คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : ตอนที่ 12
ตอนที่ 12
“บอกมาสิว่าเพชรสีทองของฉันอยู่ที่ไหน!”
เสียงคำรามโหดเหี้ยมดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหยักสวยของคอร์เนลแผ่วเบา แต่ทุกพยางค์นั้นอัดแน่นไปด้วยโทสะร้ายจนคนที่กำลังคุกเข่าอยู่แทบเท้าตรงหน้าตัวสั่นเทาหนักมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก
“ผม...ขอโทษครับ...”
“ฉันไม่ต้องการคำขอโทษ! แต่ฉันต้องการรู้ว่าตอนนี้แกเอาเพชรของฉันไปไว้ที่ไหน ไอ้สารเลว!”
กำปั้นที่หนักยิ่งกว่านักมวยอาชีพของคอร์เนลซัดเข้าที่ใบหน้าของยอดชายเต็มแรง จนร่างที่ผอมบางลงกว่าเดิมมากมายของยอดชายหงายหลังลงไปนอนอยู่กับพื้นหินอ่อนหน้าลานตึกใหญ่อย่างน่าเวทนานัก เซอร์เกรีบเข้าไปห้ามเมื่อเห็นนายน้อยของตัวเองกำลังจะเข้าไปซัดต่อ
“หากมันตายไปก่อนที่จะบอกที่ซ่อนของเพชรสีทอง เราก็จะไม่มีวันหาพบนะครับนายน้อย”
คอร์เนลหรี่ตาสีเขียวจัดมองคนสนิทนิ่ง ความเกรี้ยวกราดแล่นพล่านไปทั้งกายหนุ่ม
“ต่อให้ต้องขุดดินหา นายก็รู้ไม่ใช่หรือเซอร์เก ว่าฉันก็ต้องหาเพชรสีทองของแม่ให้พบ”
“ผมทราบครับว่านายน้อยจะหามันพบจนได้ แต่มันอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตนะครับนายน้อย สู้เราค่อยๆ เค้นตามจากนายยอดชายไม่ดีกว่าหรือครับ” เซอร์เกเอียงหน้ามากระซิบที่ข้างหูของคอร์เนลด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“และผมมีวิธีที่จะทำให้นายยอดชายคลายความลับนั้นออกมา”
คำกระซิบกระซาบของเซอร์เกมีผลทำให้คิ้วเข้มยาวเป็นปื้นของคอร์เนลเลิกขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ และก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไป คนสนิทวัยกลางคนก็รีบเอ่ยปากไขข้อข้องใจให้กับเขาเสียก่อน
“ถ้าใช้หนูยาหยี รับรองว่านายยอดชายต้องยอมบอกที่ซ่อนเพชรสีทองแน่ๆ ครับ”
มันเป็นความคิดที่ดีเหลือเกิน แต่ทำไมนะ ทำไมเขาถึงไม่มีความรู้สึกอยากจะทำมันเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่ว่ากลัวหรือเกรงอะไรหรอก แต่ที่ไม่อยากทำก็เพราะเขาไม่ต้องการจะเจอหน้าผู้หญิงคนนั้นอีก ผู้หญิงที่สามารถทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงระรัวได้ในทุกครั้งเพียงแค่สบตากัน ยาหยีคือความหายนะอันยิ่งใหญ่สำหรับเขาเลยทีเดียว และการอยู่ห่างๆ เจ้าหล่อนก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้เซอร์เกกำลังแนะนำให้เขากลับไปดึงแม่นั่นมาไว้ข้างกายอีกครั้ง ผู้หญิงที่เขาตั้งใจจะถอยออกห่างทั้งที่ยังโหยหาแทบคลั่ง
“ฉันไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับแม่นั่นอีก”
“นายน้อยไม่ต้องทำเองก็ได้ครับ ให้ผมหรืออีวานทำให้ก็ได้” เซอร์เกพยายามแนะนำทางออกที่ดีที่สุดให้กับนายหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าคอร์เนลจะตัดความหวงแหนยาหยีออกจากใจไม่ขาด สังเกตได้จากน้ำเสียงห้วนๆ แข็งๆ ของนายน้อยที่คำรามออกมานั่นแหละ
“ห้ามใครแตะต้องยาหยีเด็ดขาด!”
สิ้นคำห้วนกระด้างที่ออกมาจากปากของผู้เป็นนาย เซอร์เกก็ลอบยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน
“แล้วนายน้อยจะให้พวกผมทำยังไงครับ”
“ฉันจะจัดการเรื่องยาหยีเอง นายแค่นำเรื่องนี้ไปขู่ไอ้คนทรยศนั่นก็พอ และบอกมันด้วยว่าหากมันไม่ยอมบอกที่ซ่อนเพชรสีทองกับฉันละก็ ลูกสาวมันตายคามือฉันแน่”
จบคำพูดที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ร่างสูงใหญ่ของคอร์เนลก็ก้าวยาวๆ ขึ้นตึกใหญ่ไปในพริบตา เซอร์เกถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะเดินเข้าไปหยุดมองร่างของยอดชายที่ยังนอนหงายอยู่กับพื้นด้วยสายตาเวทนา
“ไม่น่าทำเรื่องแบบนี้เลยนะยอดชาย”
“ผมขอโทษครับ ผมจำเป็นจริงๆ” ยอดชายพึมพำเสียงแผ่วเบา ขณะพยุงกายลุกขึ้นนั่ง
“แล้วจะไม่บอกจริงๆ ใช่ไหมว่าเพชรสีทองของนายน้อยอยู่ที่ไหน”
เซอร์เกถาม แต่คนถูกถามกลับนั่งก้มหน้านิ่งเป็นเป่าสาก และนั่นก็ทำให้คนยืนรอฟังคำตอบถึงกับหมดความอดทนขึ้นมา
“ไม่ต้องบอกก็ได้ แต่ขอให้รู้ไว้นะว่าทุกวันต่อจากนี้ไปลูกสาวของนายจะต้องรับผิดชอบในการกระทำของนายทั้งหมด”
ท่าทางตาเหลือก อ้าปากค้างของยอดชาย ทำให้เซอร์เกลอบยิ้ม
“และแน่นอนว่านายน้อยไม่มีทางปรานีลูกสาวของนายแน่ ยอดชาย...”
“อย่า! อย่าทำอะไรลูกสาวผม อย่าทำ ได้โปรด...” ยอดชายคลานไปเกาะขาเซอร์เกที่กำลังจะเดินจากไป
“งั้นก็บอกมาสิว่าเพชรอยู่ที่ไหน?”
“ผมไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ครับว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ได้โปรดเชื่อผม”
เมื่อยอดชายยังยืนยันคำเดิม เซอร์เกจึงยุติการสนทนาทั้งหมดลงในทันที
“งั้นก็เตรียมผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ซับน้ำตาให้ลูกสาวได้เลย แต่คงต้องหลายๆ ผืนหน่อยนะ เพราะเชื่อว่ากว่านายน้อยจะหายแค้น ลูกสาวของนายคงจะช้ำน่าดู”
เซอร์เกถอดแบบความเหี้ยมเกรียมและเด็ดขาดมาจากคอร์เนลเจ้านายหนุ่มของตัวเองได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ขณะหันไปสั่งหลานชายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
“เอานักโทษไปขังเอาไว้ และจัดเวรยามเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
“ครับน้าเซอร์เก”
อีวานรับคำ จากนั้นก็พยักหน้าให้บอดี้การ์ดสองสามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้หิ้วปีกยอดชายตรงไปยังเรือนเล็กเพื่อจองจำอิสรภาพ และแม้ตลอดทางยอดชายจะร่ำร้องอ้อนวอนให้ละเว้นยาหยีมากแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะทำเป็นไม่ได้ยินมันเลย
ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงก็แล้ว สี่ชั่วโมงก็แล้ว แต่ยาหยีก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะฟังคำพูดใดๆ ของเพื่อนร่วมโต๊ะที่กำลังแลกเปลี่ยนความรู้กันเลยแม้แต่นิดเดียว ให้ตายเถอะ สมองของหล่อนวนเวียนและก็วกวนอยู่แต่กับเรื่องของคอร์เนลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ใบหน้าของเขาฉายชัดอยู่ในสมอง กลิ่นกายของเขายังอบอวลอยู่ในจมูกไม่จืดจาง และหล่อนก็โหยหาอ้อมแขนกำยำของเขาเหลือเกิน โหยหาหิวกระหายจนแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว
“ลูกหยี...ยายลูกหยี...”
เสียงลินดาที่ดังขึ้นกลางโต๊ะ ทำให้ยาหยีหลุดออกมาจากวังวนเสน่หาที่ตัวเองตกลงไปทั้งกายและใจได้ชั่วขณะ
“อะไรนะ พวกเธอว่าอะไรนะ?”
ลินดาส่ายหน้า ถอนใจหนักๆ พร้อมกัน ขณะเอียงหน้าเข้ามากระซิบกระซาบข้างใบหูของเพื่อนสนิทเสียงเบาพอแค่ได้ยินกันสองคน
“เป็นมากแล้วนะลูกหยี ฉันว่าถ้าคิดถึงพ่อเทพบุตรนัยน์ตาสีเขียวคนนั้นมากก็ไปหาเขาเถอะ เพราะต่อให้นั่งตรงนี้จนพวกฉันเลิกติวกัน เธอก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก ในเมื่อหัวใจของเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้”
คำพูดของลินดาทะลุทะลวงเข้าสู่หัวใจของหล่อนและมันก็ตีแผ่ความจริงออกมาให้ได้เห็น ใช่สิ หล่อนนั่งตรงนี้มาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว แต่หล่อนก็ยังฟังเพื่อนๆ ไม่รู้เรื่องเลย สมองคิดถึง ร่างกายโหยหาแต่คอร์เนลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทว่ามันก็ยากนักที่จะยอมรับออกไป
“มะ...ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วมันแบบไหนล่ะ เธอเหม่อ เธอใจลอย ฉันเรียกตั้งนานเธอก็ไม่ได้ยิน แล้วจะให้คิดว่าเป็นอะไร หลับหรือไง” ลินดายังประชดเสียงแผ่วเบาที่ข้างหูของยาหยีเช่นเดิม ก่อนจะพูดต่อ
“เธอไม่ได้หลับ แต่เธอกำลังคิดถึงเขา คิดถึงผู้ชายคนแรกของเธอ”
หมดปัญญาที่จะเถียงออกไป ยาหยีได้แต่ก้มหน้านิ่ง ลินดาเห็นแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ จึงลุกขึ้นและดึงแขนเพื่อนรักให้เดินตามตัวเองออกไปยังมุมลับตาคนแห่งหนึ่งภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยที่พวกตัวเองศึกษากันอยู่
“ไปหาเขาสิ...ไปเถอะ อย่าคิดว่าเป็นการง้องอนเลยลูกหยี รักเขาก็พูดออกไป” เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว ลินดาจึงพูดเตือนสติ
“ถึงฉันจะรักเขา แต่เขาไม่มีทางรักฉันหรอกลินดา ฉันเป็นแค่ผู้หญิงที่เขาต้องนอนด้วยเพราะว่าไม่อยากขาดทุนเท่านั้นเอง มันแค่นั้นจริงๆ นะในสายตาของเขาน่ะ”
หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่ก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ และในที่สุดมันก็ไหลออกมาอาบแก้มจนต้องรีบเช็ดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว
“แต่เธออยากเห็นหน้าเขาไม่ใช่เหรอ แล้วเธอมีความสุขหรือไงหากต้องนั่งคิดถึงเขาตลอดเวลาแบบนี้ ไปเถอะน่า อาจจะแค่คืนเดียวหรือแค่ชั่วโมงเดียว แต่เธอก็จะมีความสุขกว่าที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้นะลูกหยี อนาคตไว้ค่อยคิดถึงมันเถอะ แค่วันนี้เรามีความสุขที่สุดก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”
“แต่ว่าฉัน...ฉัน...”
