ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : MF :: Full stop [6] [NoteApp]
MF :: Full stop [6]
....
ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดตาถูกกั้นออกเป็นส่วนสัดด้วยม่านสีฟ้าขุ่น เสียงร้องโอดครวญระงมก้องบริเวณ นักเรียนแพทย์ในชุดสีม่วงตัวยาวเดินขวักไขว่ไปทั่วห้อง บ้างก็นั่งจับครรภ์เฝ้าคุณแม่ที่จวนเจียนจะได้เห็นหน้าลูกตัวเองในอีกไม่กี่ชั่วโมง
เวรห้องคลอดของวอร์ดสูตินารีเวชเป็นหนึ่งในเวรที่ไม่พึงปรารถนาที่สุดของเหล่านักเรียนแพทย์ปี 4 เพราะนอกจากจะต้องฟังน้ำเสียงแห่งความทรมานของบรรดาคุณแม่แล้ว ห้องที่ปิดมิดชิดไร้ซึ่งแสงจากธรรมชาติลอดผ่าน มีเพียงความสว่างจากหลอดนีออนนี่ก็พาลจะทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ง่ายๆ
ฉันเองก็เคยถามพี่แพทย์ประจำบ้านประจำวอร์ดว่าทำไมห้องคลอดถึงไม่มีหน้าต่าง และก็ได้คำตอบที่ทำฉันอึ้งไปหลายวันว่า..
.
.
"ก็การจะคลอดสักทีไม่ใช่ว่าเจ็บครรภ์ปุ๊บจะคลอดได้เลยเสียเมื่อไหร่ บางคนนี่ข้ามคืนแล้วยังไม่ได้เลย.. ว่ากันว่ามันเป็นกลยุทธไม่ให้คุณแม่รู้เวลาน่ะ.. เหมือนพวกเด็กปี 4 แบบนทไง ต้องอยู่ห้องนี้ตั้งแต่ 8โมงเช้ายันเที่ยงคืน ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่ต้องรู้เวลาก็ดีนะ ฮ่าๆๆ"
.
.
ไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด อยากจะเอ่ยปากถามพี่พยาบาลอยู่เหมือนกัน แต่อย่าหาว่านินทาเลยนะ พยาบาลห้องคลอดนี่ โหดสุดแล้ว ยิ่งกว่าพยาบาลห้องผ่าตัดเสียอีก ไม่รู้ว่าท้องผูกหรืออย่างไรถึงได้หน้าบูดกันนัก.. ส่วนเรื่องที่จะให้ไปถามอาจารย์ภาคนี้นี่เลิกคิดไปได้เลย เหตุผลเดียวกับพี่พยาบาล แต่เพิ่มความน่ากลัว เอิ่ม.. ขอใช้คำว่าน่าเกรงขามแทนล่ะกัน.. นั่นแหละ เพิ่มไปอีกสิบเท่าก็ยังไม่รู้ว่าจะน้อยไปรึเปล่า..
อยากให้ทุกคนจินตนาการถึงการถูกขังอยู่ในห้องปิดตายเป็นเวลา 16 ชั่วโมงในหนึ่งวัน โดยที่ไม่สามารถหนีไปเจอแสงอาทิตย์ได้เลย ห้องนี้ไม่มีเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความบันเทิงใดๆ ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีสาวๆน่ารักๆ มีแต่เสียงร้องครวญเพราะความเจ็บปวดที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ และสุ้มเสียงเข้มๆของพยาบาลหน้าดุที่จ้องจะจับผิดเราตลอดเวลา..
คิดว่า.. มันเป็นเวรที่น่าภิรมย์มั้ยคะ?
ใช่.. สำหรับฉัน การอยู่เวรห้องคลอดเป็นอะไรที่สิ้นเปลืองพลังใจอย่างมหาศาล ทุกวินาทีที่ผ่านไปราวกับภาพสโลโมชั่นที่ถูกยืดแล้วยืดอีก.. ทรมานจนอยากตะเบ่งเสียงระบายความอัดอั้นแข่งกับคุณแม่ดูเสียทีเหมือนกัน
แต่เชื่อมั้ย หลังจากนั้นแค่ไม่กี่นาที ความคิดของฉันเกี่ยวกับห้องคลอดก็เปลี่ยนไป ต้องเรียกว่าอะไรนะ.. หลังมือเป็นหน้ามือสินะ..
.
.
"ปากมดลูกเปิดหมดแล้ว! เด็กปี 4 คนไหนทำคลอดเคสนี้ ไปล้างมือแล้วเตรียมเปลี่ยนชุดเร็วๆเลย!!"
.
.
.
"แหม เห่อลูกใหญ่เลย.. ได้ลูกสาวลูกชายวะไอ้นท" เสียงเล็กๆดังขึ้นขณะที่ฉันกำลังยืนยิ้มมองเด็กน้อยน่ารักห่อผ้าปิดร่างอยู่ในเตียงรถเข็นขนาดพอดีตัว
เป็นปกติไปเสียแล้วที่ทารกน้อยที่ผ่านการทำคลอดจากมือของนักเรียนแพทย์จะถูกเรียกเป็นลูกของพวกเรา ก็แน่ล่ะ เราภูมิใจกับเจ้าตัวน้อยที่ลืมตามาดูโลกก็เห็นหน้าเราเป็นคนแรกคนนี้มาก จนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกเลยทีเดียว
เห็นแล้วก็อดคิดถึงแม่ขึ้นมาไม่ได้แฮะ..
"ลูกชาย.." ฉันตอบเบาๆ พลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแชะภาพเจ้าเด็กอ้วนเก็บไว้เป็นที่ระลึก
"เฮ้ย จริงดิ! เค้าบอกว่าทำคลอดครั้งแรกถ้าได้ลูกชายจะได้แต่งงานนะเว้ย! นั่นแน่.. ที่ถอดเขี้ยวเล็บนี่ไม่ใช่เพราะมีพรานสาวผู้สยบเสือนอนคอยอยู่ที่คอนโดทุกคืนนะ! ฮ่าๆๆ"
ฉันระบายยิ้มบางๆโดยไม่ได้ตอบคำถามมุก ยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อยหนึ่งที ก่อนจะส่งรูปผ่านโปรแกรม whatsapp ..
'น่ารักมั้ยแอป? เจ้าหนูนี่พี่ทำคลอดเองเลยนะ :)'
.
.
.
เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ฉันกับเพื่อนนักเรียนแพทย์เวรกลุ่มไม่เล็กไม่ใหญ่ก้าวออกจากลิฟท์มาหยุดยืนอยู่ชั้นล่างสุดของตึกคลอด นับว่าวันนี้เป็นวันแรกหลังจากอยู่เวรของวอร์ดนี้มาถึง 3 ครั้ง ที่ฉันได้ทำคลอดเสียที และมันก็เป็นวันแรกที่เปลี่ยนทัศนคติแย่ๆกับห้องคลอดของฉันไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน
"พี่นท!" น้ำเสียงหวานที่คุ้นหูดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล ฉันรีบหันหาต้นเสียงอย่างอัตโนมัติในทันที
"อ้าว แอปเปิ้ล! ไหนว่ากลับพรุ่งนี้เช้าไง" ฉันก้าวเท้าเร็วๆเข้าไปหาสาวสวยหน้าหวานที่กำลังนั่งยิ้มอวดฟันขาวอยู่บนเก้าอี้ แปลกใจอยู่พอสมควร เพราะปิดเทอมนี้เธอไปค่ายกับเพื่อนที่ต่างจังหวัด บอกว่าจะกลับตอนเช้าวันพรุ่งนี้ ไม่คิดว่าจะเจอกันตอนนี้เสียได้..
แต่ที่แปลกใจนะแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 80 เปอร์เซ็นต์น่ะ.. ดีใจล้วนๆ! ก็ทำไงได้ เธอปิด แต่ฉันไม่ปิดนี่นา ปกติได้เห็นหน้ากันทุกวัน พอไม่เจอกันนานๆแล้วโผล่มาเซอร์ไพร์สแบบนี้ฉันก็ต้องดีใจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
"รีบกลับมาก่อน.. คิดถึงพี่นท.." แอปเปิ้ลโน้มตัวลงมากระซิบเบาๆใกล้ใบหู แต่เล่นเอาแดงไปทั้งใบหน้า..
ฉันคงไม่ต้องบอกแล้วใช่มั้ยว่าคำถามวันนั้นเธอตอบฉันว่าอะไร..
และแน่นอนว่าพระเจ้าไม่ให้เวลาฉันปลื้มปิติกับคำหวานนี้นานนัก เพราะเมื่อเบี่ยงตัวแค่นิดเดียว สายตาของฉันมันก็ปะทะเข้ากับกลุ่มเพื่อนๆร่วมสิบชีวิตที่มองมาทางเราเป็นตาเดียว จากความเขินอายธรรดาเลยเปลี่ยนเป็นอภิมหาเขินอายแทน
อืม.. นั่นแหละ.. เสืออย่างฉันก็เขินเป็นนะ!
"ฮึม ! .. เอ่อ.. นี่ น้องแอปเปิ้ล.. แฟนฉันเอง.." ฉันกระแอมไอเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจหนึ่งที ก่อนจะประกาศสถานะกับสาวข้างกายให้เพื่อนๆผู้แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นซะเต็มประดาได้ยินกันเบาๆ
สิ้นคำว่าแฟน ก็เกิดความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ.. เข้าใจได้ในทันทีว่าที่เงียบกันไปไม่ใช่เพราะไม่รู้จักน้องแอปเปิ้ลนี่หรอก แต่เป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันบอกใครต่อใครว่ามีแฟน.. อย่าเพิ่งงงนะคะ ก็ถึงเมื่อก่อนฉันจะคบสาวเป็นสิบๆคน แต่ไม่มีคนไหนที่ฉันเคยเรียกว่าแฟนสักคน เพราะงั้น ที่ไอ้พวกนี้เงียบไปมันคงกำลังอึ้งและประมวลผลคำว่าแฟนของฉันอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
"ฮิ้วววววว ~" อืม.. อาจจะใช้เวลาบันทึกข้อมูลลงสมองนานไปหน่อย เสียงโห่ร้องแซวกันถึงได้ดีเลย์ไปหลายนาที โชคดีที่ชั้นล่างของตึกเป็นร้านค้าขายอาหารที่เวลานี้ปิดกันไปหมดแล้ว ทำให้เสียงดังนี้ไม่สร้างความรำคาญให้ใครต่อใครมากนัก จะมีก็แต่ความเขินอายที่พุ่งทะยานทะลุขีดจำกัดนี่แหละที่เพิ่มขึ้นมา..
แต่คราวนี้ที่อายน่ะ ไม่ใช่ฉันนะ.. เป็นคุณหนูแอปเปิ้ลคนสวยคนนี้ต่างหาก..
"ไปเถอะแอป กลับคอนโดกันดีกว่า" ฉันกระชับมือแอปเปิ้ลที่กำลังหน้าแดงก่ำเพราะความขวยเขิน ก่อนจะยกมือขึ้นกดโทรศัพท์โทรตามลุงอิน คนขับรถคนสนิท เพราะตอนแรกคิดว่าเธอไม่อยู่กรุงเทพเลยตั้งใจว่าจะนอนที่หอพักในโรงพยาบาล ทำให้ไม่ได้ขับรถออกมาด้วย แต่พอตั้งท่าจะโทรออกก็ถูกเธอหยุดไว้ก่อน
"วันนี้แอปมารถเพื่อน พอดีไปค่ายด้วยกันก็เลยติดรถมาตั้งแต่วันแรก ยัยแนทมันรู้ว่าแอปอยู่กับพี่นท ให้แนทไปส่งก็ได้ค่ะ" แอปเปิ้ลยิ้มหวาน แนะนำตัวเพื่อนสาวหน้าตาดีที่ยืนอยู่ไม่ไกลให้ฉันรู้จัก
สงสัยเมื่อกี้จะมองแต่แอปเปิ้ล เลยไม่ทันจะสังเกตว่าเธอมีเพื่อนมาด้วย.. แล้ว.. ที่หน้าแดงนี่คือเธอเขินแทนแอปที่ฉันบอกใครๆว่าแอปเป็นแฟน หรือว่าเขินอะไรนะ? แต่แหม.. จิตวิญญาณเสือมันบอกฉันว่าหน้าแดงๆกับรอยยิ้มแบบนั้น มันเหมือนเธอจะเขินฉันเสียมากกว่าล่ะมั้งเนี่ย..
เอิ่ม.. แต่ถึงฉันจะมีความสามารถพิเศษ หรือที่เรียกกันว่าเซ้นส์ของเสืออยู่ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยังเป็นเสืออยู่นะ อย่าเพิ่งคิดไปไกลขนาดนั้นสิ..
"อะแฮ่ม! แนท.. พี่นทแฟนฉัน" แอปเปิ้ลพูดพลางดึงฉันเข้าไปประชิดตัว แหม เคยมีคนมาหึงกันตั้งมากมาย เพิ่งรู้สึกดีขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย!
"รู้แล้วน่า.. ฉันก็แค่ปลื้มไม่ได้คิดจะแย่งแฟนเธอหรอกย่ะ! ระวังเถ๊อะ เดี๋ยวเปิดปี 3 ล่ะ ฉันจะเอาป้ายไปติดให้ทั่วมหาลัยเลย คอยดูสิ!" แนทย่นจมูกใส่แอปเปิ้ล ก่อนจะเดินนำไปที่รถ
"อย่าลืมมาติดที่โรงพยาบาลด้วยนะ!" แอปเปิ้ลส่งเสียงไล่หลัง พลางส่งยิ้มทะเล้นหยอกล้อเมื่อเห็นเพื่อนรักหันกลับมามองกันอย่างตื่นตะลึงในปฏิกิริยาโต้ตอบ
"ป้ายอะไรอะแอป.." ฉันเอ่ยถามเธอเบาๆ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มและการส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงว่าไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ก่อนที่เธอจะจูงมือฉันไปนั่งบนรถตามเพื่อนของเธอไปอีกที
.
