอนก็ไปนอนที่บ้านโน่น ที่นี่โรงเรียนจะเรียนก็นั่งให้มันดีๆ” จารย์แม่มดขยับแว่นหนาเตอะของเธอแล้วถือไม้เรียวอันเรียวยาวไปที่โต๊ะอาจารย์ นี่มันหมดยุคเดินถือไม้เรียวไล่ฟาดก้นเด็กแล้วนะ ฉันหันไปมองเพื่อนที่นั่งข้างๆ มันยังคงนั่งหน้าตายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ฉันตีแขนมันไปทีหนึ่ง มันมองหน้ากลับเป็นเชิง แกตีฉันทำไม...ฉันผิดหรอ?
“ทำไมไม่ปลุกเล่า...” ฉันหันไปกระซิบกับเพื่อนคนที่นั่งข้างๆ
“อาริตา...”
“คะจารย์” ฉันสะดุ้ง ได้ยินด้วยหรอเนี่ย หูจะดีอะไรปานนั้น แอบติดเครื่องดักฟังไว้เปล่าเนี่ย ฉันลองก้มดูใต้โต๊ะ
“เธอก้มดูอะไร”
“ป...เปล่าเลยค่ะ ไม่ได้ดู”
“ไม่ต้องไปโทษเพื่อนเลยนะเธอ เขาปลุกจนแทบจะผลักเธอตกเก้าอี้อยู่แล้วน่ะ” ฉันหันไปเบิกตาโตกับเพื่อนข้างๆ นี่ฉันหลับลึกขนาดนั้นเลยหรอ? ไม่ได้ถาม แต่มันพยักหน้าอีกตามเคย ฉันสังเกตว่าเวลาชั่วโมงภาษาไทยผ่านไปอย่างเนิ่นนาน ฉันนั่งวาดรูปกลางหน้าสมุดที่อาจารย์แม่มดให้การบ้านมา แล้วฉันก็นั่งรอเวลาต่อไป
ฉันชื่อ ฟิว เป็นเด็กนัดเรียนม.ปลายที่กำลังจะเตรียมเอ็นในอีกไม่นาน แต่ชีวิตของฉันดูจะเอื่อยเฉื่อยมาก หนังสือหนังหานี่แทบไม่เคยแตะเลยสักนิด แต่ก็แตะนะ เรียนพิเศษหรือก็เปล่าแล้วจะเอาอะไรไปสอบ ฉันมีผมสีน้ำตาลแก่เกือบดำและปล่อยยาวให้มันพลิ้วไหวตามสายลม แอบแซมสีฟ้าด้วยล่ะ ฉันคิดว่ามันสวยนะ แล้วฉันก็ใส่คอนแท็กเลนซ์สีน้ำตาลอ่อน ส่วนที่นั่งอยู่ข้างๆ
ต่อ ต่อเป็นนักเรียนคนหนึ่งที่จัดว่าพูดน้อยมากๆ แทบนับคำได้ในแต่ละวัน วันๆมันนั่งอ่านการ์ตูน วาดรูปซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าสิ่งพวกนี้มันสนุกตรงไหน...แต่การ์ตูนก็พอจะรู้อ่ะนะ และก็เป็นอีกคนที่เป็นแกนนำเด็กเทพของห้อง ฉันมีผมที่ข้างหน้าถูกจัดให้เป็นทรงแหลมและผมซอยทรงเกาหลีแบบสั้นๆ ผมดำเงาแต่ไม่มัน พูดง่ายๆคือผมมันสวยมาก ยิ่งมันแอบทำไฮไลย์สีน้ำเงินเหมือนตอนนี้นะ แต่ฉันก็เทพนะ
แล้วเวลาตายก็มาถึง ก่อนหมดชั่วโมงจารย์แม่มดเรียกเก็บงานที่ต้องส่ง ทุกกลุ่มมีหมดยกเว้นกลุ่มของฉัน มีอยู่ 10 กลุ่ม แต่มีกลุ่มฉันคนเดียวที่ไม่มีงานส่ง