“เรื่องของหัวใจมันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรมารองรับเสมอไปหรอกนะ แค่ใช้หัวใจนำทางก็พอแล้ว” ลินดาดึงมือยาหยีขึ้นมากุมเอาไว้ บีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“เธอรักเขา อย่าปฏิเสธเลย” ลินดาพูดขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวทำท่าจะปฏิเสธ
“ทำตามหัวใจตัวเองเถอะ บางทีสิ่งที่เธอคิดอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นคิดก็ได้นะ เชื่อฉันนะ ไปหาเขาซะ แล้วทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ”
‘ทำในสิ่งที่หัวใจตัวเองต้องการอย่างนั้นเหรอ? แล้วหากคอร์เนลขับไล่หล่อนล่ะ หากเขาบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าหล่อนล่ะ จะทำยังไง’
“พรุ่งนี้เจอกันนะยาหยี และหวังว่าเธอจะไม่มาเคาะเรียกฉันตอนกลางดึกล่ะ เพราะฉันจะไม่มีวันเปิดรับแน่นอน” ลินดายิ้มหวานให้กำลังใจคนหน้าแดงก่ำที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ค้างกับเขาเถอะ ทำให้เขามีความสุข แล้วเธอก็จะมีความสุขไปด้วย ฉันไปนะ”
ลินดาเดินกลับไปที่โต๊ะติวหนังสือแล้ว แต่ยาหยีก็ยังยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม สมองดับ เท้าตายขึ้นมาในทันทีเมื่อคิดว่าตัวเองต้องไปเผชิญหน้ากับคอร์เนลในไม่ช้านี้ ไม่ใช่รังเกียจ แต่หวาดกลัวต่อสายตาเหยียดหยามของเขาที่จะมองมาต่างหาก
‘หล่อนคงต่ำยิ่งกว่าขยะแน่ๆ หากปล่อยให้ผู้ชายร้ายกาจคนนั้นรู้ความในใจ แต่ถ้าหากหล่อนไม่ไปหาคอร์เนล หัวใจของหล่อนก็คงจะต้องทุรนทุรายเพราะพิษแห่งความโหยหาอยู่แบบนี้ทั้งคืนทั้งวันแน่ๆ’
ยาหยีถอนใจออกมาเบาๆ พร้อมกับก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองอย่างไม่มีทางหลีกหนีได้พ้น และไม่ช้าเท้าบอบบางก็ก้าวเดินออกไปจากห้องสมุดประจำมหาวิทยาลัยอย่างเงียบเชียบ
คฤหาสน์ใหญ่โตเบื้องหน้ายังคงวิจิตรตระการตาเฉกเช่นทุกครั้งที่ได้พิศมอง ยาหยีจ่ายเงินค่ารถแท็กซี่เสร็จแล้วจึงก้าวลงมายืนที่หน้ารั้วขนาดใหญ่ มือบางยกขึ้นกระชับกระเป๋าที่สะพายอยู่ข้างลำตัวเอาไว้แน่น ขณะที่เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นตามฝ่ามือและไรผมอย่างมหาศาล
ตอนนี้ทั้งความโหยหา ทั้งความหวาดหวั่น ต่างระดมพุ่งเข้าใส่กลางหัวใจของหล่อนอย่างรุนแรงเลยทีเดียว โอ้...สวรรค์ นี่หล่อนคิดถูกหรือคิดผิดกันนะที่ตัดสินใจเดินเข้ามาหาพ่อมัจจุราชรูปหล่อบาดจิตอย่างคอร์เนล ซีร์ยานอฟคนนี้
หัวใจเต้นรัวแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก หญิงสาวพยายามข่มความหวาดหวั่นเอาไว้ ขณะกัดฟันเดินเข้าไปหายามสองสามคนที่หน้ารั้ว
“ฉันมาหา...”
“เชิญครับคุณผู้หญิง”
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายามพวกนี้จะจำหล่อนได้ ทั้งๆ ที่หล่อนเคยมาที่คฤหาสน์หลังนี้โดยไม่ได้นั่งรถคันหรูของคอร์เนลเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง
“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ”
ง่ายดายจนไม่น่าเชื่อ แต่กระนั้นยาหยีก็เดินผ่านรั้วใหญ่เข้ามาจนได้ ระยะทางไม่ไกลเท่าไรนักจากรั้วใหญ่จนถึงตัวตึก แต่ทำไมนะ ทำไมหัวใจของหล่อนถึงได้เต้นแรงระรัวราวกับพึ่งไปวิ่งมาราธอนรอบโลกมาซะอย่างงั้น
“คุณยาหยี!”
กำลังจะก้าวเข้าไปภายในตึกใหญ่ แต่เสียงของเชอรี่แม่บ้านร่างท้วมก็ดังขึ้นเสียก่อน ยาหยีรีบหันไปมองแล้วก็ระบายยิ้มบางๆ ให้
“ป้านั่นเอง”
เชอรี่มองซ้ายมองขวาก่อนจะรีบลากยาหยีให้เดินตามตัวเองไปที่มุมตึกลับตาคน
“คุณมาที่นี่โดยไม่มีคำสั่งจากนายน้อยไม่ได้นะคะ”
“เขาจะฆ่าฉันอย่างนั้นหรือคะป้า”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจชัดเจน ใช่สินะ วันนี้เขาไม่ได้ให้คนไปรับหล่อนมา หรือแม้แต่จะโทรตามสักครั้งก็ไม่มี แต่เป็นหล่อนเองที่เสนอหน้ามาหาเพราะทนแรงคิดถึงไม่ไหว เป็นหล่อนเองที่โง่มากจนยอมบากหน้ามาหา หล่อนมันน่าสมเพชเวทนาจริงๆ
หญิงสาวกัดปากที่สั่นระริกเอาไว้แน่น ดึงมือของตัวเองออกจากมือของคู่สนทนา ก่อนจะเอ่ยลาด้วยน้ำเสียงขมขื่นจนคนฟังถึงกับอึ้งไปด้วยความสงสาร
“ฉันกลับก็ได้ ขอโทษที่มารบกวนค่ะ”
จากที่เคยคิดจะสู้เพื่อให้ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกสักคืน แต่ตอนนี้ความคิดนั้นเปลี่ยนไปแล้ว หล่อนควรจะกลับ ควรจะไปอยู่ในที่ของตัวเอง ที่นี่มันเลิศเลอและอันตรายเกินไปสำหรับผู้หญิงอ่อนด้อยประสบการณ์ชีวิตอย่างหล่อน
และมันก็เป็นความคิดผิดมหันต์เลยจริงๆ ที่หล่อนมาหาเขาที่นี่ในวันนี้ ความจริงหล่อนก็น่าจะเข้าใจฐานะของตัวเองดีตั้งแต่ที่คอร์เนลเผ่นแน่บออกจากหอพักไปเมื่อคืนนี้แล้วนี่ ทำไมยังคิดใฝ่สูง คิดเข้าข้างตัวเองอีกล่ะ
‘พอเถอะ หยุดเถอะ เลิกคิดว่าจะได้รับเศษเสี้ยวของหัวใจจากผู้ชายคนนั้นสักที หยุดได้แล้วยาหยี!’
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ” เชอรี่รีบดึงแขนของยาหยีเอาไว้และพูดต่อ ขณะที่ยาหยีน้ำตาซึมยืนฟังนิ่ง
“นายน้อยไม่เคยฆ่าคนหรอกค่ะ แต่ที่ป้าถามคุณไปอย่างนั้นก็เพราะมันเคยปากน่ะค่ะ เพราะปกติแล้วนายน้อยไม่เคยอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามายุ่งวุ่นวายในอาณาจักรของตัวเอง”
“งั้นฉันก็ยิ่งควรจะกลับ...”
