ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] My Sunshine ,it’s U < All*Chen>

    ลำดับตอนที่ #15 : FRIENDSHIP END : LAYCHEN 100%

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ค. 60




    Title : Friendship end

    Pairing : LayChen 

     

     

     

     

    รอด้วยสิ อาเล่ยยยยยเสียงแหลมเล็กของคนที่วิ่งหอบตามหลังมาเรียกรอยยิ้มกว้างจากเจ้าของรถจักรยานสีดำได้แทบจะทันที เบรกมือถูกกำก่อนล้อทั้ง 2 ข้างจะค่อยๆช้าลง ถึงจะไม่ถึงกับหยุดแน่นิ่งแต่ก็ช้าพอที่จะทำให้เจ้าของขาเล็กนั้นวิ่งตามมาทัน

    รอยยิ้มกว้างเมื่อครู่ ถูกปรับเปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบนิ่งคล้ายไม่สนใจ อี้ชิงเหลือบมองก็เห็นกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อน พร้อมกับเสียงหอบหายใจดังอยู่ใกล้ๆ มือเล็กของอีกฝ่ายคว้าเบาะจักรยานด้านหลังดึงรั้งไว้ไม่ให้รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้า อี้ชิงลอบยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปทำหน้าตาเฉยๆเหมือนเดิม รอฟังเสียงแหลมๆที่ชอบฟัง

     

    ทำไมไม่รอเราล่ะเสียงแหลมๆคลอกับเสียงหายใจหอบจนแอบสงสาร แต่เมื่อมองเห็นใบหน้างอง้ำที่เป็นส่วนประกอบ อี้ชิงกลับยิ่งรู้สึกอยากแกล้ง คิมจงแดเป็นประเภทน่าแกล้ง และก็น่าโอ๋ในขณะเดียวกัน ถ้าลู่หานกับมินซอกเป็นฝ่ายชอบโอ๋จนทำให้จงแดกลายเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ เขาก็เหมือนจะตรงข้าม กล้ายเป็นพวกที่ชอบแกล้งจนอีกฝ่ายร้องไห้งอแง ทีแรกก็คิดว่าจะเบื่อเพราะแกล้งเจ้าเด็กแสบนี่มาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก เรียกได้ว่าตั้งแต่ย้ายเข้ามาแล้วเจอกันครั้งแรก แต่ผ่านมาสิบกว่าปี จางอี้ชิงก็ยังไม่เคยเบื่อ...

     

    ชอบเวลาที่เห็นเจ้าน้องเล็กของกลุ่มทำหน้าตาแบบนี้ที่สุด

     

    ก็อยากตื่นสายเอง ช่วยไม่ได้

    แต่เมื่อคืนอาเล่ยเป็นคนชวนเราเล่นเกมส์จนดึกนะอีกฝ่ายเถียงคอเป็นเอ็นริมฝีปากบางบิดคว่ำจนอี้ชิงเผลอหลุดขำ ท่าทีเด็กน้อยอย่างที่พวกเขาชอบเอ่ยล้อหลุดออกมาทีไร ก็เรียกเสียงหัวเราะได้ทุกที และนั่นก็เหมือนจะทำให้คนที่เป็นน้องเล็กของกลุ่มถึงบางอ้อ

     

    โดนแกล้งอีกแล้ว!!!

    นี่แกล้งเราหรอ!!!มือเล็กฟาดลงทันทีที่คิดได้ ถึงจะดูช้าไปหน่อย แต่เมื่อยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นก็ยิ่งหมั่นไส้ มือเล็กฟาดลงไปที่อกของอีกฝ่าย อี้ชิงเอียงตัวหลบแต่ก็ทำได้ไม่มากนักเมื่อตัวเองยังนั่งคร่อมอยู่บนจักรยาน

    จงแดอย่าตี เจ็บถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้ม  คิมจงแดยู่หน้าฟาดมือใส่อีกฝ่ายรัวๆ จนสุดท้ายมือเล็กๆนั่นก็โดนรวบไว้เสียก่อน พร้อมกับใบหน้ายุ่งๆ ที่จงแดอยากจะลงมือฟาดอีกรอบ

    ถ้าจักรยานล้มลงไปจะทำไงเนี่ย เด็กแสบอี้ชิงมองหน้าคนที่เอาแต่ทำหน้างอ ดุไปนิดหน่อยไม่ใช่เพราะว่าอีกฝ่ายตีเขาหรอก แต่เพราะกลัวว่าถ้าเขาทรงตัวไม่อยู่แล้วพาลพากันล้มลงนี่จะเป็นยังไง เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวทั้งคู่

    แถมยังเสียงจะโดนมินซอกกินหัวอีก ถ้าจงแดมีแผลขึ้นมา..

    ก็อาเล่ยแกล้งเราทำไมล่ะ เราอุตส่าห์รีบวิ่งมาแท้ๆ

    ก็น่าแกล้งนี่ อีกอย่างควรจะชินได้แล้วไหม ฉันแกล้งนายมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก จนตอนนี้แล้วนะ

    ใครจะไปชินกัน อีกอย่างอย่าทำเหมือนเราเป็นเด็กนะ อายุเท่ากันแท้ๆอี้ชิงหัวเราะมองคนที่เกิดปีเดียวกันแต่อ่อนเดือนที่สุดในกลุ่ม แถมยังดูเหมือนคนละรุ่นกับพวกเขาก่อนจะส่ายหัว คิมจงแดไม่รู้ตัวเลยหรือไงนะ

    ก็เพราะอย่างนี้แหละ ใครๆเขาถึงชอบแกล้งน่ะ

    คนอื่นเขาไม่เห็นแกล้งเลย มีแต่อาเล่ยนั่นแหละ เหอะอี้ชิงยกยิ้มขำอีกรอบเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย มือเรียวปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ เหลือบดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะตบเบาะด้านหลังเบาๆ เรียกคนหน้างอ ให้เบะปากใส่ แต่ถ้ามัวแต่โอ้เอ้คงได้สายกันทั้งคู่

    เอาล่ะๆ เอาไว้ค่อยเถียงต่อแล้วกัน แต่ตอนนี้ขึ้นมาก่อน เดี๋ยวจะสายถึงจะโดนตัดบทเสียดื้อๆ และเหมือนจงแดจะยังไม่พอใจเท่าไหร่ที่ยังไม่เถียงจนชนะ แต่จงแดก็ยอมก้าวขึ้นไปนั่งอย่างว่าง่าย เมื่อได้ยินเสียงเพลงเบาๆดังมาจากร้านกาแฟของพี่อี้ฟาน

    เวลา 7 โมงครึ่ง ร้านของพี่อี้ฟานจะเปิดเพลงสากลฟังสบายๆแบบนี้เสมอ

    จับเอวสิ เดี๋ยวก็ได้หงายหลังหรอกยังไม่ทันได้ออกแรงปั่นก็ต้องมาเถียงกับเด็กดื้ออีกรอบ คิมจงแดไม่ได้ตอบเพียงแต่เอามือทั้ง 2 ข้าง จับชายเสื้อของเขาเอาไว้ คงเพราะยังงอนอยู่ไม่หาย อี้ชิงส่ายหัวก่อนจะหันกลับไปคว้าเอาข้อมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายดึงมากอดไว้รอบเอว อย่างไม่รอฟังคำทักท้วง พร้อมกับออกแรงปั่นปล่อยให้รถไหลลงเนินอย่างรวดเร็ว จนคิมจงแดไม่กล้าปล่อยมือ

    เสียงนกร้องดังคลอกับสายลมแผ่วเบา  ใบหน้ายุ่งๆของจงแดคลายลงเมื่อจักรยานของอี้ชิงผ่อนความเร็วลงเมื่อเจอทางราบ แขนเล็กกระชับเอวสอบของคนข้างหน้าไว้แน่นเมื่อความง่วงเริ่มครอบงำจนตาจะปิดขยับซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นหลังของสารถีจำเป็น อี้ชิงยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าจงแดยอมอ่อนลงแล้ว

    ห้ามปล่อยล่ะ..เดี๋ยวจะพาซิ่งแล้ว

    “...”จงแดพยักหน้าหงึกหงัก เมื่อความเย็นสบายของสายลมดึงให้เปลือกตาหนักอึ้ง แขนเล็กกระชับกอดรอบเอวของอี้ชิง หลับตาลงปล่อยให้สายลมตีใบหน้าแผ่วเบา เสียงเพลงจากร้านพี่อี้ฟานเบาลงจนสุดท้ายก็ไม่ได้ยิน ก่อนเสียงนุ่มๆจะดังคลอมากับสายลม

    เสียงที่จงแดคุ้นเคย

     

    มุมปากยกยิ้มขึ้นจนแทบจะปิดไม่มิด...มีความลับที่อี้ชิงไม่เคยรู้ และจงแดจะไม่บอกให้อีกฝ่ายได้ใจ นั่นก็คือ เขาชอบเสียงของอี้ชิงมากจริงๆ

     

     

    หลับมาอีกแล้วล่ะสิเสียงนุ่มทักขึ้นพร้อมกับร่างของจงแดที่ถูกประคองให้นั่งลงบนเก้าอี้ของเจ้าตัว อี้ชิงพยักหน้าปลดกระเป๋าออกจากร่างของคนที่ฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะแทบจะทันที คล้องสายกระเป๋าใส่ที่วางกระเป๋าด้านข้างโต๊ะ ก่อนจะย้ายตัวเองไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง

    เมื่อคืนชวนเด็กแสบเล่นเกมส์อีกแล้วล่ะสิเสียงของลู่หานเรียกรอยยิ้มแหยๆจากคนมีความผิดติดตัวแทบจะทันที เมื่อมินซอกที่เมื่อครู่ยังลูบผมกล่อมจงแดหันขวับมาทันทีที่ได้ยิน อี้ชิงแยกเขี้ยวใส่ลู่หานที่หัวเราะร่วนใส่เขา เมื่อมินซอกเริ่มจิกตาใส่

    แต่เมื่อคืนก็หยุดเล่นก่อนเที่ยงคืนนะมินซอก

    แต่ก็ยังดึกไปอยู่ดีนะอี้ชิงอี้ชิงส่งเสียงแหะๆหลบสายตาก่อนจะนั่งลงบนที่ตัวเอง ทำเป็นก้มหยิบสมุดการบ้านขึ้นมาเนียนๆ อยากจะเตะลู่หานที่ส่งเสียงหัวเราะเยาะเขาอย่างออกนอกหน้า โชคดีที่มินซอกหันกลับไปสนใจจงแดที่ส่งเสียงอื้ออึงในลำคอเหมือนบอกให้เลิกเถียงกัน เขาถึงได้โอกาสตบหัวไอ้เพื่อนร่วมทีมชาวจีนนี่สักที

    ลู่หานส่งเสียงร้องอย่างโอเวอร์จนมินซอกหันกลับมาจิกตาใส่อีกรอบ ก่อนจะโดนจงแดคว้าแขนไปกอดและซุกตัวเข้าหา อี้ชิงมองภาพตรงหน้ารู้สึกขัดตาไปหมดเมื่อมินซอกยิ้มแล้วลูบผมเจ้าเด็กขี้เซาเบาๆ ทั้งๆที่ก็รู้ว่าทั้งคู่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่บางครั้งเขาก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่

     

    ก็ใครจะไปชอบเวลาคนที่ตัวเองชอบทำแบบนั้นกับคนอื่นกันล่ะ

     

    ตาเรียวจ้องมองใบหน้าน่ารักของมินซอกก่อนจะส่ายหัวให้กับความคิดของตัวเอง ระหว่างมินซอกกับจงแดมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เสียงไลน์แจ้งเตือน และทันทีที่นิ้วเรียวแตะลงไปภาพของแหวนคู่วงเกลี้ยงสลักเป็นลวดลายที่อี้ชิงเป็นคนออกแบบก็ปรากฏสู่สายตา เขามองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวข้างหน้าก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง

    ความลับอย่างหนึ่งที่อี้ชิงยังไม่ได้บอกให้ใครรู้คือ...เขาชอบมินซอก

     

     

     

    คนเยอะจังคนตัวผอมที่เกาะแขนมินซอกเอ่ยเสียงแผ่ว แต่ขาเล็กก็ก้าวตามลูกพี่ลูกน้องไปอย่างไม่อิดออด ตากลมมองซ้ายมองขวา ก่อนจะถูกมินซอกลากให้เดินไปอีกทาง เมื่อเห็นร่างสูงของลู่หานกวักมือเรียกอยู่ไกลๆ มินซอกยิ้มกว้างก่อนจะลากจงแดเดินเร่งไปหาลู่หาน

    ไง  หน้ามุ่ยเชียวจงแดลู่หานเอ่ยทักคนที่เดินหน้ามุ่ยมาแต่ไกลก่อนจะยื่นมือไปยีหัวเพื่อนทั้งสองเป็นการทักทาย มินซอกปัดออก ก่อนจะยกมือฟาดลู่หานที่หัวเราะร่าอย่างชอบใจ ในขณะที่จงแดมองหาอีกคน

    อาเล่ยล่ะ?”

    เตรียมตัวอยู่ข้างสนามน่ะ แต่ป่านนี้ไม่รู้โดนสาวๆรุมทึ้งไปแล้งหรือยังนะคนตากวางว่าพลางทำหน้ากวน จนเป็นมินซอกที่อดไม่ได้

    แล้วทำไม นายไม่ไปเตรียมตัว ออกมาทำไม?”

    อ่า ก็กลัวนายกับจงแดหาไม่เจอไง รีบไปดีกว่านะ ฉันเตรียมที่นั่งไว้ให้แล้วลู่หานยิ้มก่อนจะเดินเข้ามาประกบอีกข้างของจงแด ดันหลังให้เดินฝ่าผู้คนไปเรื่อยๆ มินซอกส่งเสียงฮึดฮัดเมื่อแขนยาวๆที่พาดผ่านไหล่ของจงแดจิ้มนิ้วเข้าที่แก้ม มินซอกปัดออกก่อนจะพองลมใส่ ในขณะที่คนตรงกลางกลับทำได้แค่หัวเราะแหะๆก่อนจะเงียบไป เพราะมัวแต่พะวงถึงคนที่ลู่หานบอกว่ากำลังจะโดนสาวๆทึ้งถึงไม่ทันรับรู้ว่าลู่หานกับมินซอกเถียงอะไรกันบ้าง จนกระทั่งเขาถูกดันให้นั่งแหมะลงบนอัฒจรรย์ ลู่หานสั่งให้เขานั่งรออี้ชิงเงียบๆตรงนี้ ซึ่งจงแดก็รับคำโดยดี เพราะถึงเข้าไปด้านในชมรมก็ไม่ได้รู้จักใครอยู่แล้ว มินซอกถูกลู่หานลากตัวไปให้ช่วยอะไรสักอย่างในฐานะที่เป็นผู้จัดการทีม ในขณะที่เขานั่งมองหาร่างของอี้ชิง จนสุดท้ายเสียงเพลงเชียร์จากอัฒจรรย์ฝั่งตรงข้ามดึงดูดไปโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะมาสะดุ้งก็ตอนที่มะเหงกลูกไม่เล็กไม่ใหญ่เคาะลงตรงหน้าผาก

     

    อาเล่ย!!คนตัวผอมยกมือขึ้นจับหน้าผาก ปากคว่ำมองหน้าคนที่ยืนทำหน้าตาไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะขยับหนีเมื่ออี้ชิงทิ้งตัวลงมานั่งเบียด

    ที่ก็มีตั้งเยอะแยะ!!

