คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : [ เส้นด้ายสีขาว ] - 5 - [ Present III ]
“ดูซิ ถ้าไม่มีแว่นใส่แล้วจะเป็นยังไง”
หญิงสาวเดินฮัมเพลงเลือกชุดอย่างสบายอารมณ์ ผมยุ่งๆยามตื่นนอนถูกคาดไว้ด้วยแว่นกันแดดของใครบางคนที่เธอแอบไปจิ้กมาเมื่อคืน นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาเกือบเที่ยง แปลกที่ยังไม่เห็นวี่แววของใครอีกคน
“นี่นายยังไม่ตื่นอีกหรอ” เดินไปเคาะห้องคนเจ้าอารมณ์อยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา จากตอนแรกแค่จะแกล้งเล่นๆ ไปๆมาๆตอนนี้เธอรู้สึกหงุดหงิดจนเหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิด เลยจัดการทุบกระหน่ำไม่เลิก . . .ดูชิจะตื่นมั้ย
‘ปังๆๆๆๆ’
“นี่นายยยย ออกมาได้แล้ว” ก้มลงมองฝ่ามือตัวเองที่แดงเถือกจากแรงกระหน่ำไม่หยุด ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นบ้านตัวเอง จะหยิบข้าวของแถวนั้นมาเขวี้ยงใส่ประตูเสียที “มันสายแล้วนะ ขี้เซาชะมัดยาก”
“ก็ดี. . .ไม่ออกก็อย่าออก ฉันจะไปข้างนอกแล้ว” สุดท้ายคุณหนูเลยก็เตะประตูระบายอารมณ์ไปสองสามทีเพื่อความสะใจ ก่อนจะแลบลิ้นอยู่หน้าประตูอย่างสะใจ “แบร่~”
“อ้ะ. . .” เพราะรีบหันหลังกลับโดยไม่ทันระวัง กิตติ์ลภัสเลยชนเข้ากับคนตัวสูงที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ณัฐภัสสรายกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะผลักคนตัวเล็กไปติดบานประตูห้องนอน “เธอมาทำอะไรหน้าห้องฉัน”
“น่ะ น่ะ นี่นาย” เงยหน้าสบตาคนที่ใช้แขนทั้งสองข้างล็อคเธอไว้ไม่ให้ขยับไปไหน ก่อนจะรู้สึกถึงระยะห่างที่ค่อยๆลดลงเรื่อย แม้จะพยายามยกมือขึ้นผลักไส แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่หลับตาปี๋เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจใกล้ๆ เหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด
“ยัยคุณหนูขี้ขโมย. . .” หยิบแว่นกันแดดตัวเองออกจากผมยุ่งๆตรงหน้า ก่อนจะถอยออกมายืนกอดอกจ้องผู้ร้ายตัวน้อยๆที่เมื่อกี้อาระวาดบ้านเกือบพัง “เจ็บมือมั้ยล่ะน่ะ ทุบประตูซะน่วม”
“ไม่ย่ะ! แล้วนี่นายมีแว่นตา2อันหรอไง” อดขำไม่ได้กับสิ่งที่ได้ยินจากปากของคุณหนูจอมวุ่น ไหวไหล่อย่างเหนื่อยใจให้กับความคิดเด็กๆ ก่อนจะสลับแว่นที่เพิ่งเอาคืนมาเมื่อกี้กับที่ใส่อยู่พร้อมเฉลยความจริง “มากกว่าสอง”
“อ่อใช่. . .อาหารพร้อมแล้ว คุณนมให้มาตาม” ผายมือให้อีกคนนำไปก่อน แล้วค่อยๆเดินล้วงกระเป๋าตามไปอย่างอารมณ์ดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งคนตัวเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยว “อีกอย่างนะ อย่าคิดจะขโมยแว่นฉันอีกล่ะ สาวน้อย”
“เชอะ!”