“ไหน อาริตา ธีรทรัพย์ อนุชิต บารมี งานกลุ่มพวกเธออยู่ไหน ฉันเห็นกลุ่มพวกเธอไม่ส่งอยู่กลุ่มเดียว” เงียบกันหมดทั้งกลุ่ม ฉันหันไปหาเพื่อนอีกคนที่ชื่ออนุชิตหรือต้า มันมองหน้าฉันแบบอยากจะกินเนื้อสูบเลือดกันเต็มที ฉันสะดุ้งและค่อยๆหันหน้าหนีมัน แล้วหันไปถลึกตาใส่นายธีรทรัพย์หรือนายหม่อนตัวการของเรื่องทั้งหมด ทำมาเป็นหลบหน้าหลบตา...เดี๋ยวแกก็ถึงฆาตเองโดยที่ฉันไม่ได้ออกแรง ส่วนอีกคนหนึ่ง หัวหน้าห้องของเรา บารมีหรือวิน นายคนนี้จะติดเอ๋ออยู่ตลอดเวลา ขนาดจะโดนทำโทษแล้วยังไม่รู้เรื่อง...นั่งยิ้มอย่างสบายใจ ส่วนต่อที่นั่งข้างก็ทำให้ตาสงสารพวกเราเต็มที เพราะการลงโทษครั้งนี้ก็คงไม่พ้นอย่างที่ฉันคิดไว้ ธรรมเนียมที่ทำติดต่อกันมาของเผ่าแม่มดภาษาไทย ‘ขัดห้องน้ำ’
“เพราะแกคนเดียวเลยไอ้หม่อน” ฉันใช้แปลงขัดส้วมชี้หน้าไอ้หม่อนอย่างคาดโทษ ทำพวกเราทั้งกลุ่มซวยเพราะมันคนเดียว
หม่อน สีสันตัวฉกาจหาตัวเปรียบได้ยากของห้อง มีผมหยักศกที่ดำที่ไม่ได้ยาวฟูมาก ปกติไม่รู้ว่าวันๆมันจะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรบ้างเลยหรืออย่างไร เห็นมันเอาแต่หัวเราะ ยิ้ม ทำตัวบ้าๆบอๆไปวันๆ แต่วันนี้มันเปลี่ยนไปเพราะถ้ามันยังหัวเราะออก คงไม่ใช่แค่แปลงขัดส้วมในมือของฉันหรอก อาจจะเป็นส้นทรินหนักๆของต้าด้วยก็ได้
ต้า ปกติต้าจะเฉยๆไม่อะไรกับใครเท่าไหร่ แถมส่วนใหญ่จะออกเงียบๆด้วยถ้าไม่นับต่อนะ สงสัยจะตามวุฒิภาวะที่สูงสุดในห้อง แต่วันนี้ต้าเองก็เปลี่ยนไป ดูจากการลงแรงขัดส้วมจนเงาวับในเวลาไม่นาน หน้าตาบอกบุญไม่รับอย่างรุนแรงจนไม่มีใครกล้าเข้าไปทัก ต้ามีผมตั้งสีดำที่เจ้าตัวจัดทรงไว้ ตั้งๆแหลมๆแต่ก็เหมาะกับเจ้าตัวมากเลย รายละเอียดที่เหลือไม่ค่อยมีอะไรมาก สงสัยเพราะเป็นคนยังไงก็ได้ละมั้ง
ส่วนอีกหนึ่ง ที่ยังไม่เคยเปลี่ยนเหมือนเดิมคือ วิน คนนี้มักให้อารมณ์เอ๋อๆเสมอต้นเสมอปลายจนน่าขำ บางครั้งไม่ว่าจะเรียกจะตะโกนดังๆ หรือว่าจะสะกิด มันก็ยังไม่หันมาเหมือนไม่ได้ยิน ดีนะที่เอามือเพ่งกะบาลมันแล้วยังรู้ตัวว่าเจ็บ เป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไร แต่มันก็เป็นหัวหน้าห้องที่ดีนะ วินมีผมดำที่ยาวพอๆกับต่อแต่ไม่เงาเท่า ไล่ระดับผมธรรมดาไม่มีอะไรเป็นพอเศษคนนี้คงเพราะเอ๋อ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วห้องน้ำยังเหลืออยู่อีกห้องแม้ต่อที่มาช่วยขัดๆถูๆก็ยังไม่ได้กลับบ้าน เพื่อนเลิฟ... มือของต่อใช้ผ้าสะอาดๆเช็ดน้ำที่เพิ่งล้างฟองออกไปจากผนังห้องน้ำ ฉันเอาของทั้งหมดไปเก็บเข้าที่ ทุกอย่างกำลังจะสิ้นสุดแล้ว ดีใจแทบเต้น ฉันเดินเอาของไปเก็บคนเดียว ห้องเก็บห้องอยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำมาก แค่เดินอ้อมตึก 1 และตึก 2 ไปจะเจอกับห้องเก็บอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ๆกับเรือนเพาะชำ ฉันวางของทั้งหมดเข้าที่และปิดประตูห้องนั้น แต่พอกำลังจะเดินออกมา ฉันรู้สึกว่าเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่าง หวังว่าคงไม่ใช่อุนจี๊นะ เมื่อฉันยกเท้าขึ้นมันเป็นกระดิ่งรูปพระจันทร์สีแดง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันต้องมองมันนานขนาดนั้นเหมือนต้องมนต์สะกดเลยทีเดียว และสุดท้ายฉันก็ตัดสินใจเก็บมันขึ้นมา ก่อนจะวิ่งกลับไปที่ห้องน้ำเดิม
“ไปไหนมาห๊ะตัวเธอ...นานเชียว”
“ไม่ต้องมาปากดีเลยนะไอ้หม่อน ถ้าไม่ใช่เพราะแกคนอื่นจะลำบากขนาดนี้หรอ” ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน หม่อนยิ้มเจื่อนๆลงไปถนัดตา
“ขอโทษค๊าบ” ทุกคนเดินออกมาถึงป้ายรถเมล์ที่ขึ้นประจำ หม่อนกับต้ากลับไปแล้ว ที่นี่ยังคงเหลือวินแล้วก็ต่อ เรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆถึงเรื่องงานที่ถูกลืมไว้ ฉันกำชับหม่อนเอาไว้ว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่เอามา ‘แกตาย’
“ต่ออ่ะโชคดีจะตายได้อยู่กลุ่มเค้ก ไอซ์แล้วก็กุ้ง” ฉันตัดพ้อกับความล่มจมไม่เป็นท่าของกลุ่มตัวเอง น่าอนาถใจจริงๆ
“ก็นะ...เพิ่งรู้นะว่าฟิวหลับลึก” ต่อตัดบทเรื่องงาน เพราะมันทำให้ทุกคนเหนื่อยกับมันมามากแล้ว
“ปกติก็ไม่เป็นหรอก...ฝันแปลกๆด้วย”
“ถ้าฟิวฝันก็ควรจะแปลกอยู่” ปากหรือยะวิน เอ๋อแล้วยังปากหาเรื่องอีกนะเธอ
“คิดมากไปล่ะสิฟิว...” ต่อยิ้มให้ก่อนที่รถจะมา เราขึ้นรถแล้วเลือกนั่งแถวหลังสุด เพราะช่วงนี้รถไม่มีคนแล้วเราเลยได้นั่งแถวยาวที่สุดที่จริงเราเลือกนั่งที่ไหนก็ได้ตามใจ เพราะนอกจากกระเป๋ารถเมล์กับคนขับแล้วไม่มีใครเลยจริงๆ วินหลับไปแล้ว ส่วนต่อนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง สายลมเย็นๆตีเข้าหน้าเราสามคน ฉันหยิบกระดิ่งรูปพระจันทร์สีแดงขึ้นมามันสะท้อนแสงวาวกับแสงจากเสาไฟตามทาง ประกอบกับที่ต่อหันมามองมันพอดี
“อะไรน่ะ...” ต่อนั่งเอามือเท้าคางแล้วถาม
“กระดิ่ง...เก็บมาได้”
“สวยดี” ฉันยิ้มๆให้ต่อก่อนที่ต่อจะเริ่มพูดอีกรอบ
“รู้ไหม...ความหมายของพระจันทร์สีแดง” ฉันส่ายหัวดิกๆ ต่อนอกจากจะเก่งด้านศิลป์แล้ว เรื่องตำนานหรือเรื่องเล่าของทั้งตะวันตกและตะวันออกก็เก่งมากเหมือนกัน แล้วมักจะมีเรื่องมาเล่าให้ฟังบ่อยๆ แล้วต่อก็เริ่มที่จะพูดต่อ
