ตอนที่ 6 : 4 ::ความทรงจำ
ในตอนนั้น ห้างแห่งหนึ่งช่วงวันหยุด ที่เรารอคอยทุกสัปดาห์ แต่ในวันหยุดครั้งนี้มันพิเศษกว่าครั้งไหนๆ แม้ฉันจะไม่ชอบที่จะต้องเสียเวลานอนหรือไม่ก็ ต้องการทำอะไรไร้สาระในห้องมืดๆทึบๆของตัวเอง มันมืดและเหม็นอับ แต่ก็เป็นห้องของเรา ห้องแคบๆกับเตียงนุ่มๆ ที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยได้เสมอ
แต่วันนี้ต้องโยนเรื่องนั้นไปก่อน ฉันไม่คิดว่าวันนี้จะได้หยุดเหมือนกับทุกที ฉันมาที่ห้างพร้อมกับครอบครัว ก็ไม่ใช่เพราะเป็นวันเกิดหรือเป็นวันที่พิเศษอะไรขนาดนั้นหรอก… แค่พ่ออยากพาแม่มาเดทแม้ทั้งสองจะอายุ เข้าหลัก 50 แล้วก็ตาม
ดังนั้นฉันก็เลยแยกตัวมาร้านหนังสือสักพัก เลือกเล่มที่ชอบและค่อยไปเจอกันอีกทีที่ร้านอาหาร
ยังไงสะทั้งพ่อและแม่ แม้จะมีโดนดุบ้างทำโทษบ้าง แต่เราต่างก็รู้ ว่าครอบครัวของเรานั้นอบอุ่นกันมากแค่ไหน ขนาดอยู่กันมาจนฉันทำงานแล้วทั้งสองคนรักกันยังไง ตอนฉันโต ก็ยังเห็นทั้งสองคนรักแบบเดิม เวลามองไปที่ทั้งคู่มันก็น่าอิจฉา แต่ก็แค่คิด ยังไงสะก็ไม่มีใครรักฉันเท่ากับพ่อแม่หรอก เป็นไปได้ก็อยากจะอยู่กับพวกเขาตลอดไป เพราะแบบนั้น ฉันที่อายุ 23 เข้าสู่วัยทำงาน ตั้งแต่ 17 ก็ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่มากกว่าต้องนอนกับเพื่อนร่วมงาน ต่อให้ย้ายไปอยู่คนเดียวก็สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
… สู้อยู่กับพ่อแม่เราก็ช่วยจ่าย ค่าน้ำค่าไฟ ไหนจะค่าเน็ต แถมยังประหยัดค่าที่พักไว้ซื้อหนังสือ ไม่ก็ชั้นหนังสือใหม่ แบบนั้นแฮปปี้กว่าเยอะ!!
ฉันรู้สึกมีความสุขขณะเลือกหนังสือ และเดินไปมาหยิบตามความสนใจ
แต่ก็ไม่มีทางเข้าไปในโซนวิชาการเด็ดขาด สิ่งที่ฉันชอบมีแค่การตกแต่งงานประดิษฐ์บ้านหลังเล็กๆ ความรู้ทั่วไป อาการและนิยายรัก
คงเป็นเรื่องปกติรึเปล่านะ ฉันชอบอ่านอย่างสนุกสนานจนลืมเวลา บางทีก็อ่านยันโต้รุ่งจนไปทำงานไม่ไหว แต่ก็ต้องไป ถ้าบอกไปว่าหยุดเพราะนอนไม่พอ เดียวได้มีหยุดยาวพร้อมตีตั๋วไล่ออกแน่ๆ
ฉันหลงใหลในความรัก... ถึงจะไม่เคยมีแฟน แต่ก็รู้ว่ามันมีอะไรมากกว่าชีวิตคู่และพ่อกับแม่ มักจะแสดงความรักความห่วงใย ความอบอุ่นให้กัน ฉันที่เป็นลูกสาวก็ได้รับจากทั้งคู่ไปด้วย อาจจะมีทะเลาะบ้างไม่เข้าใจกันบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังคงอยู่ด้วยกัน ฉันคิดว่าความรักของพ่อกับแม่นี่ซับซ้อนว่าในนิยายที่ฉันอ่านสะอีก