“นี่คุณ ถือดอกไม้ดีๆสิ” กิตติ์ลภัสให้ไปเอะคนที่ตัวสูงที่เดินแกว่งช่อดอกไม้กับกระเช้าผลไม้ไปมา
“อืมๆ รู้แล้วน่า” ได้แต่กัดฟันตอบกลับไป เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าแขนข้างซ้ายมันเริ่มล้าเต็มที แถมยังเจ็บแปลบเป็นพักๆ. . .สงสัยแผลที่ถูกยิงคงจะปริจากการใช้งานหนักแน่ๆ
“พี่คริสเป็นไงบ้างคะ” ทักทายชายหนุ่มที่ตอนนี้นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียง คริสค่อยๆลืมตาพร้อมกับออดอ้อนหญิงสาว จนคนที่เดินตามมาด้านหลังถึงกับเมินหน้าหนีอย่างรำคาญใจ
“ไม่เป็นไรมากครับ เฉี่ยวแขนนิดหน่อย อีกอย่างมันไกลหัวใจ”
“ขอบคุณพี่คริสมากเลยนะคะ” กิตติ์ลภัสรีบทิ้งตัวลงข้างๆเตียง ก่อนจะกอบกุมมือชายหนุ่มไว้ รู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่อีกคนทำเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอเมื่อวาน ถ้าไม่มีคริสเธอก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง “เพื่อน้องฐา ให้พี่ทำอะไรก็ได้ครับ”
“เอ่อ. . .คุณบุศริน”
“คะ?” ตอบรับอย่างมึนงงเมื่อได้ยินชายหนุ่มเรียกชื่อ
“เรื่องเมื่อวาน ขอบคุณมากนะ” ได้แต่พยักหน้ารับอย่างเต็มใจ อย่างน้อยๆคุณคริสอะไรนี่ก็ยังรู้จักสำนึกบุญคุณไม่เหมือนใครบางคน อุตส่าห์เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง อย่าหวังจะได้ยินคำขอบคุณเลย แค่คำพูดดีๆสักคำยังไม่มีให้
“อ้าว. . .” รู้สึกแปลกใจ เมื่อเห็นสายฝนโปรยปรายอยู่ด้านนอก แม้จะหนดน้ำจะไม่ได้ทำให้เธอเปียกปอน แต่เมื่อผนวกกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศของโรงพยาบาล ความหนาวเหน็บเลยเริ่มกัดกินร่างกาย จนเผลอลูบแขนไปมาเพื่อเพิ่มความอบอุ่น
“เฮ่อ” ได้แต่ถอนหายใจ เมื่อมองคนขี้หนาวที่เลือกชุดไม่ได้ดูอากาศเมืองไทย ไม่รู้คิดได้ยังไงถึงได้เลือกชุดเป็นสีขาวแถมเนื้อผ้ายังบางเบาอย่างกะจะไปเที่ยวทะเลอย่างนั้นแหละ ทั้งๆที่รู้ว่าฝนก็ตกเกือบทุกวัน
“อะ เอาไปสิ”
“ให้ฉันทำไมน่ะ” กิตติ์ลภัสเอ่ยถามด้วยความสงสัย หลังจากอีกคนถอดเสื้อนอกที่สวมอยู่มาให้ โดยที่เธอไม่ได้เอ่ยปากหรือร้องขอเลยสักนิด ถ้าเป็นแฟนกันทำให้แบบนี้คงจะโรแมนติก ถ้าเป็นแฟนกันล่ะก็นะ
“หนาวไม่ใช่ไง ใส่ไว้สิ”
“พวกนั้นมันเป็นใคร” ตบโต๊ะอย่างหงุดหงิดระหว่างซักถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่อยากจะคิดเลย ถ้าวันนั้นคนตรงหน้าเกิดปกป้องลูกสาวเขาไม่ได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร “เห็นหน้ามันหรือเปล่า”
“ขอโทษค่ะท่าน” ณัฐภัสสราได้แต่ก้มหน้าก้มตาสำนึกผิดโดยไม่มีข้อแม้ เพราะเขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าพวกนั้นเป็นใคร “ไม่เห็นค่ะ พอดีต้องพาคุณคริสที่ถูกยิง ไปส่งโรงพยาบาล”
“คริสงั้นหรอ?” กิตติเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม “คริสถูกยิงที่ไหน แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ไม่โดนจุดสำคัญค่ะ กระสุนแค่เฉียดแขน” ดูเหมือนอีกคนจะโล่งอกเมื่อได้ยินคำตอบ ก็แอบเห็นแววตาที่ฉายชัดถึงความกังวล กิตติยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายถึงใครบางคนก่อนจะโบกมือไล่ณัฐภัสสราออกไปด้านนอก “คุณไปพักผ่อนเถอะ”
“ฮัลโหล. . .เรื่องที่เราเคยคุยกันไว้ ฉันอยากจะรื้อฟื้นอีกที . . .”