“คืนใดที่พระจันทร์อาบด้วยสีของโลหิต วันนั้นเจ้าปีศาจจะขึ้นมาบนโลกจากขุมนรก วันที่พระจันทร์เป็นสีแดง จะเป็นวันที่ประตูนรกเปิดในรอบหลายปี แล้วเจ้าปีศาจจะพาดวงวิญญาณทั้งหมดของมนุษย์ที่เห็นมันกลับนรกไปเป็นเครื่องสังเวยให้กับตัวเอง” พูดจบต่อก็ยิ้มให้กับฉัน ฉันนิ่งเงียบไป ไม่รู้ว่ากลัว หรือว่าแปลกใจ แต่สายจายังคงจับจ้องอยู่กับกระดิ่งรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีแดงที่ยังคงสะท้อนแสงวาว มันดูน่าหลงใหลแล้วน่ากลัวในเวลาเดียวกัน จะทำอย่างไรถ้าเกิดมีพระจันทร์สีแดงขึ้นจริงๆ
ถึงบ้านฉันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง กระพริบตาปริบๆ แล้วฉันก็นึกขึ้นมาได้ ฉันนั่งลงบนเตียงผ้าปูที่นอนสีฟ้าอ่อนๆ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ ‘ใบหม่อน’
“ฮัลโหล” ปลายทางเริ่มก่อน
“หม่อน...ฟิวนะ”
“ฟิวหรอ...? มีอะไร”
“ยังจะมามีอะไรอีก อย่าลืมเอางานไปส่งนะ ไม่งั้นแกตาย”
“เออๆ ย้ำจัง...ฟิววันนี้พระจันทร์สวยแหะ แค่นี้นะ......” สายถูกตัดไป ฉันเอียงคอเล็กน้อย แล้วเดินไปที่หน้าต่าง ใช้มือค่อยๆเอื้อมผ้าม่านสีเดียวกับผ้าปูที่นอนออกแล้วเลื่อนประตูกระจกออกไปที่ระเบียง พระจันทร์เต็มดวงสีนวลอ่อนส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศแข่งกับแสงไฟรถยนต์เบื้องล่าง สายลมยังคงพัดเย็นสบายแต่ฉันเพิ่งสังเกต วันนี้คงไม่ได้มีแค่พระจันทร์อย่างเดียวซะแล้ว อาจจะมีฝนตก เมฆฝนกระจายตัวอยู่รอบๆดวงจันทร์ ฉันกลับเข้ามาในบ้านล๊อกประตูกระจกแล้วปิดม่านลง ฉันเก็บกระดิ่งพระจันทร์ในลิ้นชัก แล้วก็ล้มตัวลงนอนไปเพราะความเหนื่อยล้าเพราะการขัดถูห้องน้ำ
ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง...ไม่สิต้องบอกว่าฝันอีกแล้ว เมื่อฉันหลุดออกมาจากห้องแล้วกลับมายืนอยู่ที่โล่งกว้างเหมือนเดิม สายลมเย็นปะทะร่างที่อยู่ในชุดนอน แต่ที่แปลกไปคือ ไม่มีพระจันทร์...ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็หาไม่เจอ แต่เหมือนฉันจะคิดผิดไปถนัด พระจันทร์ไม่ได้ไปไหนแต่มันอยู่บนข้อมือของฉัน พระจันทร์สีแดงฉานที่กำลังส่องแสงเรืองออกมาจากข้อมือของฉัน บางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามา แม้จะเป็นแสงเล็กน้อยแต่ฉันก็พอจะเห็น บางอย่างลอยตัดหน้าฉันลงมาจากข้างบน ฉันก้มลงไปแล้วมันคือขนนกสีขาว แล้วฉันเองก็เพิ่งไหวตัวเมื่อบางอย่างเข้ามาประชัดตัวเข้ามาทางด้านหลัง ฉันหันไป ใบหน้าของมันยังคงถูกเงาบดบัง ปีกของมันไม่ใช่ปีกค้างคาวแบบคราวที่แล้ว แต่กลับเป็นปีกของเทพถึง 6 ปีก ไม่แค่นั้นร่างกายที่คล้ายกับศพ ร่างกายที่สูดซีดเซียวนั่นก็ไม่มีอีกแล้ว ฉันคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นบางอย่างที่ต่างกันออกไป ฉันค่อยๆชูมือข้างที่ห้อยกระดิ่งขึ้นมา เผื่อแสงอ่อนๆนี่จะทำให้ฉันเห็นใบหน้าของมันอย่างถนัดตา แต่แล้วเมื่อแสงจากกระดิ่งกระทบตัวของมัน แสงนั่นกลับฉายทะลุออกไปกลายเป็นทุ่งหญ้าตามเดิมทั้งที่ร่างของมันยังอยู่ตรงหน้า...หมอกบางๆเริ่มจับตัวขึ้น สายตาของฉันเริ่มมองไม่เห็นสิ่งรอบด้าน บุคคลตรงหน้าหันหลังกลับไปอีกทาง
“เดี๋ยวสิ...” และแล้วหมอกก็ปิดทุกๆอย่างเอาไว้ กลายเป็นฉันเพียงผู้เดียวที่อยู่ที่นี่ แค่คนเดียว...
ดวงตาเบิกกว้าง...ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาในห้องนอน แม้รู้ว่าสิ่งนั้นคือฝันแต่ฉันก็ยอมรับว่าตกใจ ฉันค่อยๆเปิดลิ้นชักออกมา กระดิ่งนั่นยังคงอยู่ที่เดิม ลิ้นชักถูกปิดดังเดิม ฉันเอามือลูบตัวและปาดเหงื่อที่เย็นเฉียบออกไป ฉันตัดสินใจเดินออกจากห้องแล้วเข้าห้องน้ำแล้วล้างหน้า น้ำเย็นๆไหลผ่านไปเรื่อยๆ ฉันยืนเท้าอ่างล้างหน้าสักพักแล้วเดินกลับเข้าห้อง
เมื่อประตูห้องถูกปิดลง แสงสีแดงฉาดลอดออกมาจากช่องเหนือลิ้นชัก ลิ้นชักที่ฉันใส่กระดิ่งเอาไว้ เกิดอะไรขึ้น!? ฉันค่อยๆเลื่อนลิ้นชักออกมา กระดิ่งกำลังเปล่งแสงวูบวาบ เหมือนเกิดปรากฎการณ์อะไรสักอย่าง หรือมันกำลังจะเตือนว่าวันนี้เป็นวันพระจันทร์สีแดง ตลกซะ...ฉันก็คิดไปได้ พระจันทร์มันจะสีแดงได้ยังไงกัน ไวทันความคิดมือของฉันกระชากม่านอย่างเร็ว แต่ปรากฏว่า...แสงดีแดงดุจเลือดกำลังถักทอสู่พื้นดิน พระจันทร์เต็มดวงโตสีแดง เหมือนกับจะเอื้อมมือหยิบมันมาได้ ฉันตกใจรีบปลดล็อกประตูกระจกแล้วก้าวออกไปข้างนอกอย่างช้าๆ อะไรกัน...พระจันทร์สีแดง... มันทั้งน่ากลัวแล้วทำให้ฉันขนลุกแบบสุดๆ แต่ฉันกลับละสายตาจากมันไม่ได้ จู่ๆลมก็เกิดคิดจะพัดแรงๆ ฉันหันหน้าหลบลมแรงนั่น แต่มันทำให้ฉันได้พบกับบางสิ่งที่ไม่อยากจะเจอ ร่างศพที่อยู่บนถนนหน้าบ้าน ฉันเบิกตากว้าง เหมือนลมหายใจจะหยุดไปชั่วขณะ ไม่ได้คิดไปเอง...มันมองกลับขึ้นมา ฉันเริ่มรู้สึกตัวแล้ววิ่งกลับเข้าข้างในบ้าน ล็อกประตูกระจกนั่น แล้ววิ่งไปให้ไกลประตูกระจกที่สุด
