ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] My Sunshine ,it’s U < All*Chen>

    ลำดับตอนที่ #23 : ANTIHERO : CHANCHEN (ll)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.72K
      111
      26 ส.ค. 60





     พู่ ชานเลี่ย



    TITLE : ANTIHERO (II)

    PAIRING : CHANCHEN (พู่ชานเลี่ยและจินจงต้า)

    SUMMARY : จงต้าพยายามทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของตนเอง จนพลาดทำให้เรื่องราว เหตุการณ์มันบิดเบี้ยว แต่ดูเหมือนว่าสุดท้ายสิ่งที่ต้องการหลีกหนีกลับใกล้เข้ามาโดยที่ไม่ทันรู้ตัว

    QUOTE FROM : 1/ฤดูเหมันต์ = ฤดูหนาว

                2/ช่วงเวลา  เค่อ =15 นาที ก้านธูป = 15 นาที  ชั่วยาม =12 ชั่วโมง วัน   =  12 ชั่วยาม

    ยามจื่อ เท่ากับ เวลา 23.00 น. จนถึง 24.59 น.  ยามโฉ่ว เท่ากับ เวลา 01.00 น. จนถึง 02.59 น. 

    ยามอิ๋น เท่ากับ เวลา 03.00 น. จนถึง 04.59 น.  ยามเหม่า เท่ากับ เวลา 05.00 น. จนถึง 06.59 น. 

    ยามเฉิน เท่ากับ เวลา 07.00 น. จนถึง 08.59 น.  ยามซื่อ เท่ากับ เวลา 09.00 น. จนถึง 10.59 น. 

    ยามอู่ เท่ากับ เวลา 11.00 น. จนถึง 12.59 น.  ยามอุ้ย เท่ากับ เวลา 13.00 น. จนถึง 14.59 น. 

    ยามเซิน เท่ากับ เวลา 15.00 น. จนถึง 16.59 น.  ยามอิ่ว เท่ากับ เวลา 17.00 น. จนถึง 18.59 น. 

    ยามซวี เท่ากับ เวลา 19.00 น. จนถึง 20.59 น.  ยามไฮ่ เท่ากับ เวลา 21.00 น. จนถึง 22.59 น.

               3/ชินหวางเฟย = ตำแหน่งชายาเอกของท่านอ๋อง ในที่นี้อ๋องเจ็ดเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งเป็น ชินอ๋องค่ะ ภรรยาเอกเลยมีตำแหน่งเป็นชินหวางเฟย

              4/ผลอิ่งเถา = ผลเชอรี่


    Talk : เอาจริงๆคือพอแต่งตอน 2 แล้วมันยากกว่าแต่งตอนแรกอีกอ่ะ ยังไงก็ขออภัยรีดเดอร์ทั้งหลายที่คาดหวังนะคะ อาจจะไม่เป็นดั่งหวังเท่าไหร่ 555 แต่ตั้งใจแต่งนะ มันได้แค่นี้อ่ะ (มีความงอแง) มึนงงหน่อยก็ถามกันได้ค่ะ ถ้าเราไม่งงเราก็จะตอบ (เอ๊ะ?) ชอบไม่ชอบ อยากติตรงไหน พร้อมรับเสมอค่ะ จะได้พัฒนางานเขียนไปเรื่อยๆเนอะ แล้วก็ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานกันนะคะ^^






     

    “เสี่ยวชิง เลิกร้องไห้ได้แล้ว”จงต้าละมือจากแก้มที่ยังบวมเบ่งจนเป็นสีแดงจัดของตัวเองตากลมมองภาพสะอึกสะอื้นของสาวใช้คนสนิทผ่านกระจกทองเหลืองบานเล็กในมือพลางเอ่ยปลอบเจ้าของเสียงร้องไห้คล้ายจะขาดใจของบ่าวตัวน้อย ตั้งแต่กลับมาที่เรือนเสี่ยวชิงก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดท่าทางเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าผู้ที่ถูกตบหน้าเช่นเขาเสียอีก บ่าวตัวน้อยด่าทอตัวเองที่ปล่อยให้คุณหนูที่เฝ้าทะนุถนอมได้รับอันตรายและยังเจ็บใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือสิ่งใดได้ วินาทีที่ผิวขาวผ่องของคุณหนูขึ้นรอยสีแดงรูปนิ้วมือทั้งห้าของเจ้าของจวน หัวใจของบ่าวผู้รับใช้และคอยดูแลคุณหนูมาตลอดตั้งแต่จำความได้อย่างเสี่ยวชิงเจ็บปวดยิ่งนัก

    นางเฝ้าทะนุถนอมคุณหนูเล็กมาตั้งแต่ถูกขายให้มาเป็นคนรับใช้ที่จวนเสนาบดี สาบานต่อหน้าฮูหยินใหญ่ว่าจะซื่อสัตย์และดูแลคุณหนูด้วยชีวิต มิให้ผู้ใดมารังแกได้ แต่วันนี้กลับทำได้แค่มองคุณหนูโดนทำร้าย

    เหตุใดท่านอ๋องถึงได้ใจร้ายกับคุณหนูของนางเช่นนี้!

     

    “ฮึก คุณหนู เจ็บมากไหมเจ้าคะ ฮึก”เสี่ยวชิงขยับคลานเข่าเข้าไปใกล้ทั้งยังคงสะอื้น จงต้ามองท่าทีของเสี่ยวชิงก่อนจะตัดสินใจวางกระจกทองเหลืองลงกับโต๊ะด้านหน้า หมุนตัวกลับมาเจ้าของเสียงสะอื้นรอยยิ้มบางเบาประดับบนใบหน้างาม

    “ข้าโดนตบจะไม่เจ็บได้เยี่ยงไร”จงต้าตอบไปตามตรงอย่างไม่คิดจะโป้ปด ดวงตาทอประกายความเจ็บปวดเสียจนเสี่ยวชิงรู้สึกได้ แต่เพียงแค่ครู่เดียวก็หายวับไปคล้ายกับเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น ประกายว่างเปล่าเข้ามาแทนที่ พร้อมกับยกตลับสีทองตลับหนึ่งออกมาวางตรงหน้าฉีกยิ้มซุกซนที่แลดูฝืนเหลือเกินในความคิดของคนมอง “แต่เจ้าอย่าลืมสิ ข้ามียาวิเศษของท่านอาจารย์อยู่”

    “...”

    “กับแค่อาการบวมแค่นี้ มันมิได้เจ็บปวดราวกับต้องพิษเสียหน่อยเพราะงั้นเลิกห่วงเถิด เช็ดน้ำหูน้ำตาได้แล้ว”ไม่พูดเปล่าแต่คุณหนูจินผู้ร้ายกาจในสายตาของท่านอ๋องกลับเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้บ่าวตัวน้อยอย่างไม่นึกรังเกียจ ริมฝีปากบางยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆเพื่อให้เสี่ยวชิงเลิกห่วง แต่ดูเหมือนว่าความห่วงใยของจงต้าจะทำให้เสี่ยงชิงตื้นตันใจจนพาลโกรธคนที่ทำร้ายคุณหนูของนางขึ้นอีกหลายส่วน

     

    “ท่านอ๋องใจร้าย ทำไมถึงได้ทำร้ายคุณหนูของบ่าวขนาดนี้”เสี่ยงชิงจับมือเรียวของคุณหนูแนบข้างแก้มทอดมองใบหน้าด้านซ้ายที่ยังคงขึ้นสีแดงช้ำน่ากลัวให้เห็น น้ำตาหยดลงบนมือเรียวอีกครั้ง แม้คุณหนูจะพยายามปิดปังความเสียใจไว้แค่ไหน แต่ก็ยังหลุดรอดออกมาให้เห็นผ่านแววตา