“อ้าวคุณนม ป่านนี้ยังไม่นอนหรอคะ” ณัฐภัสสราชะงักทันที เมื่อเจอใครบางคนยืนรออยู่หน้าห้องนอน คุณนมหันมายิ้มเล็กน้อยก่อนจะจูงเธอไปนั่งบนโซฟา แอบเห็นกล่องปฐมพยาบาลถูกวางเตรียมอยู่บนโต๊ะ
“พอดีเมื่อเช้าเอาชุดคุณไปซักมาน่ะค่ะ เห็นมีเลือดซึมอยู่” คลี่ยิ้มอย่างใจดีระหว่างจัดการถลกแขนเสื้อแขนยาวขึ้น คนที่บาดเจ็บอยู่ได้แต่เบ้หน้าหนีอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะยอมถอดมันออกแต่โดยดี เพราะข้างในเธอก็สวมเสื้อกล้ามไว้ “แผลอักเสบจริงๆสิ”
“ฮึกกกก” ได้แต่กัดฟันแน่นขณะทำแผล ก่อนณัฐภัสสราจะหันมาไปขอบคุณอย่างซึ้งใจ คุณนมได้แต่จ้องใบหน้าขาวๆนั่นด้วยความสงสัยระหว่างอีกคนกำลังติดกระดุมเสื้อ ยิ่งตอนไม่สวมแว่นแบบนี้ ก็ยิ่งเหมือนคนๆเดียวกัน
“คุณนมมีอะไรหรือป่าวคะ”
“หน้าของคุณคล้ายกับเพื่อนของคุณหนูเลยค่ะ” คุณนมหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวง เพราะคุณท่านไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ถ้าเธอจะเอ่ยชื่อเด็กคนนั้นออกมา “. . .หนูกอล์ฟ”
“ไม่มีทางหรอค่ะคุณนม” เมื่อได้ยินชื่อของใครบางคน กิตติ์ลภัสที่แอบฟังอยู่สักพักก็รีบเผยตัวออกมาอย่างขัดใจ อีตาขี้เก็กใส่แว่นคนนี้น่ะหรอ จะเป็นเพื่อนคนนั้นของเธอ “น้องฐาว่าก็แค่หน้าเหมือน”
“ละนี่นายไม่ใส่แว่นแล้วหรือไง” แอบหันมาแขวะใส่คนที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟา แม้ว่าจะแปลกใจกับหน้าใสๆและกล่องพยาบาลที่ถูกวางทิ้งไว้ก็ตาม แต่ไม่ทันไรก็รีบคว้าแขนของคนตรงหน้าไว้ “นี่...อย่าเดินหนีกันสิ”
“ฉันจะไปพักผ่อนแล้ว” กัดฟันแน่น เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บแปลบบริเวณแผลที่อีกคนใช้มือรั้งไว้ คนกลางอย่างคุณนมได้แต่เอามือทาบอกอย่างตกใจ ก่อนจะค่อยๆดึงมือคุณหนูประจำบ้านออกมา
'ก๊อกๆ'
“ว่าไงคุณ” แง้มประตูออกก่อนจะรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าเป็นใคร กิตติ์ลภัสถือโอกาสเดินเข้าห้องอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะนั่งลงบนเตียงนุ่มตรงหน้า “มีอะไรให้รับใช้อีกล่ะ”
“ป่าว ฉันแค่จะมาบอกว่า. . .” เอ่ยออกไปอย่างแผ่วเบาจนคนฟังไม่ได้ยิน แถมยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น จนเจ้าของห้องอย่างณัฐภัสสราได้แต่เกาหัวอย่างไม่เข้าใจ “ว่าอะไรล่ะ”
‘เปรี้ยงงงงง’
“ขอโทษ!” จู่ๆก็เผลอตะโกนเสียงดังใส่คนที่พยายามจะกวนประสาท ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหูตัวเองเอาไว้ เสียงฟ้าร้องข้างนอกนั่นทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว ภาพความทรงจำค่อยๆฉายชัด มันเหมือนกับคืนนั้นไม่มีผิด ที่คนสองคนต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอ
'เปรี้ยงงงง'
“ฮือออออ อออออออ” ค่อยๆทรุดลงกับพื้น ขาทั้งสองข้างมันไร้เรี่ยวแรงที่จะยืน แม้ว่าจะพยายามปิดหูปิดตา ไม่รับรู้เสียงเหล่านั้น แต่หยดน้ำใสๆก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ฮืออออ ฮือออออ”
“ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่ตรงนี้” ณัฐภัสสรารีบลงไปคว้าหญิงสาวตรงหน้าไว้ในอ้อมกอด แต่ยิ่งปลอบก็เหมือนยิ่งไปกระตุ้นให้ร้องไห้จนตัวโยน ได้แต่ลูบหัวอย่างแผ่วเบา ไปๆมาๆก็ดันเผลอเรียกอีกคนอย่างสนิทสนม "ไม่ต้องร้องนะฐา ใจเย็นๆ"
“ลุกสิคุณ กลับไปนอนที่ห้องเถอะ” พยายามสะกิดเรียกคนที่นอนสลึมสลืออยู่บนเตียงนุ่ม “วันนี้ฉันอุ้มคุณไม่ไหวหรอกนะ”
“พูดอย่างกะเคยทำ” กิตติ์ลภัสค่อยๆใช้มือดันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนจะค้อนขวับไปยังเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ข้างเตียง “ฉันเองก็ไม่ได้อยากนอนที่นี่นักหรอก”
‘ครืนนนน ครืนนนน’
เสียงฟ้าร้องข้างนอก ทำให้คนบนเตียงรีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวไว้เสียมิด คนที่ยืนมองอยู่ได้แทบจะเก็บเสียงหัวเราะของตัวเองแทบไม่ทัน ก่อนจะยอมแพ้แต่โดยดี “งั้นตามสบายนะ ฉันจะไปนอนข้างนอก”
“เดี๋ยวสิ จะไปไหนน่ะ” กิตติ์ลภัสโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม อากาศอึมครึมแถมเสียงดังแบบนี้ เธอไม่อยากจะอยู่คนเดียวในห้องมืดๆนี่หรอกนะ ยอมกลั้นใจเอ่ยปากขอร้องคนขี้เก็กตรงหน้า “นอนด้วยกันที่นี่แหละ”
“ก็ได้ค่ะคุณหนู งั้นเดี๋ยวมา” พยักหน้ารับแต่ก็ยังไม่วายเดินออกไปด้านนอก จนคนบนเตียงเริ่มทำท่าประท้วงกับสิ่งที่เห็น “จะออกไปเอาที่นอน คุณก็นอนๆไปเถอะ”
“ไม่!” รีบลุกออกจากเตียงมาคว้าแขนอีกคนนึงไว้อย่างหวาดกลัว เสียงฟ้าร้องยังคงดังอยู่เนืองๆ กิตติ์ลภัสรีบลากให้คนตัวสูงทิ้งตัวลงบนเตียง “ที่ออกจะกว้างนอนด้วยกันนี่แหละ”
“เห้ย! คุณจะบ้าหรอ” รีบถดตัวเองออกห่างทันที แม้จะว่าเตียงจะถูกแบ่งด้วยหมอนข้างก็ตาม แต่จะให้เขามานอนกับคุณหนูเนี่ยนะ “พ่อคุณได้เล่นฉันตาย”
“ก็อย่าบอกคุณพ่อสิ” คว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว ก่อนจะเอ่ยคำบางคำออกไป “นอนๆได้แล้วน่า เดี๋ยวแผลก็ไม่หายหรอก”
“นี่. . .” พลิกตัวมาจ้องหน้าคนที่กำลังข่มตาหลับอยู่ข้างๆ แอบได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนณัฐภัสสราจะตอบรับอย่างเนือยๆ “ว่าไงอีกล่ะ”
“ขอบคุณนะ คอยที่ปกป้องฉัน”
ความคิดเห็น