แม่เป็นคนชอบเล่นเกมส์จีบหนุ่ม และบางที่แม่ก็ชอบพูดติดตลกว่า ถ้าไม่ได้เล่นเกมส์จีบหนุ่ม แม่คงไม่เจอพ่อหรอกแต่บางอารมณ์ก็บอกให้พ่อลองเป็นตัวละครให้จีบบ้าง และพ่อก็บ้าจี้ทำตามด้วย
พ่อเองก็เป็นคนใจเย็นและมักจะเล่นเกมส์เป็นเพื่อนกับแม่เอาใจแม่บ่อยๆ ถ้ามีผู้หญิงรู้จักนิสัยของพ่อแล้วเนี่ย คงจะอดคิดไม่ได้เลยว่าเป็นผู้ชายที่ดีสุดๆ และผู้หญิงที่แต่งงานด้วยคงเป็นคนโชคดีมากๆ ฉันก็รักพ่อ แต่ถ้าพูดเรื่องความสนิทสนมก็ต้องกับแม่ล่ะนะ แม่มักจะชวนเล่นเกมส์เนื้อเรื่องบ่อยๆ แต่ฉันไม่ค่อยอินที่จะต้องมโนว่าตัวเองเป็นผู้หญิงในเกมส์และไล่จีบคนอื่น ดังนั่นฉันจึงอ่านนิยายที่มีเพียงแค่ความรักของคนเพียงคู่เดียว และจะดำเนินต่อไปแบบไหนมากกว่า
จะเริ่มตั้งแต่จุดที่เลวร้ายที่สุดก็ได้ จะเริ่มจากดีที่สุดก็ได้ จนเพื่อนๆในห้องต่างกล่าวว่าฉันคือผู้ชำนาญด้านการมโนความรัก
ฉันบอกได้ทันที ว่าคู่ไหนจะเลิกกัน และคู่ไหนที่ดูท่าจะไม่ค่อยดี ยังไงพวกเขาก็มีแววเป็นแบบนั้นตั้งแต่ที่ฉันมองเห็นว่าเดินมาเป็นคู่แล้ว….
ความรักวัยรุ่นน่ะดูท่าจะเป็นแค่ความรักสนุกเสียซะส่วนมาก ทุ่มเททุกอย่างและเลิกลากันไป แต่ก็ไม่แน่นอนเสมอไป ฉันที่ต้องฟังเพื่อนบ่น และบางคนก็เล่าเรื่องราวความรักในชีวิต
ฉันก็เลยยังคงชอบความรักอยู่ดี
ก็ใช่ว่าจะมีความรักแบบเดียวเสียหน่อย
ฉันมองพ่อกับแม่ที่เดินนั่งหัวเราะกันอยู่ที่สวนจำลองภายในห้าง ที่อยู่ใกล้ๆกับร้านหนังสือ
พวกเขาเป็นคนรักที่ดีที่สุดมากกว่าหนังสือเล่มไหนที่ฉันเคยอ่านหรือเคยได้ยินมาเลย
“พ่อ แม่ มารอตั้งแต่ตอนไหนค่ะเนี่ย” ฉันรีบเดินไปหาพวกท่านที่ดูจะแค่นั่งชวนพักดูมือกัน
“ก็พึงมานั่งเนี่ยแหละ ตอนแรกจะชวนไปดูเสื้อผ้าแต่ปวดขาเดินไม่ไหวแล้วเลยคุยกับพ่อเขา ว่าจะมาขึ้นมานั่งรอตรงนี้น่ะ” แม่ตอบอย่างยิ้มแย้มพร้อมถือแก้วชาไข่มุกดื่มอย่างชื่นใจ และก็ส่งให้พ่อดื่มต่อ
‘จูบทางอ้อม…’
ตามปกติฉันควรเห็นจนชินตาน่ะ..แต่ฉันคิดว่าพ่อมีพรสววรค์ให้คิดแบบนั้นหลายเท่าตัว จากสีหน้าที่ไม่รู้สึกรู้สานั่น สายตามองมาทางฉันขณะที่ดูดน้ำเลียริมฝีปากนิดๆและยิ้มหน่อยๆ
เห็นไหมล่ะ….พ่อค่อนข้างพูดน้อยและเอาใจใส่ครอบครัว แต่ก็มีเสนห์อย่างร้ายกาจ ไม่แปลกที่แม่จะชอบแซวพ่อ ว่าเป็นผู้ชายในฝันที่หลุดมาจากเกมส์ พอเห็นแบบนั้นฉันก็เห็นความขี้หวงของพ่อด้วยจนฉัน แทบกลั้นหัวเราะ และยิ้มออกมาแปลกๆ ยิ่งเมื่อแม่สังเกตเห็นท่าทีแบบนี้ของฉัน แม่ก็เอาศอกสะกิดพ่อ
“หัดอายๆบ้างเถอะน่าอายุปานนี้แล้วไม่มีใครมองหรอก”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ปกติก็ทำแบบนี้นี่น้า” พ่อพูดพลางค่อยๆโอบแม่หน่อยๆ
