คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : Skinship : BAEKCHEN
Title : Skinship
Pairing : BAEKCHEN
Warning : สั้นมากและอ่านไปอาจจะมีคำว่า อะไรวะ? ผุดขึ้นมาในหัว อ่านเพื่อความบันเทิงค่ะ
คิดถึงก็มาเม้นว่าคิดถึงกันได้ แต่ทวงฟิคนี่อย่าเพิ่งทวงนะคะ 55555
ความจริงจงแดไมได้เป็นคนที่ติดสกินชิฟขนาดนั้น
เพียงแต่ถ้าเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆ
แล้วจงแดจะชอบเข้าไปกอด…
เขาชอบกอดแล้วเอาแก้มถูๆกับแผ่นหลังของคนอื่น
หรือไม่ถ้าคนที่ตัวเท่าๆกันก็ชอบเอาคางเกยไหล่..
มันเริ่มเป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
อาจจะตั้งแต่ที่ย้ายเข้ามาอยู่หอพักใหม่
แล้วต้องมานอนเบียดบนเตียงขนาด 5 นิ้วกับพยอนแพคฮยอน
เพราะแบบนั้นเวลาตื่นขึ้นมาตอนเช้าเลยพบว่าบางทีตัวเองก็กลายไปเป็นหมอนข้างของอีกฝ่าย
หรือไม่บางทีก็เป็นเขาเองที่ยึดแขน ยึดตัวของแพคฮยอนไว้เหมือนลูกลิง
เพราะแบบนั้นเขาเลยรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนชอบสกินชิฟ
โดยเฉพาะการกอด
ยิ่งกับคนที่สนิทกันมากๆ..
อ่า..ไม่สิ
กับชานยอลที่ถือว่าเป็นเพื่อนสนิทก็ไม่ได้รู้สึกอยากกอดขนาดนั้น
หรือบางทีอาจจะชอบกอดแค่คนที่ชื่อ
แพคฮยอน มากกว่า…
“แพคฮยอนอา!”เสียงเรียกที่แสนคุ้นเคยพร้อมกับวงแขนที่กอดรัดเอวจากด้านหลัง
ตามมาด้วยความรู้สึกเหมือนเจ้าตัวกำลังเอาหัวถูไปมากับแผ่นหลังทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง
พยอนแพคฮยอนได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะค่อยๆแกะมือของอีกฝ่ายออกจากรอบเอว
หันกลับมาเผชิญหน้าก็เจอรอยยิ้มกว้างของรูมเมทเจ้าประจำ
“จะกอดอะไรนักหนาที่นี่มหาลัยนะ”แพคฮยอนเอ่ยเสียงเครียดเมื่อเห็นคนรอบข้างหันไปป้องปากซุบซิบแล้วชี้ไม้ชี้มือมาทางเขา
เพียงแต่คิมจงแดที่เป็นตัวต้นเหตุกลับทำหน้ามึนใส่
“ในมหาลัยเค้าห้ามกอดกันหรอ
กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“แพคฮยอนถอนหายใจมองคนที่ทำหน้าทะเล้นแล้วก็ยกมือเขกหน้าผากไปทีนึง
“มึงแม่ง เพลาๆลงบ้างเถอะ คนอื่นเขามองกันจนกูอายหมดแล้ว”
แพคฮยอนว่าพลางเดินนำทางไปยังรถของเพื่อนร่วมห้องตัวสูงที่จอดรออยู่ด้านหน้า
จงแดก้าวขาตามก่อนจะสอดมือคว้าแขนของแพคฮยอนทั้งยังยื่นหน้าเข้าไปถาม
“อายทำไมอ่ะ
คนอื่นเค้าก็กอดกันเยอะแยะ”
“ก็นั่นมันคนอื่นไหมล่ะ
ถ้าเกิดคนเค้าเข้าใจผิดขึ้นมาน่ะ มึง..”
“ชานยอล!”พูดยังไม่ทันจะจบประโยคดีเจ้าตัวยุ่งของกลุ่มก็ปล่อยมือจากแขนของแพคฮยอนกระโดดพุ่งตัวไปหาพัคชานยอลที่ยืนเก๊กท่าเป็นพระเอกเอ็มวีอยู่ข้างๆรถ
และคว้าเอวกอดหมับ!
แพคฮยอนมองภาพนั้นแล้วก็ส่ายหัว
คือไอ้ที่เขาพูดพล่ามๆอยู่เมื่อกี้ได้เข้าหูคิมจงแดบ้างไหมล่ะ!
จงแดนั่งเท้าคางมองเพื่อนร่วมห้องที่กำลังทำสีหน้าเครียดขึงเหมือนกับมีบางอย่างจะพูด
ตากลมทำท่าจะปิดลงอยู่มอรอมมอร่อ
แต่จนแล้วจนรอดจงแดก็รู้สึกเหมือนกับมันขาดอะไรไปสักอย่าง
“แพคฮยอน…”
“อะไร?”แพคฮยอนเงยหน้าขึ้นมาจากเท็กในมือก่อนจะพบตาปรือๆของคิมจงแดที่จ้องมา
เอาจริงๆก็รู้สึกเหมือนจะโดนจ้องมาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว “อยากนอนก็ปิดไฟนอนไปสิ”
เขามองไฟที่สว่างโร่ในห้องแล้วทึกทักเอาเองว่าเจ้าตัวแสบบนเตียงอยากนอนแต่ไม่รู้จะพูดยังไงเพราะเขายังอ่านหนังสือไม่เสร็จ
เลยเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟแล้วเดินไปปิดสวิชต์ไฟตรงข้างประตูห้องให้
แต่ทว่าพอเดินกลับมานั่งคิมจงแดก็ยังคงนั่งอยู่ท่าเดิม
“อยากได้อะไรอีก…”
“เมื่อไหร่จะนอน..”คำถามด้วยน้ำเสียงง่วงๆของอีกฝ่ายทำเอาคิ้วของแพคฮยอนขมวดเข้าหากัน .
“ทำไม
หรือโคมไฟมันสว่างไปมึงถึงนอนไม่หลับ?”
“เปล่า…”จงแดกัดริมฝีปาก
คือจะให้พูดออกไปได้ยังไงว่าเขาชินกับการนอนเบียดกับเพื่อนสนิทไปแล้ว
และถ้าแพคฮยอนไม่นอนอยู่ข้างๆเขาจะนอนไม่หลับ
อีกอย่างก็คือ..เขาอยากกอด…
“หรือเพราะไม่มีกูเป็นหมอนข้างมึงเลยพาลนอนไม่หลับ”
จงแดทำตาโตขึ้นเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนเตียงเมื่อเห็นใบหน้ากวนเบื้องล่างของอีกฝ่าย
นอนๆไปสักพักมันก็หลับเองนั่นแหละ!
“กูจะนอนแล้ว
ฝันดี!”