“อย่าไปเลยค่ะ บางทีนายน้อยอาจจะกำลังรอคุณอยู่ก็ได้ นายน้อยสนใจคุณมากกว่าผู้หญิงทุกคนที่ป้าเคยเห็น”
แม่บ้านวัยกลางคนพูดไปตามความจริงที่ตัวเองได้เห็นมา แต่กระนั้นยาหยีก็ยังยืนยันคำเดิม
“ฉันขอตัวค่ะ”
“หากคุณไปจากที่นี่ในวันนี้ พ่อของคุณก็อาจจะไม่เหลือแม้แต่ลมหายใจ”
และด้วยต้องการเหนี่ยวรั้งยาหยีเอาไว้ ทำให้เชอรี่หลุดปากเรื่องของยอดชายออกไปจนได้ แล้วมันก็ได้ผลชะงัดนักเพราะยาหยีที่กำลังเดินหนีไปเท้าตายทันที ใบหน้างามหันกลับมาร้องถามด้วยความตื่นตกใจ
“ป้าว่าอะไรนะคะ พ่อ! พ่อฉันอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ”
ยาหยีวิ่งกลับมาจับร่างท้วมของเชอรี่เขย่าแรงๆ ด้วยความลืมตัว ดวงหน้านวลซีดเผือดไร้สีเลือดลงในทุกวินาที
“เอ่อ...”
“บอกมานะป้า บอกฉันมา บอกมาสิว่าพ่อของฉันอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ” น้ำตาไหลพราก ความห่วงใยในสวัสดิภาพของบิดาท่วมท้นหัวใจอย่างรุนแรง แล้วยิ่งเห็นคู่สนทนาอ้ำอึ้งหน้าตาตื่นด้วยแล้ว หล่อนก็ยิ่งห่วงพ่อแทบคลั่ง
“ป้าได้โปรดเถอะ บอกฉันมา...บอกมา!”
เชอรี่ทนแรงสงสารไม่ไหวจึงยอมเอ่ยปากบอก
“ป้าบอกก็ได้ แต่คุณต้องเงียบเอาไว้นะคะ”
ยาหยีรีบพยักหน้ารับทั้งน้ำตา หล่อนเห็นคู่สนทนาชะโงกหน้ามองซ้ายแลขวาอยู่สองสามครั้งก่อนจะยอมเอ่ยความจริงออกมา
“ใช่ค่ะ พ่อของคุณถูกนายน้อยลากตัวมาเมื่อคืน”
“แล้วนายน้อยของป้าทำร้ายพ่อฉันหรือเปล่า เขาทำอะไรพ่อฉันไหม” ด้วยความเป็นลูกทำให้หญิงสาวอดห่วงใยบิดาไม่ได้ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าท่านเป็นฝ่ายผิดก็ตาม
เชอรี่รีบส่ายหน้าและเริ่มต้นเล่า
“นายน้อยไม่ได้ทำอะไรรุนแรงหรอกค่ะ แค่เค้นถามว่าพ่อของคุณเอาเพชรสีทองไปไว้ที่ไหน แต่พ่อของคุณไม่ยอมปริปากบอก เลยทำให้นายน้อยโกรธมาก...”
ยาหยีสะอื้นฮักด้วยความสงสารบิดา ขณะวิงวอนขอให้คู่สนทนาช่วย
“ฉันขอพบพ่อหน่อยได้ไหมคะ ป้าจ๋า ช่วยฉันหน่อย”
“แค่ป้าบอกเรื่องนี้กับคุณก็ผิดมหันต์แล้ว”
“แต่ป้าจ๊ะ ช่วยฉันหน่อยเถอะนะ ฉันรับรองว่าจะไม่บอกใคร แล้วจะถามเรื่องเพชรนั่นให้ด้วย นะป้า ช่วยฉันหน่อย”
แม้จะวิงวอนอ้อนวอนให้ตาย แต่เชอรี่ก็ไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรเด็กสาวตรงหน้าได้จริงๆ หล่อนไม่ได้มีอำนาจมากมายขนาดนั้น และหากคอร์เนลรู้เข้า หล่อนถูกไล่ออกจากงานแน่ๆ
“แม้ป้าจะอยากช่วยแค่ไหน แต่ป้าก็ช่วยไม่ได้จริงๆ มีแค่นายน้อยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ความหวังของคุณสำเร็จได้”
สมองของยาหยีเหมือนหยุดทำงานลงไปแล้วเมื่อได้ยินคำตอบของสตรีต่างวัยตรงหน้า ขอร้องคอร์เนลเหรอ อ้อนวอนผู้ชายคนนั้นเหรอ เขาจะตามใจหล่อนทำไม ในเมื่อหน้าของหล่อนเขายังไม่อยากมองเลยด้วยซ้ำ
น้ำตาไหลพราก แรงสะอื้นทำให้กายสาวสั่นเทา
“แต่นายน้อยของป้า...เขา...ไม่ได้อยากพบฉัน เขาเกลียดขี้หน้าฉันแล้ว”
“ไม่จริงหรอกค่ะ นายน้อยคลั่งคุณจะตายไป เมื่อคืนก็หน้าบูดหน้าบึ้งกลับมาบ้าน ทั้งๆ ที่ก่อนออกไปบอกว่าจะไปค้างที่หอพักกับคุณ”
‘ที่หน้าบูดหน้าบึ้งกลับมาก็เพราะเบื่อสาวอ่อนหัดไร้ประสบการณ์อย่างหล่อนมากกว่า’
หญิงสาวคิดด้วยความชอกช้ำ ขณะพยายามร้องสั่งหัวใจตัวเองให้คล้อยตามคำพูดของแม่บ้านร่างท้วมตรงหน้า แต่จนแล้วจนรอดหล่อนก็เชื่อไม่ลง
“เขาเบื่อฉัน”
เชอรี่ค้านคำพูดของยาหยีอีกครั้งด้วยการส่ายหน้าไปมาช้าๆ
“นายน้อยอยู่ในห้องทำงานทางทิศเหนือค่ะ ห้องเดิมนั่นแหละ คาดว่าคุณคงจำได้นะคะ”
จบคำพูดร่างท้วมของแม่บ้านวัยกลางคนก็เดินหายไปจากสายตา ยาหยีถอนใจออกมาด้วยความสับสน สมองมึนงง หัวใจจังงังกับสิ่งที่ได้รู้ยิ่งนัก พ่อของหล่อนกำลังตกอยู่ในอุ้งมือของผู้ชายที่หล่อนเผลอใจไปหลงรัก แล้วหล่อนจะทำยังไงดี จะทำยังไงเพื่อให้คอร์เนลยอมปล่อยบิดาของหล่อนไป แม้เขาจะเคยรับปากว่าจะไม่ฆ่าท่าน แต่หากเขาคิดจะขังพ่อของหล่อนไปตลอดชีวิตล่ะ หล่อนจะยอมได้หรือ จะยอมให้ผู้บังเกิดเกล้าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในสถานที่กักขังแบบนั้นได้ยังไง
สาวน้อยกัดฟันแน่น ข่มความหวาดหวั่นต่อสายตาดูถูกเหยียดหยามของคอร์เนล ขณะก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของชายหนุ่มที่หล่อนจำมันได้ดีว่าอยู่ตรงไหน ความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นภายในห้องนั้นยังติดตราและตรึงใจไม่จาง และถ้าหากเขาต้องการให้หล่อนยอมพลีกายให้อีกเพื่อแลกกับอิสรภาพของบิดา หล่อนก็ยินดีจะทำ
แล้วหล่อนทำแบบนี้เพื่อใครกันล่ะ? บิดา? หรือว่าตัวของหล่อนเอง?