“แต่วันนี้เรามาข้างนอกนะคะ” ฉันพูดพลางหัวเราะและเข้าไปกอดแม่ด้วยอีกคน
“พอๆ ทั้งพ่อทั้งลูก ปล่อยเลยยิ่งร้อนๆอยู่” แม่พูดพร้อมพลักเราทั้งคู่ออก
“แหม่ ใช่สิ พ่อกับแม่อยากอยู่กันแค่สองคนใช่ไหมล่ะเลยไม่กอดหนูด้วย” ฉันพูดตัดพ้อหน่อยๆ แต่แม่แทนที่จะกอดฉัน แต่กลับไปกอดพ่อเฉยเลย
“ใจร้ายอะ” ฉันพูดพลางหัวเราะ และพ่อก็ลูบหัวฉันเบาๆ
“ล้อเล่นน่า ไม่งั้นคงไม่ชวนมาห้างหรอก” พ่อพูด ฉันเงยหน้ามองพ่อสักพัก แม้ฉันจะอายุ23แล้ว มันไม่ผิดใช่ไหมล่ะ ถ้าฉันจะรู้สึกดีที่โดนลูบหัว เราทั้งคู่หัวเราะก่อนที่แม่จะพูดเสริมขึ้นมา
“ใช่แล้วๆ เบลกินเก่งที่สุดเลยนี่น้า วันนี้พ่อเป็นคนเลี้ยงเพราะงั้นไม่ต้องเกร็งใจเลยนะ”
“แต่หนูโตแล้วน้าให้หนูเลี้ยงพ่อแม่บ้างสิ” ฉันพูดพลางทำแก้มป่องหน่อยๆ ฉันก็กินเก่งจริงๆนั่นแหละ… ถึงเราจะฐานะปานกลาง แต่จะให้กินอาหารมื้อหมด3-4 พันทุกมื้อก็คง ไม่ไหว ฉันที่ทำงานได้เงินเดือนก็เลยพอจะเข้าใจพ่อที่หน้าซีดนิดๆ แต่แสดงออกชัดแบบนี้แอบเจ็บปวดนะ… นี่ลูกสาวนะพ่อ ทำอย่างกับลูกสาวเพียงคนเดียวจะทำเงินพ่อหมดกระเป๋าเพราะการกิน
“.......งั้นพ่อหารกับหนูเลย…”
“.....อย่างน้อยก็ดีล่ะ” พ่อพูดพลางดูท่าจะโล่งอกอย่างไม่เก็บสีหน้าเลยจริงๆ
“เที่ยงแล้วรีบไปกันเถอะ เดียวคนเต็มสะก่อน” พ่อพูดพลางจับมือของแม่ชวนให้ลุกขึ้น
“นึกว่าจองคิวไว้แล้วสะอีก” ฉันพูดพลางทำแกล้งป่องหน่อยๆ แต่พ่อก็ยิ้ม
“เอาน่าๆ ก็เรายังไม่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรกว่าจะไปกินร้านไหนนี่นะ…”
ฉันมองภาพของพ่อที่ดูเลือนลางแปลกๆ และเสียงรอบๆก็ค่อยๆเบาลง
“เบล อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
ฉันได้ยิ้นเสียงดังกังวนเหมือนกับระฆังในหูพร้อมภาพท้องฟ้าสีเทาครึมเหมือนกับฝนตก
“เบล”
ฉันได้ยินเสียงเรียกของพ่อเบาลง ภาพตรงหน้าเหมือนกับถูกดึงออกไปยังกลางอากาศ ด้านล่างเป็นลานประหารพร้อมเครื่องกิโยติ
“พ่อ…”
สติของฉันใกล้วูบ พร้อมกับมือที่กระชากวิญญาณฉันออกมาจากร่างดึงเข้ามาในกระจก
ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมความรู้สึกเหมือนกลั้นลมหายใจจนถึงก่อนหน้านี้
ไม่นะมันเกิดขึ้น….แบบตอนนั้น
“พ่อค่ะ... คือว่า” พอฉันเอ่ยพูดออกไปก็เห็นร่างของตัวเองอยู่กำลังเดินคุยกับพ่อของฉัน และหันมามองฉันก่อนจะเมินไป
“พ่อ!! แม่!! หนูอยู่นี่!!” เมื่อฉันคิดจะขยับเขยื้อน ร่างกายก็เหมือนถูกตึงไว้และภาพนันมันก็ห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ไม่นะ...ไม่ฉันจะกลับไปที่คฤหาร์นั่นงั้นหรอ ไม่เอานะ!!
