คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : พบและจดจำ
“เอาบัตรประชาชนมารึยัง? ยาแก้แพ้เอามาแล้วใช่ไหม? ชุดชั้นในเอามากี่ชุด? แล้วที่ชาร์ตแบทไอโฟนเอาด้วยแล้วใช่ไหม? ขาดเหลืออะไรก็ให้รีบโทรหาฉันเลยนะเจ๊ แล้ว...”
Final call Final call for flight JK 366 from chaing mai to bangkok
เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องบินดังขัดขึ้นก่อนที่น้องสาวฉันจะพูดจบ
“นี่ยัยมิลาน เลิกบ่นสักทีได้ไหม เจ๊ลินของแกมัน อายุ 21 แล้วนะไม่ใช่เด็กสามขวบ บ่นมากน่ารำคาญจริง" เสียงพี่สาวฉันบ่นก่อนที่เธอจะก้มหน้ากลับไปกดไอโฟนของเธอต่อ ฉันที่ยืนเงียบมานานก็คงจะต้องบอกลาพี่สาวและน้องสาวของฉันเพื่อไปขึ้นเครื่อง ก่อนที่จะต้องตกเครื่องเพราะฟังสองคนนี้ทะเลาะกัน
“งั้นฉันไปก่อนนะเจ๊ลัน มีอะไรก็โทรมานะยัยลาน ไปล่ะ" ฉันรีบพูด
“รีบไปเถอะน่า เดี๋ยวมีบางคนแถวนี้ร้องไห้" :Pเจ๊ลันพูดแล้วหันหน้าไปมองคนที่ถูกกล่าวถึง
“ฉันไม่ร้องไห้หรอก เจ๊ลินไปเลย ไม่ต้องห่วง" T^T น้องสาวฉันน้ำตาเต็มหน้าเลย แต่ฉันก็คงต้องไปแล้วแหละ ฉันจึงเดินออกมาเงียบเพื่อไปขึ้นเครื่อง
“เลขที่นั่งของคุณเบอร์อะไรคะ" แอร์โอสเตทสาวสวยถามฉัน
“อ้อ 11a ค่ะ" แอร์โฮสเตทพาฉันมาที่นั่งและยิ้มให้ฉัน:D ฉันได้แต่ทำหน้าตึงๆใส่เธอไป จริงๆมันเป็นหน้าปกติของฉัน บางคนอาจจะไม่ชินและไม่ชอบมันเอามากๆ แต่ใครแคร์กัน
หลังจากที่ได้ที่นั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันก็หยิบไอโฟนมาเปิดเพลงฟังสบายๆ ระหว่างนี้ฉันก็ขอแนะนำตัวเลยก็แล้วกัน ฉันชื่อมิลิน มิลินลนา อภิธนากุล อายุยี่สิบเอ็ดปี เรียนอยู่ปี 4 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชื่อดังในเชียงใหม่ และตอนนี้ฉันกำลังจะไปกรุงเทพเพื่อฝึกงาน 3 เดือน ฉันเป็นคนร่าเริงนะ แต่เพื่อนๆมักบอกว่าฉันชอบทำหน้าตึงๆซึ่งมันดูดุมาก แต่ก็ช่างมันใครแคร์กัน และที่สำคัญฉันยังโสด และโสดมานาแล้วด้วย อยากมีแฟนนะ แต่คนที่จะมาเป้นแฟนฉันจะต้องฉลาดกว่าฉัน รวยกว่าฉัน มีรถขับ การศึกษาดี ชาติตระกูลดี และไม่อ่อนแอ ซึ่งฉันก้ยังหาไม่เจอเลย ทำไมมันหายากจังนะ เฮ้อ
ครอก ฟี้ ครอก ฟี้
เสียงใครมาหลับแถวนั้เนี่ย พอฉันหันไปมองคนข้างๆแล้วก็ต้องตกใจ O-O ผู้ชายคนนี้มานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ดูผิวหมอนี้สิ ขาวพอๆกับฉันเลย จมูกโด่ง ปากชมพู ผมดำคิ้วดำ ทุกอย่างมันดูเข้ากันมากเลย แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งตัวเลยแฮะ แสดงว่ารวยอยู่ แต่เฟอร์เฟคขนาดนี้ คงมีแฟนแล้วแหละ ฉันไม่ชอบคนที่มีเจ้าของแล้ว เอ๊ะจะว่าไปหมอนี่หน้าเหมือนดาราเลยอ่ะ ดาราที่ชื่อ...คิดไม่ออกอ่ะ
“นี่เธอ จ้องหน้าฉันทำไม?”