คอร์เนลโยนโทรศัพท์มือถือของตัวเองลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะไม้ใหญ่เอี่ยมอ่องที่เขาพึ่งสั่งให้คนงานนำขึ้นมาเปลี่ยนให้แทนตัวเก่าที่ชำรุดออกมาหยุดที่หน้าต่างห้อง เมื่อกี้เซอร์เกโทรมาบอกว่ายาหยีไม่ได้อยู่ที่หอพัก และหล่อนก็ไม่ได้ไปที่มหาวิทยาลัยด้วย แล้วยาหยีไปไหนกัน?
ความหึงหวงเดือดดาลแล่นพล่านในสายโลหิตอย่างรุนแรง มือใหญ่กำเข้าหากันแน่นเมื่อสมองจินตนาการภาพที่ยาหยีกำลังพลอดรักกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง
ระยำ! เขาไม่มีทางทนมองเฉยๆ ได้แน่ ทั้งไอ้ผู้ชายคนนั้นและแม่ยาหยีคนงามจะต้องแหลกคามือแน่หากเจ้าภาพพวกนั้นมันเกิดขึ้นจริงๆ
เขาหวงยาหยี แล้วก็หวงมากเสียด้วย
ในที่สุดคอร์เนลก็ยอมรับออกมาจนได้ว่าตัวเองนั้นหวงแหนยาหยีมากมายแค่ไหน แต่ก็แค่หวงเท่านั้นแหละ เพราะเขาใช้เจ้าหล่อนจนเบื่อเมื่อไร ไอ้ความรู้สึกงี่เง่าน่าอาเจียนนี้ก็คงจะหมดสิ้นไปตามๆ กันนั่นแหละ
แล้วเมื่อไรล่ะเขาถึงจะเบื่อยาหยี? เมื่อไรกันเขาถึงจะไม่รู้สึกหัวใจเต้นแรงยามที่อยู่ใกล้ๆ เจ้าหล่อน แล้วเมื่อไรกันหล่อนถึงจะกลายเป็นอากาศธาตุสำหรับเขานะ แม้จะร้องถามตัวเองมากมายเท่าไร แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็คือความเงียบ เงียบจนน่าตื่นตกใจยิ่งนัก
คอร์เนลถอนใจออกมาแรงๆ พร้อมกับหมุนตัวกลับเข้ามาภายในห้องทำงาน ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันที่ประตูไม้สักแกะสลักบานใหญ่เปิดออก ร่างของสตรีที่ตัวเองกำลังคิดถึงอยู่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาช้าๆ ราวกับเป็นภาพในความฝัน
แต่ไม่จริงหรอก เขาจะฝันไปได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้มันยังเป็นตอนกลางวันอยู่เลย แม้จะไม่เชื่อว่าเป็นความฝันแต่ชายหนุ่มก็ยังหลับตาแล้วลืมขึ้นมาใหม่ช้าๆ และคราวนี้เขาก็ได้รู้ว่าภาพของหญิงสาวตรงหน้านั้นเป็นของจริง
“เอ่อ...ฉัน...”
หญิงสาวแทบล้มลงไปกองกับพื้นเมื่อเห็นสายตาคมกริบของพ่อเทพบุตรสุดหล่อจ้องมองมายังร่างของตัวเอง หล่อนลนลานหันไปปิดประตูห้องด้วยมือไม้ที่สั่นเทา ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับมัจจุราชที่หล่อบาดใจอีกครั้ง
“ฉัน...มาหาคุณ”
คอร์เนลหรี่ตาแคบมองผู้หญิงที่ทำใจกล้าเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของตัวเองนิ่งนาน เขาพยายามสร้างกำแพงป้องกันหัวใจของตัวเองเอาไว้สุดกำลัง แต่ดูเหมือนว่ามันจะพังครืนลงมาไม่เป็นท่าเพียงแค่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายสาวเท่านั้น
‘ให้ตายเถอะ นี่เขาจะไม่สามารถต้านทานเสน่ห์ของแม่สาวน้อยแสนสวยคนนี้ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียวหรือไง’ คนตัวโตสบถในใจด้วยความชิงชังตัวเอง
“แต่ผมไม่ได้เรียกหาไม่ใช่หรือ”
หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาในเฉียบพลัน ทั้งมือทั้งปากสั่นระริก
“ฉัน...ฉันมาเอง และหวังว่าคุณ...คงไม่ไล่ฉันกลับไปหรอกนะ”
ทั้งๆ ที่คิดถึงสาวน้อยตรงหน้าใจจะขาด อยากจะดึงเข้ามาจูบ เข้ามากอด และฟัดให้หายคลุ้มคลั่ง แต่ด้วยศักดิ์ศรีทำให้คอร์เนลเลือกที่จะยืนนิ่งเฉยอยู่กับที่ และซ่อนความรู้สึกมากมายเอาไว้ภายใต้สายตาเลือดเย็นของตนเอง
“จุดประสงค์ล่ะ? คุณมาหาผมเพื่ออะไร เพราะหากสมองของคุณไม่ได้เลอะเลือนละก็ เมื่อคืนคุณพึ่งบอกว่าเกลียดผมมากไม่ใช่หรือ เกลียดผมยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน” เขาเน้นคำว่าเกลียดหนักๆ เพื่อย้ำเตือนคนฟังที่หน้าซีดเผือดตรงหน้า
“คุณโกรธมากหรือคะ”
คอร์เนลส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน
“ก็นิดหน่อย เพราะปกติไม่เคยมีใครบอกว่าเกลียดผมต่อหน้าเลยสักคน แต่คุณบอกมันใส่หน้าผมถึงสามครั้ง”
“หากคุณจะรู้สึกดีขึ้น ฉันขอโทษ...”