‘เจ้าปีศาจจะพาดวงวิญญาณทั้งหมดของมนุษย์ที่เห็นมันกลับนรกไปเป็นเครื่องสังเวยให้กับตัวเอง’ ประโยคนี้ตามวนเวียนอยู่ในหัวของฉัน กลัวที่สุดในชีวิต เหงื่อเย็นเริ่มไหลออกมามากมาย เงาใหญ่ๆบางอย่างค่อยๆปรากฏชัดขึ้นด้านนอกผ้าม่าน บางอย่างพยายามที่จะเลื่อนประตูกระจกนั่นออก เสียงประตูกระจกดังขึ้นเรื่อยๆ มันเริ่มสั่นขึ้นเรื่อยๆจนเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วมันก็แตกจริงๆ ฉันรีบวิ่งออกจากห้องนั้นแล้วรีบลงไปชั้นล่างของบ้าน อย่างน้อยมันอาจจะตามฉันลงมาแล้วคนอื่นๆจะปลอดภัย เสียงดังตึงตังเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
‘ตึง’ บันไดหักเป็นสองท่อน! มันค่อยๆลอยลงมาอย่างช้าๆ ไม่ว่าอะไรจะขวางมันอยู่ มันให้เคียวเล่มยักษ์ที่มือขวาของมันฟังเป็นชิ้นๆหมด เคียวที่มันถือใหญ่ยาว ขนาดที่ว่าถ้าชูขึ้นคงสามารถทะลุขึ้นชั้นสองได้ มันเข้ามาใกล้ฉันขึ้นเรื่อยๆ ฉันค่อยๆเดินถอยหลังออกไปช้าๆ มันเงื้อมือขึ้นมาเคียวเล่มยักษ์ค่อยๆลอยสูงขึ้น แล้วถูกฟันลงมา ฉันก้มหลบ ผนังที่ถูกเคียวนั้นกลายเป็นรอยเคียวขนาดใหญ่จนสามารถมองออกไปด้านนอกได้ ฉันค่อยๆเดินถอยหลัง ขาของฉันแทบจะไม่มีแรงขยับเหมือนความกลัวกำลังฉุดดึงร่างกายของฉันไว้ เคียวเล่มยักษ์ถูกฟาดลงมาอีก แล้วเป็นโชคดีที่ฉันสะดุดแล้วถอยออกจากตรงนั้นพอดี ดาบนั่นตัดผ่านไปเพียงแค่ปลายผมของฉันเท่านั่น พื้นกระเบื้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆแล้วเหวี่ยงเคียวไปทางด้านที่ฉันอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่พลาดไป...โซฟาที่รับดาบแทนฉันถูกฉีกออกตามแรงที่เคียววาดลงมา นุ่นลอยไปทั่วห้องจนแทบมองอะไรได้ยาก กระจกตู้ที่อยู่ด้านเดียวกับโซฟาถูกแรงอัดอากาศเข้ากระแทกจนแตกออกเป็นชิ้นๆ ฉันอาศัยจังหวะที่นุ่นลอยกระจายไปทั่ววิ่งอ้อมทางด้านหลังของมันไปหลบทางห้องน้ำ ฉันปิดประตูห้องน้ำแล้วล็อกมันซะ แม้รู้ว่ามันแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยแต่อย่างน้อยอาจจะถ่วงเวลามันได้
เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงของหัวใจเต้น แล้ว...คนข้างบนล่ะ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ แปลกมากที่เสียงดังโครมครามถึงขนาดนั้นแต่กลับไม่มีใครรู้สึกตัวเลย ฉันลุกขึ้นกำลังจะไปเปิดประตูห้องน้ำ มือที่กำลังจะเอื้อมไปปลดล็อกประตูชะงักลงเมื่อเคียวใหญ่ถูกแทงสวนเข้ามา ปลายเคียวเฉียดบริเวณเอวของฉันไป เลือดไหลออกมาเป็นทางยาว ฉันล้มลง เคียวที่ปักอยู่กับกำแพงเริ่มขยับอีกครั้ง แล้ววาดเข้าหาตัวฉันแต่มันสูงไป ท่อน้ำถูกตัดเป็นทางยาว น้ำพุ่งทะลักออกมาจนเอ่อนองไปทั่ว กำแพงโบ๋เป็นรู้กว้างๆจนตัวลอดออกไปทางห้องครัวได้ ฉันใช้มือกุมรอยแผลกว้างแล้วเดินกระเผกออกไป