     

    ถึงเสี่ยวชิงจะเป็นแค่บ่าวไมได้ได้ฉลาดเหมือนคุณหนูที่ถูกเคี่ยวกรำด้วยอาจารย์จากหลายสำนัก แต่นางก็รู้ว่าตอนนี้คุณหนูของนางเจ็บปวดเพียงใด แววตาของบ่าวตัวน้อยเอ่อล้นด้วยความห่วงใยจนตากลมของคุณหนูจินต้องปิดลงปิดกั้นหยาดน้ำตาเมื่อรับรู้ถึงความอ่อนแอที่แล่นริ้วขึ้นมากลางอก ความเข้มแข็งที่เพียรสร้างคล้ายพังทลาย ยิ่งเสี่ยวชิงแสดงออกมาว่าห่วงใย จงต้าก็ยิ่งเผยมุมอ่อนแอ

    ถึงจะทำตัวเข้มแข็งเพียงไหน แต่จงต้าก็รู้ดี เขาเจ็บปวดจากเหตุการณ์เมื่อครู่มากเพียงใด

    มันไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย เพียงแต่ครั้งนี้คนผู้นั้นแค่ลงมือโหดเหี้ยมกว่าเดิมยิ่งนัก ทำให้เขาเจ็บทั้งกายและใจ

    ตากลมทอดมองอย่างไร้จุดหมายส่องประกายความหม่นหมองอย่างเปิดเผย มุมปากแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเบาบาง เอื้อนเอ่ยประโยคที่เปรียบดังเหรียญสองด้าน

    หนึ่งย้ำเตือนให้รับรู้ถึงสิ่งที่ผ่านมาว่าอย่ากลับไปโง่งมเช่นเดิม

     

    “คนๆนั้นใจร้ายกับข้ามาตลอดนั่นแหละเสี่ยวชิง”

    และสองกรีดหัวใจของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า....

     

     

     

    ¥¥¥¥¥¥¥¥¥¥

     

     

     

    จวนอ๋องเจ็ดช่างเงียบเชียบเหลือเกิน เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านมาห้าวัน คุณหนูจินก็ไม่เหยียบย่างออกจากเรือนอีกเลย แม้ตอนนี้ใบหน้าน่ารักของคุณหนูจินจะกลับมาเกือบเป็นปกติเพราะยาที่มีสรรพคุณดีเลิศแล้ว แต่ร่างเล็กกลับยังคงหมกตัวอยู่ในเรือนอ่านตำราสมุนไพรที่พี่ชายส่งมาให้เมื่อสองวันก่อนพร้อมสั่งบ่าวไพร่ว่าห้ามไม่ให้ใครเข้าพบโดยเด็ดขาด

    เหตุผลง่ายๆว่าใบหน้ายังไม่หายดี

    เหตุผลฟังดูเล็กน้อยแต่แน่นอนว่าชื่อเสียงความร้ายกาจที่กล้าต่อกรกับเจ้าของจวนอย่างไม่เกรงกลัวนั่นคงลือไปให้ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวด้วยนัก

    จงต้าคิดว่านั่นเป็นข้อดีเสียเหลือเกิน

     

    ท่านอ๋องเงียบหายไปไหนจงต้าไม่ได้ต้องการรับรู้ เขาเพียงใช้ชีวิตของตัวเองเงียบๆคล้ายตัดขาดจากทุกอย่างแม้ว่าตัวน่ารำคาญที่สุดในจวนยังคงทำตัวน่ารำคาญอยู่เรื่อยๆก็ตาม

    อย่างเช่นวันนี้...

     

    หน้าเรือนของเขาท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆของต้น1/ฤดูเหมันต์ เยว่ เยี่ยจื่อผู้แสนดี นั่งคุกเข่าเพื่อขอเข้าพบเขาอยู่หน้าเรือนมาได้ราวๆ 2/ 2 เค่อแล้ว

     

    คุณหนูเยว่ผู้นั้นอึดเสียจนจงต้านับถือ...

    นับถือในความดื้อด้านที่ไม่มีที่สิ้นสุด!

     

    เอาจริงๆจงต้าไม่ค่อยเข้าใจความคิดของคุณนายเอกผู้นี้เท่าใดนัก...

     

    ทั้งๆที่เมื่อ2/ยามเฉินที่ผ่านมาเขาเพิ่งเทน้ำแกงที่คุณหนูเยว่ผู้แสนดีเข้าครัวไปทำมาให้ตั้งแต่2/ยามเหม่าทิ้งอย่างไม่ไยดี บอกให้เสี่ยวชิงไปแจ้งแล้วว่าไม่รับแขกพร้อมทั้งบอกให้เลิกส่งของมาที่เรือนนี้เสียที จงต้านึกใบหน้าของน้องชายสหายออกและคิดว่าคงจะรามือไปเช่นทุกวัน แต่คนผู้นี้กลับมาอีกครั้ง

     

    เสี่ยวชิงรายงานว่าคุณหนูเยว่ผู้นั้นต้องการขอโทษเขาที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด และจะมาคุกเข่าเช่นนี้ทุกวันจนกว่าเขาจะยกโทษให้ ตอนได้ยินครั้งแรกจงต้านึกแปลกใจกับความคิดของอีกฝ่าย แต่สักพักเขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาแรงๆเมื่อคิดถึงสิ่งที่จะตามมา

    การยอมรับว่าตนเองผิดเป็นเรื่องที่ดี หากแต่รั้งจะให้ผู้อื่นให้อภัยโดยการทำให้ตัวเองเป็นเป้านิ่งที่น่าสงสาร แสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่ผู้ที่ต้องถูกมองเป็นเช่นมารร้ายที่ไม่เหลียวแลแม้กระทั่งบุคคลผู้สำนึกผิดอย่างเขาเล่า

    หวนย้อนกลับไปคิดถึงคำพูดตนเองวันนั้นแล้วช่างรู้สึกเหมือนเปลืองแรงเปล่า

    เยว่ เยี่ยจื่อผู้นี้ไม่เข้าใจคำว่าต่างคนต่างอยู่ และดื้อดึงในเรื่องที่ไม่ควรดื้อดึง

    ช่างเป็นตัวน่ารำคาญที่หาทางสร้างเรื่องไม่หยุดหย่อนเสียจริงๆ...

     

     

    “ไล่ไปให้พ้นซะเสี่ยวชิง...”คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ชั่งใจสักพักว่าสิ่งที่ตนจะทำต่อไปมันสมควรหรือไม่ก่อนจะเอ่ยต่อ “หากยังไม่ไปให้เอาคนมาลากไป”

    “เจ้าค่ะ”เสี่ยวชิงมองคุณหนูของตนก่อนจะรับคำอย่างแข็งขันแล้วเดินออกไปจัดการตามคำสั่ง และเพียงครู่เดียวเสียงร่ำไห้ก็ดังขึ้นให้หนวกหู ไม่เพียงแค่นั้นตัวน่ารำคาญผู้นี้ยังอาจหาญทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย ด้วยการบุกขึ้นเรือนเขา!