     

    อะไรงอนหรือไงเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้ายุ่งอี้ชิงก็เย้าแหย่ก่อนจะมองไปรอบๆเมื่อไม่เห็นคนที่ตัวเองอยากให้มาเชียร์ข้างสนามแต่ก็มองได้ไม่นานเมื่อเสียงแหลมๆนั่นแว๊ดขึ้นมาพร้อมกับขยับตัวหนี

    ไม่ต้องมายุ่งเลย!

    ขี้งอนว่ะ แล้วนั่นจะไปไหน? ใครให้ไปนั่งลงดีๆเลยอี้ชิงคว้าแขนของของหน้าบูดไว้ทัน ไม่ได้ดึงให้นั่งลงเพียงแต่จับไว้แล้วใช้สายตากดดันให้อีกฝ่ายทำตาม

    ปล่อยเลย เราจะกลับบ้านแล้ว ไม่อยากเชียร์คนนิสัยไม่ดีคนตัวเล็กกว่าเถียงพร้อมกับพยายามแงะมือของอี้ชิงออกจากแขน แต่รายนี้ก็ไม่ได้ยอมง่ายๆอยู่แล้ว ยิ่งเห็นใบหน้าน่ารักงอง้ำก็ยิ่งอยากแกล้ง

    ย๊าส์!!! จางอี้ชิง!!จงแดร้องเสียงหลง ทันเห็นแค่อี้ชิงกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ มือเรียวเพิ่มแรงจับรอบแขนเล็กก่อนจะดึงรั้งร่างของอีกฝ่ายเซมานั่งแหมะลงที่ตัก กอดรัดเอวบางของอีกฝ่ายไว้แน่น เสียงกรีดร้องเบาๆจากผู้คนรอบข้างไม่ได้ทำให้อี้ชิงสนใจแต่อย่างใด แค่รู้สึกอยากแกล้งจนลืมสังเกตอาการของคนที่สติหลุดจากร่างไปเสียแล้ว

    หัวใจของจงแดเต้นตึกตักๆจนน่ารำคาญ ใบหน้าเห่อร้อนเมื่อรับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่แนบชิดกับหน้าอกของอีกฝ่าย อี้ชิงยังคงหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ ใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดข้างแก้ม ในขณะที่จงแดกลับทำอะไรไม่ถูก

    แย่แล้ว..ล้อเล่นแบบนี้มันเกินไปแล้วนะ

    ทีนี้ยังจะหนีกลับได้อีกหรือเปล่าล่ะ

    “...”ราวกับสมองหยุดสั่งการ จงแดอ้าปาก แม้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบโต้ไปว่าอะไรในเมื่อสมองมันว่างเปล่าขนาดนี้ แต่แล้วอ้อมแขนของคนขี้แกล้งก็คลายออกแทบจะทันทีที่เสียงของมินซอกดังขึ้น

    อี้ชิงนายแกล้งจงแดอีกแล้วนะ!!

     

     

     

    การแข่งขันเป็นยังไงจงแดแทบจะดูไม่รู้เรื่องเลย...รู้อีกทีก็ตอนที่มินซอกสะกิด พร้อมกับเสียงโห่ร้องรอบข้างดังขึ้น ถึงได้รู้ว่าทีมอี้ชิงกับลู่หานชนะ นักฟุตบอลทั้ง 2 ทีม ทยอยเดินออกมาจากสนามหลังจากทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง จงแดถูกมินซอกดึงให้ลงมาข้างล่างอัฒจรรย์ ผ้าขนหนูผืนเล็กพร้อมกับน้ำเกลือแร่ถูกยัดใส่มือ เขายืนเก้ๆกังๆข้างๆมินซอกชะเง้อมองจนกระทั่งร่างของอี้ชิงที่ถอดเสื้อกีฬาพาดไว้กับบ่าเดินเข้ามาใกล้ แหวกขอทางเหล่าสาวๆที่มองตามตาละห้อย จนกระทั่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า มือเล็กเผลอยกขึ้นโดยอัตโนมัติ ก่อนจะชะงักเมื่ออี้ชิงหันไปจ้องหน้ามินซอกที่อยู่ข้างกัน

    ดูแลนักกีฬาหน่อยสิ คุณผู้จัดการรอยยิ้มล้อๆปรากฏอยู่บนใบหน้า มินซอกชะงักเมื่อสบเข้ากับสายตาของลู่หานที่เดินตามหลังอี้ชิงมา อี้ชิงมองท่าทีอึ้งๆของคนตัวเล็กก่อนจะยิ้มกว้าง คว้าเอาขวดน้ำในมือเล็กมาอย่างไม่ให้มินซอกปฏิเสธก่อนจะโดนแว๊ดอย่างเคยๆ จงแดกัดริมฝีปากกำขวดในมือแน่น เพราะเมื่อก่อนอี้ชิงจะวิ่งมาหาเขาก่อนเสมอ พอจู่ๆหันไปหามินซอกแทนก็เลยไม่ชิน...

    ลู่หานมองเลยมินซอกกับอี้ชิงไป ก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างเล็กของอีกคนที่ไหล่ตกอยู่ข้างๆ มือเรียววางแหมะลงบนผมนุ่มของอีกฝ่ายค้างไว้ ตากลมที่แฝงไปด้วยความหม่นหมองช้อนมองจนลู่หานใจหาย เขารู้ดีว่าจงแดรู้สึกยังไง..

    เขาเองก็คงไม่ต่างกันนักหรอก

    เช็ดให้หน่อยสิรอยยิ้มอบอุ่นถูกส่งมาก่อนเจ้าตัวจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จงแดยกยิ้มก่อนจะคลี่ผ้าขนหนูผืนเล็กวางลงบนหัวของอีกฝ่าย แต่เหมือนลู่หานเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบแกล้งจงแดไม่ต่างกัน ใบหน้าหล่อเหลาของกัปตันทีมยื่นเข้ามาถูลงบนไหล่ของคนตัวเล็กกว่าจนเจ้าตัวเสียงแหลม

    ย๊าส์ อาลู่!!!

    ก็บอกให้เช็ดไม่ได้ดีๆ ไม่ทำตามนี่นาลู่หานยิ้มเมื่อเห็นจงแดบ่นเสียงแหลม ใบหน้าหมองๆเมื่อครู่หายไปจนใจชื้นขึ้นมาบ้าง เสียงของคนรอบข้างซุบซิบและชี้ชวนให้ดูกับตันทีมกับหนุ่มน้อยน่ารักดึงให้สายตาของอี้ชิงหันไปมองบ้าง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เมื่อลู่หานก้มหน้าลงไปใกล้ร่างเล็กแล้วขยี้ผมอีกฝ่ายจนฟูไปหมด จนลืมสังเกตสีหน้าของมินซอกที่หมองลง

     

     

     

    บรรยากาศยามเย็นเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่จงแดชอบรองลงมาจากฝนตก และการที่ได้เดินรับลมเย็นๆตอนกลับบ้านก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้อารมณ์ดี วันนี้ทั้งอี้ชิงและลู่หานถูกเพื่อนร่วมทีมลากไปกินเลี้ยงกัน มินซอกเองก็ถูกชวนเพียงแต่เพราะไม่อยากทิ้งจงแดให้กลับบ้านคนเดียวก็เลยปฏิเสธไป ตากลมโตมองดูใบหน้าด้านข้างของจงแดก่อนคิ้วจะขมวดเข้าหากัน ความเคลือบแคลงใจจากเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงยังคงติดค้างอยู่ในใจ ใบหน้ายิ้มแย้มของจงแดยังคงเด่นชัดในสายตา เขาชอบเวลาที่เห็นจงแดยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้ ถึงจะไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมาแท้ๆ แต่มินซอกก็รักจงแดเหมือนน้องชายคนหนึ่ง เราทั้งคู่ไม่เคยมีความลับต่อกัน และเรื่องนี้มินซอกก็ไม่อยากให้มันค้างคาในความคิดไปมากกว่านี้ มินซอกไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไง ก็แค่อยากจะแน่ใจ

    ความลับของคิมมินซอกที่กำลังจะเปิดเผยคือ...

    เขาชอบลู่หาน

    แต่ถ้าหากจงแดชอบลู่หาน มินซอกก็จะได้ตัดใจ...

    คนตัวผอมฮัมเพลงเบาๆคลอกับเสียงเพลงที่ดังอยู่ในหู ปล่อยให้มินซอกจับมือเดินไปตามทางกันชนโน่นชนนี่ ก่อนจะหยุดเดินเมื่อจู่ๆหูฟังที่แบ่งกันฟังคนละข้างกับมินซอกถูกถอดออก

    มินซอกมีอะไรหรือเปล่า?”หันไปมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ก่อนจะพบกับใบหน้าอ้ำอึ้ง ที่ไม่ค่อยได้เจอจากมินซอกเสียเท่าไหร่ เพราะในบรรดาพวกเรา 4 คน มินซอกเป็นพี่ใหญ่ สิ่งที่จงแดเห็นจากเพื่อนคนนี้มีแต่ความเด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นกลัวอะไร ที่สำคัญยังคอยแต่ดูแลเขาจนเหมือนเขาเป็นน้องชายตัวเล็กๆอยู่เรื่อยเลย เพราะฉะนั้นเรื่องที่ทำให้มินซอกอ้ำอึ้งได้ขนาดนี้คงต้องเป็นเรื่องใหญ่มากๆ

    ไม่รู้ควรจะบอกดีหรือเปล่า?”คิ้วตกเลิกขึ้นเมื่อมินซอกก้มหน้าหลบ ก่อนริมฝีปากบางจะยกยิ้มกว้างเมื่อข้อความในหนังสือนิยายเมื่อวานเด้งขึ้นมาในหัว

    เรื่องที่ทำให้คนฉลาดเพลี่ยงพล้ำได้ก็มีไม่กี่เรื่องหรอก...

    ความรักไงล่ะ!!

    มินซอกกำลังมีความรักหรอ?”ตากลมของมินซอกเสหลบ แถมแก้มขาวๆยังขึ้นสีแดงจัดจนจงแดดีดนิ้วดังเปาะด้วยความชอบใจ ก่อนจะร้องโอยโอยจนโอเวอร์เมื่อโดนหยิกตรงแขน

    มินซอกเราเจ็บนะ ว่าแต่ใครอ่ะ เรารู้จักใช่มั๊ย?”ทำหน้าโอดโอยไม่เพียงแค่แว๊บเดียวก่อนจะตาเป็นประกายอยากรู้จนน่าหมั่นไส้ มินซอกเงียบลง ก่อนจะจับจูงมือของคนที่อยากรู้หลบเข้าข้างทาง มินซอกจ้องหน้าจงแดก่อนสักพัก แววตาใสๆของอีกฝ่ายทำเอามินซอกกลัวคำตอบขึ้นมาเฉยๆ

    จงแด ถามจริงๆนะ...คนอ่อนเดือนกว่าพยักหน้าหงึกหงักแม้จะงุนงงที่จู่ๆกลับโดนมินซอกตั้งคำถาม ทั้งที่เมื่อกี้มินซอกจะบอกความลับของตัวเองแท้ๆนายชอบลู่หานหรือเปล่า?”

    ห๊า!! จะบ้าหรือเปล่า เราจะไปชอบอาลู่ได้ยังไง เราไม่ได้..คนตัวผอมปฏิเสธเป็นพัลวัน ลิ้นพันกันไปหมด งงเป็นไก่ตาแตกที่จู่ๆมินซอกก็มาคิดว่าตัวเขาชอบลู่หาน ก่อนจะเหมือนถึงบางอ้อ เมื่อรอยยิ้มของมินซอกวาดขึ้นเต็มใบหน้า มือเล็กของญาติผู้พี่จับมือเขาไว้แน่น “...เดี๋ยวนะ นี่มินซอกชอบ..

    มือเรียวของพี่ใหญ่ขยี้ผมของจงแดอย่างหมั่นเขี้ยวเมื่อตากลมนั่นเบิกกว้าง ก่อนจะยิ้มจนตายิบหยีเมื่อความกังวลทุกอย่างหายวับไปกับตา

    อื้อ เราชอบลู่หาน..

     

     

     

     

    Friendship end

     

     

     

     

    ความลับของมินซอกนี่น่าตกใจสุดๆไปเลย...

    ร่างผอมในชุดนอนตัวเก่งนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงกว้าง ตากลมมองเพดานห้องสีขาวของตัวเองผุดลุกเมื่อเสียงมือถือบนโต๊ะหนังสือริมหน้าต่างดังขึ้น ตากลมเหลือบมองนาฬิกาก่อนจะกดรับเมื่อเห็นเบอร์ของอี้ชิงโชว์หรา แต่ยังไม่ทันได้กรอกเสียงลงไปปลายสายก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

    (เปิดประตูให้หน่อยสิ)

    ยังไม่ทันหายสงสัย เสียงเคาะกระจกก็ดังขึ้นเป็นลำดับถัดมา จงแดกดวางสายก่อนมือเล็กจะดึงผ้าม่านให้เปิดออก ร่างสมส่วนของปลายสายเมื่อครู่ยืนหน้าแนบกระจกพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง จงแดแกล้งทำเป็นถอนใจก่อนจะปลดล็อคประตูระเบียงให้อีกฝ่ายอย่างเคย

    ทันทีที่อี้ชิงเดินเข้ามากลิ่นสบู่อ่อนๆก็ลอยมาแตะจมูก

     

    เพิ่งกลับมาหรอ?”จงแดเป็นฝ่ายเอ่ยถามเมื่อร่างสูงเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนที่นอนเขาเงียบๆ อี้ชิงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงเสียดื้อๆ เจ้าของห้องได้แต่มองอย่างงงๆ ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ใบหน้าของอี้ชิงเป็นสีแดงจางๆ จนอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง มือเล็กเอื้อมไปวางบนหน้าผากอีกฝ่าย ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่ออี้ชิงเลื่อนมือขึ้นมาจับมือเขาไว้ ตาคมนั่นเปิดขึ้นมองหน้าเขานิ่งๆจนจงแดรู้สึกหายใจติดขัดไปหมด

    เอาไว้แบบนี้แหละ มันเย็นดีตากลมกระพริบปริบๆคล้ายกับยังงุนงง อี้ชิงจึงหัวเราะออกมาเบาๆ มืออีกข้างยื่นมาจับมือข้างที่เหลือของจงแดมาวางบนแก้มตัวนายเย็นดี ฉันชอบ

    นี่อาเล่ยเมาอยู่ใช่มั๊ย?”ตากลมหรี่มองคนที่นอนอยู่ ก่อนจะชักมือออก แต่อี้ชิงกับดึงรั้งแล้วฉุดเอาร่างผอมของเจ้าของเตียงลงมาแอ้งแม้งอยู่บนตัว แขนยาวโอบรัดเอาร่างของอีกฝ่ายไว้ จนจงแดได้แต่ดิ้นขลุกขลัก เนื้อตัวเย็นหลังจากอาบน้ำเสร็จของจงแดทำให้รอยยิ้มของอี้ชิงผุดขึ้นมาอีกครั้ง

    ตัวนายเย็นดีจัง

    ย๊าส์ อาเล่ย ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ นี่ทำหูทวนลมกับน้ำเสียงแหลมๆของคนในอ้อมแขน เขาดื่มไปมากพอควร แต่ก็เพราะรู้ลิมิตของตัวเองดี ถึงไม่ได้เมามายจนน่าเกลียด อาบน้ำเสร็จก็ยังรู้สึกว่าร่างกายมันยังร้อน ถึงรู้ว่าควรจะนอนแต่ขากับสั่งให้ปีนมาบ้านหลังนี้ซะงั้น มันอาจจะเป็นเพราะความเคยชิน เคยชินที่จะเห็นหน้าจงแด เคยชินที่จะต้องฟังเสียงแหลมๆแว๊ดคืนเวลาที่เขาแกล้งก่อนนอนทุกคืน

    จงแดได้แต่พ่นลมหายใจใส่คนขี้แกล้ง อยู่นิ่งๆเพราะรู้ว่าถึงจะดิ้นไปหากอี้ชิงไม่ยอมปล่อยเขาก็ไม่มีทางดิ้นหลุด ห่วงก็เพียงแต่ว่าอี้ชิงจะรับรู้ถึงเสียงหัวใจของเขาเพียงเท่านั้นแหละ ถ้าอี้ชิงรู้ว่าที่มันเต้นแรงไม่ใช่เพราะเขาดิ้นหนีจนเหนื่อยแต่มันเป็นเพราะเหตุผลอื่นจะทำยังไง

    จะเก็บความลับบ้าๆนี่ไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน...