.
.
"แม่.." ทันทีที่พวกเราก้าวมาถึงล็อบบี้ต้อนรับในชั้นล่างสุดของคอนโด แอปเปิ้ลก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ใบหน้าขาวซีดเผือกลงจนน่ากลัว ริมฝีปากบางขยับส่งเสียงออกมาแผ่วเบา
ผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานตรงหน้ากำลังนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาต้อนรับ กิริยาสง่างามแต่ก็ดูน่าเกรงขามอยู่ในที เธอกดหัวคิ้วลงต่ำพร้อมหรี่ตามองมาอย่างคาดโทษ ข้างกายมีชายในชุดสูทสีดำเข้มที่มองแล้วให้อารมณ์เหมือนเป็นผู้ติดตามอะไรอย่างนั้น
เห็นภาพนี้แล้ว ต่อให้เด็กสามขวบก็คงดูออกว่าเธอคนนี้คงไม่ใช่คนเดินดิน กินข้าวราดแกงตามท้องถนนอย่างเราๆแน่ๆ
เพราะคำสั้นๆที่หลุดออกมาจากปากแอปเปิ้ลเมื่อครู่ทำให้ฉันยกมือไหว้เธออย่างอัตโนมัติ.. แอปเปิ้ลมีรูปหน้าคล้ายแม่เธอมากจริงๆ..
ฉันระบายยิ้มบางๆเพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศ เห็นผู้หญิงตรงหน้าส่งยิ้มน้อยๆตอบรับก็ค่อยรู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย.. เธอไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด.. เพียงแค่.. อาจจะกำลังโกรธคนที่ยืนอยู่ข้างกายของฉันในตอนนี้ และเหมือนมันจะไม่ใช่แค่โกรธธรรมดาเสียด้วยสิ..
"พี่นทขึ้นไปก่อนนะคะ เดี๋ยวแอปตามขึ้นไป.." แอปเปิ้ลคลายมือออกจากกัน พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปหาแม่ของเธอ ฉันยืนนิ่งอยู่สักพัก ก่อนที่เธอจะหันกลับมาส่งยิ้มอ่อนๆเป็นเชิงว่าไม่ต้องเป็นห่วง
แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ.. ฉันก็ยังรู้สึกว่าใจมันหวิวๆพิกล.. ตั้งแต่วันที่เธอขอเข้ามาอยู่ด้วยกัน ตั้งแต่วันนั้นที่ฉันบังเอิญได้ยินเธอทะเลาะกับแม่ทางโทรศัพท์ ฉันกับเธอก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีกเลย.. ถึงลึกๆอยากจะถาม.. แต่ฉันก็อยากห้เธอพูดมันออกมาเองเสียมากกว่า และแน่นอนว่าถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่าเธอกับแม่ทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่มันคงเป็นเรื่องสำคัญอยู่ไม่น้อยเธอถึงได้ย้ายหนีออกจากบ้านมาอยู่กับฉันได้ตั้งหลายเดือนแบบนี้..
ถึงจะรู้ว่าสักวันนึง เธอก็ควรจะต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวของเธอ.. แต่ฉันยังไม่พร้อม.. ลางสังหรณ์มันบอกว่าถ้าฉันปล่อยเธอไป เธอจะไม่ใช่แค่หายไปจากคอนโด แต่เธอจะหายไปจากชีวิตของฉันด้วย..
และนั่นเป็นสิ่งที่ฉันไม่ต้องการที่สุด..
.
.
.
ฉันนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เป็นเวลาเกือบๆชั่วโมง เวลาตอนนี้เข้าใกล้ตีสองเข้าไปแล้วแต่ฉันยังไม่ง่วงสักนิด รู้สึกกระวนกระวายจนต้องชะโงกหน้าไปมองประตูห้องหลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุดเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างโปร่งบางของคนที่ฉันสุดแสนจะคิดถึงแม้จะเพิ่งห่างจากกันได้ไม่ถึงชั่วโมงก็ตาม
ฉันก้าวสามขุมเข้าไปหาแอปเปิ้ล ก่อนจะจับมือบางมากุมไว้แน่น พยายามที่จะมองใบหน้าเธอชัดๆ แต่เธอก็เบือนหน้าหนีจนหัวใจมันเริ่มจะอ่อนแรงลงทุกที
"แอปคงต้องไปแล้วนะคะ.." น้ำเสียงเบาหวิวแต่กับเฉือดเฉือนจิตใจกันจนเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด มันเหมือนหัวใจค่อยๆเต้นช้าลง ช้าลง.. จนหยุดไปเสียเฉยๆ
"อะ.. อะไรกันแอป.. ต้องไปตอนนี้เลยหรอ.." ฉันเค้นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ มันไม่เร็วไปหน่อยรึไง.. ทั้งๆที่เมื่อกี้เราก็ยังมีความสุขกันดีอยู่แท้ๆ.. ฉันรับไม่ไหวหรอกนะแบบนี้น่ะ.. อยู่ๆก็บอกว่าจะไปจากกัน มันไม่ง่ายไปหน่อยรึไงแอปเปิ้ล..
"…" ฉันมั่นใจว่าไม่ใช่เพราะเธอไม่ได้ยิน แต่เธอเลือกที่จะไม่ตอบและเอาแต่หลบสายตากันแบบนั้น จนฉันเริ่มจะทนไม่ไหว
"มันเกิดอะไรขึ้น บอกพี่ได้มั้ย.." ฉันถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะปรับเสียงให้อ่อนลง.. บางทีมันอาจจะไม่แย่ขนาดนั้น แค่เธอยอมบอกพี่บ้างว่าปัญหาของเธอคืออะไร ถ้าเราช่วยกันแก้มันน่าจะดีกว่าให้เธอแบกรับมันอยู่คนเดียวไม่ใช่รึไง
"…"
"มองหน้าพี่สิแอปเปิ้ล! มองพี่! แล้วตอบมาสักคำ! เธอคิดจะเดินเข้ามาในชีวิตพี่ง่ายๆ แล้วจะออกไปง่ายๆแบบนี้มันไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยรึไง!!" ในที่สุดฉันก็ทนต่อความเงียบแบบนี้ไม่ไหว ฉันต้องการเหตุผล ฉันอยากจะรู้มันเกิดอะไรขึ้น ฉันคงรับไม่ได้ถ้าเธอจะเข้ามาเอาหัวใจของฉันไปทั้งดวง แล้วจะทิ้งกันไปโดยไม่บอกอะไรฉันสักคำแบบนี้!
แอปเปิ้ลโผเข้ากอดกันเต็มแรง ร่างบางสั่นเทา เสียงสะอื้นดังจนฉันต้องกระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นขึ้น
ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าทำให้ฉันสำนึกได้ว่า ฉันไม่ควรใจร้อน.. ในยามที่เธอกำลังอ่อนแอ..