จงแดได้ยินเสียงกุกกักดังเบาๆในขณะที่กำลังข่มตาหลับ
และเพียงไม่ถึงอึดใจเตียงด้านข้างก็ยวบลง พร้อมกับมือที่เอื้อมมาแตะไหล่
จงแดยังคงนอนนิ่งทั้งที่ปกติต้องพุ่งเข้ากอดอีกฝ่ายแล้ว
จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆในลำคออีกฝ่าย
“อ้าวอุตส่าห์ขึ้นมานอนให้กอดแล้วจะกอดหรือเปล่า?”
“...”
“นี่จงแด
ถ้ามึงไม่กอดตอนนี้กูกลับไปอ่านหนังสืออีกรอบแล้วนะ..”
หมับ
แพคฮยอนแทบจะกลั้นขำไม่อยู่เมื่ออีกฝ่ายพลิกตัวมากอดแขนแล้วยกขาอีกข้างพาดผ่านลำตัวเขา
เเสงจากโคมไฟเพียงพอที่จะทำให้เห็นใบหน้าแมวๆของเพื่อนสนิทชัดเจน
แพคฮยอนนอนิ่งๆทั้งๆที่ลืมตาโพลง
จนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนในอ้อมแขน
คิมจงแดหลับไปแล้ว
เขาค่อยๆดึงแขนที่กอดรัดแขนของเขาออกเบาๆ
จัดแจงดึงผ้าห่มมาคลุมให้แล้เดินกลับไปนั่งอ่านหนังสือส่วนที่ค้างไว้ให้จบ
มองคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องแล้วก็ส่ายหน้าให้กับนิสัยแปลกๆของคิมจงแด
ต้องกอดถึงจะนอนหลับ..ทำไมเรื่องแค่นี้เขาจะไม่รู้ล่ะ
เป็นรูมเมทกันมาตั้ง 2 ปี.
และก็เป็นเขาตลอดไม่ใช่หรือไงที่ต้องรับหน้าที่นี้
เสียเวลาสักหน่อยแต่ก็เอาเถอะ
ดีกว่ามีปีศาจแมวจ้องเหมือนอาฆาตแบบนั้นแล้วกัน….
คิมจงแดก้าวเร็วๆมาพร้อมกับชานยอลที่เดินอย่างสบายๆ
จนกระทั่งแผ่นหลังของแพคฮยอนปรากฏอยู่ในครรลองสายตา
จากการก้าวเร็วๆก็เร่งจังหวะเป็นวิ่ง
เป้าหมายอยู่ตรงหน้าแล้ว
หมับ!
“แพคฮยอนอา”
“ย๊าส์
คิมจงแด”แก้วน้ำในมือหกรดกางเกงของคนตาโตที่นั่งอยู่ด้านหน้า
จงแดที่เพิ่งโผล่หน้าออกมาจากด้านหลังของเพื่อนเบิกตาโพลง
ก่อนจะกุจีกุจอก้มหัวขอโทษขอโพยอีกฝ่ายเป็นการใหญ่
โดคยองซูจับมือเล็กที่กำลังจะเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาซับกาแฟที่กางเกงเขาไว้อย่างเบามือ
“ไม่ต้องหรอก แค่ใช้ทิชชู่ก็พอ”
“แต่ว่า..”จงแดมีสีหน้าสลดในขณะที่คยองซูยกยิ้มกว้างและบอกว่าไม่เป็นไรอีกครั้ง
คนอื่นก็มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใจอยู่หรอกในเมื่อโดคยองซูนะไม่ได้เป็นคนยิ้มง่ายขนาดนั้น
แต่ตอนนี้กลับยิ้มกว้าง...
ยิ้มกว้างเกินไปจนใครบางคนเห็นแล้วหงุดหงิด
แพคฮยอนขยับเข้าไปคว้าเอาผ้าเช็ดหน้าในมือของเพื่อนสนิทพ่วงรูมเมทมาเช็ดมือตัวเอง
ก่อนจะหันมามองคนที่ทำคอหดอยู่
“เห็นหรือยัง
ว่าพอไม่ระวังแล้วเป็นยังไง?”
“แพคฮยอน...”จงแดทำเสียงอ่อนก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปกอดเอวแล้วถูแก้มเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่ายคล้ายกับอยากให้ยกโทษให้
แต่แพคฮยอนกลับดึงมือข้างหนึ่งที่รัดเอวของตัวเองขึ้นมาแล้วยัดผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนคราบกาแฟใส่มือ
“จะกอดอะไรนักหนา”
“ก็กูชอบกอดมึงนี่นา อย่าโกรธกูเลยนะ กูไม่รู้นี่ว่ามึงถืออะไรในมืออยู่”
แพคฮยอนฟังคำแก้ตัวแล้วเหลือบมองเพื่อนตัวสูงที่ทำหน้าเออออห่อหมกไปด้วยแล้วก็พลันหงุดหงิดขึ้นไปอีก
น้ำเสียงของแพคฮยอนเครียดขรึมขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“จงแดกูถามจริงๆทำไมมึงถึงชอบกอดกู”
“ก็เราสนิทกัน..”จงแดตอบทันควันแบบไม่ต้องคิด
ในขณะที่แพคฮยอนกลับถอนหายใจให้กับเหตุผลไม่เข้าท่า
แค่สนิทกันแล้วจำเป็นจะต้องกอดกันหรือไง
อย่างน้อยๆก็ควรจะถามความสมัครใจคนโดนกอดบ้างสิ
นั่นแหละปากมันเลยพาไป...
“เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”
เกิดเดทแอร์ขึ้นชั่วขณะ
“อ้อ..”คิมจงแดร้องรับในลำคอก่อนที่แขนเล็กที่พันรอบเอวของแพคฮยอนจะคลายออกโดยไม่ต้องให้สะบัดตัวหนีเหมือนอย่างทุกครั้ง “แสดงว่ามีแค่กูคนเดียวที่คิดว่าเราสนิทกัน”
คิมจงแดพูดทิ้งท้ายมองหน้าแพคฮยอนเลื่อนไปมองหน้าคยองซูแว๊บนึงก่อนจะสะบัดหน้าหนี
เดินดุ่มๆไปจากตรงนั้น พร้อมกับชานยอลที่วิ่งตาม
โดยที่แพคฮยอนยังไม่ได้แย้งหรือพูดอะไรขึ้นมาด้วยซ้ำ
แพคฮยอนทำเพียงมองตามหลังแล้วส่ายหัวให้กับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของอีกฝ่าย
ในขณะที่คยองซูมองตามแผ่นหลังของคิมจงแดไปและหันมามองปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทอีกครั้ง
“มึงปากหมาเหมือนเดิม”
“มันก็เป็นอย่างนี้แหละอารมณ์ขึ้นๆลงๆเดี๋ยวก็หาย”
แต่ใครจะไปคิดว่ามันไม่ใช่แค่อารมณ์ขึ้นลงแค่วันนั้น
“ไปไหนน่ะ?”
“ไปนอนกับชานยอล”
ปัง!