     

    “คุณหนูจิน ข้า! ปล่อยข้านะ!”เยว่เยี่ยจื่อหอบหายใจแรงเสื้อผ้ายับยู่ยี่พุ่งพรวดเข้ามา แต่ยังไม่ทันจะถึงตัวเจ้าของเรือนแขนทั้งสองข้างก็ถูกดึงรั้งไว้ด้วยเสี่ยวชิงและบ่าวหญิงอีกคนในเรือน จงต้าทำเพียงปรายตามองเล็กน้อยแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างสำรวมกิริยาแม้จะแอบหัวเสียกับการเสียมารยาทมากๆในครั้งนี้ของอีกฝ่ายไม่น้อย

    เคยบอกไปหรือยังว่าเยว่เยี่ยจื่อดื้อด้าน!

    ถ้าเคยบอกไปแล้วเขาก็จะขอย้ำอีกทีแล้วกัน..

     

    “เอาตัวออกไป”เจ้าของเรือนออกคำสั่งและตอนที่บ่าวสองคนลงมือลากร่างของคุณหนูเยว่ผู้แสนบอบบางถอยร่นออกไป ประโยคเดียวที่ก่อกำเนิดเรื่องวุ่นวายในวันนั้นก็ดังขึ้นมา

    ภาพเหตุการณ์ที่ต้องการจะลืมไหลผ่านเข้ามาในหัว จงต้ากรอกตาไปมา

    “คุณหนูจิน ข้าขอโทษแต่ที่ข้าบอกว่าอยากเป็นสหายท่าน...”

     

    กริก..

    ถ้วยชาในมือเล็กวางลงบนโต๊ะด้วยเสียงไม่เบานัก จินจงต้ายอมวางทุกอย่างในมือและลุกขึ้นอย่างสง่างาม ตากลมทอดมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชาเสียจนประโยคเมื่อครู่ของเยว่เยี่ยจื่อถูกกลืนลงลำคอ

     

    “ข้าคิดว่าวันนั้นได้บอกเจ้าไปหมดแล้วนะคุณหนูเยว่”ร่างบางของคุณหนูจินก้าวเข้ามาหาหาช้าๆเนิบนาบไม่ได้คุกคามแต่กลับรู้สึกได้ถึงความจริงจัง

    เยว่เยี่ยจื่อตัวสั่นเทาอีกครั้ง

    แล้วอย่างไรเล่า ตอนนี้เขาเริ่มรำคาญเต็มทนกับความพยายามที่ไร้ประโยชน์ของนายเอกผู้นี้จนอยากบันดาลโทสะจะบ้าตายอยู่แล้ว!

    ร่างบางของคุณหนูจินหยุดลงตรงหน้าเยว่เยี่ยจื่อ ตากลมจดจ้องดวงตาดอกท้อนั่นนิ่ง

    “ข้าเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เจ้าเพียรพยายามทำอยู่นี่ เจ้าทำเพื่อสิ่งใด”

    “ข้า...”

    “หากต้องการขอโทษหรือเจ้าสำนึกผิดก็ขอแค่อย่ารื้อฟื้นเรื่องไม่เป็นเรื่องพันธ์นั้น”

    “...ข้าเพียงแต่อยากได้รับการให้อภัยจากคุณหนูจิน”

    “ระหว่างเจ้ากับข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันมาตั้งแต่ต้น”จงต้าถอนสายตาจากใบหน้างดงามอ่อนช้อยของเยว่เยี่ยจื่อที่เริ่มปริ่มไปด้วยน้ำตา เขายอมรับเลยว่ายิ่งเห็นใบหน้าของคนตรงหน้าเรื่องวันนั้นที่พยายามลืมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็พลันชัดเจน หากไม่รีบไล่ไปให้พ้นหน้าเห็นทีคราวนี้อาจจะได้ลงไม้ลงมืออย่างที่คนๆนั้นเข้าใจไปแล้วจริงๆ “หากเจ้ามิได้โง่เขลาเบาปัญญาเกินไปก็น่าจะรู้ว่าข้าหมายความว่าอย่างไร”

    ใบหน้าท่าทางแสนขัดใจร่ำให้จงต้าปวดหัว

     

    “เสี่ยงชิงส่งแขก” เขาถอนหายใจอีกรอบยกมือบอกเป็นสัญญาญให้บ่าวทั้งสองหิ้วปีกคนที่เพิ่งรู้สึกว่าทำเรื่องไม่ควรหรือไม่ก็อาจจะกำลังคิดอะไรแปลกๆในหัวถึงได้เงียบกริบผิดกับเมื่อครู่ออกไปจากเรือน

     

    เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หยิบยกถ้วยชามาจิบเบาๆ คล้ายดับอารมณ์หงุดหงิดต่างๆนาๆหลังจากใช้นิ้วมือบีบนวดขมับตนเองเบาๆ ตากลมหันกลับมาจับจ้องหนังสือในมือคล้ายไม่ทุกข์ร้อนอีกครั้งราวกับเรื่องเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น แม้กระทั่งตอนที่เสี่ยวชิงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในเรือนด้วยท่าทางตื่นกลัว จงต้าก็ยังเมินเฉยและออกคำสั่งไปเช่นเคย

    “จัดเวรยามเฝ้าไว้ ห้ามคุณหนูเยว่เข้ามาใกล้เรือนข้า และห้ามใครเข้ามาในเรือนหากข้าไม่อนุญาต..”

     

    หากไม่ใช่ว่ามีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาทั้งที่ยังกล่าวไม่จบประโยคดี

    “แม้แต่เปิ่นหวางงั้นหรือคุณหนูจิน”เสียงที่แทรกขึ้นมาช่างคุ้นหู และตอนที่จงต้าหันกลับไปตากลมก็เผลอเบิกกว้าง เสี่ยวชิงค้อมตัวสั่นๆ อยู่ตรงหน้าสบตาผู้เป็นนายด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน ด้านข้างคือองค์ไท่จื่อที่ยืนส่งยิ้มมาให้ จงต้าที่เพิ่งรู้ตัวรีบยอบกายถวายความเคารพอย่างอ่อนช้อย

    “ถวายพระพรองค์ไท่จื่อพะยะค่ะ”

    “อย่าได้มากพิธีเลย เปิ่นหวางเพียงแค่แวะมาเยี่ยมเจ้า”ผู้สูงศักดิ์โบกมือก่อนจะก้าวเข้ามาภายในเรือนและนั่งลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างถือสิทธิ์ ตาคมจับจ้องใบหน้าขาวของเจ้าของเรือนเพียงชั่วครู่ ก่อนจะผุดรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “เปิ่นหวางคิดจะนำยาจากหมอหลวงมาให้ แต่คาดว่าคุณหนูจินคงมียาที่ดีกว่าเสียแล้ว”

    “ขอบพระทัยในความกรุณาพะยะค่ะ”จงต้าเม้มปาก หลบสายตาที่คล้ายกับค้นหาอะไรบางอย่างจากตัวเขา แล้วพยักหน้าเรียกเสี่ยวชิง ให้ไปเตรียมชาและของว่างมาต้อนรับองค์ไทจื่อ และตอนที่หันกลับมารอยยิ้มที่ประดับใบหน้าของผู้สูงศักดิ์ก็ยังไม่จางหายเพียงแต่จงต้ากลับรู้สึกแปลกๆ

    “มานั่งเถิด เปิ่นหวางมีเรื่องจะคุณกับคุณหนูจินเสียหน่อย”

     

     