"ขอโทษ.." ถ้อยคำสั้นๆแต่กลับเต็มไปด้วยความหมายมากมายถูกเอื้อนเอ่ยออกมาช้าๆ สองมือบางกุมปกเสื้อของฉันไว้แน่นราวคนมีความอัดอั้นอยู่จนล้นหัวใจ เสื้อที่ชื้นไปด้วยน้ำตาของคนในอ้อมแขนยิ่งทำให้ฉันต้องกอดเธอไว้ให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
"แอปผิดเอง.. แอปมีปัญหากับที่บ้าน เราทะเลาะกันบ่อยครั้งจนสุดท้ายที่แอปตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ แอปทำตัวเอาแต่ใจไม่รู้จักโต.. ตอนแรกก็แค่อยากจะประชดแม่.. แอปไม่ได้ตั้งใจทำร้ายจิตใจพี่นท แอปไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้.. แอปไม่ได้ตั้งใจจริงๆ.."
"…"
"แอปมีความสุขที่ได้เฝ้ารอพี่นทกลับมาหากันทุกวัน.. มีความสุขที่ได้ทำอะไรให้ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไร้สาระ.. มีความสุขที่พี่นทยิ้มให้กัน.. แต่แอปงี่เง่าเองที่เลือกวิธีการจบปัญหานี้แบบเด็กๆ แอปเลือกที่จะอยู่กับพี่นทโดยทิ้งปัญหาพวกนั้นไว้ข้างหลังโดยไม่สนใจที่จะกลับไปแก้.. แอปเลือกที่จะหนีมันมาตลอด.."
ตอนนี้ฉันทำได้แค่กอดเธอไว้แน่นๆ สมองมันตื้อไปหมด.. คิดอะไรไม่ออกสักอย่่าง.. ไม่รู้ว่าจะต้องปลอบเธอยังไง.. ไม่รู้ว่าควรจะต้องพูดอะไร.. ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้เธอหายเศร้า.. และไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจของตัวเองได้ยังไง ในเมื่อเธอพูดเหมือนกำลังจะบอกลาจากกันไปจริงๆ..
"ในขณะที่ความสัมพันธ์ของเรากำลังไปได้ดี แต่ปัญหาเดิมๆของแอปมันกลับแย่ลงทุกวัน.. แอปเลือกที่จะไม่สนใจ จนกระทั่งเรื่องเล็กมันกลายเป็นเรื่องคาราคาซังใหญ่โต.. ขอโทษนะคะ.. ขอโทษที่แอปไม่ได้เรื่อง.. ขอโทษที่แอปทำให้ปัญหาของตัวเองมาทำลายเรื่อง.. ระหว่างเรา.."
"…"
"ถ้าแอปไม่เดินเข้ามาในชีวิตพี่นทตั้งแต่แรก.. หรือถ้าแอปเลือกที่จะไม่หนีปัญหา.. ถ้าแอปไม่ทำตัวแบบนี้.. พี่นทก็คงไม่ต้องเจ็บ.." เธอดันตัวออกมาช้าๆ น้ำตาไหลอาบสองแก้ม แต่กลับยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของฉันไว้ราวกับต้องการปลอบประโลม
ฉันจับมือบางที่วางอยู่บนใบหน้าเบาๆก่อนจะเลื่อนมันมาอยู่ที่ตำแหน่งของหัวใจ.. รู้สึกเจ็บจนจุกไปหมดกับทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่มันเกิดขึ้น มันเร็วซะจนฉันตั้งตัวไม่ทัน.. ฉันพูดอะไรไม่ออกสักคำ ได้แต่หวังว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันกำลังจะสื่อ จากแววตา.. จากภาษากาย.. ฉันอยากให้เธอรู้ว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน..
อยากจะขอร้อง.. ให้เธออยู่กับฉันต่อ.. อยากจะขอ.. ให้ทุกอย่าง กลับมาเป็นเหมือนเดิม..
"แม่แอปรออยู่ข้างล่าง.. แม่ไม่ชอบให้แอปอยู่ที่นี่ แม่อยากให้แอปกลับบ้าน กลับไปเป็นลูกสาวในโอวาท ในแบบที่แม่ต้องการ.."
"ขอโทษ.. แล้วก็ขอบคุณ.. สำหรับทุกๆอย่าง.. ขอบคุณมากๆจริงๆ" เธอค่อยๆแกะมือออกจากกัน ถึงฉันจะพยายามเกาะกุมมันให้แน่นขึ้นแค่ไหน มันยิ่งดูไร้ประโยชน์
ฉันทำได้แค่ยืนนิ่งๆอยู่ตรงนั้น มองเธอเดินผ่านไปเก็บของในห้อง.. เหมือนโลกของฉันมันกำลังจะพังทลายลงไปอย่างนั้นโดยที่ฉันทำอะไรไม่ได้สักอย่าง.. ไม่ได้แม้แต่จะประคับประคองให้มันอยู่ต่อไป.. ไม่ได้แม้แต่จะก้าวเท้าหนี.. ไม่ได้แม้แต่จะขยับเขยื้อนตัว.. แม้กระทั่งจะพูด.. แม้กระทั่งจะคิด.. ฉันทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากการทนดูเธอเดินออกไปจากโลกที่จวนเจียนจะแหลกสลายของฉันแบบนั้น..
"แอปรักพี่นทนะคะ" แอปเปิ้ลหยุดยืนข้างๆกันอีกครั้ง เธอโน้มตัวมาจุมพิตเบาๆที่ริมฝีปาก
มันเป็นสัมผัสและการบอกรักที่ทรมานหัวใจที่สุดในชีวิตของฉัน..
เสียงบิดลูกบิดประตูดังขึ้นเบาๆ เป็นสัญญาณว่าทุกอย่างกำลังจะจบ เธอกำลังจะไปแล้วจริงๆ..
.
.
"ไม่ไปได้มั้ยแอปเปิ้ล.. อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้.. ขอร้อง.. ต่อเวลาให้เราสองคนอีกสักหน่อยได้มั้ย.."
////////////////////////////
คือ.. ไม่ได้ตั้งใจจะยืดนะ นี่ตามที่คิดไว้แล้ว แต่จบในตอนนี้ไม่ลงจริงๆ แค่นี้ก็ยาวมากแระ (ทนไปอีกตอนนะ 55)
ปล. มาม่ามานิดๆเพราะคุณหนูของเราเป็นเด็กมีปัญหาตั้งแต่ตอนแรกที่เจอ.. เกือบจะได้ปักป้ายอยู่แล้วเชียว......
ปล.2 เสือนทก็เขินเป็น และเจ็บเป็นเหมือนกันนะ..
ปล.3 ไม่ต้องห่วง เสือนททำคลอดครั้งแรกได้ลูกชาย ยังไงก็ไม่ขึ้นคาน แต่จะสละโสดกับสาวคนไหนนี่เสือนิ่มก็ไม่แน่ใจ 5555
ปล.4 ขอดักมุข เสือร้องไห้ ไว้ก่อน.... เผื่อใครจะเล่น 5555 (แต่เสือเรายังไม่ร้องนี่หว่า จุกอย่างเดียว 555)
....
ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดตาถูกกั้นออกเป็นส่วนสัดด้วยม่านสีฟ้าขุ่น เสียงร้องโอดครวญระงมก้องบริเวณ นักเรียนแพทย์ในชุดสีม่วงตัวยาวเดินขวักไขว่ไปทั่วห้อง บ้างก็นั่งจับครรภ์เฝ้าคุณแม่ที่จวนเจียนจะได้เห็นหน้าลูกตัวเองในอีกไม่กี่ชั่วโมง
เวรห้องคลอดของวอร์ดสูตินารีเวชเป็นหนึ่งในเวรที่ไม่พึงปรารถนาที่สุดของเหล่านักเรียนแพทย์ปี 4 เพราะนอกจากจะต้องฟังน้ำเสียงแห่งความทรมานของบรรดาคุณแม่แล้ว ห้องที่ปิดมิดชิดไร้ซึ่งแสงจากธรรมชาติลอดผ่าน มีเพียงความสว่างจากหลอดนีออนนี่ก็พาลจะทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ง่ายๆ
ฉันเองก็เคยถามพี่แพทย์ประจำบ้านประจำวอร์ดว่าทำไมห้องคลอดถึงไม่มีหน้าต่าง และก็ได้คำตอบที่ทำฉันอึ้งไปหลายวันว่า..
.
.
"ก็การจะคลอดสักทีไม่ใช่ว่าเจ็บครรภ์ปุ๊บจะคลอดได้เลยเสียเมื่อไหร่ บางคนนี่ข้ามคืนแล้วยังไม่ได้เลย.. ว่ากันว่ามันเป็นกลยุทธไม่ให้คุณแม่รู้เวลาน่ะ.. เหมือนพวกเด็กปี 4 แบบนทไง ต้องอยู่ห้องนี้ตั้งแต่ 8โมงเช้ายันเที่ยงคืน ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่ต้องรู้เวลาก็ดีนะ ฮ่าๆๆ"
.
.
ไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด อยากจะเอ่ยปากถามพี่พยาบาลอยู่เหมือนกัน แต่อย่าหาว่านินทาเลยนะ พยาบาลห้องคลอดนี่ โหดสุดแล้ว ยิ่งกว่าพยาบาลห้องผ่าตัดเสียอีก ไม่รู้ว่าท้องผูกหรืออย่างไรถึงได้หน้าบูดกันนัก.. ส่วนเรื่องที่จะให้ไปถามอาจารย์ภาคนี้นี่เลิกคิดไปได้เลย เหตุผลเดียวกับพี่พยาบาล แต่เพิ่มความน่ากลัว เอิ่ม.. ขอใช้คำว่าน่าเกรงขามแทนล่ะกัน.. นั่นแหละ เพิ่มไปอีกสิบเท่าก็ยังไม่รู้ว่าจะน้อยไปรึเปล่า..
อยากให้ทุกคนจินตนาการถึงการถูกขังอยู่ในห้องปิดตายเป็นเวลา 16 ชั่วโมงในหนึ่งวัน โดยที่ไม่สามารถหนีไปเจอแสงอาทิตย์ได้เลย ห้องนี้ไม่มีเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความบันเทิงใดๆ ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีสาวๆน่ารักๆ มีแต่เสียงร้องครวญเพราะความเจ็บปวดที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ และสุ้มเสียงเข้มๆของพยาบาลหน้าดุที่จ้องจะจับผิดเราตลอดเวลา..
คิดว่า.. มันเป็นเวรที่น่าภิรมย์มั้ยคะ?
ใช่.. สำหรับฉัน การอยู่เวรห้องคลอดเป็นอะไรที่สิ้นเปลืองพลังใจอย่างมหาศาล ทุกวินาทีที่ผ่านไปราวกับภาพสโลโมชั่นที่ถูกยืดแล้วยืดอีก.. ทรมานจนอยากตะเบ่งเสียงระบายความอัดอั้นแข่งกับคุณแม่ดูเสียทีเหมือนกัน
แต่เชื่อมั้ย หลังจากนั้นแค่ไม่กี่นาที ความคิดของฉันเกี่ยวกับห้องคลอดก็เปลี่ยนไป ต้องเรียกว่าอะไรนะ.. หลังมือเป็นหน้ามือสินะ..
.
.
"ปากมดลูกเปิดหมดแล้ว! เด็กปี 4 คนไหนทำคลอดเคสนี้ ไปล้างมือแล้วเตรียมเปลี่ยนชุดเร็วๆเลย!!"
.
.
.
"แหม เห่อลูกใหญ่เลย.. ได้ลูกสาวลูกชายวะไอ้นท" เสียงเล็กๆดังขึ้นขณะที่ฉันกำลังยืนยิ้มมองเด็กน้อยน่ารักห่อผ้าปิดร่างอยู่ในเตียงรถเข็นขนาดพอดีตัว
เป็นปกติไปเสียแล้วที่ทารกน้อยที่ผ่านการทำคลอดจากมือของนักเรียนแพทย์จะถูกเรียกเป็นลูกของพวกเรา ก็แน่ล่ะ เราภูมิใจกับเจ้าตัวน้อยที่ลืมตามาดูโลกก็เห็นหน้าเราเป็นคนแรกคนนี้มาก จนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกเลยทีเดียว
เห็นแล้วก็อดคิดถึงแม่ขึ้นมาไม่ได้แฮะ..
"ลูกชาย.." ฉันตอบเบาๆ พลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแชะภาพเจ้าเด็กอ้วนเก็บไว้เป็นที่ระลึก
"เฮ้ย จริงดิ! เค้าบอกว่าทำคลอดครั้งแรกถ้าได้ลูกชายจะได้แต่งงานนะเว้ย! นั่นแน่.. ที่ถอดเขี้ยวเล็บนี่ไม่ใช่เพราะมีพรานสาวผู้สยบเสือนอนคอยอยู่ที่คอนโดทุกคืนนะ! ฮ่าๆๆ"
ฉันระบายยิ้มบางๆโดยไม่ได้ตอบคำถามมุก ยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อยหนึ่งที ก่อนจะส่งรูปผ่านโปรแกรม whatsapp ..
'น่ารักมั้ยแอป? เจ้าหนูนี่พี่ทำคลอดเองเลยนะ :)'
.
.
.
เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ฉันกับเพื่อนนักเรียนแพทย์เวรกลุ่มไม่เล็กไม่ใหญ่ก้าวออกจากลิฟท์มาหยุดยืนอยู่ชั้นล่างสุดของตึกคลอด นับว่าวันนี้เป็นวันแรกหลังจากอยู่เวรของวอร์ดนี้มาถึง 3 ครั้ง ที่ฉันได้ทำคลอดเสียที และมันก็เป็นวันแรกที่เปลี่ยนทัศนคติแย่ๆกับห้องคลอดของฉันไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน
"พี่นท!" น้ำเสียงหวานที่คุ้นหูดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล ฉันรีบหันหาต้นเสียงอย่างอัตโนมัติในทันที
"อ้าว แอปเปิ้ล! ไหนว่ากลับพรุ่งนี้เช้าไง" ฉันก้าวเท้าเร็วๆเข้าไปหาสาวสวยหน้าหวานที่กำลังนั่งยิ้มอวดฟันขาวอยู่บนเก้าอี้ แปลกใจอยู่พอสมควร เพราะปิดเทอมนี้เธอไปค่ายกับเพื่อนที่ต่างจังหวัด บอกว่าจะกลับตอนเช้าวันพรุ่งนี้ ไม่คิดว่าจะเจอกันตอนนี้เสียได้..