ประตูห้องถูกปิดใส่หน้า
แพคฮยอนกระชากประตูเปิดออกแล้วพุ่งไปยังห้องตรงข้ามแต่ถึงอย่างนั้นก็ทันเห็นแค่แผ่นหลังของคิมจงแดผลุบหายเข้าไปพร้อมกับบานประตูที่ปิดลง
ให้ตายเถอะ นี่มันคืนที่ 3 แล้วนะคิมจงแด!
“เตี้ย
มึงมามุดหลังกูทำไม?”ชานยอลถึงกลับสะดุ้งเมื่อจู่ๆเพื่อนตัวเล็กที่เดินอยู่ข้างๆดีๆก็ทำตัวประหลาด
สองมือเกาะเสื้อด้านหลังเขาแล้วทำลับๆล่อๆเหมือนกำลังหลบเจ้าหนี้
แต่เหมือนจะไม่ใช่เจ้าหนี้
“ถ้ามันมาบอกว่ากูไปห้องน้ำ
หรือไปตายที่ไหนก็ได้แล้วแต่มึง”พูดจบชานยอลก็เห็นเพียงหลังไวๆวิ่งหนีไปพร้อมกับไอ้เพื่อนตัวเตี้ยอีกคนที่ทำหน้ายังกะท้องอืดเดินเข้ามาถึงตัวพอดี
“จงแดไปไหน?”
“อ้าว?”ชานยอลทำหน้าตามึนงงไปก่อน เพราะเรียบเรียงคำโกหกในหัวให้ไม่ทัน
ก่อนจะกระแอมไอเหมือนไล่อะไรออกจากคอ แต่เปล่าชานยอลแค่เรียกกำลังใจให้ตัวเอง
“มันเพิิ่งไปห้องน้ำเมื่อกี้ เห็นบอกว่าให้กลับไปก่อนเลย อ้าวมึง..”
แพคฮยอนไม่ได้อยู่รอฟังจนจบด้วยซ้ำเพราะรู้ดีว่ามันเป็นคำแก้ตัวคำโตและหาความจริงอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
คิมจงแดคิดว่าตัวเองรู้จักเขาอยู่ฝ่ายเดียวหรือไงวะ
คิดว่าแค่กะเวลาถูกว่าเขาจะกลับห้องเวลาไหน
รู้ตารางเรียนของเขาแล้วแอบมาขนของไปอยู่ห้องพัคชานยอลโดยที่ไม่ต้องเจอหน้า
ดี ปล่อยให้ได้ใจไปเถอะ
เพราะถ้าเขาจับตัวได้เมื่อไหร่ล่ะก็ จะจับมัดไว้กับตัวเลยแม่ง!
คิมจงแดเหลือบซ้ายมองขวาอยู่หน้าห้องตัวเองที่ทำตัวเป็นนักย่องเบามาตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา
หลังจากอ่านแช็ทของเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่คลาสเดียวกันกับแพคฮยอนแล้วพบว่าวันนี้
คลาสจะเลิกช้ากว่าปกติครึ่งชั่วโมง
และนั่นก็หมายความว่าเขามีเวลาเก็บเสื้อผ้าไปที่ห้องชานยอลราวๆชั่วโมงครึ่ง
มือเล็กแตะคีการ์ดจนได้ยินสัญญาณปลดล็อค
จงแดแง้มประตูเปิดออกอย่างไม่ระมัดระวังเหมือนเคย ก่อนจะพบว่าในห้องมืดสนิท
เขาถอดรองเท้าทิ้งลวกๆไว้ตรงหน้าประตูก่อนจะควานหาสวิชต์ไฟ
เอ๊ะ! ทำไมผนังมันแปลกๆ
หมับ!
“เสร็จฉันล่ะคิมจงแด”
จงแดเบิกตากว้างฝ่าความมืดก่อนที่ไฟในห้องจะสว่างโร่ขึ้นมาและมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน
“พยอน
แพคฮยอน!” มาได้ไงวะ!
“ก็กูน่ะสิ
ไม่ใช่ไอ้ชานยอลของมึงแน่ๆ”
ระหว่างเราเงียบไปสักพักใหญ่ จงแดดึงมือตัวเองออกแล้วก้าวถอยห่างอีกฝ่ายในระยะปลอดภัย
ยืนจ้องหน้ากันไปมาอยู่สักพักก่อนแพคฮยอนจะกระแอมไอสองสามที แล้วพูดอะไรแปลกๆ
“กอดสิ”
“อะไร?”จงแดหรี่ตามองคนที่ยืนอ้าแขนทำหน้าตาเรียบนิ่งสวนทางกับนิ้วมือที่กำลังกระดิกให้เขาด้วยความไม่เข้าใจ
“อยากกอดนักไม่ใช่หรือไง
เมื่อก่อนกูไม่อยากให้กอดมึงก็ชอบพุ่งเข้ามากอด ถ้าอยากกอดนักก็มากอดสิ”
“เหอะ!”จงแดแทบจะพ่นเสียงไม่พอใจกระแทกหน้า นี่เห็นเขาเป็นตัวอะไรงั้นหรอ มั่นหน้ามากเกินไปแล้ว!
เมื่อจงแดไม่ยอมขยับคิ้วของแพคฮยอนก็เลิกขึ้นด้วยความมึนงง
“เล่นตัวหรือไง..”
“กูไม่กอด เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น..”
ประโยคปฎิเสธทันควันพลันทำให้หัวคิ้วของแพคฮยอนขมวดมุ่นจนเป็นปม
แต่ยังไม่ทันได้พูดเถียง คิมจงแดก็เร็วกว่า
“มึงสนิทกับคยองซูนี่
ก็ไปให้คยองซูกอดแล้วกัน”
“จงแด
มึงนี่เรื่องมาก”
“เออ
กูเรื่องมาก และกูไม่กอดกับคนที่กูไม่สนิท”
จงแดพูดช้าๆ
ย้ำชัดๆก่อนจะตั้งท่าเดินหนี ยิ่งเห็นหน้าตาของแพคฮยอนแล้วก็ยิ่งรู้สึกอยากจะเบ้ปาก
เหอะ!