    ความลับที่ว่าไม่ได้มองอี้ชิงเหมือนเดิมอีกแล้ว...ความลับบ้าๆนี่

     

    ตากลมกรอกไปมาเพราะคิดไม่ตกก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่ซอกคอของอี้ชิง สร้อยคอถักสีดำสะดุดตาแม้จะเห็นมันบ่อยในช่วงนี้ แต่เจ้าวัตถุสีเงินที่วาบวับสะท้อนแสงไฟนั่นต่างหากมือเล็กเอื้อมไปหาก่อนจะแตะมันเบาๆ

    อาเล่ย แหวน...ทันทีที่อี้ชิงได้ยินคำนั้นอีกฝ่ายก็ปล่อยแขนที่โอบรอบร่างของจงแดออก เจ้าของเตียงเด้งตัวออกจากอ้อมแขนโดยอัตโนมัติ จ้องมองอี้ชิงที่ค่อยๆลุกนั่งตาม มือเรียวของอีกฝ่ายจับอยู่ที่แหวนเงินคู่นั้น ก่อนลักยิ้มที่ข้างแก้มจะบุ๋มลงไป

    นายว่าโอเคมั๊ย?”อี้ชิงลูบแหวนคู่นั้นก่อนจะยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่จะมอบให้ ตาคมสบตาใสแจ๋วที่เต็มไปด้วยคำถามก่อนจะยกมือลูบผมอีกฝ่ายเบาๆ “...คิดว่ามินซอกจะชอบหรือเปล่า?”

    มินซอก...

    อื้อ ฉันออกแบบเองเลยนะ...อี้ชิงยังคงยิ้มเมื่อคิดถึงการตั้งอกตั้งใจออกแบบแหวนลวดลายที่คิดว่าเหมาะกับใครอีกคนกะว่าจะขอมินซอกเป็นแฟนแล้วก็จะให้แหวนนี่เลย นายว่าดีมั๊ย?..”อี้ชิงละสายตาจากแหวนก็พบว่าอีกฝ่ายก้มหน้านี่จงแด..

    เราไม่รู้หรอก..เราไม่ใช่มินซอก เราจะไปรู้ได้ยังไงร่างผอมผุดลุกขึ้นก่อนจะหันหลังให้ อี้ชิงมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความงุนงงก่อนจะลุกตาม มือเรียวยื่นไปจับแต่จงแดกลับสะบัดมือออก

    เป็นอะไรเนี่ย งอนอะไร หรือว่าไม่พอใจที่ฉันไม่ยอมบอกนายเรื่องนี้ก่อนอี้ชิงคิดว่าอีกฝ่ายคงน้อยใจ เพราะปกติเขาไม่เคยปิดบังเรื่องแบบนี้กับจงแดเลย เพียงแต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เขาก็แค่อยากจะทำอะไรให้แน่ใจก่อนไม่ได้อยากจะปิดบังอีกฝ่ายเสียทีเดียวจงแด..

    อาเล่ยกลับไปเถอะ เราง่วงแล้วยิ่งจงแดบอกปัดอี้ชิงก็ยิ่งเหมือนไม่พอใจ ปกติจงแดไม่เคยไล่เขาแถมไม่เคยหันหลังให้แบบนี้

    เราต้องคุยกันก่อน นายกำลังงอนเรื่องไม่เป็นเรื่องจงแดกระพริบตาปริบๆไล่หยดน้ำตาที่คลอรอบดวงตา ความเจ็บปวดมันบีบรัดจนเหมือนจะหายใจไม่ออกมาตั้งแต่รู้ว่ารู้สึกของอี้ชิงที่มีต่อมินซอกแล้ว แต่อี้ชิงก็ยังไม่เลิกละ ยังคิดว่าเขางอนเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมบอกเรื่องความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อมินซอก ขาเล็กก้าวหนีแต่อี้ชิงก็ยังดึงดัน

    นายไม่ใช่เด็กๆนะจงแด ถึงจะติดมินซอกมากขนาดไหน แต่ซักวันมินซอกก็ต้องมีแฟน..มันไม่ใช่เรื่องนี้หรอกอาเล่ย มันไม่เกี่ยวเลย

    เขาไม่ใช่เด็กติดพี่ เขาไม่ใช่เด็กหวงเพื่อนเหมือนอย่างที่อี้ชิงกล่าวหา

    อี้ชิงน่ะไม่เข้าใจอะไรหรอก...ไม่เขาใจอะไรเลย

    อีกอย่างพวกเราก็ยังเป็นเพื่อนกันไม่มีใครทิ้งนาย...เพราะงั้น..อี้ชิงเงียบลงเมื่อเห็นไหล่เล็กสั่นพอจับอีกฝ่ายหันกลับมาก็พบว่าใบหน้าของจงแดเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา มือเรียวยกขึ้นเช็ดน้ำตา แต่เหมือนกับว่ายิ่งจงแดมองหน้าเขาก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า อี้ชิงรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดพลาด คิดไปถึงคำพูดเมื่อไม่กี่นาทีก็รู้สึกวูบโหวงถึงจะชอบแกล้งจงแดมากแค่ไหนแต่สิ่งหนึ่งที่อี้ชิงไม่ชอบคือการที่เห็นจงแดร้องไห้ เขาไม่ได้เอะใจเลยว่าเพราะเหตุผลแค่นั้นคิมจงแดจะต้องร้องไห้ขนาดนี้เลยงั้นหรอ อี้ชิงไม่เคยรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองแสดงท่าทียังไงออกไป แต่สำหรับคิมจงแดที่ได้รับความห่วงใยจากคนที่กำลังบีบหัวใจของเขาด้วยคำพูดและการกระทำมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

    มันเจ็บ เจ็บแต่ไม่สามารถพูดอะไรได้

     

     

    ขอโทษที่พูดกับนายแรงไป...สุดท้ายอี้ชิงก็ดึงร่างผอมเข้าสู้อ้อมกอด คิดเพียงอย่างเดียวว่าที่จงแดร้องไห้เพียงเพราะคำพูดของเขา จงแดยืนนิ่งปล่อยให้น้ำตาหยดลงตามแรงโน้มถ่วงคำพูดขอโทษของอี้ชิงดังวนอยู่ในหัว เพียงแต่มันไม่ได้ช่วยบรรเทาความปวดหนึบของก้อนเนื้อตรงอกด้านซ้าย กลับกันมันกลับบีบรัดแน่นขึ้นไปอีก เมื่ออี้ชิงขยี้มันด้วยคำพูดของอีกฝ่าย

    ฉันชอบมินซอกจริงๆจงแด...มือเล็กกำเข้าหากันแน่น ปล่อยให้คำพูดของอี้ชิงแทรกผ่านโสตประสาท ก่อนจะผลักอีกฝ่ายออกอย่างแรงเมื่อได้ยินประโยคต่อมาฉันอยากให้นายช่วย..

    จงแด..

    กลับไปเถอะ เราช่วยอาเล่ยไม่ได้หรอกมือเล็กยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะดึงแขนของอีกฝ่ายเดินไปยังระเบียง ปากบอกปฏิเสธอี้ชิงไปอย่างไร้เยื่อใย

    อย่างเขาจะช่วยอี้ชิงได้ยังไง เขาไม่ใช่เพื่อนที่ดีขนาดนั้นหรอกนะอาเล่ย

    จงแดถ้านายไม่ช่วยแล้วฉันจะทำยังไง..ถ้ามินซอกไม่ตกลงล่ะ..อี้ชิงไม่เคยมั่นใจเรื่องความรู้สึกของมินซอกเลย เขากลัวเรื่องนี้มาตลอด เหมือนกับมินซอกมีใครสักคนในใจ อย่างน้อยเขาก็อยากให้จงแดอยู่ข้างๆ แค่จงแดอยู่ข้างๆเขาก็ไม่เคยกลัวอะไรเลย มันเป็นอย่างนั้นมาตลอด ถ้าเพื่อนตัวเล็กอยู่ให้กำลังใจเขาและช่วยเขาทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี

    มันเป็นเรื่องของอาเล่ย อย่าดึงเราเข้าไปเกี่ยว

    แต่นายเป็นเพื่อนฉัน นายจะไม่ช่วยฉันจริงๆหรือไงจงแด นายอยากให้เป็นคนอื่นมากกว่าฉันงั้นหรอ..

    ใช่สิ ถ้าเป็นคนที่มินซอกชอบมันคงจะดีกว่า

     

    แล้วถ้ามินซอกชอบคนอื่น อาเล่ยก็ยังจะทำหรอ..อี้ชิงชะงักไปสักพัก ตาคมมองสบกับตากลมของอีกฝ่าย แต่จงแดกลับเลื่อนประตูออกแล้วผลักอีกฝ่ายออกไปนอกระเบียง ใช้จังหวะที่อี้ชิงกำลังมองอย่างขอคำตอบเลื่อนประตูปิด

    มินซอกชอบใคร นี่จงแด นายไปรู้อะไรมา จงแด!อี้ชิงทุบกระจก แต่จงแดทำเพียงกัดริมฝีปาก ก่อนจะรวบรวมความกล้ามองคนตรงหน้าอีกครั้ง เราทั้งคู่ประสานตากันผ่านกระจกก่อนจะเป็นอี้ชิงที่เอ่ยออกมาก่อน

    ต่อให้มินซอกจะชอบคนอื่น ฉันก็จะแย่งมาอยู่ดี...ฉันไม่ยอมให้มินซอกเป็นของคนอื่นหรอก

    อาเล่ย เห็นแก่ตัวแววตาผิดหวังจากคนตรงหน้าคือสิ่งที่อี้ชิงได้รับ แต่ปากเจ้ากรรมก็พูดไปอย่างที่คิด

    ความรักมันไม่มีคำว่าเห็นแก่ตัวหรอกจงแด..ถ้านายรักใครนายก็จะทำแบบฉันอี้ชิงคิดเอาเองว่าความเจ็บแปลบเหมือนหัวใจถูกบีบอยู่ตอนนี้มาจากที่กังวลเรื่องของมินซอก ไม่เกี่ยวกับแววตาของคนตรงหน้า เขาเห็นจงแดก้มหน้า ก่อนภาพของอีกฝ่ายจงถูกปิดกั้นด้วยผ้าม่านสีฟ้าหม่น แต่ก็ยังทันได้ยินเสียงสั่นเครือนั่นอยู่ดี

    ไม่จริงหรอก..ผ้าม่านถูกดึงมากั้น จงแดปล่อยให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอไหลลงมาอีกครั้ง

    เราเองก็รักอาเล่ยแต่เราก็ยังไม่เห็นแก่ตัวเลย...

     

      

     

     

    Friendship end

     

     

     

     

    ร่างผอมเอนหลังพิงกับประตูบ้านก่อนจะขยับตัวออกมาเมื่อเสียงพูดคุยของมินซอกกับอี้ชิงเงียบลง

    คงไปกันแล้ว

    คนตัวเล็กถอนหายใจก่อนจะเดินออกมา เขาตื่นเช้ากว่าปกติเพราะคิดว่าวันนี้จะต้องออกเดินทางก่อนอี้ชิงจะตื่น แต่ว่าก็ช้ากว่า เมื่อก่อนมินซอกกับลู่หานจะไปโรงเรียนเช้ากว่าเขาและอี้ชิงอยู่เสมอ มินซอกซ้อนท้ายลู่หานเป็นประจำ เหมือนกับที่อี้ชิงจะจูงจักรยานมารอเขาที่หน้าบ้าน แต่ตอนนี้คงต้องเดินไปเองแล้วล่ะ

    ก็ในเมื่อที่ตรงนั้นมันมีเจ้าของแล้วนี่นะ

    คนตัวผอมกระชับเป้ในมือก่อนจะปิดประตูบ้าน แต่ไม่ทันจะเดินไปไหนร่างของใครอีกคนก็คว้าปกเสื้อด้านหลังไว้จนเขาเสียหลักแทบจะหงายหลัง

    อาลู่?”ตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่น ลู่หานยื่นกระเป๋าของตัวเองมาให้จงแดที่ยังยืนงงๆ แต่มือเล็กก็รับไปถืออย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินนำไปค่อมรถจักรยานแล้วตบเบาะหลังเบาๆ

    ขึ้นมาสิ เราต้องไปโรงเรียนกันนะจงแดพยักหน้าหงึกหงักน้ำตารื้นขึ้นเมื่อภาพของอี้ชิงซ้อนทับลู่หาน คนตัวผอมขึ้นนั่งซ้อนอีกฝ่าย ความรู้สึกไม่เคยชินคือสิ่งที่จงแดรู้สึกได้แทบจะทันที ลู่หานหันมาลูบหัวคนที่ซึมกว่าทุกวันก่อนจะเริ่มปั่นเมื่อจงแดเอื้อมมือมาจับที่เสื้อ ภาพด้านหน้าลู่หานคือแผ่นหลังของมินซอกที่ซ้อนอยู่บนจักรยานของอี้ชิง ขายาวผ่อนแรงถีบลงเมื่อคำพูดของเพื่อนดังอยู่ในหัว

    กูชอบมินซอกว่ะลู่หาน มึงช่วยออกห่างมินซอกจนกว่ากูจะเป็นแฟนกับมินซอกได้ไหมวะ

    ลู่หานก็แค่ผู้ชายขี้ขลาดคนหนึ่ง..

    สัมผัสของแขนเล็กที่โอบรอบเอวดึงสติของลู่หานให้กลับมายกยิ้มบางๆเสียงเพลงสากลดังคลอในสายลม ลู่หานกำเบรกมือจนกระทั่งล้อทั้งสองหยุดหมุน คนตัวสูงกว่าเอี้ยวตัวกลับมาหามือเรียวลูบผมของจงแดเบาๆ ก่อนจะยกยิ้ม

    เราแวะร้านพี่อี้ฟานกันดีมั๊ย จงแด?”