แต่ที่แปลกใจนะแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 80 เปอร์เซ็นต์น่ะ.. ดีใจล้วนๆ! ก็ทำไงได้ เธอปิด แต่ฉันไม่ปิดนี่นา ปกติได้เห็นหน้ากันทุกวัน พอไม่เจอกันนานๆแล้วโผล่มาเซอร์ไพร์สแบบนี้ฉันก็ต้องดีใจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
"รีบกลับมาก่อน.. คิดถึงพี่นท.." แอปเปิ้ลโน้มตัวลงมากระซิบเบาๆใกล้ใบหู แต่เล่นเอาแดงไปทั้งใบหน้า..
ฉันคงไม่ต้องบอกแล้วใช่มั้ยว่าคำถามวันนั้นเธอตอบฉันว่าอะไร..
และแน่นอนว่าพระเจ้าไม่ให้เวลาฉันปลื้มปิติกับคำหวานนี้นานนัก เพราะเมื่อเบี่ยงตัวแค่นิดเดียว สายตาของฉันมันก็ปะทะเข้ากับกลุ่มเพื่อนๆร่วมสิบชีวิตที่มองมาทางเราเป็นตาเดียว จากความเขินอายธรรดาเลยเปลี่ยนเป็นอภิมหาเขินอายแทน
อืม.. นั่นแหละ.. เสืออย่างฉันก็เขินเป็นนะ!
"ฮึม ! .. เอ่อ.. นี่ น้องแอปเปิ้ล.. แฟนฉันเอง.." ฉันกระแอมไอเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจหนึ่งที ก่อนจะประกาศสถานะกับสาวข้างกายให้เพื่อนๆผู้แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นซะเต็มประดาได้ยินกันเบาๆ
สิ้นคำว่าแฟน ก็เกิดความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ.. เข้าใจได้ในทันทีว่าที่เงียบกันไปไม่ใช่เพราะไม่รู้จักน้องแอปเปิ้ลนี่หรอก แต่เป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันบอกใครต่อใครว่ามีแฟน.. อย่าเพิ่งงงนะคะ ก็ถึงเมื่อก่อนฉันจะคบสาวเป็นสิบๆคน แต่ไม่มีคนไหนที่ฉันเคยเรียกว่าแฟนสักคน เพราะงั้น ที่ไอ้พวกนี้เงียบไปมันคงกำลังอึ้งและประมวลผลคำว่าแฟนของฉันอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
"ฮิ้วววววว ~" อืม.. อาจจะใช้เวลาบันทึกข้อมูลลงสมองนานไปหน่อย เสียงโห่ร้องแซวกันถึงได้ดีเลย์ไปหลายนาที โชคดีที่ชั้นล่างของตึกเป็นร้านค้าขายอาหารที่เวลานี้ปิดกันไปหมดแล้ว ทำให้เสียงดังนี้ไม่สร้างความรำคาญให้ใครต่อใครมากนัก จะมีก็แต่ความเขินอายที่พุ่งทะยานทะลุขีดจำกัดนี่แหละที่เพิ่มขึ้นมา..
แต่คราวนี้ที่อายน่ะ ไม่ใช่ฉันนะ.. เป็นคุณหนูแอปเปิ้ลคนสวยคนนี้ต่างหาก..
"ไปเถอะแอป กลับคอนโดกันดีกว่า" ฉันกระชับมือแอปเปิ้ลที่กำลังหน้าแดงก่ำเพราะความขวยเขิน ก่อนจะยกมือขึ้นกดโทรศัพท์โทรตามลุงอิน คนขับรถคนสนิท เพราะตอนแรกคิดว่าเธอไม่อยู่กรุงเทพเลยตั้งใจว่าจะนอนที่หอพักในโรงพยาบาล ทำให้ไม่ได้ขับรถออกมาด้วย แต่พอตั้งท่าจะโทรออกก็ถูกเธอหยุดไว้ก่อน
"วันนี้แอปมารถเพื่อน พอดีไปค่ายด้วยกันก็เลยติดรถมาตั้งแต่วันแรก ยัยแนทมันรู้ว่าแอปอยู่กับพี่นท ให้แนทไปส่งก็ได้ค่ะ" แอปเปิ้ลยิ้มหวาน แนะนำตัวเพื่อนสาวหน้าตาดีที่ยืนอยู่ไม่ไกลให้ฉันรู้จัก
สงสัยเมื่อกี้จะมองแต่แอปเปิ้ล เลยไม่ทันจะสังเกตว่าเธอมีเพื่อนมาด้วย.. แล้ว.. ที่หน้าแดงนี่คือเธอเขินแทนแอปที่ฉันบอกใครๆว่าแอปเป็นแฟน หรือว่าเขินอะไรนะ? แต่แหม.. จิตวิญญาณเสือมันบอกฉันว่าหน้าแดงๆกับรอยยิ้มแบบนั้น มันเหมือนเธอจะเขินฉันเสียมากกว่าล่ะมั้งเนี่ย..
เอิ่ม.. แต่ถึงฉันจะมีความสามารถพิเศษ หรือที่เรียกกันว่าเซ้นส์ของเสืออยู่ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยังเป็นเสืออยู่นะ อย่าเพิ่งคิดไปไกลขนาดนั้นสิ..
"อะแฮ่ม! แนท.. พี่นทแฟนฉัน" แอปเปิ้ลพูดพลางดึงฉันเข้าไปประชิดตัว แหม เคยมีคนมาหึงกันตั้งมากมาย เพิ่งรู้สึกดีขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย!
"รู้แล้วน่า.. ฉันก็แค่ปลื้มไม่ได้คิดจะแย่งแฟนเธอหรอกย่ะ! ระวังเถ๊อะ เดี๋ยวเปิดปี 3 ล่ะ ฉันจะเอาป้ายไปติดให้ทั่วมหาลัยเลย คอยดูสิ!" แนทย่นจมูกใส่แอปเปิ้ล ก่อนจะเดินนำไปที่รถ
"อย่าลืมมาติดที่โรงพยาบาลด้วยนะ!" แอปเปิ้ลส่งเสียงไล่หลัง พลางส่งยิ้มทะเล้นหยอกล้อเมื่อเห็นเพื่อนรักหันกลับมามองกันอย่างตื่นตะลึงในปฏิกิริยาโต้ตอบ
"ป้ายอะไรอะแอป.." ฉันเอ่ยถามเธอเบาๆ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มและการส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงว่าไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ก่อนที่เธอจะจูงมือฉันไปนั่งบนรถตามเพื่อนของเธอไปอีกที
.