คิดว่าคิมจงแดคนนี้จำไม่ได้หรือไงว่าเคยพูดอะไรไว้น่ะ
“นี่มึงยังคิดมากเรื่องนั้น”
“กูไม่ได้คิด”จงแดหันหน้าไปตอบ ก่อนจะพบว่าแพคฮยอนเดินตามมา “แล้วมึงก็ไปให้พ้นหูพ้นตากูสักที”
“มึงแม่งคิดเยอะกว่าที่คิดนะจงแด”
คราวนี้จงแดหยุดฝีเท้า
และมันโชคดีมากๆที่แพคฮยอนเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าประโยคของตัวเองจะได้รับปฏิกิริยาตอบรับแบบไหน
เพราะเมื่อจงแดหันกลับมาด้วยหน้าตาที่ไม่สบอารมณ์
แพคฮยอนก็กอดอกจ้องมาอย่างไม่หยี่ระอะไร
“ใช่
กูเป็นคนคิดเยอะ และกูแม่งเก็บทุกอย่างมาคิด
ไม่ว่าเรื่องที่ออกจากปากของมึงมันจะไร้สาระขนาดไหนกูก็เก็บมาคิดหมดนั่นแหละ” จงแดหยุดหอบอากาศเข้าปอดไปสักพัก
พร้อมทั้งกำมือแน่นเมื่อรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของตัวเองกำลังพุ่งสูงขึ้น
“เพราะฉะนั้นมึงก็ควรเลิกพูดอะไรที่มึงก็รู้ว่ามันจะทำให้กูรู้สึกแบบไหน..”จงแดหยุดอีกครั้งเมื่อประโยคนั่นผุดขึ้นมา เขาแค่นยิ้มทีนึง “แต่กูลืมไป มึงจะมารู้อะไร ในเมื่อกูกับมึงไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”
จงแดรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างถ่วงอยู่บนอก
มันอึดอัดจนน้ำตาจะเล็ด เพราะแบบนั้นเขาถึงรีบจ้ำอ้าวออกจากเหตุการณ์ตรงหน้า
แต่ทว่าแพคฮยอนก็ยังคงเป็นบุคคลที่น่าตายที่สุดในโลกตอนนี้อยู่ดี
หมับ!
“พยอน แพคฮยอน!”จงแดร้องลั่นตอนที่ไอ้คนที่ยืนนิ่งอยู่เมื่อครู่มันโถมตัวเข้ากอดจากทางด้านหลัง
วงแขนของแพคฮยอนรัดเอวและแขนของจงแดแน่นจนน่าอึดอัด เขาสะบัดไปทั้งตัวแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากนั้นแพคฮยอนยังเพิ่มแรงกอดรัดขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
“ลืมมันไปไม่ได้หรือไง
มึงจะเก็บมาคิดอะไรขนาดนี้วะ”แพคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงจากบทสนทนาเมื่อครู่เล็กน้อย
แต่สำหรับจงแดคำพูดนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับการว่าเขาเป็นพวกคิดมากอยู่ดี
“กูจะลืมมันให้มึงก็ได้
เพราะฉะนั้นมึงปล่อย”
“จงแด กูไม่ได้หมายความว่าให้มึงตอบประชดกู”
แพคฮยอนถอนหายใจ
เพิ่มแรงกอดรัดอีกฝ่ายที่ดิ้นไม่หยุดแม้แต่วินาทีเดียวก่อนจะฉกจมูกลงข้างแก้ม
“กูสนิทกับมึง มึงก็รู้”
“ไม่
กูไม่รู้”
“งั้นเอาใหม่
กูอยากสนิทกับมึง”
“แต่กูไม่อยากสนิทกับมึง
มึงกับกูเป็นแค่รูมเมทที่นอนห้องเดียวกัน ไม่ต้องเป็นเพื่อนสนิทบ้าบออะไรทั้งนั้น”
“จงแด
ทำไมมึงดื้อนักวะ”
“...”
“ตอนแรกมึงก็ชอบเข้ามากอด
แล้วพอตอนนี้กูจะให้มึงกอดมึงกลับไม่กอด นี่มึงเป็นบ้าอะไร”
“...”
“หรือมึงจะอ้างว่ามึงจะกอดเฉพาะกับคนที่มึงสนิท
แล้วเมื่อก่อนถ้ามึงคิดว่าเราไม่สนิทกันทำไมมึงจ้องแต่จะกอดกู…”
“นั่นก็เพราะว่ากูคิดไปเองไงว่ามึงกับกูสนิทกัน
จนกระทั่งมึงบอกให้กูกระจ่างไง..”เสียงของจงแดอ่อนลงพร้อมกับอาการดิ้นรนที่สงบลงเพียงชั่วพริบตา
แพคฮยอนกระพริบตาปริบๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ และความรู้สึกแปลกๆที่ถาโถมเข้ามา
ตาเรียวจับจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนในอ้อมแขน
คิมจงแดหลุมตาต่ำจนเห็นเพียงแค่แพขนตายาวที่ระไปกับแก้ม
“จงแด..”
“อ้าว
ไอ้เตี้ยมึงไปกอดจงแดมันทำไมวะ”
“ชานยอล!”ทันทีที่ได้ยินเสียงของเพื่อนสนิทตัวสูงจงแดก็ร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงดีใจ
เริ่มดิ้นรนขัดขืนอีกครั้ง
และตอนนั้นเองแพคฮยอนก็เริ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ชานยอลช่วยกูด้วย!”ยิ่งคิมจงแดดิ้นรนหาทางหลุดจากอ้อมแขนซ้ำยังเรียกร้องและอ้อนวอนพัคชานยอล
พยอนแพคฮยอนก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
“อ้าว
ไอ้เตี้ยมึงก็ปล่อยจงแดมันได้แล้ว จะกอดมันไว้ทำไม ปล่อยๆ”ชานยอลไม่ได้รับรู้ว่าสายตาของแพคฮยอนมองตัวเองยังไง
เพราะมัวแต่ยกยิ้มเอ็นดูไอ้คนที่โดนอ้อมแขนของแพคอยอนพันธนาการไว้
แต่เมื่อขยับจะเข้าไปช่วย พยอนแพคฮยอนก็พลิกเอาร่างตัวเองมาบัง
เดี๋ยวนะ!
ชานยอลหยุดชะงักเมื่อสบเข้ากับตาเรียวของเพื่อนสนิทตัวเตี้ยอีกคน
“มึงจะไปไหนก็ไป
นี่ไม่ใช่เรื่องที่มึงจะเข้ามายุ่งชานยอล”
“เอ่อ
แต่..”ชานยอลทำหน้างงไปพักใหญ่แต่ติดที่หูยังได้ยินเสียงของจงแดร้องให้ช่วย
เมื่อทำท่าอ้ำอึ้งอยู่สักพัก แววตาของแพคฮยอนก็เริ่มอาฆาตขึ้นเมื่อนั้นชานยอลก็ยกมือขึ้นเสมอบ่า
“พวกมึงก็เคลียร์กันดีๆนะ “
พัค
ชานยอลหายไปจากห้องทั้งๆที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึง 2 นาที
และเมื่อหันมาคิมจงแดก็ยังร้องเรียกพัคชานยอลทั้งๆที่ประตูห้องปิดลงสนิทแล้ว
“ถ้ายังร้องอีก
กูจะปิดปากมึง”
“มึงคิดว่ากูจะกลัวหรือไง
ปล่อยกู”
“ปล่อยมึง
ให้พุ่งไปกอดไอ้ชานยอลหรือไง”
“กูจะกอดใครมันก็เรื่องของกู..”