หญิงสาวเอ่ยขอโทษออกไป แต่คนฟังอย่างคอร์เนลกลับไม่ซาบซึ้งเลยแม้แต่นิดเดียว เขาหรี่ตาแคบ จ้องหน้าเขม็ง
“บอกมาดีกว่าว่าที่มาหาผมถึงห้องทำงานนี่เพราะอะไร? กำลังจะต่อรองอะไรกับผมอย่างนั้นหรือ”
“ฉัน...คือว่า...”
สิ่งที่ต้องการพูดถูกกลืนหายเข้าไปในลำคออย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสายตาเหยียดหยามแกมรู้ทันของคอร์เนลจ้องมองมา เขาเชือดหล่อนด้วยสายตาจนหัวใจเลือดทะลักอีกแล้ว
“จะเอาเนื้อตัวมาล่อเพื่อแลกกับอิสรภาพของพ่อสินะ” คอร์เนลลองเดาออกไป และมันก็แม่นดั่งกับตาเห็นเพราะแม่สาวน้อยตรงหน้าพยักหน้ารับหงึกๆ ทันที
‘ให้ตายเถอะ นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เจ้าหล่อนมาหาเขาใช่ไหม?’
ชายหนุ่มคิดด้วยความเดือดดาล โทสะแล่นฉิ่วอยู่ในกระแสเลือด ไม่ชอบใจตัวเองเลยที่รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านยามที่รู้ว่ายาหยีมาหาตัวเองเพียงเพราะต้องการช่วยบิดาเท่านั้น หล่อนควรจะมาหาเขาด้วยหัวใจสิ! มาด้วยหัวใจด้วยหรือ? นี่เขากำลังหวังอะไรจากแม่เด็กสาวข้างถนนคนนี้กันแน่?
ไม่ๆ ท่องจำเอาไว้สิว่าหล่อนไม่มีดีคู่ควรกับเขาเลยแม้แต่น้อย ชาติตระกูลก็ต่ำต้อย ฐานะก็ยากจน แถมหน้าตาก็ไม่ได้สะสวยเหมือนกับบรรดานางแบบดาราที่เขาเคยควงด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว จะมีดีอยู่หน่อยก็แค่ความไร้เดียงสาและพรหมจรรย์ที่มอบให้กับเขาเท่านั้นเอง
พรหมจารีหรือ ใช่สินะ ก็เพราะมันนี่แหละที่ทำให้เขาคลุ้มคลั่งเป็นบ้าเป็นหลังอยู่แบบนี้ ติดอกติดใจและโหยหาทุกลมหายใจ แค่เห็นหน้างามๆ เรือนร่างอรชรของหล่อนเท่านั้น กายหนุ่มก็ร้อนราวกับถูกสุมด้วยไฟเสียแล้ว รุ่มร้อนเดือดพล่านไปทั้งตัวเจียนคลั่ง
คอร์เนลขบกรามแน่นจนเนื้อข้างแก้มกระตุกเป็นริ้ว โทสะแรงกล้าฉายชัดในดวงตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีนั้นมหาศาล เขาต้องท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจว่ายาหยีเป็นเพียงแค่ผู้หญิงแพศยาเท่านั้น และที่หล่อนกลับมาหาอีกครั้งหลังจากพ่นคำว่าเกลียดใส่หน้าเขาเมื่อคืนก็เพราะว่าหล่อนต้องการช่วยเหลือบิดาของตัวเองเท่านั้น
หล่อนไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างมันคือเกม มันคือการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และเขาก็ต้องบังคับให้หัวใจตัวเองเข้มแข็งพอที่จะรับมือกับเกมนรกที่มีร่างสวยๆ ของเจ้าหล่อนเป็นเดิมพันนี้ให้จงได้
“ฉัน...”
“คงคิดว่าเนื้อตัวของคุณมีค่าดั่งทองสินะ” น้ำเสียงเหยียดหยันที่เล็ดลอดออกมาจากปากของผู้ชายที่ยืนประสานสายตากับหล่อนตรงหน้านั้นช่างไม่ต่างจากมีดแหลมที่กะซวกลงมากลางดวงใจ หล่อนเจ็บจนแทบจะขาดใจตาย
“แต่ว่าคุณเคย...รับปากว่าจะไม่ทำอะไรพ่อของฉัน”
คอร์เนลแค่นยิ้มหยัน
“ผมก็ไม่ได้ทำอะไรไอ้หมอนั่นนี่ ก็แค่ต้องการของของผมคืนเท่านั้น แต่เพราะว่ามันไม่ยอมเปิดปากน่ะสิผมถึงต้องขังมันเอาไว้” ดวงตาสีเขียวเข้มจัดเมื่อสบลงมาตรงๆ กับสายตาของหล่อน
“พ่ออาจจะไม่รู้เรื่องเพชรนั้นก็ได้ บางที...”
คราวนี้มือใหญ่ของคอร์เนลวางลงบนไหล่บอบบางของหล่อนหนักๆ รอยยิ้มเชือดเฉือนถูกส่งมอบมาให้หล่อนตลอดเวลาที่เผชิญหน้ากัน หัวใจสาวสั่นไหว ทั้งหวาดกลัวและหวั่นเกรง เพราะคอร์เนลวันนี้ดูเหี้ยมโหดกว่าทุกวันที่หล่อนเคยเห็นนัก
“กล้องวงจรปิดบันทึกภาพระยำของพ่อคุณเอาไว้ได้ และคุณคงไม่คิดหรอกนะว่าจะมีคนที่หน้าตาเหมือนพ่อของคุณราวกับฝาแฝดเข้าไปขโมยเพชรของผมไป” เขาปล่อยมือออกจากไหล่ของหล่อน และถอยหลังออกห่างด้วยท่าทางสุดแสนรังเกียจ ยาหยีทั้งเจ็บช้ำ ทั้งเจ็บปวด สมองสับสนคิดหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ
นั่นก็พ่อบังเกิดเกล้า นี่ก็ชายที่ตัวเองตกหลุมรัก แล้วหล่อนจะทำยังไงดีนะ จะทำเพื่อใครดี? ถามตัวเองออกไป แล้วคำตอบที่ได้ก็คือ...