น้ำตาฉันไหลออกมาพร้อมตะโกนเรียกพวกเขาพยายามเอื้อมมือไปคว้าตัวตนที่ถูกทำให้ห่างออกไป
“หนูอยู่นี่…...นั่นไม่ใช่...หนูต่างหากที่เป็นลูกของพ่อกับแม่”
“อึก...ฮือ..” ฉันร้องไห้ออกมา ณ สิ้นสุดของความมืดมิด เมื่อลืมตาขึ้นก็มีเพียงภาพสะท้อนของหญิงสาวผมสีเขียวเข้มอมฟ้า ใบหน้าของโคลอี้..
“ฮือ…” ฉันร้องไหนออกมา แม้จะเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกก็ไม่สน…
ฉันจะอยู่ได้ยังไงถ้าขาดพวกเขา
หายใจ...ลำบาก กว่าปกติ….
ฉันน่ะ…
ไม่ไหวหรอก...
------------------------------------------------------
“โคลอี้!!!” เสียงดังก้อง กับอาการเบาบางที่หายใจลำบาก
“หายใจไม่….ออก” ฉันพูดขณะที่นอนอยู่บนเตียง ไม่รู้เลยว่าตัวเองหลับไปตอนไหน รู้แค่เปลือกตามันหนักจนลืมตาไม่ขึ้น อากาศก็ร้อน หายใจลำบากจนสำลัก
“โคลอี้!!!” เสียงนั่นดังขึ้นอีกแล้ว เสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงนั่น ร่างกายของฉันค่อยๆขยับทั้งๆที่เอามือปิดปากเอาไว้
“ออสการ์หรอ? แค่กๆ” ฉันมองไปรอบ ก็พึงรู้สึกตัวว่าห้องนี้มันสว่าง และเต็มไปด้วยเปลวไฟร้อนๆ แต่ร่างกายมันไม่มีแรงเลย ร่างกายของฉันค่อยๆคุกเข่าลงกับพื้น..
“โคลอี้!” พลันรู้สึกตัวอีกทีร่างของฉันก็ลอยขึ้น ออสการ์มาช่วยน้องสาวของเขา… ฉันรู้สึกโหว่งๆในใจ ทั้งๆที่คนอย่างฉันเอาแต่สร้างความเดือดร้อนแต่ว่าก็ยังจะอวดดีอยากทำอะไรด้วยตัวเอง
“ฉันมันแย่ที่สุดเลย..” ฉันร้องไห้ ท่ามกลางเสียงเปลวเพลิงน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด ทั้งๆที่มันร้อนขนาดนี้ ฉันก็อยากที่จะตายๆไปสะ แต่ก็กลัวความตาย ทั้งไร้ประโยชน์ มีชีวิตด้วยความใจดีของคนอื่น สุดท้ายก็ทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็นสักอย่าง
“.......” ฉันในตอนนั้นร้องไห้ซ้ำๆทั้งๆที่ออสการ์กอดฉันอย่างอบอุ่น และพาฉันออกมาในที่ปลอดภัย ความทรงจำตอนนี้มันกลับเลือนลาง ทั้งๆในความฝันกลับแจ่มชัดจนชวนให้รู้สึกเจ็บปวดและพาฉันดิ่งลงไปในความเศร้า มันค่อยๆกลืนกินฉันไปช้าๆ
ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่า เมื่อฉันเรียนจบ ฉันก็จะทำงานและหาเงิน
แต่ในความจริงเมื่อโตขึ้น ฉันก็พึงจะมาเข้าใจ
ฉันนั่นไม่มีความพยายามและความมุ่งมั่นเลย เพียงแค่ฝันกลางวันแบบเด็กๆและหวังว่า ฉันจะเติบโตได้เหมือนคนอื่น ทุกคนใจดีกับฉัน… หรือเพราะสงสารฉันที่ทำอะไรไม่เป็นเลย
เรื่องนั้นจนถึงตอนนี้ฉันก็ได้แค่ร้องไห้ ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน
คนไร้ประโยชน์อย่างฉันที่มีสิ่งสำคัญอย่างเดียวคือครอบครัว…
ไม่สามารถเก้าเดินออกไปด้วยตัวเอง
ทำไมฉันถึงน่ารังเกียจและไร้ประโยชน์ขนาดนี้
เรื่องราวทุกอย่างนั้นแย่ไปหมด..ฉันไม่ทันตั้งตัวเลยสักนิด...แต่ให้เตรียมใจยังไงเรื่องแบบนี้ก็ไม่มีใครคาดคิดหรืออยากให้เกิดขึ้นหรอก ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงผู้คนที่ดังข้างนอก ร่างกายที่หนักอึ้งปวดหัวไปหมด ยิ่งลืมตาขึ้นมาก็ก็นอนอยู่บนเตียงสีน้ำตาลและห้องไม้ที่ค่อนข้างแคบ ยังไม่ทันคิดว่าตัวเองอยู่ที่ไหน...ใบหน้าของออสการ์ที่นอนฟุบหน้าอยู่ข้างๆฉัน