     

     

     

    ทำไมสองคนนั้นยังไม่มาอีกนะ อีกสิบห้านาทีก็ถึงคาบโฮมรูมแล้วแท้ๆอี้ชิงนั่งอมยิ้มมองใบหน้าบูดบึ้งของมินซอก ริมฝีปากบางๆของอีกฝ่ายกำลังบ่นพึมพำถึงเพื่อนอีกสองคนที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา สำหรับลู่หานอี้ชิงไม่ได้แปลกใจเพราะได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าเขาจะเป็นคนมารับมาส่งมินซอกทุกวันตั้งแต่วันนี้ แต่สำหรับอีกคน...

    ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี..

    คอยดูนะ มาถึงจะบ่นให้หูชาเลยมินซอกบานพึมพำพร้อมกับทำปากยื่น จนเขาหลุดขำกับความน่ารัก มือเล็กนั่นกดมือถือยุกยิกอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเจ้าตัวจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าปลายสายที่เฝ้าโทรหาอยู่หลายรอบยอมรับโทรศัพท์แล้ว

    จงแดอยู่ไหนเนี่ย?”

    อยู่หน้าห้องนี่ไง มินซอกเสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงจากปลายสาย แต่เป็นเสียงของคิมจงแดที่วิ่งหอบโผล่ใบหน้าพร้อมกับโชว์มือถือในมือให้พวกเขาเห็น รอยยิ้มสดใสของอีกฝ่ายวาดขึ้นเต็มใบหน้ามันดูทะเล้นจนมินซอกแยกเขี้ยวใส่ แต่เขาเห็นกับตาว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายค่อยๆหุบลงเมื่อมองเลยมายังเขา จงแดเดินตัวปลิวเข้ามาในห้อง ในขณะที่ลู่หานเดินหอบกระเป๋าของตัวเองและของคนที่เดินนำหน้าตามมาข้างหลังมินซอกมองตามในขณะที่ลู่หานยักไหล่ให้แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง จงแดทรุดตัวนั่งลงเมินที่จะทักคนที่นั่งข้างหลัง ก่อนจะโดนมินซอกเขกเข้าที่หน้าผากเบาๆ

    มินซอก ตีทำไมอ่ะจงแดทำปากยู่แต่ครั้งนี้มินซอกกลับมองว่ามันน่าแกล้ง มือเล็กถึงได้บีบจมูกเจ้าตัวแสบไปอีกที เพราะห่างกันเกือบเจ็ดเดือน แล้วยังมีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ มินซอกถึงได้เห็นจงแดเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ยิ่งนิสัยเหมือนเด็กๆนี่อีก

    แล้วพากันไปเถลไถลที่ไหนมา?”คราวนี้ไม่ใช่แค่จงแดที่โดนดุแต่ตากลมของพี่ใหญ่ตวัดไปจ้องลู่หานอย่างขอคำตอบอีกด้วยเมื่อเช้าตกใจหมดเลยที่จู่ๆ อี้ชิงก็มารออยู่หน้าบ้าน แถมนายก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉันอีก

    ขอโทษทีเมื่อเช้าตื่นสายน่ะลู่หานเมินแววตาที่แฝงความน้อยใจของมินซอกแล้วตอบแบบขอไปที อี้ชิงสะกิดขาเพื่อนยิกๆ เป็นสัญญาณให้ลู่หานพูดตามที่ตกลงกันไว้

    คราวหน้าก็บอกกันบ้างสิ จะได้ไม่ตกใจ วันไหนที่นายมาเช้าไม่ได้ฉันจะได้มาก่อน นี่ถ้าไม่ได้อี้ชิงนะ...

    ต่อไปมินซอกมากับอี้ชิงแล้วกัน..ลู่หานพูดแทรกขึ้นมาทั้งที่มินซอกยังไม่ทันพูดจนจบประโยค คนตัวเล็กหยุดชะงักก่อนจะมองหน้าลู่หานอย่างขอเหตุผล ใบหน้าของลู่หานยังคงไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา

    ก็ได้นะ ยังไงช่วงนี้ฉันก็กะว่าจะมาเช้าอยู่แล้ว มินซอกจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอไอ้ลู่มันไงอี้ชิงยิ้มมองมาที่มินซอกอย่างคาดหวังคำตอบ คิ้วของมินซอกขมวดเข้าหากันเป็นปมมองหน้าเพื่อนทั้งสองสลับกันไปมา

    ช่วงนี้ฉันคงออกสายๆหน่อยน่ะ  ก็เลยคิดว่าจะมาพร้อมจงแดเลย

    งั้นหรอ..ใบหน้าของมินซอกเหมือนยังไม่คลายสงสัย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องที่จะมากับอี้ชิงตากลมโตหันกลับมามองเพื่อนตัวผอมก็พบว่าจงแดกำลังตั้งใจกับการหาของในกระเป๋ามากเกินไป

    จงแดไหล่เล็กสะดุ้งก่อนจะหันมาหามินซอกด้วยใบหน้าตื่นๆ ก้มกัดริมฝีปากเมื่อโดนสายตาของมินซอกมองราวกับกำลังจับผิด จนกระทั่งเผลอสบตากับลู่หาน เสียงนุ่มของอีกฝ่ายก็ช่วยจงแดไว้อีกครั้ง

    วันนี้ให้จงแดลงมานั่งกับฉันได้ไหม พอดีอยากให้ช่วยสอนเรื่องที่เรียนเมื่อวานพอดีน่ะอี้ชิงกับมินซอกหันขวับไปมองคนพูดทันควัน ลู่หานเพียงแค่ยิ้ม ขยับดึงอี้ชิงที่นั่งอยู่ข้างๆให้ลุกขึ้น พยักหน้าให้คนตัวผอมที่กำลังงุนงง จงแดพยักหน้าตอบรับหอบของในอ้อมแขนเดินผ่านอี้ชิงไปเงียบๆ ตาคมของอีกฝ่ายจ้องมองมาจนน่าอึดอัดแต่จงแดเลือกที่จะไม่สนใจ

    ถ้าให้มองหน้าอี้ชิงตอนนี้ เขาอาจจะแสดงสีหน้าที่ไม่ดีออกไปก็ได้

     

     

    ตากลมจ้องมองแผ่นหลังกว้างของคนที่นั่งตรงหน้าไม่วางตา จงแดคงไม่รู้ว่าสายตาที่ใช้มองแผ่นหลังของอี้ชิงมันเจ็บปวดแค่ไหน แต่คนที่นั่งมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายอย่างลู่หานรับรู้มันได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างคงกำลังตีวนในหัวเต็มไปหมด ถึงขนาดที่ทำให้จงแดแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมา ใบหน้าเล็กก้มต่ำถอนสายตาออกจากแผ่นหลังของอี้ชิงเมื่อเสียงออดพักเที่ยงดังขึ้น แกล้งทำเป็นเขียนบางอย่างยุกยิกกับสมุดตรงหน้า ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงของอี้ชิง

    “มินซอก ตอนเที่ยงช่วยไปที่นึงด้วยกันหน่อยสิ”มือเล็กกำปากกาในมือแน่น น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรืออาจจะเป็นเพราะว่ารู้อยู่แล้วว่าเวลานี้ต้องมาถึง

    “ไม่ไปกันหมดนี่หรอ?”มินซอกกวาดตามามองในขณะที่อี้ชิงส่ายหน้ายิ้มๆ

    “พวกนายไปเถอะฉันกับจงแดมีนัดกันพอดี”ลู่หานแทรกขึ้นมา ผุดลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือมาคว้ามือเล็กของคนที่ก้มหน้านิ่ง อี้ชิงกับมินซอกขมวดคิ้วเข้าหากันแต่ลู่หานกลับไม่ได้สนใจ ก้มหน้าลงไปหาคนที่น้ำตารื้นอยู่พร้อมกับฉุดขึ้นมา

    “ไปกันเถอะจงแด”

     

     

    แซนวิชในมือยังคงถูกถือค้างไว้ จงแดนั่งนิ่งอยู่ข้างลู่หานมาเกือบสิบนาทีแล้ว ตากลมคู่นั้นไม่ได้คลอไปด้วยหยาดน้ำตาแต่ก็ฉายแววเศร้าเสียจนน่าใจหาย ลู่หานถอนหายใจก่อนจะแตะปลายนิ้วที่แก้มขาวเบาๆ

    “กินหน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวก็ต้องขึ้นเรียนแล้ว”

    “เราโดดเรียนได้มั้ย?”กลายเป็นว่าโดนตั้งคำถามใส่เสียอย่างนั้น ลู่หานส่ายหน้าก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่าย มือเรียวยกขึ้นลูบผมของจงแดเบาๆ

    “เหนื่อยมากหรือเปล่า?”จงแดพยักหน้าหลับตาลงเมื่อลู่หานลูบผมอีกครั้งความอบอุ่นจากฝ่ามือของลู่หานกำลังค่อยๆแทรกซึมเข้าสู่หัวใจดวงน้อยที่คอยเอาแต่บีบรัดให้รู้สึกปวดร้าว

    ความรักน่ากลัวเสมอ ถึงจะเคยอ่านเจอในหนังสือมาบ้าง และยังไม่เคยเจอกับตัวเองจงแดก็เคยนึกขยาดกับมันมาตลอด แต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อถึงวันหนึ่งเขาเองก็กำลังถูกความรักเล่นตลก

    มันเจ็บกว่าที่คิดไว้เสียอีก

     

    “เราต้องทำยังไงหรออาลู่...”สุดท้ายน้ำตาก็ไหลออกมา ดวงตาแดงก่ำช้อนมองคนที่ยังคงมอบความอบอุ่นผ่านดวงตามาให้ ลู่หานยกมือเกลี่ยหยาดน้ำตาที่เหมือนกับว่าจะไหลออกมาไม่หยุด เงียบฟังสิ่งที่จงแดอยากระบาย “เราไม่อยากเป็นแบบนี้..ฮึก..”

    “...”ลู่หานคว้าเอาร่างผอมบางเข้ามากอด กดใบหน้าของจงแดซุกลงกับอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสะอื้นหนักขึ้น ลูบผมปลอบราวกับจงแดเป็นเด็กตัวน้อยๆ ก่อนจะกอดรัดร่างผอมบางแน่นขึ้นเมื่อได้ยินประโยคแผ่วเบาคลอเสียงสะอื้น

    “..เราไม่อยากชอบอี้ชิงอีกแล้ว..เราต้องทำยังไง ..ฮึก..”

    “...”ลู่หานไม่ได้ให้คำตอบ เขาทำได้แค่หลับตาลงเมื่อรู้สึกถึงความแสบร้อนตรงกระบอกตา

     

    เพราะที่จริงแล้วลู่หานเองก็ให้คำตอบกับจงแดไม่ได้

    ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้ต่างกับจงแดเลย เขาก็แค่คนขี้ขลาด ที่ไม่กล้าเสี่ยงเพื่อความรู้สึกของตัวเอง

    เพราะฉะนั้นถึงทำได้แค่เฝ้ามองและเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองไว้

     

    ความรักมักเล่นตลกว่ามั้ย?


     

     Friendship end


    ต่อตรงนี้ค่ะ ^^

     

    อี้ชิง ชอบเราจริงๆน่ะหรอ?”

    เสียงมินซอกยังคงดังก้องอยู่ในหู ตั้งแต่เมื่อตอนพักเที่ยงที่รวบรวมความกล้าสารภาพรักออกไป แต่แทนที่จะตอบ มินซอกกลับเป็นฝ่ายถามกลับมาแทนซะงั้น

    เสียงกีต้าร์หยุดลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจ อี้ชิงวางกีตาร์ตัวโปรดลงข้างๆ ก่อนจะมองจ้องไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย เขาไม่รู้หรอกว่าตอนที่มินซอกเอ่ยถามกลับมาด้วยประโยคนั้นเขากำลังทำหน้าตายังไงอยู่ แต่ที่เขาต้องมานั่งเครียดอยู่อย่างนี้เพราะตอนนั้นแทนที่จะตอบไปให้อีกฝ่ายมั่นใจในความรู้สึกของเขา เขากลับเงียบ…

    เพราะอะไรงั้นหรอ? จางอี้ชิง

    เขาเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนที่มั่นใจในความรู้สึกองตัวเองมาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เขาซื่อตรงเสียจนบางครั้งก็โดนลู่หานมันด่าว่าพูดตรงและไม่รักษาน้ำใจคนอื่น เขาแทบจะไม่เคยแคร์ด้วยซ้ำว่าคนอื่นจะคิดยังไง แล้วทำไมตอนนั้นถึงได้เงียบไป..

    ทำไมถึงไม่ยืนยันให้มินซอกเชื่อล่ะ ว่าที่เขาบอก ชอบ อีกฝ่ายไปมันคือเรื่องจริง

    เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…

    หรือเพราะภาพของลู่หานกับจงแดที่เหมือนตรึงพวกเราทั้งคู่ให้หยุดประโยคเหล่านั้นไว้

    เขาเป็นคนบอกให้ลู่หานออกห่างจากมินซอกเพื่อให้เขาได้อยู่กับมินซอกแทน แต่จงแดจำเป็นจะต้องเอาตัวออกห่างจากเขาขนาดนี้งั้นหรอ? เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับจงแดเลย จงแดไม่เห็นจำเป็นจะต้องตัวติดกับลู่หานขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ห่างจากเขาและมึนตึงขนาดนี้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องให้ลู่หานกอด และนอนหลับในอ้อมแขนของลู่หานขนาดนั้น

    ไม่จำเป็นจะต้องให้ลู่หานมาแทนที่เขา

    เขาไม่ชอบ ไม่ชอบเอามากๆเลย

    อี้ชิงแค่นยิ้มให้ตัวเองเมื่อเขากลับมาคิดเรื่องของจงแดอีกแล้ว ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันที่จงแดขอย้ายลงไปนั่งกับลู่หาน มันทำให้เขารู้สึกอายแทนตัวเอง ทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นสาเหตุที่เขากับจงแดทะเลาะกัน คำพูดที่เคยว่าอีกฝ่ายว่าเป็นเด็กหวงเพื่อน อยากยึดมินซอกไว้ข้างๆไม่อยากให้มินซอกมีคนอื่น ไม่อยากให้ตัวเองถูกลดความสำคัญ กำลังย้อนกลับมาหาเขา  ยิ่งเห็นลู่หานถูกเรียกหาและได้อยู่ใกล้ชิดมันก็ยิ่งชัดเจน

    ความรู้สึกที่ไม่อยากให้ใครไปแทนที่ตัวเอง ความรู้สึกที่ว่าเขาเองก็เอาตัวเองไปติดกับจงแดจนแยกไม่ออก…

     

    แกร๊ก

    เสียงประตูระเบียงที่แทบจะปิดตายไปวันนั้นเปิดออกอย่างไม่ทันตั้งตัว อี้ชิงขมวดคิ้วเมื่อมองนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่ามันดึกเกินกว่าที่เด็กดื้ออย่างคิมจงแดจะยังไม่นอน เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเลือกที่จะผลุบเข้าไปหลบหลังประตูบานเลื่อนที่เปิดไว้ แทนที่จะเผชิญหน้ากันตรงๆ แต่ตอนที่ร่างผอมบางในชุดนอนลายโปรดของเจ้าตัวก้าวออกมาและมองมายังห้องของเขาด้วยแววตาเศร้าสร้อย หัวใจของอี้ชิงก็บีบรัดจนแน่นไปทั้งอก จนเขาต้องยกมือขึ้นมาทาบมันด้วยความแปลกใจ

    บ้าจริง ต่อหน้ากลับไม่ยอมพูดกับเขา แล้วลับหลังก็มาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้…

    ดึกแล้ว ทำไมยังไม่นอนเขาเห็นอีกฝ่ายสะดุ้งโหยงตอนที่เขาเอ่ยขึ้นและปรากฏตัวให้เห็นอย่างไม่ทันตั้งตัว คิมจงแดหันหลังขวับตั้งท่าเดินหนีอย่างที่ทำในช่วงนี้ อี้ชิงเผลอสบถก่อนจะแทบจะกระโจนไปหา ก่อนเสียงโครมครามจะดังขึ้น เมื่อเท้าไปเตะสะดุดเข้ากับกีตาร์ตัวเก่ง

    โอ๊ย!!เป็นครั้งแรกที่อี้ชิงนึกไม่ชอบกีตาร์ของตัวเองมากกว่าที่จะห่วงว่ามันมีรอยบุบสลายหรือเปล่า คิมจงแดคงหนีไปแล้วแน่ๆ มือเรียวจับราวระเบียงก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้น โชคดีที่เมื่อกี้เขาไม่ได้เอาหน้าผากไปกระแทกเข้ากับระเบียงหรือพื้น ไม่อย่างนั้นไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเป็นยังไง เพราะมัวแต่สนใจและก่นด่าว่าตัวเองเลยไม่รู้สึกถึงอีกหนึ่งชีวิตที่ยืนอึ้งอยู่ คนที่อี้ชิงคิดว่าคงหนีเข้าห้องไปแล้วกำลังยืนกัดริมฝีปากของตัวเองราวกับช่างใจว่าควรจะทำยังไง เพราะคิมจงแดไม่ใช่คนใจร้าย แต่ถ้าจะให้สู้หน้าอี้ชิงตอนนี้ก็คงไม่กล้า..