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะต้องช้ำใจมากแค่ไหน และไม่ว่าจะต้องถูกคอร์เนลมองต่ำต้อยยังไง หล่อนก็ควรจะตอบแทนบุญคุณบิดาก่อน ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ท่านหลุดพ้นจากการจองจำจากอุ้งมือของคอร์เนล
“ไปให้พ้นหน้าผมซะ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ไปอีกเลย”
คนตัวโตหันหลังหนีเอาดื้อๆ หญิงสาวมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ที่ตัวเองเคยลูบไล้ด้วยความโหยหา ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ และพูดในสิ่งที่ผู้หญิงดีๆ ไม่ควรจะพูดมันออกไป
“ฉัน...อยากให้คุณลองพิจารณาเงื่อนไขของฉัน”
คอร์เนลยังยืนนิ่งราวกับไม่ได้ยินคำพูดของหล่อน ดังนั้นยาหยีจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปหยุดตรงหน้าของเขา จ้องมองใบหน้าหล่อเหลานิ่ง ก่อนจะพูดข้อเสนอของตัวเองออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ฉันจะนอนกับคุณ...”
ความอับอายที่เกิดจากสายตาคมกริบที่จ้องมองมานั้นทำให้หญิงสาวไม่อาจจะพูดได้จบประโยคในรวดเดียวได้ หล่อนต้องหยุดเรียกความกล้าอยู่หลายชั่วอึดใจกว่าจะสามารถพ่นคำพูดน่าละอายออกมาได้อีก
“จะนอนกับคุณ...ทุกที่ ทุกเวลา และทุกครั้งที่คุณต้องการ”
และในที่สุดหล่อนก็สามารถพูดมันจนจบประโยคได้ แต่ทำไมนะ ทำไมคอร์เนลถึงยังมีสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึกเช่นเดิมนะ นี่เขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยใช่ไหม อย่างนั้นไอ้ท่าทางถูกอกถูกใจที่เขาแสดงออกมายามที่ได้ครอบครองหล่อน มันก็เป็นการโกหกทั้งเพน่ะสิ
ยาหยีกัดปากแน่น พยายามซ่อนน้ำตาแห่งความอดสูเอาไว้สุดกำลัง ขณะเงยหน้าปั้นยิ้มให้กับคอร์เนลราวกับว่าสิ่งที่ตัวเองได้พูดออกไปนั้นเป็นแค่การตกลงซื้อขายผักปลากันธรรมดา
“เพื่อแลกกับอิสรภาพของพ่อฉัน...”
“แล้วถ้าผมไม่ตกลงล่ะ”
ในที่สุดเขาก็พูดออกมาจนได้ ยาหยีก้มหน้าซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้จนมิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดออกไปเสียงแผ่วเบา
“ฉันจะให้คุณดูสินค้าก่อนก็ได้ แล้วค่อยตัดสินใจ”
มือบางที่สั่นระริกไม่แพ้กับกลีบปากสีกุหลาบของเจ้าหล่อนยกขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนทีละเม็ด เนินอกขาวอวบที่เขาเคยฟอนเฟ้นด้วยอุ้งมือและดูดดื่มด้วยริมฝีปากค่อยๆ เปิดเผยต่อสายตาทีละน้อย และเมื่อกระดุมทุกเม็ดถูกแกะจนหมด สาบเสื้อก็ถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง เต้าอวบอิ่มที่มีบราเซียร์สีขาวแบบโบราณก็เด่นชัดขึ้นตรงหน้า คอร์เนลปากแห้ง ลำคอแห้งผาก เลือดหนุ่มร้อนฉ่าเดือดพล่านอย่างรุนแรง ขีดความต้องการพุ่งสูงจนแทบจะควบคุมเอาไว้ไม่ได้
“มันไม่น่าสนใจนักหรอก ก็ผมเห็นคุณมาทั้งตัวแล้ว”
กัดฟันพูดออกไป ทั้งๆ ที่ร่างกายแทบจะลุกเป็นไฟเพราะความต้องการอยากครอบครองแม่สาวน้อยที่กำลังเอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อปลดตะขอบราเซียร์อยู่แล้ว และก็เหมือนกับลมหายใจถูกปีศาจร้ายจากขุมนรกสูบไปจนแห้งเหือด เมื่อสายตาของเขาได้รับภาพความเต่งตึงของเต้างามที่ดีดผึงออกมาจากบราเซียร์ตัวน้อยที่ตอนนี้ร่วงหล่นลงไปกองกับพื้นชัดๆ เต็มๆ ตา ขาวอวบอิ่ม แถมปลายถันสีกุหลาบนั้นยังชูชันท้าทายปากและลิ้นเสียเหลือเกิน
ยาหยีสวยงาม และเขาก็ไม่เคยหยุดคลั่งไคล้ในตัวของหล่อนได้เลยแม้แต่นิดเดียว ให้ตายเถอะ เขากำลังจะทนไม่ได้อยู่แล้วนะ หากหล่อนถอดอีกชิ้น แค่อีกชิ้นเดียว...เขา...เขาจะต้องจัดการหล่อนบนพื้นพรมกลางห้องทำงานอย่างแน่นอน
ไม่ได้...เขาจะไม่มีวันยุ่งเกี่ยวกับยาหยีอีก หล่อนเป็นตัวหายนะสำหรับเขา ดังนั้นการเดินหนี การผลักไสหล่อนให้ออกไปจากเส้นทางชีวิต จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาควรจะทำให้ตอนนี้
คอร์เนลกัดฟันเรียกความเข้มแข็งที่ยังพอจะมีเหลืออยู่ออกมาใช้จนหมด ขณะบังคับตัวเองให้แสยะยิ้มเหยียดหยันออกไป
“ผมไม่สนใจสินค้าของคุณอีกแล้ว”
คอร์เนลไม่มีทางรู้เลยว่าคำพูดของตัวเองได้สร้างรอยแผลในหัวใจของยาหยีไว้มากแค่ไหน ยิ่งเขากล้าถอยหลังหนีคล้ายกับรังเกียจ หล่อนก็ยิ่งเจ็บทรมาน แต่หล่อนจะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้หรอก ต่อให้ต้องตายเพราะความเจ็บปวด หล่อนก็ต้องช่วยพ่อให้ได้
“ฉันยังถอดไม่หมด...”
มือบางเลื่อนไปจับที่ตะขอกางเกงยีนขายาวของตัวเอง ปลดตะขอ และรูดซิปลงจนหมด ดวงตากลมโตจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรของคอร์เนลไม่วางตา ขณะค่อยๆ เลื่อนผ้าให้ผ่านสะโพกกลมกลึงของตัวเองลงมาที่หน้าขา
“ระยำ! จะเป็นอีตัวไปถึงไหนไม่ทราบ”
คอร์เนลกัดฟันหันหน้าหนีจากภาพยั่วยวนตรงหน้าทันที ให้ตายเถอะ เขาจะทนไม่ได้อยู่แล้ว แทบทนไม่ได้เลยแค่ได้เห็นความอ้อนแอ้นอรชรของยาหยีอีกครั้ง เจ้าหล่อนดูเย้ายวนสวยงามมีความเป็นอิสตรีเพศไปทั้งเนื้อทั้งตัว
แค่สามครั้งมันไม่เพียงพอสำหรับเขาเลยให้ตายสิ
“ใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปจากห้องทำงานของผมซะ!”