"ขยับ….ยากจัง.." ฉันบ่นออกมานิดๆร่างกายมันร้อนๆและหนักมากเลย พอคิดแบบนั้ยเหมือนอารมณ์มันอ่อนไหวขึ้นมา พาลจะร้องไห้
ฉันนี่มันบ้าที่สุด ทั้งๆที่ย้ำตัวเองตั้งหลายครั้งว่าโตได้แล้ว แต่สุดท้ายฉันก็ยังงี่เง่าเหมือนเดิม เศร้าไปก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้แท้ๆ
ในความเป็นจริงแล้วฉัน...ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยตั้งแต่สมัยเรียน ฉันเสือกเรื่องของคนอื่น แต่ก็ยังตามไม่ทันพวกเขา ซ้ำยังเอาตัวเองไม่ค่อยจะรอด และยิ่งฉันสร้างความรำคาญให้คนอื่นเพราะความไม่รู้ของตัวเอง ฉันจึงเงียบไว้
สงบปากแต่ก็ไม่เคยแสร้งทำ
ฉันไม่คิดที่จะถามอะไรอีก และมันก็รู้สึกแย่หากโดนด่ากลับมา… ยังไงฉันไม่ค่อยคุ้นชินกับที่นี่อยู่แล้ว ทุกอย่างเลยแปลกตาไปหมด บางทีอาจอยู่แถวๆห้องเก็บของก็ได้ ก่อนหน้านี้เองก็ยังสำรวจไม่หมดด้วย แต่พอคิดแบบนั้น..ฉันก็เปลี่ยนความคิดทันที เมื่อเห็นเป็นห้องมากมายเหมือนกับในโรงแรมที่ค่อนค้างโทรมมากๆ ฉันไม่คิดว่าในคฤหาร์จะมีที่แบบนี้ สักพักเสียงผู้คนก็ค่อยๆดึงดูดฉันห้องออกจากห้อง เดินลงบรรไดมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"อ๊าวคุณหนู...ตื่นแล้วหรอค่ะ?" หญิงสาวหลังเคาเตอร์เอ่ยทักทายฉันด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงปนสงสาร… เธอกวักมือเรียกฉัน และฉันก็เดินไปหาโดยอัตโนมัต
"คุณรู้จักหนูหรอค่ะ?" ฉันถามตรงๆ แต่หญิงสาวก็หัวเราะออกมา
"ก็ไม่หรอก… เมื่อวานออสการ์อุ้มหนูมาน่ะ" ฉันมองใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้… รู้สึกยืนไม่ค่อยได้นานๆเท่าไร ตัวมันหนักมากๆ
เพือความแน่ใจเลยเอามือแตะหน้าผากตัวเองดู มันอุ่นหรือร้อนก็ไม่แน่ใจด้วย ยิ่งพอมองไปรอบๆเหมือนโรงแรมในต่างโลกเลย เคาเตอร์สั่งอาหาร ชั้นแรกทานอาหารและรับแขก ชั้นสองเป็นที่พัก ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าไร แตที่นี่มีนคนน้อยนิดมากๆ
"เอ้า ทานนี่ไปก่อนนะ" พี่สาวพูดพร้อมยื่นชามซุปมาให้..รีซอสโต้สินะ? ฉันลองเอาช้อนเคี่ยๆในซุปข้นๆนั่น แต่ยังไม่ทันได้กิน ฉันก็มองไปทางพี่สาวที่กำลังรีบร้อนพร้อมตะกร้าใบใหญ่
"อยู่ที่นี่ทำตัวตามสบายนะ" ฉันยังไม่ทันเข้าใจอะไรนัก ท้องก็ร้องประท้วงออกมาเสียงดังเพราะความหิว… แต่ฉันก็ได้แค่ข้นช้อนไปเรื่อยๆ ไม่มีอารมณ์จะกินเลยสักนิด ทั้งๆที่มันก็หอมและน่ากินมากแท้ๆ
สายตาของฉันสะดุดไปเห็นด้ายเส้นเล็กๆสีแดงที่เคลื่อนที่ไปมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
“ด้ายแดง?” ฉันนึกถึงตำนานนั่นขึ้นมาทันที แต่ว่าไม่นานมันก็หายไป พร้อมเสียงของออสกาสที่สะกิดฉันด้านหลัง
“พี่…” ฉันพูดเบาๆ มองสีหน้าที่ดูจะเศร้ามากและค่อยๆโอบกอดฉัน ร่างกายที่สั่นไหวนั่นฉันไม่สามารถผลักออกไปได้หรอก..