    แม้จะเป็นห่วงจนเผลอหันกลับมาดู แต่ถ้าอี้ชิงไม่เป็นไร..

    หมับ!!

    ข้อมือเล็กถูกดึงคว้าไว้เร็วกว่าที่คนตัวผอมจะหนีทัน อี้ชิงนึกขอบคุณความมือไวของตัวเอง ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วพบอีกฝ่ายในระยะประชิดที่สามารถคว้าไว้ได้

    ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ อี้ชิงมองข้อมือเล็กในมือเขาก่อนจะเลยไปยังใบหน้าที่ก้มต่ำ ความรู้สึกอึดอัดมันอบอวลไปทั่วพวกเขาทั้งคู่จนเหมือนจะหายใจติดขัด ลามไปถึงอาการน้ำท่วมปาก ก่อนประโยคแสนงี่เง่าจะหลุดออกมาจากปากเขา พร้อมกับข้อมือเล็กที่ถูกปล่อยออก

    พรุ่งนี้ไปโรงเรียนด้วยกันนะ...

    อี้ชิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดประโยคนั้นออกไปด้วยน้ำเสียงแบบไหน...

     

     

    Friendship end

     

     

    เพราะเมื่อคืนจงแดไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เช้านี้อี้ชิงถึงได้ตื่นแต่เช้าตรู่และจูงจักรยานมารออยู่หน้าบ้านของอีกฝ่าย เขาจอดจักรยานไว้เยื้องๆระหว่างบ้านของมินซอกกับจงแดก่อนจะเดินมาเอนหลังพิงกับเสาที่อยู่ติดกับประตูรั้วบ้าน เขากำลังคิดหาคำพูดตอนที่ต้องเจอหน้ากันจังๆกับจงแดไม่เอาแบบที่โคตรงี่เง่าเหมือนเมื่อคืน ก่อนจะถูกฉุดออกจากภวังค์เพราะเสียงของลู่หานเอ่ยทัก

    ทำไมมาอยู่นี่?”ลู่หานเลิกคิ้วถามหน้าตาดูมึนงงที่เห็นเขามายืนหน้าสลอนอยู่หน้าบ้านจงแดแทนที่จะเป็นบ้านมินซอกซึ่งอยู่ติดกันอย่างทุกวัน อี้ชิงทำแค่ถอนหายใจ ก่อนจะอ้ำๆอึ้งๆตอบเบาๆว่ามารับจงแด แต่เพียงแค่นั้นลู่หานก็หัวเราะหึๆ พร้อมกับปล่อยคำพูดที่เป็นเหมือนหมัดหนักๆกระแทกเข้าใส่หน้าอย่างจัง

    จงแด พูดกับมึงแล้วหรอ?”

    “...ก็..อี้ชิงอ้ำอึ้งนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็เหมือนเพิ่งนึกได้ว่าจงแดยังไม่ตอบอะไรเลย พอข้อมือตัวเองถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เด็กนั่นก็แค่เดินกลับเข้าไปในห้องตัวเองเงียบๆ ต่างจากเขาที่ใจมันเต้นตึกตัก เพราะความกังวล

    เอาเถอะ ยังดีที่มึงยังรู้สึกอะไรบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้จงแดเป็นอยู่คนเดียวคำพูดของลู่หานสร้างความมึนงงอยู่ไม่น้อยแต่ก่อนที่จะได้ไถ่ถามอะไรเพื่อนตัวกวน ประตูหน้าบ้านมินซอกก็เปิดออกก่อน ร่างขาวปิดรั้วบ้านก่อนจะมองมาที่พวกเขาสองคนด้วยสายตาเคลือบแคลง คล้ายไม่ไว้ใจ

    มาชุมนมอะไรกันแต่เช้า?”

    ก็อี้ชิงมัน..

    มินซอกคือว่าวันนี้อี้ชิงโพล่งออกมาก่อนที่ลู่หานจะได้ทันพูดอะไรต่อเขาสาวเท้าเข้าไปหาคนที่เมื่อวานเพิ่งจะสารภาพรักไปหยกๆ ก่อนจะทำหน้าเจื่อนๆใส่ แต่เหมือนมินซอกจะมีตาทิพย์

    จะง้อจงแดงั้นหรอ?”

    คือว่ามันไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ พวกนายก็รู้สึกแบบนั้นใช่มั๊ยล่ะอี้ชิงพยายามหาแนวร่วมเพื่อลดอาการเคอะเขินแปลกๆของตัวเอง ทั้งๆที่แย้งในใจว่าเขาไม่ได้จะง้อเพื่อนตัวผอม มันก็แค่เป็นการปรับความเข้าใจกันเท่านั้น แต่เพื่อนทั้งสองกลับพากันส่ายหน้า ยิ่งมินซอกยิ่งมองเขาด้วยสายตาแปลกๆจนแทบจะลืมไปว่าตัวเองควรจะอึดอัดและไม่ชินกับคนที่เพิ่งบอกชอบไปไม่ใช่หรอ แต่นี่เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยด้วยซ้ำ

     

    แกร๊ก

    ประตูรั้วของเจ้าของบ้านเปิดออกถูกจังหวะ ทั้งสามคนหันไปจ้องเป็นสายตาเดียวกัน ก่อนคนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่จะก้าวออกมา จงแดดูชะงักไปเล็กน้อยตอนที่เห็นอี้ชิงยืนอยู่หน้าบ้าน คนตัวผอมเผลอกอดกระเป๋าในอกแน่นก่อนจะมองไล่แต่ละคน แต่นั่นแหละ ยกเว้นอี้ชิงไว้คนนึง

    เอาหล่ะ มาพร้อมแล้ว งั้นก็ไปกันได้แล้วมั้ง?”มินซอกทำเป็นไม่เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของน้องเล็กของกลุ่ม รวมถึงท่าทางอ้ำอึ้งของอี้ชิง ปากเล็กที่มักจะพ่นคำพูดที่คาดไม่ถึงเสมอ ทำหน้าที่อีกครั้งว่าแต่จงแดไปกับอี้ชิงหรือลู่หานล่ะ?”

    พี่ใหญ่ดูสนุก แต่คนที่ถูกโยงเข้าไปสู่บทสนทนาดังกล่าวนั่นหน้าซีดเผือดไปแล้ว อี้ชิงจ้องจงแดเขม็งราวกับกดดันให้อีกฝ่ายจำสัญญาเมื่อคืน ซึ่งเขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธเลยด้วยซ้ำ คนตัวผอมก้มหน้านิ่งกัดริมฝีปาก

    ก็เป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่หรอ แล้วมินซอกจะถามแบบนั้นทำไม..

    ก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกัก แต่ทำให้อี้ชิงรู้สึกหน้าตึงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

    ระ เราจะไปกับอาลู่

    แต่ฉันนัดกับนายไว้แล้วนะ!!อี้ชิงคิ้วขมวด หน้ายุ่งโพล่งขึ้นเสียงดัง จนจงแดสะดุ้งโหยงคนตัวผอมช้อนตา มองอี้ชิงแว๊บเดียวก่อนจะหันไปหาลู่หาน แววตาขอร้องเรียกให้ลู่หานเดินเข้าไปคว้าเอากระเป๋าในมือของอีกฝ่ายมาถือไว้ก่อนจะจูงมือจงแดผ่านหน้าอี้ชิงที่ยืนมองตาจะถลน อี้ชิงรู้สึกเหมือนตาฝาดที่เห็นลู่หานมันยักคิ้วคล้ายกับกำลังเยาะเย้ยสมน้ำหน้า มินซอกหัวเราะหึๆในลำคอก่อนจะตวัดแขนกอดคออี้ชิงบ้าง รั้งคอเพื่อนไว้อย่างไม่สนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า จนกระทั่งลู่หานพาจงแดออกไปจากตรงนั้น มินซอกถึงได้ตบบ่าเพื่อนบุๆ ราวกับให้กำลังใจ

    ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ อี้ชิงคงต้องไปกับเราเหมือนเดิมนั่นแหละ

    เมื่อกี้เขาจะคิดว่าตัวเองตาฝาดแล้วกันที่เห็นมินซอกเหยียดยิ้มเหมือนสมน้ำหน้าเขา…

     

    ตลอดทางเงียบมาก แต่มินซอกก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เขาถอนหายใจออกมาหลายรอบแล้วด้วยเหตุผลหลายอย่าง คนนึงก็โง่ที่ไม่รู้แม้กระทั่งหัวใจตัวเองอีกคนนึงก็คิดไปเองและเป็นคนดีจนน่าสงสาร ส่วนอีกคนก็ทำตัวเป็นพระเอก...จนน่าหมั่นไส้ แต่เพราะไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่งทั้งๆที่ตัวเองถูกดึงเข้าไปเกี่ยวเต็มเปานั่นแหละถึงได้อยู่เงียบๆแบบนี้ ทำได้แค่ขีดเส้นให้คนที่คิดเอาเองว่าตัวเองชอบเขารู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้

    นี่ อี้ชิงเขาได้ยินเสียงตอบรับ อืม เบาๆก็นึกอยากจะตบหัวสักที แต่พอคิดว่าอีกคนคงยังอารมณ์ไม่ดีค้างมาจากเมื่อครู่ก็เลยหยวนๆให้ชอบเราตรงไหน?”

    ห๊ะ!จางอี้ชิงกำเบรกมือแทบจะทันทีก่อนจะหันมามองหน้าเขา ตาที่มักจะปรือๆนั่นเบิกกว้าง ก่อนริมฝีปากจะสั่นคล้ายกับยังคิดคำตอบไม่ออก

    ตกใจทำไม? มันก็เป็นคำถาม Basic ที่ควรจะต้องรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ?” มินซอกโดดลงจากเบาะหลัง เมื่อเห็นว่าอีกประมาณแค่ไม่เกิน 200 เมตรก็เข้าเขตโรงเรียนแล้ว อี้ชิงจึงเปลี่ยนเป็นจูงจักรยานแล้วเดินข้างๆเพื่อนตัวเล็กกว่าแทน

    จะไม่ตกใจได้ยังไง ก็จู่ๆก็มาถามอี้ชิงอ้ำอึ้ง ก่อนจะตอบออกมาเสียงเบา

    งั้นก็ลองบอกมาสิ

    แล้วถ้าบอกแล้วมินซอกจะตอบตกลงหรือเปล่า?”

    เอาไว้คิดอีกทีมินซอกตอบปัด เขาได้ยินเสียงโอดโอยของอี้ชิงจนสุดท้ายคนท่ามากก็เริ่มจริงจังเสียที

    มินซอกน่ารักนะ ดูเป็นผู้ใหญ่ มีความคิด ดูแลพวกเราได้ดี แล้วก็น่าจะเข้ากับเราได้..

    อะไรที่อี้ชิงคิดว่าเราจะเข้ากับอี้ชิงได้ ไอ้พวกข้อดีที่พล่ามมาน่ะนะคิ้วมินซอกขมวดเข้าหากัน ทำไมฟังเหตุผลของอี้ชิงแล้วเขากลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกแฟนบอยผู้คลั่งไคล้ กำลังพรรณาบุคลิกเด่นของตัวเองอยู่กลายๆ

    มินซอกสามารถคุมเราได้

    จาง อี้ชิงคราวนี้เสียงของพี่ใหญ่ของกลุ่มกดต่ำจนคนฟังเลิกคิ้วเป็นเชิงไม่เข้าใจถึงอารมณ์มืดครึ้มลงเรื่อยๆของคนตรงหน้า ก่อนมินซอกจะถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด แล้วย่างสุมเข้ามาหา

    แน่ใจนะว่าชอบเราจริงๆมินซอกหรี่ตา ก่อนจะยื่นมือออกไปแตะที่หน้าอกอีกฝ่ายพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกแทบจะชนกัน อี้ชิงผงะถอยหลังตาเรียวที่เมื่อครู่ยังดูลอยๆนั่นเบิกกว้างมีชีวิตชีวาขึ้นหนึ่งระดับก่อนจะร้องโวยวายด้วยความตกใจ

    อะไรเนี่ย มินซอกจู่ๆก็..

    นายไม่ได้ชอบเราหรอกอี้ชิงพี่ใหญ่ของกลุ่มถอนหายใจ ดึงมือออกมาจากหน้าอกของอีกฝ่าย พิจารณามองใบหน้ามึนๆอึนๆนั่นก็อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง ถ้าชอบเขาจริงแล้วทำไมไม่มีอาการเขินอายอะไรเลยล่ะอี้ชิง หัวใจนายก็ไม่ได้เต้นผิดจังหวะอะไรเลยด้วยซ้ำ

    นายนี่โง่เข้าขั้นเลย...มินซอกยิ้มก่อนจะมองหน้าอี้ชิงนิ่ง เอาเถอะจะไม่บอกหรอกว่าเจ้าตัวชอบใครกันแน่ เพราะเรื่องอย่างนี้ต้องรู้ด้วยตัวเอง แต่อย่างว่าแหละมินซอกน่ะเป็นคนตรงๆมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่เนอะ

    แล้วก็ที่นายขอคบน่ะ ขอปฏิเสธนะ เพราะเรามีคนที่ชอบอยู่แล้ว

    สิ้นคำปฏิเสธแบบหนักแน่นและไร้การอ้อมค้อมใดๆคิมมินซอกก็เดินตัวปลิวทิ้งอี้ชิงไว้ข้างหลังอย่างไม่ใยดี



     

    แต่ที่น่าแปลกกว่าคำปฏิเสธแบบตรงไปตรงมาของมินซอกคือหัวใจของเขาเอง มันไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด..