“ฉันไปไม่ได้...ฉัน...”
“ไม่ต้องกลัวว่าพ่อของคุณจะตายหรอกน่า ผมรับปากแล้วนี่ว่าจะไม่ฆ่าเขา รอแค่ให้เขาบอกความจริงเกี่ยวกับเพชรของผมเท่านั้นแหละ”
คอร์เนลพูดเสียงต่ำลึก ขณะสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ เพื่อดับแรงปรารถนาที่มันอัดแน่นอยู่ที่ช่องท้องเอาไว้สุดกำลัง ยาหยีเป็นตัวหายนะสำหรับเขาจริงๆ เลย ก็ดูสิ เขาแทบจะฟาดหล่อนบนพื้นพรมอยู่รอมร่อแล้ว
“แต่พ่อจะต้องถูกคุณกักขัง...”
“นั่นเป็นโทษที่เขาต้องรับ เขาเป็นโจร และต่อให้คุณนอนอ้าขาให้ผมทั้งคืน มันก็เปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ไม่ได้หรอกยาหยี กลับไปซะ กลับไปอยู่ในที่ของคุณ และอย่ามาให้ผมเห็นหน้าอีก” น้ำเสียงของเขาช่างห่างเหินจนยาหยีน้ำตาซึม ทั้งเจ็บทั้งอายขณะพยายามดึงกางเกงยีนที่กองอยู่บริเวณต้นขาให้ผ่านสะโพกกลมกลึงขึ้นมาอยู่ที่เดิม แต่มันทำได้ยากเย็นนัก
“แต่ฉัน...อยากขอร้องคุณ...”
วิงวอนออกไปในขณะพยายามติดตะขอกางเกงยีนสีซีดของตัวเองอย่างขะมักเขม้น และเมื่อทำสำเร็จหล่อนก็ก้มลงหยิบบราเซียร์สีขาวที่กองอยู่ตรงปลายเท้าขึ้นมาสวมใส่ทันที ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่คอร์เนลหันกลับมาเผชิญหน้าอีกครั้ง
“ลองขอมาสิ”
ท่าทางของคอร์เนลดูเลือดเย็นนักยามที่เอื้อนเอ่ยออกมา หล่อนคงน่ารังเกียจเหลือเกินในสายตาของผู้ชายคนนี้
“ฉันอยากพบพ่อ...อยากคุยกับท่าน”
“ผมไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์” คอร์เนลคำรามตัดบทอย่างโหดเหี้ยม พร้อมๆ กับหันหน้าหนีอีกครั้ง แต่ยาหยีก็เดินอ้อมมาดักหน้าเอาไว้เสียก่อน ภาพเรือนร่างอรชรขาวผ่องเนียนตาทำให้ชายหนุ่มแทบหมดการควบคุมตัวเอง
“แต่ถ้าหากคุณอยากรู้ว่าเพชรนั้นอยู่ที่ไหน คุณก็ต้องให้ฉันพบท่าน ท่านจะต้องบอกฉันแน่”
ชายหนุ่มแค่นยิ้ม กัดฟันละสายตาจากเต้างามๆ ขึ้นมามองกลีบปากอิ่มของเจ้าหล่อนแทน นึกว่ามันจะทำให้ตัวเองคลายความร้อนรุ่มลงได้บ้าง แต่เปล่าเลย ร่างกายของเขากลับยิ่งร้อนเป็นไฟเพียงแค่สมองนึกภาพยามที่เขาขยี้ปากหล่อนด้วยริมฝีปากของตัวเองเท่านั้น
‘ให้ตายเถอะ เขาทนไม่ไหวแล้วนะ!’
“ใส่เสื้อซะ!”
“แต่คุณต้อง...”
หญิงสาวกำลังจะบอกว่าให้คอร์เนลยอมรับปากจะให้ตัวเองพบกับบิดาซะก่อน แต่ก็ไม่สามารถพูดได้จบประโยค เพราะเสียงคำรามเหี้ยมโหดดังขึ้นซะก่อน
“บอกให้ใส่เสื้อ หูแตกหรือไง!”
และก็เป็นคอร์เนลนั่นแหละที่เป็นคนจับเสื้อเชิ้ตขึ้นมาใส่ให้กับยาหยีเสียเอง เขาจับมือของหล่อนใส่เข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นก็เริ่มติดกระดุม ลมหายใจของฟืดฟาดขาดช่วงจนน่าตื่นตกใจ แล้วในที่สุดเขาก็ติดกระดุมให้หล่อนจนครบทุกเม็ด
“ไปให้พ้นหน้าผมซะ!”
นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่หลุดออกมาจากปากของคอร์เนลก่อนที่เขาจะเดินหายออกไปจากห้องทำงานใหญ่ หญิงสาวทรุดกายลงกับพื้นพร้อมๆ กับบานประตูที่ปิดสนิทลง น้ำตาที่พยายามซ่อนเอาไว้ทะลักทลายออกมาราวกับเขื่อนที่ทำนบแตก
“คนใจร้าย...คนใจดำ...ฉันรักคุณนะถึงได้มาที่นี่” คร่ำครวญออกมาด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น ร่างอรชรสั่นเทาระริกไหวด้วยความเสียใจ
สายตาเย็นชา ท่าทางห่างเหิน แถมยังคำพูดโหดร้ายที่เขาพ่นมันใส่หน้าหล่อนเมื่อครู่นี้อีก มันแสดงให้หล่อนเห็นได้ชัดเจนเลยว่า เขาเกลียดและขยะแขยงผู้หญิงชั้นต่ำแบบหล่อนมากแค่ไหน
คอร์เนลเกลียดหล่อน แต่ทำไมนะ ทำไมหล่อนถึงได้เกลียดเขาไม่ลงสักที ยิ่งพยายามเลิกรักเท่าไร เจ้าความเจ็บปวดก็ยิ่งถาโถมเข้าใส่ราวกับพายุบ้าคลั่งเท่านั้น จนในที่สุดหล่อนก็ต้องเลิกพยายามไปเอง และก็ปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่กับความรักข้างเดียวต่อไปเพียงลำพัง
มันเจ็บปวด แต่หล่อนไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นอกจากรักคอร์เนล...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จบตอนค่า
ความคิดเห็น