.
.
"แม่.." ทันทีที่พวกเราก้าวมาถึงล็อบบี้ต้อนรับในชั้นล่างสุดของคอนโด แอปเปิ้ลก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ใบหน้าขาวซีดเผือกลงจนน่ากลัว ริมฝีปากบางขยับส่งเสียงออกมาแผ่วเบา
ผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานตรงหน้ากำลังนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาต้อนรับ กิริยาสง่างามแต่ก็ดูน่าเกรงขามอยู่ในที เธอกดหัวคิ้วลงต่ำพร้อมหรี่ตามองมาอย่างคาดโทษ ข้างกายมีชายในชุดสูทสีดำเข้มที่มองแล้วให้อารมณ์เหมือนเป็นผู้ติดตามอะไรอย่างนั้น
เห็นภาพนี้แล้ว ต่อให้เด็กสามขวบก็คงดูออกว่าเธอคนนี้คงไม่ใช่คนเดินดิน กินข้าวราดแกงตามท้องถนนอย่างเราๆแน่ๆ
เพราะคำสั้นๆที่หลุดออกมาจากปากแอปเปิ้ลเมื่อครู่ทำให้ฉันยกมือไหว้เธออย่างอัตโนมัติ.. แอปเปิ้ลมีรูปหน้าคล้ายแม่เธอมากจริงๆ..
ฉันระบายยิ้มบางๆเพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศ เห็นผู้หญิงตรงหน้าส่งยิ้มน้อยๆตอบรับก็ค่อยรู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย.. เธอไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด.. เพียงแค่.. อาจจะกำลังโกรธคนที่ยืนอยู่ข้างกายของฉันในตอนนี้ และเหมือนมันจะไม่ใช่แค่โกรธธรรมดาเสียด้วยสิ..
"พี่นทขึ้นไปก่อนนะคะ เดี๋ยวแอปตามขึ้นไป.." แอปเปิ้ลคลายมือออกจากกัน พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปหาแม่ของเธอ ฉันยืนนิ่งอยู่สักพัก ก่อนที่เธอจะหันกลับมาส่งยิ้มอ่อนๆเป็นเชิงว่าไม่ต้องเป็นห่วง
แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ.. ฉันก็ยังรู้สึกว่าใจมันหวิวๆพิกล.. ตั้งแต่วันที่เธอขอเข้ามาอยู่ด้วยกัน ตั้งแต่วันนั้นที่ฉันบังเอิญได้ยินเธอทะเลาะกับแม่ทางโทรศัพท์ ฉันกับเธอก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีกเลย.. ถึงลึกๆอยากจะถาม.. แต่ฉันก็อยากห้เธอพูดมันออกมาเองเสียมากกว่า และแน่นอนว่าถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่าเธอกับแม่ทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่มันคงเป็นเรื่องสำคัญอยู่ไม่น้อยเธอถึงได้ย้ายหนีออกจากบ้านมาอยู่กับฉันได้ตั้งหลายเดือนแบบนี้..
ถึงจะรู้ว่าสักวันนึง เธอก็ควรจะต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวของเธอ.. แต่ฉันยังไม่พร้อม.. ลางสังหรณ์มันบอกว่าถ้าฉันปล่อยเธอไป เธอจะไม่ใช่แค่หายไปจากคอนโด แต่เธอจะหายไปจากชีวิตของฉันด้วย..
และนั่นเป็นสิ่งที่ฉันไม่ต้องการที่สุด..
.
.
.
ฉันนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เป็นเวลาเกือบๆชั่วโมง เวลาตอนนี้เข้าใกล้ตีสองเข้าไปแล้วแต่ฉันยังไม่ง่วงสักนิด รู้สึกกระวนกระวายจนต้องชะโงกหน้าไปมองประตูห้องหลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุดเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างโปร่งบางของคนที่ฉันสุดแสนจะคิดถึงแม้จะเพิ่งห่างจากกันได้ไม่ถึงชั่วโมงก็ตาม
ฉันก้าวสามขุมเข้าไปหาแอปเปิ้ล ก่อนจะจับมือบางมากุมไว้แน่น พยายามที่จะมองใบหน้าเธอชัดๆ แต่เธอก็เบือนหน้าหนีจนหัวใจมันเริ่มจะอ่อนแรงลงทุกที
"แอปคงต้องไปแล้วนะคะ.." น้ำเสียงเบาหวิวแต่กับเฉือดเฉือนจิตใจกันจนเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด มันเหมือนหัวใจค่อยๆเต้นช้าลง ช้าลง.. จนหยุดไปเสียเฉยๆ
"อะ.. อะไรกันแอป.. ต้องไปตอนนี้เลยหรอ.." ฉันเค้นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ มันไม่เร็วไปหน่อยรึไง.. ทั้งๆที่เมื่อกี้เราก็ยังมีความสุขกันดีอยู่แท้ๆ.. ฉันรับไม่ไหวหรอกนะแบบนี้น่ะ.. อยู่ๆก็บอกว่าจะไปจากกัน มันไม่ง่ายไปหน่อยรึไงแอปเปิ้ล..
"…" ฉันมั่นใจว่าไม่ใช่เพราะเธอไม่ได้ยิน แต่เธอเลือกที่จะไม่ตอบและเอาแต่หลบสายตากันแบบนั้น จนฉันเริ่มจะทนไม่ไหว
"มันเกิดอะไรขึ้น บอกพี่ได้มั้ย.." ฉันถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะปรับเสียงให้อ่อนลง.. บางทีมันอาจจะไม่แย่ขนาดนั้น แค่เธอยอมบอกพี่บ้างว่าปัญหาของเธอคืออะไร ถ้าเราช่วยกันแก้มันน่าจะดีกว่าให้เธอแบกรับมันอยู่คนเดียวไม่ใช่รึไง
"…"
"มองหน้าพี่สิแอปเปิ้ล! มองพี่! แล้วตอบมาสักคำ! เธอคิดจะเดินเข้ามาในชีวิตพี่ง่ายๆ แล้วจะออกไปง่ายๆแบบนี้มันไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยรึไง!!" ในที่สุดฉันก็ทนต่อความเงียบแบบนี้ไม่ไหว ฉันต้องการเหตุผล ฉันอยากจะรู้มันเกิดอะไรขึ้น ฉันคงรับไม่ได้ถ้าเธอจะเข้ามาเอาหัวใจของฉันไปทั้งดวง แล้วจะทิ้งกันไปโดยไม่บอกอะไรฉันสักคำแบบนี้!
แอปเปิ้ลโผเข้ากอดกันเต็มแรง ร่างบางสั่นเทา เสียงสะอื้นดังจนฉันต้องกระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นขึ้น
ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าทำให้ฉันสำนึกได้ว่า ฉันไม่ควรใจร้อน.. ในยามที่เธอกำลังอ่อนแอ..