“อะไร ฉัน...ฉันเปล่า" ฉันโกหกไป อย่าหวังจะจับผิดฉันเลย คนอย่างมิลินยาก
“หึ" หมอนั่นพูดแล้วก็บ่นอะไรสักอย่าง ซึ่งฉันไม่สนใจจะฟังเพราะกำลังตั้งอกตั้งใจฟังเพลงในไอโฟนต่อ แต่สักพักฉันรู้สึกว่ากำลังมีคนจ้องฉันอยู่ และพอฉันหันไปก็พบว่าหมอนั่นจ้องฉันอยู่
“นี่เธอ จ้องหน้าฉันทำไม?” ฉันจึงถามกลับประโยคเดียวกับที่เขาถามฉัน ฉันละเบื่อหน้ามึนๆของเขา เก็บอารมณ์เก่งนักใช่ไหมแล้วเดี๋ยวก็รู้ เล่นกับใครไม่เล่นกับมิลิน เขาไม่ตอบฉันแล้วก็จ้องฉันต่อไป
ผ่านไป 20 นาทีเครื่องบินขึ้นมาถึงระดับที่คงที่แล้ว ฉันเลยจะลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่ขาของคนข้างๆนะสิมันขว้างทางออกของฉันอยู่ ฉันเลยสะกิดเบาๆที่แขน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เงียบไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น ฉันเลยลองดึงผมเขาดู แต่ผลปรากฎว่าเหมือนเดิม ฉันก็เลยต้องนั่งที่เดิมและฟังเพลงต่อไป
แต่อยู่ๆก็มีของหนักๆมากดที่หัวไหล่ฉันและพอหันไปก็พบกับหัว หัวของหมอนั่นมันมาอยู่ที่ไหล่ฉันแล้ว กรี๊ดดดดดด หนักจริง แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก ยอมมมมม เฮ้อ
"ขณะนี้เราได้นำท่านมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ โอกาสหน้าใช้บริการสายการบินเราใหม่นะคะ"
ถึงสักทีไหล่ฉันจะหลุดอยู่แล้ว ส่วนตัวต้นเหตุนะเหรอไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ตอนนี้ตื่นได้สติแล้วก็ทำแต่หน้ามึนๆ ฉันละเซ็งจริงๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าเอาหัวมาพิงไหล่คนอื่น ขออย่าให้เจอผู้ชายเห็นแก่ตัวและขี้เซาแบบนี้เลย ฉันทำหน้าบึงและกระแทกเท้าใส่หมอนั่น แล้วรีบเดินหนีเลย แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะเดินออกจากเครื่องผู้ชายคนนั้นก็เรียกฉัน
“เดี๋ยวเธอ คือเมื่อกี้.....เมื่อกี้ฉัน....” หมอนั่นพูดกับฉันด้วยสีหน้าตึงๆ จะเก๊กไปไหนนะ
“มีอะไรก็พูดมา ฉันรีบ" แต่ยังไม่ทันที่หมอนั่นจะพูดอะไรต่อ ความรู้สึกของฉันก็ดับวูบไป สิบวินาทีและพอฉันลืมตาและได้สติ หน้าหมอนั่นก็อยู่ใกล้ฉันเพียงปลายจมูก พอฉันมองเหตุการณ์รอบๆแล้วก็เข้าใจว่าหมอนั่นช่วยฉันจากการโดนกระเป๋าตกใส่หัว แต่ตอนนี้ฉันหนักมาก
“นี่ คุณเมื่อไหร่จะลุกสักที หนัก" พอฉันพูดจบหมอนั่นก็เหมือนจะได้สติและรีบลุกขึ้นยืน โดยไม่ลืมที่จะยื่นมือมาให้ฉัน เพื่อให้ฉันยืน แต่คนอย่างฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้น ฉันลุกเองโดยไม่แคร์ความหน้าแตกของหมอนั่น แต่หมอนั่นก็ยังเก๊กหน้านิ่งไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น