    ชารสดีที่สุดในเรือนส่งกลิ่นหอมกรุ่น แม้จะไม่คาดคิดว่าจะได้มานั่งจิบชาอยู่เคียงข้างว่าที่ฮ่องเต้ แต่จงต้าก็ยังรักษาท่าทีสงบไว้แม้ว่าในใจจะยังประหม่าอยู่ไม่น้อย องค์ไท่จื่อทำเพียงไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบเรื่องความเป็นอยู่ของเขาในจวนแห่งนี้ เรื่องของเขากับท่านอ๋อง จนกระทั่งชาถ้วยที่สองวางลงบนโต๊ะ จงต้าก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่เล็กน้อย

     

    คราแรกจงต้าเพียงแค่คิดว่าองค์ไทจื่อคงไม่พอใจที่เขาสั่งให้คนลากคุณหนูเยว่ออกไปจากเรือนและจะต่อว่า แต่กลายเป็นว่ามันกลับตาลปัตรไปเสียนี่

    ไม่ว่ากล่าวซ้ำยังขอโทษ

    “เปิ่นหวางต้องขอโทษคุณหนูจินแทนเยี่ยจื่อด้วย ที่สร้างความวุ่นวายและเป็นสาเหตุให้คุณหนูจินต้องบาดเจ็บ”แม้ตอนที่ตรัสกับเขาองค์ไท่จื่อยังทอดมองแก้มข้างซ้ายที่คาดว่าเมื่อก่อนคงปรากฎเป็นรอยแดงตัดกับผิวขาวเกือบซีดของคุณหนูตัวเล็ก น้ำเสียงขององค์ไท่จื่อเต็มไปด้วยความกังวลอยู่หลายส่วน นั่นเพราะสาเหตุมาจากคนที่พระองค์รัก “แล้วก็ในฐานะพี่ชายเปิ่นหวางอยากจะขอโทษแทนชานเลี่ย ที่ทำอะไรไม่คิด”

     

    ชื่อของเจ้าของจวนส่งผลให้คุณหนูจินชะงักไปชั่วครู่

    “หม่อมฉันไม่โกรธหรอกพะยะค่ะ ขอองค์ไท่จื่ออย่าทรงเก็บมาใส่พระทัย”จงต้าไม่ได้โป้ปดแม้คราแรกเขาจะโกรธแต่เมื่อผ่านมาซักพัก เขาก็รู้ว่าไม่ควรเก็บมาใส่ใจ หากยิ่งเก็บมาคิดก็รังจะยิ่งสร้างความรู้สึกผูกติดกับคนผู้นั้นมากขึ้น

    หากคิดที่จะตัดใจแล้ว เขาก็ต้องปล่อยวางและมองผ่านทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอ๋องเจ็ดเสีย...

     

    “หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดถึงไม่ยอมออกจากเรือนเล่า”ประโยคที่ทรงตรัสออกมาคล้ายดักทาง จงต้าเลยได้แต่เผยรอยยิ้มแห้งๆทั้งที่ดวงตาสั่นไหวแล้วแกล้งเอ่ยทูลเหตุผลที่พอเป็นไปได้แก่ผู้สูงศักดิ์

    “หม่อมฉัน แม้ภายนอกรอยจะจางหายไปแล้ว แต่ก็ยังมีอาการเจ็บอยู่บ้าง เลยไม่สะดวกที่จะออกนอกเรือนพะยะค่ะ”

    “เช่นนั้นหรือ?”จงต้ามองเห็นแววตาหยอกเย้าอยู่ในที รับรู้ได้ด้วยตาตัวเองว่าองค์ไท่จื่อไม่ได้เชื่อคำโกหกนั่นแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ยังดีที่เหมือนอีกฝ่ายไม่ได้อยากจะคาดคั้นอะไรมากนัก ถ้วยชาในมือถูกยกขึ้นจิบอีกคราและบรรยากาศรอบกายองค์ไท่จื่อก็พลันเคร่งเครียดขึ้นอีกระดับ บ่งบอกว่านี่ต่างหากคือสาเหตุที่ทรงเสด็จมาที่เรือนเขาในวันนี้

    “ความจริงยังมีอีกเรื่องที่เปิ่นหวางจะมาบอกเจ้า”

    “...”ครานี้จงต้าเผลอเลิกคิ้วเมื่อองค์ไท่จื่อผุดลุกขึ้นเต็มความสูง ร่างสูงใหญ่ก้าวช้าๆไปยังหน้าต่าง ตาคมมองไปยังทิศทางเรือนใหญ่ของน้องชายก่อนจะเอ่ยปากพูดเรื่องสำคัญ

    เรื่องที่สำคัญมากที่ทำให้คุณหนูจินคาดไม่ถึง...

     

    “เปิ่นหวางกำลังจะไปทูลขอสมรสพระราชทานกับเสด็จพ่อ...”

    สมรสพระราชทาน!!

     

    “พระองค์หมายถึง กับ...”จงต้าไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่ได้รับฟังมากนักเพราะนั่นคือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว

    สมรสพระราชทานตามที่เขาเคยเห็นในความฝัน มันคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางเลี่ยง จงต้านึกดีใจอยู่ในทีที่เรื่องราวไม่ได้ผิดแปลกไปจากที่เขารับรู้ ก่อนคิ้วเรียวจะขมวดเข้าหากันเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตามมา แน่นอนสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องราวหลังจากนั้นต่างหาก..

     

    เรื่องที่ว่าพิธีสมรสระหว่างเขากับอ๋องเจ็ดก็จัดขึ้นมาต่อจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์

    จงต้าหลับตาเมื่อความรู้สึกเจ็บแปลบและบีบรัดจนหน่วงที่หน้าอกตีตื้นขึ้นมาเพียงเพราะนึกถึงความลับในครานั้น

    เหตุผลที่คนผู้นั้นไม่ปฎิเสธเรื่องการเร่งให้มีพิธีสมรส เพราะอ๋องเจ็ดรู้ตัวแล้วว่าไม่มีทางสมหวังกับคนผู้เป็นเจ้าดวงใจจงต้าจำได้ดีใบหน้าเย็นชานั่นนิ่งเรียบเพียงแต่ดวงตากลับฉายชัดถึงความเจ็บปวดแม้ริมฝีปากจะเอ่ยความยินดี และเขาที่โง่งมตอนนั้นเลยขอให้ท่านพ่อทูลขอให้เร่งพิธีสมรส

    ใบหน้าของเขาแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขที่ได้ครอบครองคนที่ตนรัก...แม้เพียงร่างกาย

     

    “ทันทีที่พระราชโองการออกมา เยี่ยจื่อจะไม่อยู่สร้างความลำบากใจให้เจ้ากับชานเลี่ยอีก”สุรเสียงขององค์ไท่จื่อยังคงเอ่ยราบเรียบ แต่จงต้ากลับรับรู้ทุกอย่างผ่านภาพในหัวที่ชัดเจนขึ้น ตากลมเปิดออกอีกครั้งช้อนมององค์ไท่จื่อด้วยสีหน้าราบเรียบ และแม้จะดูเสียมารยาทที่เอ่ยถามแต่เพราะความกังวลในสิ่งที่ตามมาจงต้าถึงได้ถามออกไปอย่างไม่ลังเล

    เขาจะพลิกชะตาตัวเองอีกครั้ง...

     

    “พระองค์จะทูลขอเรื่องนี้เมื่อไหร่หรือพะยะค่ะ”

    “พรุ่งนี้...”จงต้าเผลอเบิกตากว้างเมื่อทุกอย่างเร็วกว่าที่คิด

    “ทำไมถึงรวดเร็วนักเล่าพะยะค่ะ..ขอประทานอภัยที่เสียมารยาทหม่อมฉันเพียงแค่..”องค์ไท่จื่อทรงแย้มสรวลเบาๆคล้ายไม่ใส่ใจ แต่จงต้าเห็นประกายบางอย่างพาดผ่านดวงตา

    ลางสังหรณ์ของเขากำลังร้องเตือนบางอย่าง..