    ทั้งๆที่โดนมินซอกปฏิเสธ เขาอกหักอย่างสมบูรณ์แบบ

    อี้ชิงโดดเรียน หลังจากที่โดนมินซอกทิ้งแล้วเดินเข้าโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เขาแค่รู้สึกว่าอยากใช้เวลากับตัวเองสักหน่อย มากกว่าอาการเสียใจ เขาคิดว่ามันคือความรู้สึกเสียหน้ามากกว่าที่โดนปฏิเสธ และสิ่งที่ตามมาก็คือความสงสัยที่มีมากกว่า มินซอกบอกว่าเขาไม่ได้ชอบมินซอก รวมถึงที่มินซอกบอกว่ามีคนที่ชอบแล้ว..

     

    แล้วถ้ามินซอกชอบคนอื่น...

    เหมือนกับที่จงแดบอกเขาวันนั้นเลย วันที่เราทะเลาะกัน...แถมวันนั้นยังแสดงความดื้อดึงเห็นแก่ตัวว่าไม่สนใจว่ามินซอกจะชอบใครก็จะแย่งมินซอกมาให้ได้ แต่เอาจริงๆพอโดนมินซอกปฏิเสธกลับเดินถอยออกมาอย่างง่ายดาย นอกจากนั้นยังต้องมานึกโกรธตัวเองที่ทำให้จงแดร้องไห้เพราะความหวังดีที่ถูกละเลยนั่นอีก

    จางอี้ชิงนี่เป็นเพื่อนที่แย่ชะมัดเลย…

    เขาเอนหลังพิงต้นไม้หลับตาแล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ความอึดอัดในอกเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อจู่ๆยิ่งคิดไปถึงวันนั้น ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของจงแดฉายในหัวมันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กนั่นต้องเป็นห่วงเขาแค่ไหนกันนะ เขาทำให้คนที่พูดเจื้อยแจ้วอย่างจงแดเงียบไปแบบนี้ตั้งกี่วันแล้ว ยิ่งพอโดนมินซอกปฏิเสธแบบนั้น อี้ชิงกลับคิดถึงจงแดขึ้นมาแทบจะทันที เวลาเจอปัญหาอะไรแม้ว่าจงแดจะช่วยอะไรไม่ได้แต่เด็กนั่นก็มักจะดึงดันอยู่ข้างๆเขาเสมอ

    แย่มาก อี้ชิงรู้ว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่แย่มาก

    แต่ตอนนี้เขาคิดถึงจงแดมากจริงๆ…

     

     

    Friendship end

     

     

    อี้ชิงกลับมาถึงหน้าทางเข้าหมู่บ้านตอนสองทุ่มครึ่ง และตอนนั้นเขาก็เจอกับเพื่อนสนิทอย่างลู่หานที่กำลังขี่จักรยานสวนออกมาด้วยท่าทางรีบเร่งพอดิบพอดี รีบจนเหมือนจะมองไม่เห็นเขา ก็เลยตัดสินใจตะโกนเรียกเพื่อนออกไป และโชคดีที่ลู่หานได้ยินและหยุดจักรยานคู่ใจมาสนใจเขา

    รีบไปไหนวะ?”อี้ชิงเปิดปากถาม แต่เพื่อนตัวดีกลับทำหน้าอึกอักคล้ายกับไม่อยากบอก จนกระทั่งมือถือของลู่หานดังขึ้นและตอนที่ลู่หานหยิบมันขึ้นมาอี้ชิงก็เหลือบเห็นชื่อของคนโทรเข้ามาพอดี

    ตอนนั้นเองใบหน้าของอี้ชิงก็มืดครึ้มคล้ายเมฆฝนที่กำลังตั้งเค้า

    “ลู่หาน จงแดอยู่ที่ไหน?”

     

     

     

    “แพคฮยอนกลับไปก่อนก็ได้นะ อาลู่กำลังจะถึงแล้ว”จงแดบอกเพื่อนในชมรมที่ปักหลักนั่งรอเป็นเพื่อนอยู่ไม่ห่าง แพคฮยอนเอาแต่มองนาฬิกาที่ข้อมือสลับกับถนนตรงหน้า ก่อนจะหันมาส่ายหน้าแล้วหยิกจมูกเพื่อนตัวผอมอีกรอบ

    “รออยู่นี่แหละ ถ้าลู่หานมาแล้วเจอว่าฉันปล่อยให้จงแดอยู่คนเดียวล่ะก็ เดี่ยวหน้าจะหมดหล่อ”แพคฮยอนเอ่ยล้อๆ นึกถึงใบหน้าหวานแต่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดไม่เป็นสองรองใครของกัปตันทีมฟุตบอลแล้วก็ได้แต่ขยาด

    “อาลู่ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นซะหน่อยนะ”คนเป็นเพื่อนสนิทเอ่ยแก้ตัวแทน ก่อนจะยกมือฟาดเมื่อเพื่อนร่วมชมรมทำปากขมุบขมิบล้อเลียน “แพคฮยอนทำไมชอบแกล้งแบบนี้ อ๊ะ!!

    “เป็นอะไรไปจงแด!”เพราะจู่ๆเสียงแหลมๆของอีกฝ่ายก็หยุดลง แถมยังมีท่าทีแปลกๆ มือเล็กๆนั่นยกขึ้นปิดตาข้างซ้ายในขณะที่ตาข้างขวาหรี่ปิด “ฝุ่นเข้าตางั้นหรอ? ไหนมาให้ฉันดูซิ”แพคฮยอนกุจีกุจอจับมือเล็กๆนั่นออกอย่างทะนุถนอม ใบหน้าขยับเข้าใกล้เมื่อจงแดได้แต่ครางหงิงๆ คล้ายจะร้องไห้อยู่มอรอมมอร่อ

    “มองขึ้นไปข้างบนซิ อ่ะ เจอแล้ว”ไม่ใช่ฝุ่นที่ไหนหรอก ขนตายาวๆของจงแดนั่นเองที่เป็นต้นเหตุ แพคฮยอนใช้ผ้าเช็ดหน้าเขี่ยมันออก แถมท้ายด้วยการเป่าหน้าผากเพื่อนตัวผอมไปด้วยความหมั่นเขี้ยว

    “ย๊าส์ แพคฮยอน!!”มือเล็กฟาดเข้าที่ไหล่ของเพื่อน ใบหน้าล้อเลียนของแพคฮยอนเรียกความหมั่นไส้ขึ้นอีกเท่าตัว แต่ยังไม่ทันได้ทำตามใจชอบ เสียงตวาดดังลั่นก็ดังขึ้น

    “ทำบ้าอะไรวะ!!

    “แพคฮยอน!!”จงแดร้องเสียงหลงเมื่อทั้งเขาและเพื่อนถูกมือคู่หนึ่งกระชากออกจากกัน ก่อนใบหน้าของแพคฮยอนจะหันไปตามแรงหมัดของเจ้าของแผ่นหลังที่จงแดจำได้ดี “หยุดเดี๋ยวนี้นะอี้ชิง!!

    “จงแดอย่าเข้ามา/อย่ามายุ่ง!”ประโยคแรกเป็นของแพคฮยอนที่ร้องเตือนไม่ให้เพื่อนตัวผอมเข้ามายุ่งเพราะกลัวได้รับอันตราย ส่วนเจ้าของประโยคที่เอ่ยแทรกขึ้นมานั่นคืออี้ชิง ใบหน้าที่จงแดเลือกที่จะหลบหน้าครุกกรุ่นไปด้วยอารมณ์โกรธ โดยที่จงแดไม่เข้าใจ หมัดของอี้ชิงง้างขึ้นเตรียมต่อยที่หน้าของแพคฮยอนที่พยายามจะปัดป้องอีกครั้ง

    “อาเล่ย เราบอกให้หยุด!”จงแดแผดเสียงลั่นร่างผอมกระโดดเข้าไปคว้าหมัดของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะผลักอี้ชิงออกพร้อมกับกางแขนกั้นแพคฮยอนไว้ด้านหลัง ตากลมแดงก่ำจ้องมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของอี้ชิงอย่างไม่เข้าใจ

    “ถอยไปจงแด ฉันจะสั่งสอนที่มันล่วงเกินนาย”อี้ชิงตวาดเสียงลั่นจ้องร่างของแพคฮยอนคล้ายกับกำลังจะเผาไหม้ให้เป็นจุล แต่จงแดกลับส่ายหน้า “ฉันบอกให้ถอยไปไง คิมจงแด!!!

    “อาเล่ยต่างหากที่ต้องถอยไป ห้ามแตะต้องแพคฮยอนเด็ดขาด!”คนตัวผอมตวาดออกมาไม่ต่างกันทั้งๆที่ดวงตาแดงก่ำ จงแดไม่เคยชอบที่อี้ชิงทำตัวไม่มีเหตุผล ถึงจะรู้ว่าที่อี้ชิงกำลังแปลงร่างเป็นหมาบ้าแบบนี้เพราะความเข้าใจผิด แต่อย่างน้อยจงแดก็อยากให้อี้ชิงฟังเขาบ้าง

    อี้ชิงที่จงแดรู้จักน่ะ เมื่อก่อนจะยอมรับฟังคำพูดของจงแดเสมอแต่ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ที่อี้ชิงเอาแต่ทำตามความคิดของตัวเอง โดยไม่ฟังใครเลย...

    เรื่องมินซอกก็ทีนึงแล้ว..จงแดจะไม่ยอมให้คนที่ไม่เกี่ยวอย่างแพคฮยอนต้องมาเป็นเหยื่อความเห็นแก่ตัวของอี้ชิงอีกเด็ดขาด

     

    มือของอี้ชิงกำแน่น ท่าทางปกป้องและประโยคที่บอกว่าห้ามแตะต้องไอ้หน้าอ่อนที่ล่วงเกินจงแดเมื่อครู่ บีบรัดหัวใจของเขาพอๆกับความโกรธที่ตีตื้นขึ้นมา ทั้งๆที่เขาเป็นห่วงแต่คิมจงแดกลับเข้าข้างคนอื่น

    “กลับบ้าน”อี้ชิงพยายามกลั้นความรู้สึกไม่พอใจและน้อยใจที่ผสมปนเปกันอยู่ เอ่ยเสียงเรียบออกคำสั่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าเอาแขนของคนตัวผอมที่ทำท่าจะก้มลงไปดูอาการของแพคฮยอน

    “ปล่อยเรา อาเล่ยปล่อย”คิมจงแดกลายเป็นเด็กดื้อดึงแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่อี้ชิงก็ไม่รู้ เพียงแต่เมื่อก่อนคนตัวผอมไม่เคยขัดใจและแสดงการต่อต้านเขาเลยซักครั้ง แขนเล็กๆนั่นพยายามสะบัดออกจากการเกาะกุมของเขา นั่นเลยทำให้อี้ชิงต้องเพิ่มแรงบีบบังคับให้มากขึ้น

    “อย่าดื้อให้มากนักได้มั๊ยคิมจงแด”

    “เราไม่ไปกับอาเล่ยเราจะอยู่กับแพคฮยอน”

    “รู้ตัวบ้างมั๊ยว่าพูดอะไรออกมา เลิกทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตสักที”อี้ชิงตวาดเสียงลั่นปรายตาไปมองคนที่กำลังทำท่าจะเข้ามาฉุดแขนของจงแดอย่างแพคฮยอนให้หยุดนิ่งไว้กับที่คล้ายหากเข้ามายุ่งชีวิตต่อจากนี้จะไม่สงบสุข ตาเรียวมองไหล่บางที่กำลังสั่นเทาก่อนจะกำหมั่นแน่น ยิ่งมองเลยไปยังข้อแขนที่ถูกจับไว้ แพคฮยอนไม่ได้กลัวคำขู่ทางสายตา แต่เขาเพียงไม่อยากทำให้จงแดต้องเจ็บตัวไปมากกว่านี้ ในเมื่อเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าอี้ชิงกำลังทำตัวเป็นหมาบ้าอาละวาด เพราะความหึงหวง

    หวงแบบที่เขายังดูออกว่ามันไม่ใช่อาการหวงเพื่อน

     

    “กลับบ้านดีๆนะจงแด”แพคฮยอนยอมถอย เอ่ยบอกเพื่อนตัวผอมที่ยืนก้มหน้าไร้คำพูดใดๆ ก่อนอี้ชิงจะกระชากแขนเล็กๆนั่นให้เดินตาม

    แพคฮยอนก็แค่หวัง ว่าจางอี้ชิงจะเลิกทำตัวงี่เง่า และเลิกทำร้ายคนที่ตัวเองรักซักที...

     

     

     

    ตลอดทางกลับบ้านคิมจงแดไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่อี้ชิงก็ไม่ได้เซ้าซี้ อย่างน้อยๆลำแขนเล็กๆนี่ก็ยอมโอบรอบเอวเขาไว้ตั้งแต่บังคับให้ซ้อนท้ายเหมือนทุกๆที จนกระทั่งเขาหยุดลงที่หน้ามินิมาร์ททางเข้าหมู่บ้าน เหลือบมองคนด้านหลังที่นิ่งเงียบเลยคิดถึงของโปรดเจ้าตัว อย่างน้อยก็คงทำให้อารมณ์ดีขึ้นบ้าง

    “รออยู่ตรงนี้ ฉันจะเข้าไปซื้อของแป๊บนึง”คิมจงแดไม่ตอบ อี้ชิงเลยได้แต่ถอนใจและทึกทักเอาเองว่าอีกฝ่ายตอบรับ ก่อนจะเข้าไปในมินิมาร์ท เขาไม่ได้นึกกลัวว่าจงแดจะหนีกลับบ้านเอง เพราะเจ้าตัวเป็นคนที่กลัวความมืดขึ้นสมอง น้องเล็กของกลุ่มเลยแทบจะไม่ได้ออกไปไหนตอนฟ้ามืด หรือถ้ามีธุระพวกเราสามคนก็จะสลับกันไปเป็นเพื่อน เพราะแบบนั้นยิ่งใกล้ดึกมากๆแบบนี้ ยิ่งไม่มีทางที่จงแดจะกล้าขยับไปไหน

    แต่ถึงอย่างนั้นอี้ชิงก็พยายามทำเวลาให้เร็วมากที่สุด...