สักพักความรู้สึกเหมือนจะเชื่อมถึงกัน เราทั้งสองต่างร้องไห้ออกมาไม่หยุด แต่ออสการ์ก็ร้องไห้ด้วย...ฉันอาจไม่เข้าใจทั้งหมดว่าทำไมเขาถึงร้อง...แต่ว่า..
มันเจ็บปวดจริงๆ เหมือนเขาจะบอกว่าฉันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ไม่อยากสูญเสียโดยการกอดฉันแน่น
มันอึดอัดในใจแต่กอดนี้มันก็อบอุ่น ฉันน่ะ…
มือของฉันมันสั่นเบาๆ อยากจะโอบกอดกลับไป แต่ว่า...
"ฉันไม่ใช้น้องสาวของคุณ ขอโทษนะคะ...อึก..ฮือ" ฉันสารภาพมันออกมาแต่เขาก็ยังคงกอดแน่นมากกว่าเดิม
"รู้อยู่แล้ว...รู้อยู่แล้วล่ะ" เขาพูดย้ำ และร้องไห้ออกมาพร้อมกัน
แม้คนในตอนนี้จะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ว่าดีจริงๆที่คำพูดสำคัญได้ยินกันแค่2คน
ไม่มีใครพูดอะไร เพียงแต่มองพวกเราเงียบๆ จนสักพัก..น้ำตามันก็หยุดไปเอง
"ขอโทษนะคะ...ขอโทษจริงๆ...ฉันสร้างความเดือดร้อนให้ ….เอ่อ..พี่ตลอด ฉันยังคงเรียกพี่ได้อยู่รึเปล่า?" ฉันพูดพลางเอียงคอนิดๆ แค่ออสการ์ก็หัวเราะพลางขยี้หัวฉัน แม้จะมีคราบน้ำตาอยู่บนหน้า
"ได้อยู่แล้ว! เธอคงต้องผ่านอะไรบางอย่างมางั้นสิ...ถึงร้องไห้เอาเป็นเอาตายขนาดนั้น…" ออสการ์พูดพลางทำหน้าเศร้าๆ แต่เขาก็รีบเช็ดคราบน้ำตาของตัวเอง
"ถึงอย่างงั้น…" ฉันพูดขัดขึ้นมาก่อนที่เขาจะพูดจบ
"ทั้งๆที่รู้ๆ ว่าร้องไห้มันไม่ช่วยอะไร..แต่มันก็อดที่จะร้องไม่ได้อยู่ดี…"
ออสการ์เงียบไปสักพัก แต่เขาก็ยิ้มขึ้นมา
"แต่น้ำตาก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้นะ อ้าวๆซุปเย็นหมดแล้ว รีบทานก่อนเถอะน่า" ออสการ์พยายามร่าเริง แต่หลังจากที่เจอมาทั้งหมดนั่นฉันก็รู้สภาพเป็นอย่างดี..ยังไงเขาก็ฝืนอยู่
"หลังทานเสร็จฉันจะเล่าเรื่องของฉันให้ฟังนะคะ"
"ไม่ต้องหรอก ยังไง…" เมื่อเขาพยายามปฎิเสธ ฉันจึงจับมือเขาแน่นเป็นเชิงขอร้อง…
"ไม่งั้น...จะอึดอัดใจน่ะคะ..อย่างน้อยก็คิดว่า...พี่ควรรู้ไว้"
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

8 ความคิดเห็น
-
#3 _ENG_ (จากตอนที่ 6)วันที่ 20 กันยายน 2563 / 00:12อื้อมันดีเเล้วล่ะ!#30