    “มันไม่มีเวลาแล้วคุณหนูจิน รวมทั้งเรื่องของเจ้ากับชานเลี่ยด้วย

     

    องค์ไท่จื่อเสด็จกลับไปแล้ว เพียงแต่จงต้ายังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ ตากลมก้มมองถ้วยชาในมือตัวเอง พยายามสะบัดความคิดที่รบกวนอยู่ในหัว แต่ประโยคสุดท้ายจากองค์ไท่จื่อที่ทิ้งไว้ให้ขบคิดก็ยังวนเวียนอยู่ไม่จางหาย

    หมายความอย่างไรกันแน่นะ

    เหตุใดประโยคสุดท้ายที่ทิ้งไว้กลับทำให้จงต้ารู้สึกถึงความวุ่นวายที่กำลังจะส่งผลต่อตนเอง..

    หรือเพราะตัวเขาเองเปลี่ยนแปลง และบิดเบือนเรื่องที่ควรจะเกิดขึ้นไปไม่น้อย ถึงได้ส่งผลกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้งั้นหรือ

     

    ไม่หรอก เขาอาจจะแค่คิดมากไปเอง ประเด็นสำคัญก็ยังคงเป็นเรื่องสมรสพระราชทานนั่นต่างหาก

    อีกไม่เกินสามวัน พระราชโองการก็จะป่าวประกาศไปทั่วแคว้น

    จะเป็นอย่างไรนะ หากท่านอ๋องเจ็ดรู้เรื่องน่ายินดีที่แสนจะเจ็บปวดจากปากคนที่ตนเองรักทั้งคู่

    เฮ้อ...

    เขาเพิ่งจะบอกตัวเองว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอ๋องเจ็ดย่อมไม่เกี่ยวกับเขาแต่ดูเถิด แม้กระทั่งตอนนี้เขากลับห่วงความรู้สึกของคนใจร้ายผู้นั้น...

    หากรู้เรื่องสมรสพระราชทาน หากรู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งได้ชิดใกล้กับเจ้าของดวงใจจะเจ็บปวดขนาดไหน

    จะเจ็บปวดเช่นข้าตอนนี้หรือไม่..

    สุดท้าย จินจงต้าเจ้าก็ยังโง่งมไม่ต่างจากตอนนั้นเลย

     

     

     

    ¥¥¥¥¥¥¥¥¥¥

     

     

     

     

    เรือนใหญ่ อ๋องเจ็ด

     

    ผ่านมา2/หนึ่งก้านธูปแล้วที่มือใหญ่ยังคงจับพู่กันไว้นิ่งและไม่ขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อย อ๋องเจ็ดในชุดว่าราชการนั่งอยู่ในห้องหนังสือ ตรงหน้าคือฎีกาที่ทรงรับมาจากฮ่องเต้ตั้งแต่เมื่อเช้า แต่เมื่อกลับมาถึงจวนและตั้งใจว่าจะสะสางให้แล้วเสร็จกลับไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง จิตใจอันหนักอึ้งกำลังจมอยู่กับเรื่องที่กำลังถกเถียงกับตัวเองและยังคงหาคำตอบไม่ได้

    นี่ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่บุรุษชาตินักรบเช่นเขาคิดเรื่องอื่นนอกจากแผนการทำศึก

    ครั้งแรกก็ว่าได้ที่จดจำภาพความร้ายกาจของคนๆหนึ่งแทนที่จะเป็นเหตุการณ์ประทับใจ

     

    รอยยิ้มเยาะเย้ยราวกับไม่แยแสและท่าทางหาเรื่องของจินจงต้าในวันนั้น ชานเลี่ยไม่เคยได้เห็นด้วยตาตนเองมาก่อน แม้จะได้ยินข่าวลือหนาหูแต่ก็ไม่ได้หูเบาตัดสิน เท่าที่เคยพานพบ เมื่อก่อนจินจงต้าในสายตาเขาก็เป็นเพียงแค่คุณหนูผู้ไม่เอาไหนและไม่แยแสต่อคนอื่นมุ่งมั่นเอาชนะใจเขาโดยไม่เกี่ยงวิธีเพียงเท่านั้น แต่หลังจากที่อีกฝ่ายต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เขาก็ได้เห็นอีกด้านหนึ่ง ด้านที่เป็นแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่รักสงบ หาทางหลบเลี่ยงเขาด้วยเหตุผลที่คาดไม่ถึงและที่สำคัญคือการทำทุกอย่างตรงไปตรงมา

    หากบอกว่าไม่ยุ่งเกี่ยวก็จะไม่ยุ่งเกี่ยว บอกไม่ชอบก็คือไม่ชอบ

    ตอนที่ได้อยู่ด้วยกันในระยะเวลาเพียงนี้ก็ไม่ได้แย่นัก

    จินจงต้ามีหลายมุมที่แตกต่างกันเหลือเกินจนไม่อาจทราบได้ว่ามุมไหนคือตัวตนที่แท้จริง

    แต่แล้วตัวตนร้ายกาจก็ปรากฏ...

     

    คราแรกเพียงเห็นร่างของคุณหนูเยว่กองอยู่กับพื้นในสภาพน้ำตานองหน้าก็คล้ายโดนฝ่ามือที่มองไม่เห็นขยำก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจให้ปวดหนึบ ยิ่งพบเพียงว่าอีกฝ่ายหนึ่งกลับยืนหลังตรงหยิ่งทะนงพร้อมกับกำลังสาดวาจาข่มขู่ ร่างกายก็พลันก้าวเข้าไปโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่เพียงแค่พุ่งเข้าไปหาบุคคลที่คล้ายกำลังตกเป็นรองแต่อ้อมแขนของเขากลับเหวี่ยงร่างที่บอบบางไม่แพ้กันของจินจงต้าผู้ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นออกห่าง มันไม่ควรเขารู้

    เพียงแต่ตอนนั้นคล้ายหลงลืมทุกอย่างเพียงเพราะเห็นหยาดน้ำตาของสหายที่แสนน่าสงสาร...

    บุรุษเช่นเขามิชมชอบเห็นน้ำตา แต่ยิ่งกว่านั้นเขาคล้ายเห็นภาพซ้อนทับ

     

    เยว่เยี่ยจื่อคล้ายกับเขาในอดีตเหลือเกิน แตกต่างกันเพียงเขายังมีเสด็จพ่อและเสด็จพี่ แต่คุณหนูผู้นั้นไม่มีใคร..

     

     

    ยอมรับว่าคราแรกเขาโกรธเมื่อมองเห็นสถานการณ์ที่ชวนให้คิดว่าฝ่ายใดเป็นผู้ถูกกระทำ แต่พอใช้สายตาคบกริบสำรวจร่างของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสหายกลับไม่พบว่ามีร่องรอยบาดเจ็บอันใด ความโกรธขึงของเขาถึงได้คลายลงสองส่วน เพียงแต่ผู้กระทำความผิดก็สมควรจะเป็นฝ่ายขอโทษ แต่ใครจะนึกว่าจินจงต้าไม่ได้ว่าง่ายและฟังคำสั่งเขาเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

     

    ถ้อยคำร้ายกาจ ท่าทีโอหัง และท่าทางข่มขู่ผู้ด้อยกว่าที่อีกฝ่ายแสดงออกมาทำให้เขาตกตะลึง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นกับตา แต่กิริยาไม่สมกับเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่เช่นนี้รังแต่จะทำให้ชื่อเสียงของจงต้าดูไม่ดี

    เพราะเหตุนั้นฝ่ามือของเขาจึงตวัดเข้าที่แก้มขาวผ่องของคู่หมั้น...