“มึงลองท้าทายกูดูจงแด
แต่ที่แน่ๆมือกูไม่ว่าง มึงคงคาดไม่ถึงหรอกว่ากูจะใช้อะไรปิดปากมึง”แพคอยอนแลบลิ้นเลียริมฝีปาก แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้จงแดเงียบเสียงลง
และเมื่ออิีกฝ่ายยอมเงียบ แพคฮยอนก็ค่อยๆคลายอ้อมแขนออก จงแดกระถดตัวหนี
และพุ่งไปที่ประตู และนั่นทำให้แพคฮยอนหัวเสีย
ทั้งๆที่ตั้งใจจะคุยกันดีๆ
แต่คิมจงแดก็โคตรจะดื้อด้าน
“แพคฮยอน
โอ๊ย”ข้อมือของจงแดถูกกระชากเข้าหาตัวอีกฝ่าย
และไม่เพียงแค่นั้นเขายังถูกแพคฮยอนลากไปโยนลงที่เตียง ก่อนอีกฝ่ายจะโถมตัวลงมาทาบทับปิดกั้นทางหนี
มืออีกข้างเปิดลิ้นชักและควานหาอะไรบางอย่าง ก่อนที่จงแดจะได้ยินเสียงดังกริ๊ก
พร้อมกับความเย็นของโลหะที่กระทบข้อมือของตัวเอง
“อยากหนีหน้ากูนักใช่มั๊ย?”แพคฮยอนอาศัยตอนที่จงแดกำลังตื่นตะลึงกับกุญแจมือ
คล้องมันเข้ากับข้อมืออีกข้างของตัวเอง “งั้นมึงก็อยู่จ้องหน้ากูตลอด
24 ชั่วโมงเลยเป็นไง”
“ไอ้แพคฮยอน!
ไอ้โรคจิต”
แพคฮยอนยิ้มรับก่อนจะทิ้งตัวนอนลงข้างกายอีกฝ่ายอย่างไม่แยแส
มีเพียงคิมจงแดที่นั่งเหงื่อโชก
ทำหน้าเหมือนจะฆ่าคนที่นอนอยู่ข้างๆให้ตายด้วยมือตัวเอง
“เล่นอะไรกันน่ะ”คิมมินซอกเป็นคนเอ่ยขึ้นตอนที่สองเพื่อนซี้เดินลงมานั่งประชุมที่หน้าห้องโถงของหอพัก
ด้วยการคล้องกุญแจมือ แพคฮยอนส่งยิ้มมุมปากมาให้แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มก่อนจะกระตุกมือที่จับมือของคิมจงแดให้นั่งลง
ข้างๆคยองซู…
“มาสลับที่กันสิ”แพคฮยอนหันไปมองและมองเลยไปยังคยองซูที่นั่งนิ่งไม่สนใจใครอยู่ข้างอีกฝ่าย
ก่อนจะยกมือข้างที่ติดกันด้วยกุญแจมือขึ้นตรงหน้า
“จะทำให้เรื่องมันยุ่งยากทำไม?”
“ที่มันยุ่งยากก็เพราะว่ามึงไม่ใช่หรือไงวะ?”จงแดว่าอย่างหัวเสียคิ้วขมวดมุ่นจนน่าตกใจ แต่แพคฮยอนกลับยักไหล่
ซ้ำยังทำท่าไม่ถือสากับท่าทางของเขาอีกต่างหาก
เหอะ!
ถ้าจะมากล่าวหาว่าโดนเข้าใจผิดเพราะเขาอีกคราวนี้ก็แล้วแต่เลย เขาไม่แคร์แล้ว!
,พี่มินซอกพูดถึงเรื่องกฎของหอพักทีหารือกันมาสักพักจนได้บทสรุป
ซึ่งตลอดการประชุมจงแดเอาแต่จับจ้องไปข้างหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
ในขณะที่คนที่นั่งข้างๆก็เอาแต่จับจ้องคิมจงแดอย่างตั้งอกตั้งใจไม่แพ้กัน
“พี่มันจะฆ่ากันไหมอ่ะ
ผมควรทำยังไง?”ชานยอลที่มองเพื่อนสนิททั้งสองจากด้านหลังกระซิบกระซาบกับรุ่นพี่จุนมยอนที่นั่งจับจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นเพื่อนมาได้สักพักแล้ว
“เป็นแบบนี้นานหรือยัง?”
“ก็ได้อาทิตย์นึงแล้วพี่
ตั้งแต่ที่จงแดมันขอมาอาศัยห้องผมนอนชั่วคราวอ่ะ”ตอนนั้นชานยอลก็ไม่ได้คิดไถ่ถามอะไร
เขากำลังยุ่งๆกับการแต่งเพลง
พอเพื่อนตัวเล็กมันเคาะประตูปึงปังพร้อมกับบอกว่าขอมานอนด้วยซักอาทิตย์เขาก็แค่เปิดประตูต้อนรับและเดินไปเคลียร์เตียงให้มันพอจะแทรกตัวเขามานอนด้วยได้แค่นั้น
แต่ที่ไหนได้
มันไม่ได้แค่นั้นน่ะสิ!
คิมจงแดมึนตึงกับพยอยแพคฮยอนอย่างเห็นได้ชัด
ไม่พูด ไม่คุย ไม่นั่งข้าง ไม่เกาะแกะ
แล้วเปลี่ยนมาเป็นเกาะเขา(เหมือนให้ช่วยเป็นโล่กำบังไอ้คนที่ทำหน้าตาถมึงทึงนั่นแทน)
โอเคชานยอลไม่ได้ว่าอะไร ก็ชอบที่มีไอ้ตัวเล็กมันมาอ้อนอ่ะ
แต่แบบเหตุการณ์เมื่อ 2 ชั่วโมงก่อนมาประชุมนี่ยังคงติดตา
ถ้าสายตาของแพคฮยอนเป็นน้ำแข็ง
พัค ชานยอลคนนี้คงกลายเป็นศพแช่แข็งไปแล้ว
“แล้วตอนนี้จงแดยังนอนที่ห้องนาย”
“อ่า
ไม่แล้วอ่ะ โดนแพคฮยอนมันเก็บกลับไปแล้ว แล้วก็นั่นแหละ ใส่กุญแจมือ”
“...”
“พี่มันจะต่อยกันเปล่า”ชานยอลทำตาโตนึกห่วงความปลอดภัยของจงแดขึ้นมา
จงแดมันก็ต่อยตีได้แต่จะไปสู้ไอ้คนที่เล่นฮับกิโด้สายดำได้ไงอ่ะ
แถมแพคฮยอนมันยังแรงเยอะขนาดนั้น แต่จุนมยอนกลับส่ายหน้า
มองสถานการณ์ตรงหน้าแล้วผ่อนลมหายใจออกมา
“ไม่หรอก
ถ้าจงแดดื้อมาก แพคฮยอนมันอาจจะใช้วิธีที่เอาเปรียบไปหน่อยก็แค่นั้นแหละ”
เป็นวิธีที่โคตรเอาเปรียบจริงๆนั่นแหละ
“ปลดกุญแจมือสักทีกูปวดฉี่จะตายอยู่แล้ว”จงแดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่หายเมื่อถูกพากลับเข้ามาในห้อง
ซ้ำร้ายแพคฮยอนมันยังทำตัวสบายใจเฉิบทั้งๆที่ตัวติดกับเขาจนแทบกระดิกไปไหนไม่ได้แบบนี้อีก
“ไปด้วยกันสิ”
“มีงจะบ้าหรือไง?