     

    และมันก็เป็นอย่างที่อี้ชิงคิดไว้ไม่มีผิด ถึงจะโกรธความเอาแต่ใจของอี้ชิงมากขนาดไหนแต่ตอนนี้จงแดก็ทำได้แค่มองไปรอบๆอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงพูดคุยพร้อมกับฝีเท้าหลายคู่เดินตรงมา ท่ามกลางความมืดปรากฏกลุ่มคนประมาณ สามสี่คน จงแดก้มหน้าลงแทบจะทันทีและขยับตัวเข้าไปใกล้ประตูอัตโนมัติของมินิมาร์ท มันอาจจะไม่มีอะไร ถ้าหนึ่งในกลุ่มนั้นไม่ได้พูดโพล่งขึ้นมาตอนที่กำลังจะเดินผ่านเขาไป

    “หือ นี่ใช่เด็กไอ้กัปตันทีมฟุตบอลหรือเปล่าวะ หน้าคุ้นๆ”ไม่ว่าเปล่าคนพวกนั้นกลับหยุดฝีเท้าและจ้องร่างของจงแดตั้งแต่หัวจรดเท้า คนตัวผอมทำหน้าเลิกลั่กเงยหน้าขึ้นมองด้วยความหวาดกลัวก่อนที่หนึ่งในนั้นจะแสยะยิ้ม

    “ใช่จริงๆด้วยสินะ คิมจงแด”

    “ผม..ไม่..”ยังไม่ทันได้กล่าวแก้ตัวอะไร แขนเล็กก็ถูกร่างสูงที่ไม่คุ้นหน้ากระชากไว้ จงแดหน้าเหยเกยเมื่อพวกมันตีวงล้อมเข้ามา แววตาหวาดหวั่นคล้ายกับกระตายน้อยกำลังถูกราชสีห์ต้อนให้จนมุมไร้ทางหนี ทำเอาเจ้าพวกนั้นหัวเราะชอบใจ น้ำตาใสๆคลอรอบตากลม ในใจปรารถนาให้อี้ชิงออกมา เขากลัว

    อี้ชิงช่วยด้วย ...

    “อี้..อื้อ”

    ริมฝีปากบางถูกมือใหญ่ปิดกั้นไว้ก่อนจะทันได้เรียกชื่อของเพื่อนสนิทเสียด้วยซ้ำ

    “ไปกับพวกเราหน่อยสิ มีเรื่องไอ้ลู่หานจะถามเยอะแยะเลย”




    Friendship end

     

     

     

    จงแดตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองถูกมัดมือมัดเท้าพิงอยู่กับลังไม้ระเกะระกะ ที่นี่คล้ายจะเป็นตึกร้างแห่งหนึ่ง ตรงที่เขาอยู่มีหลอดไฟดวงเล็กๆที่พอจะให้แสงสว่างเรือนลาง บรรยากาศหวีดหวิวของเสียงลมพาให้เขาตัวสั่นขึ้นมา บริเวณรอบๆว่างเปล่าไร้ผู้คน แต่จงแดก็ยังได้ยินเสียงของคนหลายๆคนหัวเราะร่าอยู่ไม่ไกล

    เขาพยายามขยับตัวก่อนจะหลุดร้องเสียงเบาเมื่อความรู้สึกปวดแปลบที่ท้องน้อยมันเล่นงานอีกครั้ง

    ใบหน้าของอี้ชิงผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง...

    ป่านนี้จะหัวเสียขนาดไหนที่เขาหายไป ป่านนี้จะต้องตามหาเขาวุ่นวายขนาดไหน..

    แม้รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาโทษตัวเองแต่จงแดก็ยังรู้สึกผิดในใจ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นานนี้ ที่อี้ชิงชกแพคฮยอน ก็เพราะเป็นห่วงเขา เพราะเขาช่างอ่อนแอและไม่มีทางดูแลตัวเองได้ ตากลมปิดลงปล่อยให้หยาดน้ำตาแห่งความรู้สึกผิดไหลออกมาช้าๆ ก่อนที่เขาจะต้องลองต่อสู้เพื่อไม่เป็นภาระของใคร

    ขอโทษนะ อาเล่ย...

    แต่เราจะต้องออกไปจากที่นี่แล้วไปขอโทษอาเล่ยด้วยตัวเองให้ได้!!

     

     

    “ไม่ร้องไห้สิ”เสียงนุ่มที่ดังขึ้นเหนือหัวยังไม่ทำให้ตกใจได้มากเท่าสัมผัสของปลายนิ้วที่เกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากแก้มให้ จงแดลืมตาขึ้นมา ก่อนจะฉีกยิ้มอย่างดีใจ

    “อา อื้อ”มือเรียวชิงปิดปากของคนตรงหน้าไว้พร้อมกับทำเสียง ชู่ ให้เงียบก่อนจงแดพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจสถานการณ์ก่อนจะจับจ้องใบหน้าการกระทำของอี้ชิงที่ช่วยปลดพันธนาการให้เขาอย่างไม่วางตา

    “ทำไมถึง..”

    “อย่าเพิ่งถาม ตอนนี้ข้างนอกน่าจะกำลังได้เวลาออกกำลังกาย เราต้องออกไปจากที่นี่”อี้ชิงกระชับมือเล็กของอีกฝ่ายไว้แน่นหลังจากที่จับหมุนซ้ายหมุนขวาสำรวจบาดแผลภายนอกแล้วไม่มีอะไร แต่ตอนที่กำลังจะพาเดินจงแดกลับหลุดเสียงร้องออกมา “เจ็บตรงไหน?”

    “ปวดท้องนิดหน่อยน่ะ ไม่เป็นไรหรอก เรารีบ อ๊ะ! อาเล่ย”ที่ต้องร้องเสียงหลงเพราะอี้ชิงจับชายเสื้อของจงแดเลิกขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย รอยสีแดงเป็นวงกว้างอยู่บนหน้าท้อง และตอนนั้นใบหน้าของอี้ชิงก็มืดครึ้มขึ้นอีกครั้ง

     

    “เราไม่เป็นอะไรมากจริงๆอาเล่ย”จงแดจับมืออี้ชิงไว้แล้วบีบเบาๆเพื่อเป็นการยืนยันในคำพูดของตัวเอง ตาคมที่เมื่อครู่ฉายแววครุกกรุ่นนั่นจางหายไปแทบจะทันที อี้ชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือไปวางลงบนกลุ่มผมของคนตรงหน้า

    “อดทนหน่อยนะ”

    “อื้อ เรารีบไปกันเถอะ” เพราะเสียงวุ่นวายที่ดังแว่วมาจากด้านนอกทำให้จงแดรีบดันหลังอี้ชิงให้ออกเดิน เสียงก่นด่า แลกหมัดดงกันมาให้สะดุ้งโหยง จงแดหันมองซ้ายมองขวาแม้จะเดินตามแรงลากของคนตรงหน้าอยู่ก็ตาม แต่ตอนที่ทั้งคู่กำลังจะลักลอบออกมาจากตัวตึกซึ่งเป็นทางที่อี้ชิงลักลอบเข้ามากองไม้ด้านข้างกลับล้มครืนลงมาปิดบังช่องทางเล็กๆสำหรับคนลอดนั่น

    แต่ที่ทำให้อี้ชิงต้องดันจงแดไปอยู่ด้านหลังก็เพราะร่างสูงที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมสามคนที่จังก้าอยู่ตรงหน้าต่างหาก

     

    “อาเล่ย”

    “นายต้องสู้จงแดอย่างน้อยๆก็อย่าให้มันทำอะไรนายได้เด็ดขาด”ท่อนไม้ขนาดเหมาะมือถูกยัดใส่มือเล็ก จงแดพยักหน้ารับ กระชับไม้ในมือแน่นเมื่อพวกมันย่างขุมเข้าหา และตอนที่อี้ชิงพุ่งเข้าใส่พวกมันจงแดก็ตวัดไม้ออกไปป้องกันตัว

    เขาจะไม่ยอมให้เป็นตัวถ่วงอี้ชิงเด็ดขาด

     

    สามต่อหนึ่งมันออกจะเกินไปหน่อย แต่อี้ชิงก็กัดฟันข่มความเจ็บและแลกหมัดกับพวกนั้นอย่างไม่ยอมแพ้ พวกมันสะบักสะบอมอยู่พอตัวแล้วถึงได้เลาะแหละพอให้เขาสู้ได้และดึงความสนใจไม่ให้มันไปยุ่งย่ามกับจงแด อย่างน้อยๆอี้ชิงก็ยังพอถ่วงเวลาให้พวกลู่ห่านสักคนบุกเข้ามาในนี้

    อี้ชิงคิดขณะถีบร่างสูงโย่งออกห่างและ...

    ผลั่วะ!

     

    จงแดฟาดไม้ใส่แผ่นหลังมันจนลงไปกองกับพื้น

    แม้จะมือสั่นแต่จงแดก็ก้าวเข้ามาประจันหน้ากับอีกสองคนที่เหลือข้างๆอี้ชิง ตากลมนั่นมีน้ำใสๆคลออยู่อย่างน่าสงสาร อี้ชิงเอื้อมมือไปจับรอบมือเล็กๆนั่น ก่อนจะขยับออกและพุ่งเข้าใส่ด้วยแรงทั้งหมดที่เหลือ โดยมีจงแดรับช่วงต่อในจังหวะที่พวกมันไม่ทันได้ตั้งตัวฟาดไม้เข้าที่ท้ายทอยจนสุดท้ายทั้งหมดก็ลงไปกองกับพื้น

     

    ท่อนไม้ในมือหล่นลงกับพื้นพร้อมๆกับร่างเล็กที่ทรุดฮวบลงด้วยความเหนื่อยอ่อน

    เป็นครั้งแรกที่จงแดใช้กำลังทำร้ายคนอื่น...

    แม้จะไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตแต่สำหรับคนที่ไม่เคยทำก็ยังหวาดกลัวต่อความผิด

     

    น้ำตาหยดเล็กตกลงตามแรงโน้มถ่วงพร้อมกับความอบอุ่นที่โอบล้อมร่างไว้ จงแดซุกใบหน้าเข้าหาไหล่แกร่งมือที่ยังสั่นเทาไม่หายขยำเสื้อของอี้ชิงแน่น สัมผัสแผ่วเบาที่ศีรษะรั้งให้เปลือกตาปิดลงด้วยความรู้สึกปลอดภัย

    “ไม่เป็นไรนะ..นายทำดีแล้วจงแด”เสียงนุ่มที่ปลอบข้างหูช่วยปัดเป่าความหวาดกลัวไปทีละนิด เขารับรู้เพียงว่าอี้ชิงพึมพำอะไรบางอย่างต่อจากนั้น อ้อมแขนของอี้ชิงรัดร่างเขาแน่นขึ้น และมือเรียวที่ดันให้ศีรษะของเขามุดลงกับอก

     

    เคร้ง!

    จงแดไม่รู้เลยว่าตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง จะพบกับรอยยิ้มเจือความเจ็บปวดของอี้ชิง

    “อาเล่ย!!

     

     

     

    Friendship end

     

     

     

    อี้ชิงหลับไปสองวัน สองวันเต็มๆที่จงแดเอาแต่นั่งหน้าเศร้าเฝ้าคนป่วยแทบจะไม่ขยับตัวลุกไปไหน มือเล็กกอบกุมมือของอี้ชิงไว้เผื่อว่าตอนที่เขาเผลองีบหลับแล้วอี้ชิงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจะได้รู้ตัว

    แต่ถึงทำแบบนั้น อี้ชิงก็ยังคงหลับอยู่และไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมา

    กำลังฝันหวานอยู่หรออาเล่ย ถึงได้ขี้เซาขนาดนี้...

    “พักหน่อยเถอะจงแด เดี๋ยวฉันกับมินซอกเฝ้าอี้ชิงเอง”ลู่หานเป็นฝ่ายเดินเข้ามาแตะไหล่เพื่อนตัวผอมที่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ใบหน้าหล่อปนหวานยังปรากฏรอยช้ำจากการต่อสู้เมื่อสองวันก่อน แขนซ้ายใส่เฝือกอ่อนคล้องกับคอ สภาพดูไม่ต่างจากคนป่วยเท่าไหร่ เพียงแต่ถ้าเทียบกับอี้ชิงที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงมันถือเป็นเรื่องเล็กน้อย

    ยิ่งเรื่องที่เกิดขึ้นสาเหตุมาจากตัวเอง

    เพราะคู่อริของเขาที่เป็นคนจับตัวจงแดไป...

    “อาลู่ไปพักเถอะ เราอยากรออาเล่ยฟื้น”

    “หมอก็บอกแล้วว่าอี้ชิงไม่ได้เป็นอะไร”คราวนี้มินซอกเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง กำลังจะกล่าวต่อจงแดก็ชิงเถียงขึ้นมาเสียก่อน

     “ถ้าอาเล่ยไม่เป็นอะไรจริงๆแล้วทำไมไม่ฟื้นขึ้นมาซักทีล่ะ ถ้าไม่เป็นอะไรก็ต้องไม่หลับอยู่อย่างนี้สิ”

    “จงแด...”

    “ถ้าอาเล่ยไม่ตื่นขึ้นมา แล้วเราจะหายห่วงได้ยังไง...”เสียงงอแงที่ดังอยู่ข้างหูทำให้อี้ชิงอยากลืมตาตื่นขึ้นมาทันที ยิ่งปลายประโยคสั่นๆน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ของอีกฝ่ายก็ทำให้ยิ่งอยากเห็นหน้า อยากลุกขึ้นแล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดจะแย่อยู่แล้ว มือเรียวที่กุมมือเล็กไว้ขยับก่อนจะบีบมืออีกฝ่ายน้อยๆ แต่ก็ทำให้คนที่กำลังจะน้ำตาไหลหันขวับมาสนใจได้ ตากลมเบิกกว้างก่อนน้ำตาจะไหลออกมาเป็นทางเมื่อเปลือกตาของอี้ชิงค่อยๆเปิดขึ้นใบหน้าซีดเซียวค่อยๆผุดรอยยิ้มจางๆ

    “จงแด...”

    “อาเล่ย..!!

    มินซอกจ้องมองทั้งคู่ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หันไปหาลู่หานก่อนจะส่งสัญญาณให้ออกไปตามหมอด้วยกันข้างนอกทั้งๆที่ข้างเตียงมีปุ่มกดเรียกพยาบาล

    ก็นะ ตื่นมาก็เรียกหาจงแดซะขนาดนั้นก็ให้เวลาอยู่ด้วยกันซักสองสามนาทีแล้วกัน

    ลับร่างของมินซอกและลู่หานจงแดและอี้ชิงก็ยังจ้องหน้ากันนิ่งๆอยู่อย่างนั้น ก่อนอี้ชิงจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

     

    “บอกแล้วไงว่าไม่ชอบให้ร้องไห้”

    “ฮึก อาเล่ย”กลายเป็นว่าเมื่อได้ยินเสียงแหบๆของอีกฝ่ายกลับปล่อยโฮมากกว่าเดิม เจ้าตัวแสบทำท่าจะโผเข้ามากอดแต่เหมือนคิดได้ว่าเขายังเจ็บอยู่ถึงได้ยืนสะอื้นบีบมือเขาแน่นๆ มืออีกข้างเช็ดน้ำตาตัวเองต้อยๆอย่างน่าสงสาร อี้ชิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู

     

    “ช่วยพยุงขึ้นนั่งหน่อยสิ...”

    “...”

    “อยากมองหน้านายชัดๆจะแย่อยู่แล้ว...”

     

    อาการของอี้ชิงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะฉะนั้นเมื่อคุณหมอขอตัวไปดูแลคนไข้คนอื่นหลังจากตรวจดูอาการเรียบร้อยแล้วในห้องจึงเหลือเพียงพวกเขาสี่คน มินซอกกับลู่หานนั่งอยู่บนโซฟา ในขณะที่จงแดยังนั่งอยู่ข้างเตียงเพราะถูกคนป่วยกุมมือไว้ไม่ยอมปล่อย

    พอโดนตีหัวแล้ว ก็เหมือนจะเลิกโง่ขึ้นมาทันที...