    ชายชาติทหารที่ไม่ได้รู้จักวิธีถนอมบุบผางามเช่นเขา เพียงมิรู้วิธีการหยุดการกระทำไม่เหมาะสมด้วยวิธีนุ่มนวล

     

    กว่าจะรู้ตัวว่าทำสิ่งไม่ควรก็ตอนที่รอยนิ้วมือของตนเองปรากฏอยู่บนแก้มขาวจนเป็นสีแดงน่ากลัว มือเท้าเหมือนถูกรั้งพันธนาการไว้ ขยับก้าวเข้าไปหารอยยิ้มร้ายกาจก็ประดับอยู่บนใบหน้างดงาม จินจงต้าไม่ได้ตอบโต้เพียงแต่ทิ้งประโยคที่คล้ายกับประชดประชัดก่อนจะเรียกให้บ่าวรับใช้ประคองตอนเองออกไป

    เพียงแต่แม้จะเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวเขาก็เห็นความปวดร้าวที่ฉายชัดออกมาผ่านแววตา

    ครานั้นเขาถึงได้เพียงหยุดนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับอาการปวดแปลบที่หน้าอกด้านซ้ายอีกครั้ง...

    ชานเลี่ยไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร เพียงแต่ความรู้สึกนั้นช่างทรมานเหลือเกิน

     

     

    “หากสำนึกผิดก็ควรกล่าวขอโทษ”น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นฉุดให้เจ้าของห้องหลุดจากภวังค์ หัวคิ้วของท่านแม่ทัพใหญ่คลายออกจากกัน เปลี่ยนให้ใบหน้าหล่อเหลานั่นกลับมาเรียบเฉยคล้ายไม่มีเรื่องใดให้ขบคิดอีกครั้ง พู่ชานหลงมองหน้าพระอนุชาของตนเองด้วยแววตารู้ทันก่อนจะเดินเข้ามาทรุดนั่งลงตรงหน้าเจ้าของห้องกวาดฎีกาบนโต๊ะไปกองด้านซ้ายมือของตนเองอย่างไม่ใส่ใจ

    “ไม่สมกับเป็นเจ้าเลยนะชานเลี่ย”

    “...”

    “ปกติถึงเจ้าจะไม่มีจิตใจฝังใฝ่ในบุบผางาม แต่ก็ไม่เคยเห็นเจ้าจะใจร้ายใจดำถึงขั้นทำร้ายร่างกาย”เมื่อเห็นว่าใบหน้าของพระอนุชายังคงเรียบเฉยพู่ชานหลงก็เคาะนิ้วกับปลายคางเอ่ยต่อ “ป่านนี้ไม่รู้ว่าแก้มขาวผ่องนั่นจะเป็นเช่นไรบ้างหนอ...”

     “ไม่ใช่ว่าท่านพี่ทรงไปถามไถ่อาการของคู่หมั้นข้าด้วยตาตนเองมาแล้วหรือ”ชานเลี่ยเอ่ยถามกลับเสียงเรียบบ่งบอกว่าการกระทำของไท่จื่อไม่ว่าเรื่องใดในจวนหาได้หลุดรอดสายตาของเจ้าของจวนเช่นเขาไม่

    “ต้าซือนี่น่าตบรางวัลให้เสียจริง”องค์ไท่จื่อหลุดขำปรายตาไปยังมุมห้องจนผู้เร้นกายอยู่ร่างกายเย็นเยือกขึ้นมากะทันหัน ผู้เป็นพี่ชายที่เมื่อครู่ยังแสดงท่าทางขึงขังแปรเปลี่ยนเป็นไท่จื่อผู้มีรอยยิ้มประดับใบหน้าแทบตลอดเวลาอีกครั้ง แต่ที่เพิ่มมาเห็นจะเป็นแววตาที่ช่างวิบวับเหลือเกิน อ๋องเจ็ดเริ่มคิ้วขมวดเมื่อคิดทบทวนว่าตนเผลอเปิดช่องว่างใดให้ผู้เป็นพี่ชายกลั่นแกล้งกันเล่า

     

    “ว่าแต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าคู่หมั้น?”สุรเสียงเจือด้วยเสียงยอกเย้า “ได้ยินเจ้าเรียกคุณหนูจินเช่นนี้ เห็นทีตำแหน่ง 3/ชินหวางเฟย คงว่างเว้นอีกไม่นาน”

    “พี่ใหญ่”น้ำเสียงผู้ถูกเย้าแหย่เข้มขึ้นทันตา

    “อย่ามาทำน้ำเสียงเช่นนี้ใส่พี่”องค์ไท่จื่อยกพัดในมือเคาะหัวพระอนุชาไม่แรงนัก แต่ก็พอทำให้แม่ทัพคนเก่งมองกลับมาด้วยสายตาคาดโทษ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น เมื่อท่าทางขี้เล่นเมื่อครู่หายวับไปกับตา บรรยากาศรอบกายของทั้งคู่พลันตึงเครียดขึ้นสองส่วน ยิ่งหวนคิดไปถึงพระราชดำรัสของผู้เป็นเสด็จพ่อในห้องทรงอักษรเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา องค์ไท่จื่อก็ทรงทอดถอนพระทัยออกมา

    สถานการณ์คลื่นใต้น้ำกำลังปรากฏ และแน่นอนว่ามันส่งผลต่อทุกอย่าง

    แม้แต่กับเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างพู่ชานเลี่ยกับคุณหนูจินเอง..

     

    “เจ้าก็รู้ว่ามันไม่มีเวลาแล้ว ไม่ว่าช้าหรือเร็วมันก็ต้องเกิดขึ้น”

    “ข้ารู้ แต่ข้าไม่อยากบังคับใคร”พู่ชานเลี่ยหลบสายตา ทอดมองไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย สีหน้าไม่ใคร่สู้ดีต่างจากที่เคยพบเห็น แต่ผู้มีศักดิ์เป็นพี่กับไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ฟังนัก

     “เจ้าหมายถึงคุณหนูจินหรือตนเองกันชานเลี่ย”

    “...”ครานี้ไม่มีคำใดหลุดออกจากปากแต่แววตาของพู่ชานเลี่ยกลับสั่นไหว

    องค์ไท่จื่อทอดถอนหายใจ เอ่ยย้ำในเรื่องที่พู่ชานเลี่ยเคยมั่นใจ แต่อะไรหลายๆอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปของคนเป็นคู่หมั้นบั่นทอนความเชื่อมั่นนั่นลงไม่น้อย

    “คุณหนูจินผู้นั้นรักเจ้า..” รักทั้งๆที่เจ้าอาจจะรักคนอื่น...

    พู่ชานหลงละประโยคด้านหลังไว้ในพระทัยจับจ้องใบหน้าของพระอนุชาด้วยแววตาเจือความรู้สึกผิด

    “อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น..”

    “หือ?”พระขนงเลิกขึ้นเมื่อได้ยินถ้อยคำบางอย่างหลุดออกจากปากคนตรงหน้า ท่าทางลังเลใจที่ไม่ใช่วิสัยของพู่ชานเลี่ยช่างสะกิดใจองค์ไท่จื่อเหลือเกิน “อ่า มีเรื่องอะไรที่พี่พลาดไปงั้นหรือ?”