ฉันเริ่มหอบเพราะพิษบาดแผลและความเหนื่อยล้า ฉันอยู่ข้างๆตู้เย็นอย่างหมดหนทาง มันเริ่มลอยเข้ามาอีกอย่างช้าๆ สติเริ่มจะหายไปเรื่อยๆ ฉันส่ายหัวเรียกสติกลับมาอีกครั้ง แล้วพยายามวิ่งกลับไปอีกทาง เวลาวิ่งผ่านมันไป มันพลิกเคียวแล้วตวัดกลับมาอีกฟากจนเพดานแหว่งไปข้างหนึ่ง แต่ช้าไป... แล้วโชคดีที่เพดานยังไม่เป็นไรมาก แค่เป็นรอยสึกเข้าไป ฉันวิ่งกลับมาที่เดิม ซากโซฟา บันได โต๊ะและอีกมากมายที่มันทำเละเอาไว้ พยายามดึกประตูบ้านออก แต่มันติดอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ ประตูเปิดไม่ได้...ทางตัน ด้านหลัง มันเคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้าๆ แต่แล้วมันก็เปลี่ยนระดับความเร็วใหม่ มันพุ่งเข้ามา เคียวถูกแทงปักเข้าไปที่ประตูจนเป็นรูทะลุ แล้วฉันก็ยังอยู่ข้างๆเคียวนั่นอย่างไร้เรี่ยวแรง มันใช้มือซ้ายบีบที่คอฉัน แล้วยกขึ้นสูง หายใจ...ไม่ออก แต่เหมือนมันยังไม่อยากให้ฉันตายภายในทันที มันโยนฉันกลับไปอีกทาง หลังของฉันกระแทกเข้ากลับตู้ที่กระจกแตกแหลกละเอียด เคียวถูกแทงขึ้นด้านบนจะเพดานจนทะลุแล้ววาดลงมาหมายจะปลิดชีวิต แต่ฉันยังไม่อยากยอมแพ้ตอนนี้ ฉันพยายามเบี่ยงตัวออกจากรัศมีจองเคียวยักษ์นั่น เพดานของบ้านโหว่เป็นรูกว้าง ข้าวของ หนังสือ เศษกระดาษต่างร่วงลงมาข้างล่าง เมื่อมองขึ้นไป แสงจันทร์สีแดงส่องลงมาอาบร้างของฉันทั้งร่าง ใช่...ทั้งห้องของฉันที่อยู่ด้านบนห้องนั่งเล่น หลังคาต่างแตกกระจายกลายเป็นรูโหว่เหมือนบ้านที่เพิ่งผ่านสงครามมา มือของฉันพยายามใช้พลังเฮือกสุดท้ายเพื่อจะดันตัวเองออกไปให้ถึงที่สุด แล้วฉันก็คว้าของบางอย่างใกล้ๆขึ้นมาได้ กระดิ่งรูปพระจันทร์สีแดง ฉันยิ้มให้กับมันแล้วหยิบมันขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง สงสัยมันอาจจะกระเด็นออกจากลิ้นชักของฉันแล้วร่วงลงมาตรงนี้ แสงของมันตอบรับกับพระจันทร์สีแดงบนฟากฟ้าฉันใช้มือทั้งสองกุมมันไว้ พร้อมแล้ว..กับการต้องกาย ณ ตอนนี้ มันพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง แสงของกระดิ่งลอดออกมาจากมือ ความเข้มของแสงกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เคียวที่ควรปะทะกับร่างของฉันสลายกลายเป็นละออง ขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงมือ แขน ไหล่ คอแล้วก็หัว มันหายไป... เหนื่อยจนพยุงสติไว้ไม่ไหว มือสองข้างที่เคยกุมกระดิ่งไว้หมดแรงแล้ว มือของฉันร่วงลงสู่พื้น แล้วฉันก็สลบไป...