    มินซอกหัวเราะเบาๆในลำคอ จนลู่หานหันมามองแต่พี่ใหญ่ของกลุ่มก็ยักไหล่ให้ จนคนมองได้แต่คิ้วกระตุก นึกไม่ออกว่าตอนนี้แฟนตัวเองกำลังสนุกกับอะไร จนกระทั่งต้องถอนสายตาไปมองทางเตียง เมื่อจู่ๆเสียงคนที่นอนอยู่บนเตียงก็โพล่งขึ้นมา

    “ลู่หานมึงพามินซอกกลับบ้านก่อนก็ได้ เดี๋ยวให้จงแดอยู่เฝ้ากู”

    จงแดกระพริบตาปริบๆมองคนป่วยก่อนจะหันไปหาลูกพี่ลูกน้องของตัวเองอย่างมินซอกที่หลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ มินซอกพยายามกลั้นขำอย่างเต็มความสามารถก่อนจะกระแอมไอออกมาเมื่อสบเข้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของจงแด

    “ถ้าเค้าไม่อยากให้อยู่ก็กลับเถอะลู่หาน อยู่ไปอี้ชิงก็อึดอัดเสียเปล่าๆ”ไม่ว่าเปล่าแต่ยังส่งสายตาล้อเลียนราวกับรู้ทันความคิดให้กับคนป่วย อี้ชิงรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนฉ่า เมื่อเดาสายตาของมินซอกออก

    คิมมินซอกเป็นคนฉลาดและมักจะรู้ทันความคิดคนอื่นอยู่เสมอ เมื่อก่อนอี้ชิงชอบด้านนี้ของมินซอก

    ให้ตายเถอะ ตอนนี้เขาเกลียดความรู้ทันของคิมมินซอกชะมัด!

    “ฉันแค่ไม่อยากให้นายมาอุดอู้อยู่ที่นี่...”

    “งั้นก็ให้จงแดไปด้วยสิ”มินซอกตอบทันควัน

    “ไม่ได้”แต่คนบนเตียงกลับปฏิเสธเสียงแข็ง

    “อ้าว ไหนอี้ชิงบอกว่าที่นี่มันอุดอู้ไง จงแดก็อาจจะอยากออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างก็ได้นะ”

     

    จงแดกับลู่หานจ้องมองสองคนที่เถียงกันด้วยความรู้สึกต่างกัน

    ลู่หานมองแฟนตัวเองที่กำลังแกล้งอี้ชิงด้วยความขบขัน แต่จงแดมองด้วยความงุนงงที่เหมือนจะเพิ่มพูนขึ้น

     

    “ลู่หานพาแฟนมึงไปไหนสักที่เถอะ!

    สุดท้ายอี้ชิงก็ทนไม่ไหว มินซอกหัวเราะด้วยความชอบใจแต่ก็ยอมเดินตามหลังลู่หานออกไปแต่โดยดี ไม่วายสั่งเสียให้อี้ชิงหน้าร้อนผ่าว เหล่มองคนที่ยังนั่งอยู่ในห้องด้วยหัวใจที่เต้นรัว

    “นายเองก็รีบๆเข้าล่ะ คนที่ชอบจงแดน่ะ ไม่ได้มีแค่นายคนเดียวหรอกนะ”

     

     

    ในห้องสี่เหลี่ยมตกอยู่ในความเงียบ จงแดแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนักแต่ก็พอเดาได้แล้วว่าความสัมพันธ์ของลู่หานกับมินซอกเปลี่ยนเป็นแฟนกันไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่และยังไงนั้นคงจะต้องไปถามเอากับญาติผู้พี่อีกที เพียงแต่ตอนนี้ประโยคที่มินซอกทิ้งไว้นั่นต่างหากที่ไม่ค่อยเข้าใจ

    “คนที่ชอบจงแดน่ะ ไม่ได้มีแค่นายคนเดียวหรอกนะ”

    จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่ออี้ชิงเป็นคนบอกเขาเองว่าชอบมินซอก แล้วประโยคเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไง

    อี้ชิงชอบเขา..งั้นหรอ?

     

    “อาเล่ย...”จงแดหันกลับมามองหน้าคนบนเตียงหลังจากที่สูดลมหายใจเข้าลึกๆเป็นการเรียกกำลังใจก่อนจะหยุดชะงักเมื่อพบว่าใบหน้าของคนป่วยที่ควรจะซีดเซียวนั่นกลับแดงก่ำลามไปจนถึงใบหู คำถามที่เตรียมไว้ถูกกลืนหายลงไปในลำคอ

    “ขึ้นมานั่งนี่สิ”ข้อมือถูกกระตุก จงแดหัวใจเต้นรัวตอนที่ขยับตัวขึ้นไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างคนที่เอนหลังพิงหมอนบนหัวเตียง ตากลมเสมองผนังห้องแทนใบหน้าของอี้ชิง เมื่อพบว่าตัวเองก็กำลังรู้สึกร้อนไปทั่วใบหน้าเช่นเดียวกัน

    “นายคงตกใจที่มินซอกพูด”

    “...ก็นิดหน่อย แต่ว่าสองคนนั้นคบกัน อาเล่ยไม่เป็นอะไรหรอ?”

    “หึ..”อี้ชิงทำเสียงขึ้นจมูกก่อนจะมองใบหน้าด้านข้างของจงแด “จะเป็นอะไรล่ะ นอกจากยินดี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่นายจะจะถามหรอกใช่มั้ย”

    “...มันก็..”

    “ก็อย่างที่นายเข้าใจนั่นแหละ ฉันคิดว่าชอบ...ชอบนายน่ะ”คราวนี้จงแดหันมาจ้องหน้าอี้ชิงด้วยความตกใจ ตากลมกระพริบปริบๆคล้ายกับไม่เชื่อหูแต่หัวใจกลับเต้นแรงเป็นจังหวะที่แสนบ้าคลั่ง

    “ไม่รู้ว่าทำตัวเป็นคนโง่ หวงนาย หึงนายทั้งๆที่ไม่รู้ตัวว่าชอบนายมานานเท่าไหร่ แต่ว่าตอนนี้น่ะ รู้ตัวแล้วนะ”

    “อาเล่ยชอบเราจริงๆหรอ?”

    “ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานไปหน่อย”มือเรียวยกขึ้นวางบนหัวกลมๆของอีกฝ่าย โยกเบาๆพร้อมกับยิ้มด้วยความเอ็นดู “แต่ตอนนี้ชอบจงแดมากๆเลยนะ บางทีอาจจะมากกว่าที่จงแดชอบฉันซะอีก”

    คำพูดที่ฟังเข้าข้างตัวเองของอี้ชิงทำให้คนฟังยู่ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้“เรายังไม่เคยบอกชอบอาเล่ยสักหน่อย”

    “ไม่เป็นไรหรอก เพราะฉันรู้ดีอยู่แล้ว จงแดไม่มีทางชอบคนอื่นได้หรอก”

    “คิดว่าตัวเองมีดีขนาดนั้นเลยหรือไง”

    “อย่างน้อยๆก็สามารถปกป้องนายได้ไง ยอมเจ็บเพื่อนายได้ขนาดนี้เลยนะ หาที่ไหนไม่ได้หรอก”

    จงแดหลุดขำทั้งที่ใบหน้ายังคงแดก่ำ ริมฝีปากบางวาดรอยยิ้มจนดวงตายิบหยี วินาทีนั้นหัวใจของอี้ชิงเร่งจังหวะขึ้นกว่าเดิมทั้งๆที่เมื่อครู่มันก็เต้นเร็วกว่าปกติอยู่แล้ว

    ให้ตายเถอะ จางอี้ชิงเพิ่งรู้ว่าตัวเองโง่มาก ที่พยายามไขว่คว้าหาสิ่งที่ไม่ใช่ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าความสุขของตัวเองคืออะไร

    รอยยิ้มของจงแดที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้มีความสุขอยู่เสมอ

    มันไม่ใช่เพราะว่าจงแดยิ้มสวยเขาจึงยิ้มตามทุกครั้งที่เห็น

    แต่ความจริงแล้ว เขาแค่ตกหลุมรักเจ้าของรอยยิ้มนี้...เลยมีความสุขทุกครั้งที่เห็นมัน

    และยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีกเมื่อได้เป็นเจ้าของ

     

    “จงแด..”

    “หือ?”คนตัวผอมเอียงคอตอบรับในลำคอ ใบหน้ายังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม อี้ชิงบีบแก้มอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะเอ่ยต่อ

    “ถ้าฉันหายดีแล้ว เป็นแฟนกันนะ”

    “อ้าว ต้องหายดีก่อนหรอ?”คนฟังได้แต่ทำหน้างุนงง ก่อนจะหัวเราะเสียงใสเมื่อได้ฟังเหตุผล

    “ก็อยากขอนายเป็นแฟนแบบเท่ๆนี่นา ”

    “อื้อ ตามใจอาเล่ยแล้วกัน”

     

    แววตาของจงแดวิบวับเพราะกลั้นขำ แต่ถึงอย่างั้นอี้ชิงก็ไม่ถือสา สองแขนกางออกท่ามกลางความงุนงงของว่าที่แฟน ก่อนจงแดจะเข้าใจจุดประสงค์เมื่อประโยคที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงอ้อนๆดังขึ้น

    “กอดหน่อยสิ ตั้งแต่หลับไปก็คิดถึงนายมากๆเลย”

     

     

    Friendship end

     

     

    “เมื่อวานเราเห็นมินซอกกับลู่หานจูบกันด้วยล่ะ”เสียงเจ้าของแขนที่กอดรัดรอบเอวดังขึ้นให้คนปั่นแทบจะกำเบรกให้หัวทิ่ม ยังดีที่อี้ชิงตั้งสติได้ทันถึงทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมาและคาดโทษเพื่อนรักสองคนที่ไม่รู้จักเลือกที่ลับหูลับตาแสดงความหวานกันแบบนั้นให้จงแดเห็น มือข้างนึงที่ไม่ได้จับแฮนด์จักรยานเลื่อนมากุมมือที่อยู่ตรงเอวลูบเบาๆ

    “จู่ๆพูดขึ้นมาแบบนี้อยากทำอย่างเค้าหรือไง? โอ๊ย!”พูดไม่ทันขาดคำก็โดนมือเล็กๆของว่าที่แฟนฟาดลงบนแผ่นหลังอย่างไม่ออมแรง คราวนี้แหละอี้ชิงถึงได้เบรกจนหัวจะทิ่มของจริง

    “เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย!”คิมจงแดแว๊ดขึ้นเสียงดัง ใบหน้าถูกความร้อนรุกราน “แล้วเราก็แค่เล่าให้ฟังเฉยๆเถอะ!

    “อ่า..จริงสินะ แต่ถ้าเป็นแฟนกันแล้วจะทำก็ไม่แปลก”

    “อาเล่ย เลิกพูดไปเลย! แล้วก็รีบปั่นกลับบ้านมันจะมืดแล้ว”

    อี้ชิงหัวเราะ เดาได้เลยทันทีว่าตอนนี้ใบหน้าของคนด้านหลังเป็นยังไง แสงอาทิตย์สีส้มกำลังจะลับขอบฟ้า เขาออกแรงปั่นจักรยานให้เร็วขึ้นหลังจากที่แขนเล็กกลับมาโอบรอบเอวไว้อีกครั้ง จนกระทั่งจอดลงตรงหน้าบ้านของจงแด คนตัวผอมลงจากเบาะหลังทำท่าจะเดินเข้าบ้าน แต่ข้อมือกลับถูกฉุดไว้

    “รอก่อนสิ มีอะไรจะพูดด้วยน่ะ”อี้ชิงปล่อยข้อมืออีกฝ่ายจูงเอาจักรยานไปพิงกำแพงบ้านของจงแดที่สูงท่วมหัวนั่นไว้ ก่อนจะเดินกลับมาหาพร้อมกับล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

    แหวนสีเงินสองวงอยู่ในบนฝ่ามือของอี้ชิง

     

    “เห็นนายชอบดวงดาว ก็เลยไปทำมาให้..”

    “อยู่ๆก็ให้แหวนเนี่ยนะ”

    “อยู่ๆก็ให้ที่ไหนกันล่ะ ที่ให้เพราะว่าวันนี้จะเป็นวันแรกของเราต่างหาก”

    “หมายความว่ายังไง..”

    “เป็นแฟนกันนะจงแด สัญญาว่าจะไม่ทำให้ร้องไห้อีก และจะรักนายให้มากกว่าที่นายรักฉันซะอีก”

    “ก็บอกแล้วไงว่า..อ๊ะ อาเล่ย”แหวนถูกสวมใส่บนนิ้วนางข้างขวาอย่างไม่ทันได้ปฏิเสธหรือตอบรับ อี้ชิงก็ยิ้มร่า ก่อนจะดึงรั้งเอาร่างผอมบางของจงแดเข้สู่อ้อมแขน กอดรัดไว้แน่นอย่างที่คนโดนกอดไม่ทันตั้งตัว

    หัวใจของจงแดเต้นรัว ความเย็นของโลหะที่อยู่บนนิ้วยังคงสัมผัสได้ ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบข้างหู

    “เป็นแฟนกันนะจงแด”

    แขนเล็กตวัดรัดเอวอีกฝ่ายซบใบหน้าลงเพื่อปิดซ่อนเฉดสีแดงก่ำที่พาดผ่านแก้มและใบหู หัวใจของจงแดยิ่งเร่งจังหวะขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดังกระหน่ำจากเจ้าก้อนเนื้อตรงหน้าอกด้านซ้ายของอี้ชิง

    หัวใจของอี้ชิงก็เต้นแรงไม่แพ้กัน...

    แล้วแบบนี้จะให้เขาตอบว่ายังไงล่ะ ในเมื่อที่ผ่านมา เขาก็มีคำตอบให้กับคำถามนี้มาตลอดอยู่แล้ว

    “อื้อ เป็นสิ”

     

    “งั้นมัดจำนะ”จงแดได้ยินเป็นเสียงงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อแฟนหมาดๆดันตัวเขาของจากอ้อมแขน พร้อมกับใบหน้าที่ฉกลงมาให้ดวงตาเบิกกว้างแต่กลับหลบไม่ทัน สัมผัสหนุ่มหยุ่นแตะลงบนริมฝีปากแผ่วเบา

    “อาเล่ย!

    “ไม่ต้องเขินหรอก เป็นแฟนกันแล้วเดี๋ยวก็ต้องทำบ่อยๆ”จงแดเหมือนปลาขาดน้ำอ้าปากพะงาบๆแต่ไม่มีเสียงออกมาเมื่อเจอรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่สว่างจ้าจนตาพร่ามัว

    “จูบครั้งต่อไปรับรองไม่ให้จงแดอิจฉาคู่นั้นแน่นอน..”

    จะ จางอี้ชิง ไม่ต้องมาทำสายตาวิบวับแบบนั้นเลยนะ !!

     

     

    เป็นแฟนกันแล้วดูท่าว่าจงแดจะโดนแกล้งมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ...




    END 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×