จะให้ไปฉี่พร้อมกัน มึงประสาทหรอแพคฮยอน!”
“หรือมึงอาย”
“ก็อายนะสิวะ
กูไม่ได้หน้าด้านเหมือนมึงที่ชอบไปอาบน้ำกับคนอื่นเค้าไปทั่ว แถมยังเอาไปโพทะนา”
“มึงก็จำเรื่องของกูได้หมดเลยนี่
ขนาดไม่ได้สนิทกันนะ”แพคฮยอนมองใบหน้าบึ้งตึงนั่นอย่างสนุกสนานจับจ้องดวงหน้าของเพื่อนสนิทด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์
“เอ
หรือมึงคิดอะไรกับกู?”
“กูจะไปคิดอะไร!”จงแดสะบัดเสียงตอบก่อนจะหันหน้าหนี พร้อมกับกระตุกข้อมือข้างที่ถูกพันธนาการ“งั้นถ้าไม่ไขกุญแจก็ลุกขึ้นกูจะไปเข้าห้องน้ำ”
แพคฮยอนมองคนที่ปฏิเสธหน้าดำหน้าแดงแล้วก็ได้แต่ขำ
มือเรียวล้วงเอากุญแจดอกเล็กในกระเป๋ากางเกงมาปลดล็อกกุญแจมือให้อย่างเงียบๆ ลอบมองปฏิกิริยาของคนที่ทำตาโตแล้วถอนหายใจออกมาอย่าง
โล่งอกนั่น คับคล้ายคลับคลาว่าจะเอ็นดู...
แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่รู้ทันความคิดกบฏภายใต้ท่าทางหงิมๆนั่นหรอกนะ
“อย่าแอบหนี
ไม่งั้นถ้ากูจับมึงกลับมาอีกที คราวนี้กูจะล็อกมึงไว้กับเตียง”
จงแดสะบัดหน้าหนี
เดินลงส้นเท้าไปคว้าเอาผ้าเช็ดตัว
กับเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำปิดประตูเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์
คิดว่ากลัวหรือไง?
แต่ที่นั่งอยู่บนเตียงเนี่ยไม่ใช่ว่ากลัวหรอกนะ
ก็แค่เห็นว่าดึกแล้วถ้าออกไปกวนชานยอลก็เกรงใจต่างหาก!
“เด็กดี”
แพคฮยอนเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆอีกฝ่ายที่กดมือถือยุกยิกคล้ายกับไมได้ให้ความสนใจเขา
ผ้าขนหนูผื่นเล็กที่กำลังทำหน้าที่ซับหยดน้ำออกจากเส้นผมสีบลอนยังคงขยับช้าๆ
แต่ดวงตาก็เหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นระยะ
จนกระทั่งมุมปากของคิมจงแดยกสูงขึ้นกว่าปกติ มือที่กำลังเช็ดผมตัวเองก็หยุดชะงัก
“คุยกับใคร?”
แพคฮยอนยื่นหน้าเข้าไปใกล้
พยามเพ่งมองชื่อห้องแช็ทแต่ทว่าคิมจงแดกลับพลิกมือถือหนี “เสียมารยาท!”
“กูไม่เคยมีมารยาทอยู่แล้ว”
“พยอนแพคฮยอน
มึงจะทำอะไรน่ะ นี่!”จงแดร้องลั่นตอนโดนโถมตัวเข้าใส่มือของแพคฮยอนเร็วสมกับเป็นเกมเมอร์ตัวยง
เพราะแค่เพียงพริบตาเดียวมือถือของเขาก็อยู่ในมือของมัน
ซ้ำยังโดนมันเอาตัวหนักๆที่มีแต่ไขมันนั่นมาทับไว้อีก!
“เดี๋ยวนี้ต้องคุยกับพัคชานยอลทุกชั่วโมง..”แพคฮยอนเลื่อนนิ้วดูบทสนทนาล่าสุดที่จงแดกำลังคุยค้างกับเพื่อนสนิทห้องตรงข้ามด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น
“...เพิ่งรู้ว่าศิลปินอย่างมันมีเวลามาคุยเป็นเพื่อนมึงมากขนาดนี้”
“แล้วจะทำไม
ก็เพื่อนกัน ทักไปตอนไหนมันก็ตอบไม่เหมือนมึงหรอก”ขนาดอยู่ห้องเดียวกันมาตั้ง 2
ปีแท้ๆยังบอกว่าไม่ได้สนิทกันอีก
“กูไม่ได้ว่างขนาดนั้น”
“ชานยอลก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้น”
“อ้อ
นี่คือจะเปรียบเทียบกูกับมันให้ได้”
“กูไม่ได้เปรียบเทียบ!”แหวเสียงแหลมแล้วทำฟัดเฟียดในลำคอ และตอนนั้นน้ำจากเส้นผมของแพคฮยอนหยดแหมะลงบนแก้ม
จงแดกำลังจะยกมือขึ้นเช็ดออก
“มึงกำลังทำอยู่..”นิ้วหัวแม่มือปาดหยดน้ำบนแก้มของอีกฝ่ายให้
แพคฮยอนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นคิมจงแดรู้สึกว่าตัวเองแปลกประหลาด..
ทำไมจู่ๆไอ้อาการหัวร้อนมันหายไปเสียดื้อๆวะ...
“ไปเช็ดผมให้แห้งซะ แล้วก็ลุกไปได้แล้วจะให้น้ำจากหัวมึงตกใส่หน้ากูอีกกี่รอบ”จงแดเงียบไปสักพักเมื่อแพคฮยอนเริ่มเช็ดหยดน้ำหยดที่สองที่หยดจากปลายผมออกจากปลายจมูกเขา
และโชคดีเหลือเกินที่มันยอมลุกออกไปจากท่าทางพิลึกพิลั่นที่ดูคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาโดนคร่อมทับนี่
แพคฮยอนลุกไปเป่าผม
ในขณะที่จงแดเอามือถือไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง
พอหัวแตะถึงหมอนกลิ่นประจำตัวของเพื่อนสนิทก็ลอยขึ้นมาปะทะจมูก
จงแดถึงกับเหล่มองว่าตัวเองเผลอเอาหมอนของแพคฮยอนมาหนุนหรือเปล่า
แต่ทว่ามองไปอีกฝั่งก็เจอหมอนสีน้ำเงินเข้มกว่าหมอนของเขาหนึ่งเฉด
แล้วทำไมกลิ่นแชมพูแพคฮยอนมันมาติดหมอนเข้าได้เนี่ย!