แสงแดดสาดส่องในยามเช้า...ผ่านไปอีกวันแล้ว ฉันพยายามจะลืมตาขึ้นจากความมืด ตาของฉันปรือขึ้นช้าๆ ทุกอย่างยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...ไม่เปลี่ยนแปลง ฉันลุกขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว หน้าต่าง...ประตูกระจก ผ้าม่าน ทุกอย่างไม่มีอะไรเสียงหาย ฉันใช้มือสำรวจร่างกายไปทั่วตั้งแต่ใบหน้า แขน ที่มันควรจะต้องมีรอยสะเก็ดแผล หรือแม้แต่ท้องก็ไร้ซึ่งรอยแผลเป็นทางยาว ฝันไป? ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก แล้วฉันก็รู้สึกตัวว่ามือขวาของฉันกำลังกำบางสิ่งเอาไว้ ฉันแบบมือออก...กระดิ่งรูปจันทร์เสี้ยวสีแดง หรือฉันไม่ได้ฝันไป
ฉันอาบน้ำแต่งตัว ล้างความเหนื่อยล้าจากการนอนฝันร้ายออกไป ฉันยังคิดไม่ตกว่าจริงๆแล้วนั่นมันเป็นความฝัน สิ่งที่สมองของฉันสร้างขึ้นหรือเรื่องจริงกันแน่...หรือฉันจะละเมอเดินไปหยิบกระดิ่งนั่นมาด้วยมือของฉันเอง ความไม่แน่ใจวนเวียนไปหมดในหัวของฉัน แล้วฉันก็นึกถึงเรื่องที่สำคัญกว่านั้นได้...
“หม่อน...” ต่อสายหาหม่อนโดยด่วนก่อนมันจะลืมงานอีก
“หืม....ว่างายยย”
“ยังไม่ตื่นอีกหรอ...” กี่โมงแล้วเนี่ย...7.00 เฮ้ย!
“นี่...จะไม่ไปโรงเรียนหรือไง เจ็ดโมงแล้วนะ”
“เฮ้ยจริงอ่ะ...”
“เออดิ...แล้วเป็นไรตื่นสาย...” อยากรู้ๆ
“ฝันร้าย โดนตามฆ่า แค่นี้ก่อนนะ”
“เออ อย่าลืมงานล่ะ” ฉันย้ำ หึหึไอ้หม่อน ลองแกมาผจญร่วมฝันกับฉันสิ แล้วแกจะหนาว
ฉันเดินออกจากบ้านช้าๆ แต่มันก็มาทันรถพอดี ฉันขึ้นไปนั่งข้างบนแล้วก็เจอกับต่อ ต่อนั่งหลับอยู่ทางด้านในสุดของรถริมหน้าต่างด้านขวา แห่..... ฉันค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆแล้วก็
“ว่าไง...” เต็มสองรูหู แต่ผลไม่น่าพอใจเท่าไหร่ ต่อค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ไม่ตกใจอะไรเลย
“มีอะไรแต่เช้า...” ยังไม่รอฟังคำตอบก็หันหน้ากลับไปหลับต่อซึ่งแปลกมาก เพราะปกติต่อจะนั่งมองออกไปข้างนอกไม่ก็อ่านหนังสือ
“ต่อ...เป็นอะไรอ่ะ”
“ง่วง.....” ตาหลับแต่ปากเปิด
“ทำไมอ่ะ นอนดึกหรอ....”
“เปล่า...นอนไม่หลับเลยล่ะ”
“ทำไมอ่ะ”
“ฝันร้าย...”
“ฝันว่าโดนผีตามฆ่าล่ะสิ” ฉันแหย่เล่น ต่อเริ่มลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วกลับมานั่งอย่างปกติ...
“ฟิวรู้หรอ...ว่าต่อฝันอะไร” ...อย่าบอกนะว่า...
ความคิดเห็น