    พู่ชานเลี่ยถอนหายใจ บอกปัดเมื่อเห็นท่าทีสนอกสนใจที่อาจจะนำเรื่องวุ่นวายมาให้ภายหลังของผู้เป็นใหญ่

    “ข้าแค่ไม่แน่ใจว่าจงต้าจะยังอยากเป็นชินหวางเฟยหรือไม่?”จบประโยคของพระอนุชาในห้องหนังสือก็พลันมีเสียงหัวเราะอย่างชอบใจของว่าที่ฮ่องเต้ดังขึ้นให้บ่าวไพร่ได้แต่ลอบมองหน้ากันไปมาอย่างฉงน ฝ่ามือใหญ่ขององค์ไท่จื่อตีลงบนบ่าของน้องชายสองสามทีพร้อมกับพยายามหยุดหัวเราะอย่างยากลำบาก

     

    พู่ชานหลงพนันได้เลยว่าน้องชายของเขาคงไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่พูดออกมามันหมายความว่ายังไง

    มันอาจจะดูธรรมดาถ้าคนที่พูดประโยคเมื่อครู่นั้นเป็นผู้อื่น ไม่ใช่อ๋องเจ็ดผู้ดำรงตำแหน่งชินอ๋องแม่ทัพใหญ่ผู้มิได้สนใจใยดีจิตใจของผู้อื่น จนได้ฉายาว่าก้อนน้ำแข็งพันปี เมื่อก่อนตอนได้รับสมรสพระราชทานคุณหนูจินให้แต่งเข้าจวนชินอ๋องเป็นชินหวางเฟย พู่ชานเลี่ยไม่เคยสนใจใยดีเสียด้วยซ้ำ ไม่สนใจว่าว่าที่ชินหวางเฟยของตนเองเป็นใคร จะยินดีหรือไม่ล้วนไม่สนใจเกี่ยวข้อง เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเสด็จพ่อ ขนาดที่ว่าคุณหนูจินผู้นั้นไล่ตามยังไม่ปริปากพูดถึง

    แต่ตอนนี้มิใช่แค่ได้ยินชื่อแต่กลับลึกซึ้งถึงขั้นนึกถึงจิตใจของคุณหนูจินขึ้นมา!

    อ่า เห็นท่าว่าหัวใจน้ำแข็งของท่านอ๋องเจ็ดแห่งแคว้นฉู่เริ่มละลายเสียแล้ว

    แถมค่อยๆละลายโดยที่เจ้าตัวไม่รู้อีกต่างหาก

     

    ดวงตาขององค์ไท่จื่อปรากฎแววยินดีบนโล่งใจขึ้นมา มือเรียวแตะลงบนไหล่ของพระอนุชา เรื่องที่เขาเอาแต่กังวลกำลังจบลงด้วยดี...

     

    “ก่อนราชโองการจะออก เจ้าก็ไปขอโทษคุณหนูจินเสียจะได้ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะแต่งให้เจ้าหรือไม่?”

    “ข้า...”

    “จะพลาดพลั้งหรือตั้งใจหากว่ารู้สึกผิดเจ้าก็แค่ขอโทษ”พระโอษฐ์ยกขึ้น สายพระเนตรเต็มไปด้วยความเอ็นดูน้องชายในอุทร “หรือถ้าหากคุณหนูจินไม่ยกโทษให้ดีๆ เจ้าก็แค่ให้คุณหนูตัวน้อยผู้นั้นตบคืนสักทีสองทีคงไม่เหลือบากกว่าแรงกระมัง ก็ในเมื่อเทียบกับที่โดนตัดสินว่าเป็นคนผิดอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนั้นนี่นะ”

    องค์ไท่จื่อผู้นี้ช่างเก่งในเรื่องพูดกระแทกใจเสียเหลือเกิน...

     

     

    พู่ชานเลี่ยถอนหายใจออกมาคล้ายให้มันบรรเทาอาการหนักอึ้งในอก และยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากไล่(?)ผู้สูงศักดิ์กลับไปวังหลวงด้านหน้าเรือนกลับปรากฏแขกไม่ได้รับเชิญอีกคนหนึ่ง

    ร่างบอบบางของเยี่ยจื่อเดินเข้ามาอย่างอ่อนช้อย แม้ใบหน้าจะประดับไปด้วยรอยยิ้มบางเบาแต่ดวงตาดอกท้อนั่นกลับหม่นหมองเสียจนรับรู้ได้ เว้นเสียแต่องค์ไท่จื่อที่ทำเพียงส่ายพระพักตร์ช้าๆก่อนจะเดินเข้าไปประคองร่างที่เพิ่งทำความเคารพอย่างงดงามนั่นเดินเข้ามาใกล้

    แม้อยากจะเอ่ยถามว่าเหตุใดผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสหายถึงได้แสดงท่าทีทุกข์ใจเช่นนั้น

    แต่ท่าทางของทั้งคู่ทำให้ชานเลี่ยเลือกกลืนคำถามทุกอย่างลงไปในลำคอจนหมดสิ้น

    มันไม่ใช่หน้าที่ของเขา...

     

    “ใจคอเจ้าจะทำหน้าอมทุกข์เช่นนี้ทุกครั้งที่เจอข้าเลยหรือจื่อเอ๋อร์”การเรียกขานที่สนิทสนมไม่เท่ากับสายตาที่ทอดมองคนข้างกาย ชานเลี่ยเบือนหน้าหนี ไม่ใช่ว่าเพราะหัวใจเจ็บปวดเช่นเดิม เพียงแต่ตอนเห็นท่าทางประคบประหงมที่พี่ใหญ่มีให้เยี่ยจื่อเขากลับคิดไปถึงคู่หมั้นของตน

    เยี่ยจื่อที่เขารู้จักเป็นคนเข้มแข็งแต่ยังต้องการคนปกป้อง

    แล้วคนอย่างจงต้าเล่า...ก็คงไม่ต่างกัน

     

     

    “ถ้าพี่ใหญ่มีธุระกับเยี่ยจื่อ ข้าขอตัวก่อน”ครั้นเห็นว่าคนทั้งคู่เริ่มสร้างพื้นที่ส่วนตัวเจ้าของเรือนเลยเลือกที่จะเดินออกไปเสียเอง แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนสุรเสียงขององค์ไท่จื่อก็ดึงรั้งไว้

    “เดี๋ยวสิชานเลี่ย พี่กับเยี่ยจื่อยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกเจ้า”

    “...”พู่ชานเลี่ยเลิกคิ้ว งุนงงเมื่อคิดไม่ถึงว่าที่พี่ชายอุตส่าห์มาที่นี่ไม่ได้เพราะเรื่องของเขากับจงต้าเพียงอย่างเดียว และยิ่งเห็นท่าทางอึกอักของเยี่ยจื่อก็ยิ่งทำให้ชานเลี่ยเกิดความสงสัยขึ้นอีกหลายส่วน

    หมายมาดว่าเรื่องสำคัญคงจะเกี่ยวข้องกับเยว่ เยี่ยจื่อ..