"ขอโทษ.." ถ้อยคำสั้นๆแต่กลับเต็มไปด้วยความหมายมากมายถูกเอื้อนเอ่ยออกมาช้าๆ สองมือบางกุมปกเสื้อของฉันไว้แน่นราวคนมีความอัดอั้นอยู่จนล้นหัวใจ เสื้อที่ชื้นไปด้วยน้ำตาของคนในอ้อมแขนยิ่งทำให้ฉันต้องกอดเธอไว้ให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
"แอปผิดเอง.. แอปมีปัญหากับที่บ้าน เราทะเลาะกันบ่อยครั้งจนสุดท้ายที่แอปตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ แอปทำตัวเอาแต่ใจไม่รู้จักโต.. ตอนแรกก็แค่อยากจะประชดแม่.. แอปไม่ได้ตั้งใจทำร้ายจิตใจพี่นท แอปไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้.. แอปไม่ได้ตั้งใจจริงๆ.."
"…"
"แอปมีความสุขที่ได้เฝ้ารอพี่นทกลับมาหากันทุกวัน.. มีความสุขที่ได้ทำอะไรให้ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไร้สาระ.. มีความสุขที่พี่นทยิ้มให้กัน.. แต่แอปงี่เง่าเองที่เลือกวิธีการจบปัญหานี้แบบเด็กๆ แอปเลือกที่จะอยู่กับพี่นทโดยทิ้งปัญหาพวกนั้นไว้ข้างหลังโดยไม่สนใจที่จะกลับไปแก้.. แอปเลือกที่จะหนีมันมาตลอด.."
ตอนนี้ฉันทำได้แค่กอดเธอไว้แน่นๆ สมองมันตื้อไปหมด.. คิดอะไรไม่ออกสักอย่่าง.. ไม่รู้ว่าจะต้องปลอบเธอยังไง.. ไม่รู้ว่าควรจะต้องพูดอะไร.. ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้เธอหายเศร้า.. และไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจของตัวเองได้ยังไง ในเมื่อเธอพูดเหมือนกำลังจะบอกลาจากกันไปจริงๆ..
"ในขณะที่ความสัมพันธ์ของเรากำลังไปได้ดี แต่ปัญหาเดิมๆของแอปมันกลับแย่ลงทุกวัน.. แอปเลือกที่จะไม่สนใจ จนกระทั่งเรื่องเล็กมันกลายเป็นเรื่องคาราคาซังใหญ่โต.. ขอโทษนะคะ.. ขอโทษที่แอปไม่ได้เรื่อง.. ขอโทษที่แอปทำให้ปัญหาของตัวเองมาทำลายเรื่อง.. ระหว่างเรา.."
"…"
"ถ้าแอปไม่เดินเข้ามาในชีวิตพี่นทตั้งแต่แรก.. หรือถ้าแอปเลือกที่จะไม่หนีปัญหา.. ถ้าแอปไม่ทำตัวแบบนี้.. พี่นทก็คงไม่ต้องเจ็บ.." เธอดันตัวออกมาช้าๆ น้ำตาไหลอาบสองแก้ม แต่กลับยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของฉันไว้ราวกับต้องการปลอบประโลม
ฉันจับมือบางที่วางอยู่บนใบหน้าเบาๆก่อนจะเลื่อนมันมาอยู่ที่ตำแหน่งของหัวใจ.. รู้สึกเจ็บจนจุกไปหมดกับทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่มันเกิดขึ้น มันเร็วซะจนฉันตั้งตัวไม่ทัน.. ฉันพูดอะไรไม่ออกสักคำ ได้แต่หวังว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันกำลังจะสื่อ จากแววตา.. จากภาษากาย.. ฉันอยากให้เธอรู้ว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน..
อยากจะขอร้อง.. ให้เธออยู่กับฉันต่อ.. อยากจะขอ.. ให้ทุกอย่าง กลับมาเป็นเหมือนเดิม..
"แม่แอปรออยู่ข้างล่าง.. แม่ไม่ชอบให้แอปอยู่ที่นี่ แม่อยากให้แอปกลับบ้าน กลับไปเป็นลูกสาวในโอวาท ในแบบที่แม่ต้องการ.."
"ขอโทษ.. แล้วก็ขอบคุณ.. สำหรับทุกๆอย่าง.. ขอบคุณมากๆจริงๆ" เธอค่อยๆแกะมือออกจากกัน ถึงฉันจะพยายามเกาะกุมมันให้แน่นขึ้นแค่ไหน มันยิ่งดูไร้ประโยชน์
ฉันทำได้แค่ยืนนิ่งๆอยู่ตรงนั้น มองเธอเดินผ่านไปเก็บของในห้อง.. เหมือนโลกของฉันมันกำลังจะพังทลายลงไปอย่างนั้นโดยที่ฉันทำอะไรไม่ได้สักอย่าง.. ไม่ได้แม้แต่จะประคับประคองให้มันอยู่ต่อไป.. ไม่ได้แม้แต่จะก้าวเท้าหนี.. ไม่ได้แม้แต่จะขยับเขยื้อนตัว.. แม้กระทั่งจะพูด.. แม้กระทั่งจะคิด.. ฉันทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากการทนดูเธอเดินออกไปจากโลกที่จวนเจียนจะแหลกสลายของฉันแบบนั้น..
"แอปรักพี่นทนะคะ" แอปเปิ้ลหยุดยืนข้างๆกันอีกครั้ง เธอโน้มตัวมาจุมพิตเบาๆที่ริมฝีปาก
มันเป็นสัมผัสและการบอกรักที่ทรมานหัวใจที่สุดในชีวิตของฉัน..
เสียงบิดลูกบิดประตูดังขึ้นเบาๆ เป็นสัญญาณว่าทุกอย่างกำลังจะจบ เธอกำลังจะไปแล้วจริงๆ..
.
.
"ไม่ไปได้มั้ยแอปเปิ้ล.. อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้.. ขอร้อง.. ต่อเวลาให้เราสองคนอีกสักหน่อยได้มั้ย.."
////////////////////////////
คือ.. ไม่ได้ตั้งใจจะยืดนะ นี่ตามที่คิดไว้แล้ว แต่จบในตอนนี้ไม่ลงจริงๆ แค่นี้ก็ยาวมากแระ (ทนไปอีกตอนนะ 55)
ปล. มาม่ามานิดๆเพราะคุณหนูของเราเป็นเด็กมีปัญหาตั้งแต่ตอนแรกที่เจอ.. เกือบจะได้ปักป้ายอยู่แล้วเชียว......
ปล.2 เสือนทก็เขินเป็น และเจ็บเป็นเหมือนกันนะ..
ปล.3 ไม่ต้องห่วง เสือนททำคลอดครั้งแรกได้ลูกชาย ยังไงก็ไม่ขึ้นคาน แต่จะสละโสดกับสาวคนไหนนี่เสือนิ่มก็ไม่แน่ใจ 5555
ปล.4 ขอดักมุข เสือร้องไห้ ไว้ก่อน.... เผื่อใครจะเล่น 5555 (แต่เสือเรายังไม่ร้องนี่หว่า จุกอย่างเดียว 555)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น