ใบหน้าของจงแดแทบจะจมลงไปกับหมอน
พยายามสูดหากลิ่นประจำตัวของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
จนแทบไม่รับรู้ว่าเพื่อนสนิทมายืนกอดอกจ้องมองท่าทางแปลกประหลาดด้วยท่าทางที่ไม่แปลกใจสักนิด
แม้กระทั่งตอนที่ขยับตัวนั่งลงบนเตียงคิมจงแดก็ยังกดจมูกลงกับหมอนอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เดี๋ยวก็ตาย
จะมุดหัวเข้าไปในหมอนหาอะไร?”มือเรียวดึงหมอนในมืออีกฝ่ายออกอย่างไม่บอกไม่กล่าว
จงแดจิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะดึงมันกลับมากอดไว้กับอก จ้องคนที่ทิ้งหัวลงบนหมอนด้วยแววตางุนงง
คือนี่มันเพิ่งจะ 2 ทุ่มไง คนอย่างพยอน แพคฮยอนเนี่ยนะจะนอนตอนสองทุ่ม
“รีบนอนด้วยหรอมึง?”
“อือ
กูเหนื่อย”คนพูดยังคงหลับตาจนจงแดนึกสงสัย
ไปเหนื่อยอะไรมาหรือว่าที่คณะมันมีงานอะไรหรือเปล่านะ...
“เหนื่อยที่ต้องวิ่งไล่จับมึง”
อ้าว...จงแดถลึงตาใส่
แต่ยังไม่ทันจะทำรอบที่ 2 ไอ้คนที่นอนหลับตาอยู่เมื่อกี้ก็ลืมตาขึ้นมาจ้องเขม็ง และนั่นทำให้จงแดค้าง..
“อะไร?”
“มึงก็รีบๆนอนลงมา
เร็วๆสิ”แพคฮยอนตะแคงข้างหันหน้ามาหาและกางแขนราบไปกับเตียง
ตอนนั้นจงแดก็ยังงุนงงอยู่พักใหญ่ เลยไม่ทันใจ
คนที่แค่ได้กลิ่นของคิมจงแดตาก็หนักแล้วตอนนี้
เลยผุดลุกแล้วคว้าเอาร่างของอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขน
โอเค มันอาจจะน่าอาย
ในเมื่อที่ผ่านมาแพคฮยอนเอาแต่มองว่าคิมจงแดเป็นพวกประหลาด เวลานอนก็ต้องมีคนกอด
แต่ความจริงเขาก็เพิ่งค้นพบว่าตัวเองก็ประหลาด
ไอ้ที่นอนหลับสนิทได้ตลอดคืนนั่นน่ะก็เพราะว่าได้กอดไอ้ตัวผอมเป็นกุ้งแห้งนี่ไว้ในอ้อมแขนต่างหาก
“อย่าดิ้น”แพคฮยอนบ่นพึมพำชิดผมสีดำสนิทของอีกฝ่าย
ในขณะที่จงแดตัวแข็งทื่อไปเรียบร้อยแล้วเมื่อรู้สึกถึงอ้อมแขนที่โอบรัดรอบเอว
เดี๋ยวสิ
แบบนี้มันแนบชิดกันเกินไปหรือเปล่าน่ะ!
คือเมื่อก่อนตอนนอนจงแดก็แค่กอดแขนหรือไม่ก็เอาขาพาด
ไม่เคยโดนดึงเข้ามากอดจมอกมันขนาดนี้นี่!
กลับกลายเป็นว่าคนที่โดนกล่าวหาว่าแปลกประหลาดต้องกอดถึงจะหลับกลับเป็นฝ่ายตาค้าง...
ในขณะที่อีกคนกลับผ่อนคลายและกอดรัดร่างในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น
ในที่สุดกลิ่นที่คุ้นเคยก็กลับมา..
จงแดพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆบังคับอัตราการเต้นของหัวใจให้เป็นจังวะปกติ
ทั้งๆที่ก็รู้ดีว่าตอนนี้มันไม่ปกติ
แต่ก็ไม่ได้เต้นโครมครามจนหนวกหูตัวเองพอที่จะข่มตาให้ปิดลงได้
ก็ไม่ได้อยากจะยอมรับหรอกว่าไปนอนกับชานยอลน่ะ
ต้องกอดริลักคุมะของมันตั้ง 2
ตัวแน่ะกว่าจะหลับลงได้ยังต้องลำบากให้ชานยอลมันเปิดเพลงช้าๆให้ฟังอีก
แต่กลับแพคฮยอนแค่ได้กลิ่นก็เคลิ้มแล้ว...
ถึงได้บอกไงว่าเขาน่ะไม่ได้เสพติดการกอดหรอกนะ
แต่เป็นเพราะว่าอยากกอดแพคฮยอนมันมากกว่า
อย่าถามเหตุผลด้วยเพราะไม่รู้!
สุดท้ายคิมจงแดก็ปรับจังหวะการเต้นของหัวใจเป็นปกติ
ขยับตัวยุกยิกสองสามทีก็หาท่าทางที่สบายให้ตัวเองได้ เขากำลังตาปรือปรอยได้ที่ก็ได้ยินเสียงแพคฮยอน
เหมือนลอยมาจากที่ไกลๆ หรือไม่เขาก็อาจจะฝันอยู่ว่าตัวเองยังไม่หลับ
“มึงเอาโรคประหลาดมาติดกูสินะ”
“...”
“โรคที่ต้องกอดมึงแล้วถึงจะหลับน่ะ
คิมจงแด”
คิมจงแดตื่นเช้ามาด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า
เขาลุกขึ้นมานั่งมองไปรอบๆก็เห็นแพคฮยอนยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจก
ทั้งๆที่ไม่ได้สบตากันตรงๆแท้ๆแต่จงแดกลับรู้สึกอยากควักลูกตามันออกมาเหยียบสักทีสองที
กะอีแค่เมื่อเช้าตื่นมาแล้วเขานอนเกยอกมันแค่นั้นต้องล้อเลียนขนาดนี้เลยหรือไง!
“ลุกไปอาบน้ำสิ มีเรียน
9 โมงนี่”
“รู้ดี”เขาพ่นเสียงตอบ
พร้อมกับเตะผ้าห่มออกจากตัว แต่ก็แทบจะหัวคะมำลงจากเตียงเมื่อมันตอบกลับมา
“กูรู้ทุกอย่างจนแทบจะเป็นแฟนมึงได้อยู่แล้วจงแด”
“ปากเสีย กูขนลุก!”จงแดแทบจะพุ่งผ่านเข้าห้องน้ำด้วยความเร็วแสง
และสุดท้ายก็มานั่งหอบตรงชักโครก
สาปแช่งไอ้คนที่พูดหยอกเรื่องแบบนั้นน่าตาเฉยด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ไอ้บ้านี่
ขนลุก(?)จนใจเต้นไม่เป็นจังหวะหมดแล้วเนี่ย!