“คุณโอเคนะ?” หมอนั่นถามฉันหน้านิ่งๆ
“อื้ม โอเค ขอบคุณนะ" ฉันพูดอย่างรวดเร็ว และไม่มองหน้ามองนั่น
“ไม่เป็นไรหรอก" หมอนั่นพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่ฉันเชื่อว่าน้อยคนนักจะเห็นรอยยิ้มนี้ รอยยิ้มนั้นมันช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน ฉันรู้สึกเลยว่าหัวใจฉันเต้นเร็วมาก ไม่ชอบเลยที่ตัวเองเป็นแบบนี้ อย่าคิดมากสิเขาก็ทำแบบนี้กับทุกคน ผู้ชายก็คือผู้ชาย
( special talk's peach)
ผมชื่อพิชญ์ครับ ชื่อจริง เพียงพิชญ์ วัชรตระกูล อายุ 26 ปี ตอนนี้เปิดบริษัทออกแบบกับเพื่อนมาได้เกือบสองปีละครับ ผมชอบเล่นกีฬาเกือบทุกอย่าง ผมไม่ชอบสุงสิงกับใครจนบางคนคิดว่าผมเป็นเกย์โดยเฉพาะอากงผม ตอนนี้อากงจะจับผมหมั้นกับลูกเพื่อนอากง ซึ่งผมตกใจมากหนีกลับมากรุงเทพเกือบไม่ทัน ลืมเล่าไปครับว่าอากงผมท่านอยู่เชียงใหม่ครับ ท่านชอบชีวิตสงบๆและชอบธรรมชาติ แต่การไปเชียงใหม่คราวนี้ นอกจากจะตกใจกับเรื่องหมั้นแล้วผมได้พบกับสิ่งที่ไม่คาดฝันครับ ขากลับผมนั่งติดกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมว่าเธอไม่ได้หน้าตาสวยหรือหุ่นดีเลยแต่ผมว่าเธอมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกเลยครับ ตัวเธอเล็กๆหน้าขวๆ เวลาเธอทำหน้าเชิดๆใส่ผมมันดูน่ารักมากเลยครับ ผมต้องรู้จักเธอให้ได้เลย แต่ตอนนี้แค่ชื่อเธอผมยังไม่รู้เลย ผมจะทำยังไงดี?
“เห้ย ไอ่พิชญ์กลับมาละหรอวะ? ไปเชียงใหม่เป็นไงบ้าง?” ไอ่เรย์เพื่อนร่วมลุ้นเปิดบริษัทกับผมเองครับ
“ก็ดีหว่ะ" -_- ผมตอบไปทั้งที่ใจเซ็งมากครับ ทั้งเรื่องหมั้น เรื่องผู้หญิงคนนั้น
“ดีหรอวะ ดูหน้าแกดิ่ อย่างกับโดนบังคับให้แต่งงาน ฮ่าฮ่า"
“เออๆ ช่างกูเถอะ ว่าแต่มีไรวะ?”
“คืองานเข้าหว่ะ งานของคุณทอมสันที่เราดูแลกันอยู่มันมีปัญหาเรื่องกฎหมายต่างประเทศหว่ะ เราคงต้องหาที่ปรึกษาทางกฎหมายอ่ะ เพราะทั้งกูและมึงไม่มีใครมีความรู้เรื่องนี้เลยอ่ะ" ไอ่เรย์พูดเสร็จมันก็ทำตาเป็นประกาย มันต้องคิดจะใช้ผมทำอะไรสักอย่างเลย
“แล้ว?” ผมแกล้งถามมันไป
“ตอนนี้แกก็กลับมาแล้ว ช่วยไปติดต่อให้หน่อยดิ่"
“ทำไมต้องกู มึงก็ไปเองสิ" พอผมพูดเสร็จไอ่เรย์ก็ทำหน้าเซ็งทันที่เลย
“มึงก็ว่างอยู่หนิ"
“ไม่เอาไม่ไป เหนื่อย" ผมเถียงมันกลับ
“งั้นไปด้วยกัน แฟร์ที่สุดแล้ว"
“ไปก็ไป แต่แกขับรถนะ ฉันง่วง" เหนื่อยที่จะเถียงกับมันละ ยังไงมันก้ต้องลากผมไปให้ได้อยู่แล้ว
ความคิดเห็น