ตอนเย็นจงแดถูกโทรจิกให้มารอแพคฮยอนมันที่คณะ
แน่นอนจงแดที่ขี้เกียจเถียงและยังเข็ดหลาบกับบทลงโทษของการหนีหน้าด้วยการผูกติดด้วยกุญแจมือนั่นยอมมาตามคำสั่งแต่โดยดี
ตอนเขามาถึงก็พบว่าแพคฮยอนกำลังนั่งอ่านอะไรก็ไม่รู้จนหัวแทบจะชนกันกับคยองซูอยู่แล้ว
ก็เลยยืนอยู่เงียบๆแล้วทำเป็นมองนกมองไม้
จนกระทั่งคนที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะสะกิดที่แขนแพคฮยอนถึงได้รู้ว่าเพื่อนสนิทมาถึงแล้ว
เขาผุดลุกจากข้างคยองซู
บอกลาเพื่อนๆเสร็จสรรพก็เดินไปหาคนที่กำลังจับจ้องไปทางกลุ่มผู้หญิงคณะเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
ทำสายตาเจ้าชู้ไม่ดูตัวเองเลยนะคิมจงแด..
“กลับห้องเร็วๆ”เสียงกระซิบข้างหูทำให้คนที่กำลังมองของสวยๆงามๆสะดุ้งโหยง
คิมจงแดยกมือขึ้นปิดหูข้างซ้ายโดยอัตโนมัติก่อนจะหันกลับมาถลึงตาใส่ไอ้คนที่โจมตีจุดอ่อนเขา
“มึง แม่ง!”
“อะไร?”แพคฮยอนทำหน้ายียวน
ซ้ำร้ายยังย่างขุมเข้ามาหาจนจงแดถอยหลังกรูด
ไม่พอนะมันยังกางแขนออกสองข้างแล้วมองหน้าเขานิ่งๆ
เดี๋ยวนี่คือ...
“กอดสิ
ปกติมาถึงมึงก็พุ่งเข้ามากอดนี่”
“...”
จงแดทำหน้าเหมือนแผ่นดินพลิกกลับ
มองเลยไปยังด้านหลังก็เห็นคยองซูและเพื่อนร่วมคณะของแพคฮยอนอีก 2 คนมองมาตาปริบๆ
คงจะสงสัยเหมือนจงแดอยู่ตอนนี้ว่าพยอน
แพคฮยอนมันเป็นบ้าอะไร?
และดูท่าไม่ใช่ระยะเริ่มต้นนะ
มันเป็นหนักมาก...
“ถ้ามึงไม่กอดงั้นกูกอดเอง”เหมือนได้ยินอะไรแว่วๆ
แต่รู้ตัวอีกทีก็ตอนมันพุ่งตัวเข้ากอดซ้ำยังกดหัวเขาซบลงกับอก ตอนนั้นจงแดก็แข็งเป็นหินไปแล้ว
แต่แค่แป๊บเดียวนะ ไม่ได้สติหลุดนาน..
“มึงจะบ้าหรือไงนี่มันมหาลัยนะ!”
“อ้อ...ในมหาลัยเค้าห้ามกอดกันหรอ
กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย”จงแดคิดว่าตัวเองเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อน
แน่นอนว่าเมื่อก่อนประโยคทำนองนี้มันมาจากปากเขาไง
“แพคฮยอนคนอื่นมอง”
“ช่างสิ
อยากมองก็มอง”พูดหน้าตาเฉยไม่พอมันยังกอดเขาแน่นเข้าไปใหญ่
ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยจนสุดท้ายเลยยกเอาคนที่เคยเป็นฉนวนการทะเลาะกันครั้งนั้นมาอ้าง
“คยองซูมองอยู่”
“ช่างสิ”
เออ
เอาเลยอยากกอดนักก็กอดให้พอ!
แพคฮยอนยิ้มร่ามองคนที่เดินเคียงข้างทำหน้ามุ่ยๆแล้วก็ยิ่งอารมณ์ดี
แขนยาววาดโอบกระชับไหล่ของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ โดนคิมจงแดตีมือไปหลายๆที
สะบัดก็แล้วมือก็เหนียวหนึบยังกะปลาหมึกจนยอมแพ้
ปล่อยให้มันโอบประคองอย่างที่ไม่เคยทำ จนมาถึงหน้าห้อง กำลังแตะคีการ์ดประตูห้องตรงข้ามก็เปิดออกมาพอดิบพอดี
“ชานยอล!”คิมจงแดทำเสียงระริกระรี้ไม่เข้าหูในความคิดของแพคฮยอน
ก่อนจะพุ่งเข้าหาชานยอล
แน่นอนอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงแล้วแหละถ้าไม่ติดว่าเขาคว้าเอวเอาไว้ทัน
ชานยอลกางแขนค้างก่อนจะค่อยๆหุบแขนลงแนบกับลำตัวเมื่อเจอสายตาเย็นยะเยือกไม่ต่างจากวันนั้น
อะไรอีกวะ
ก็ดูเหมือนจะดีกันแล้วไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมยังทำท่าเหมือนจะแช่แข็งเขาอีกวะ
“เข้าห้อง”
“เดี๋ยวดิกูขอไปเก็บของที่ห้องชานยอลมันก่อน”แพคฮยอนชะงักไปชั่วครู่
แล้วอาสาด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวกูไปขนมาให้”
“ไม่เป็นไรกูไปแป๊บเดียว”
“คิมจงแด..”แพคฮยอนกดเสียงต่ำพลันทำให้บรรยากาศเย็นเยียบ
ชานยอลมองสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนจะหงุดลงตรงหน้าตางุนงงที่เหมือนจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลยของคิมจงแด
แล้วก็ขยับถอยหลังไปจนติดประตูห้อง
“เดี๋ยวกูเก็บให้แล้วจะเอาไปให้ที่ห้องแล้วกัน”
“ขอบใจ”คนขอบใจไม่ใช่เจ้าของเสื้อแต่เป็นคนที่พูดจบก็ยกคิมจงแดขึ้นพาดบ่าพาเข้าห้องตัวเองไปต่อหน้าต่อตา
ตอนนั้นคำพูดของจุนมยอนผุดขึ้นมาในหัว
“ถ้าจงแดดื้อมาก แพคฮยอนมันอาจจะใช้วิธีที่เอาเปรียบไปหน่อยก็แค่นั้นแหละ”
โอ้ว...โครตรได้กำไร
และโคตรขี้หวง
END
แต่งฟิคยังไงให้จบโดยที่พระ-นายยังไม่ลงเอยกัน
55555555
นี่แหละค่ะ ฟิคที่ไม่มีคำว่ารัก ไม่มีอะไรเลย
แต่คิดว่าทุกคนจะรับรู้ในความสัมพันธ์ของคู่นี้ที่มีอะไรซุกซ่อนอยู่ เป็นฟิคจบแบบปลายเปิด
ต่อยอดให้คนอ่านจินตนาการตามใจชอบค่ะ
คิดถึงค่ะ
เห็นแท็กฟิคเงียบเลยหยิบอะไรไม่รู้มาลง
ความคิดเห็น