     

    ตาคมจับจ้องผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เขารู้สึกดีอยู่ชั่วครู่ เยี่ยจื่อก้มหน้าหลบ มือเล็กบีบมือใหญ่ที่กอบกุมมือของตนเองไว้คล้ายกับรวบรวมความกล้า

     

    “ท่านอ๋องข้า ..ข้าจะแต่งให้องค์ไท่จื่อ”

    ดวงตาดอกท้อหลุบต่ำลงเพราะมิใช่ว่าไม่รู้สึกระแคะระคายกับสิ่งที่ตนเองได้รับการปฏิบัติจากสหายผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ ยิ่งเหตุการณ์ในวันนั้นเยี่ยจื่อก็รู้สึกผิดที่ตนเองเป็นต้นเหตุให้คุณหนูจินต้องเจ็บปวด เมื่ออ๋องเจ็ดเลือกที่จะปกป้องเขา

    แต่เมื่อไม่ได้รัก ต่อให้ทำเช่นไรก็มิอาจปักใจรักได้

    หากเพื่อได้อยู่กับคนที่ตนรัก เยว่เยี่ยจื่อก็เห็นแก่ตัวไม่ต่างกัน..แม้ว่าความรักของตนเองจะทำร้ายใครอีกกี่คน..

     

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ พู่ชานหลงจับจ้องปฏิกิริยาของน้องชายอย่างไม่วางตา ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าน้องชายของตนเองก็พึงพอใจในตัวของคนรัก เขามองออกมาตั้งแต่ต้น แต่ครั้นเห็นว่าตัวเยี่ยจื่อเองไม่ได้มีไมตรีตอบรับและชานเลี่ยเองก็ไม่ได้คิดที่จะครอบครอง เขาถึงได้ปล่อยผ่านมาตลอด ที่จริงพู่ชานหลงเองก็เห็นแก่ตัวไม่ต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามการที่ได้เห็นท่าทางของน้องชายเป็นเช่นนี้หลังจากที่เยี่ยจื่อตัดสินใจบอกเรื่องการสมรสไปองค์ไท่จื่อก็คล้ายกับยกภูเขาออกจากอก แม้ท่าทางภายนอกจะนิ่งเฉย ดวงตาของชานเลี่ยก็ยังคงแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างเช่นทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้มันเจือจางจนแทบจะมองไม่เห็น

    พู่ชานเลี่ยมองเขาทั้งคู่สลับกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วน้ำเสียงเรียบนิ่งก็เอ่ยออกมา

    หนักแน่น และเต็มไปด้วยความจริงใจอย่างที่สำผัสได้

    “หากเจ้าคิดดีแล้ว ในฐานะสหายข้าก็ขอแสดงความยินดี”หางเสียงของพู่ชานเลี่ยแผ่วเบา เพราะหางตามองเห็นร่างคุ้นตาของคนที่ไม่ได้เห็นหน้าอีกเลยตั้งแต่เรื่องราววันนั้นผ่านทางหน้าต่างหัวคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่

    ดูท่าทางแล้วคงกำลังจะลักลอบออกจากจวน

    พู่ชานเลี่ยหมดความสนใจกับผู้สนทนาในห้องหนังสือทันใด....

    และตอนนั้นพู่ชานหลงกับเยว่เยี่ยจื่อก็ต่างมองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม...

     

     

     

     

    สองนายบ่าวในชุดสีเข้ม ผู้เป็นนายสวมหมวกปีกกว้างมีผ้าสีขาวบิดบังใบหน้าไว้เกือบครึ่ง เดินช้าๆไม่รีบเร่งคล้ายกับกำลังเดินเล่นอยู่ในจวนเสียไม่ปาน ในขณะที่บ่าวตัวน้อยอย่างเสี่ยวชิงกลับมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทีหวาดระแวง ก็จะไม่ให้หวาดระแวงได้เยี่ยงไรในเมื่อนางเอ่ยปากชวนคุณหนูให้ออกมาเดินเล่นในจวนแต่กลับกกลายเป็นว่าคุณหนูของนางกลับบอกว่าจะออกไปหาคุณหนูรองตระกูลเยว่เสียอย่างนั้น!

     

    “คุณหนูเจ้าขา หากจะออกไปบ่าวว่าเราไปทูลขอท่านอ๋องก่อนดีไหมเจ้าคะ?”เหตุการณ์วันนั้นยังติดตา เสี่ยวชิงล่ะกลัวเหลือเกินว่าหากท่านอ๋องทรงโกรธขึ้นมาเหมือนวันนั้นแล้วคุณหนูของตนจะได้รับอันตรายอีก

    “ท่านอ๋องทรงมีแขก”ผู้เป็นนายบอกปัดแล้วตั้งท่าจะเดินออกไปจากเขตเรือนอีกครั้ง แต่เสี่ยวชิงก็ไม่ลดละมือเล็กจับแขนของคุณหนูไว้หลวมๆ แต่ก็พอทำให้ริมฝีปากของคุณหนูจินคว่ำลงอย่างเด็กเอาแต่ใจ

    คุณหนูของนางทำท่าทางเช่นนี้น่ารักยิ่งนัก แต่เสี่ยวชิงจะไม่ใจอ่อนอีกเด็ดขาด!

    “โธ่คุณหนู ถ้าท่านอ๋องมีแขกงั้นก็บอกพ่อบ้านกงก็ได้เจ้าค่ะ”

    “อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่สิเสี่ยวชิง เราแค่ออกไปเงียบๆและกลับเข้ามาเงียบๆก็พอแล้ว”

    “แต่คุณหนูเจ้าคะ ถ้าหากท่านอ๋องทรงทราบแล้วโกรธขึ้นมา บ่าวกลัวว่า..”เสียงเสี่ยวชิงหยุดกะทันหันท่าทีแปลกๆกลับไม่ได้อยู่ในสายตาจงต้าเสียเท่าไหร่ คุณหนูตัวเล็กยู่ปากมองซ้ายมองขวา

    “เขาไม่สนใจข้าหรอกน่า ไปเถอะ!”จงต้าถอนหายใจจับมือเล็กออกจากแขนแล้วทำท่าจะจับจูงสาวใช้ตัวน้อยให้ออกจากเรือนให้จงได้ แต่ใครจะไปคิดเล่าว่าเพียงแค่หันกลับหลังมากลับเกือบชนเข้ากับกำแพงมนุษย์!

     “ใครบอกว่าเปิ่นหวางไม่สนใจเจ้า...”

     

    คนที่จงต้าเพิ่งบอกว่ามีแขกเหตุใดมายืนหน้านิ่งอยู่ตรงนี้ได้เล่า!

     

    ทั้งนายทั้งบ่าวหยุดชะงักกันทั้งคู่

     

    “ถวายพระพรท่านอ๋องพะยะค่ะ”ผู้เป็นนายได้สติกลับมาก่อนตากลมนั่นเสหลบสายตาที่จ้องมาแล้วยอบกายถวายความเคารพอย่างขอไปที แต่เพราะไร้การตอบกลับสองนายบ่าวเลยต้องโค้งตัวอยู่เช่นนั้น จงต้าได้แต่เข่นเขี้ยวในใจเรื่องราวในวันนั้นเขายังจดจำไว้ในหัวไม่ลืมว่าสักวันจะต้องหาทางเอาคืนเป็นแน่แล้วคู่หมั้นน่าตายผู้นี้ยังหาเรื่องให้เขาเพิ่มบทลงโทษในหัวลงไปอีก ผงพิษที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อถูกแตะแผ่วเบา และตอนนั้นเองที่หูได้ยินเสียงฝีเท้าอีกสองคู่เดินเข้ามา

     

    องค์ไท่จื่อกับเยว่เยี่ยจื่อ...

     

    “คุณหนูจินลุกขึ้นเถิด”เสียงของผู้มีศักดิ์สูงกว่าคล้ายระฆังช่วยชีวิตจงต้าค้อมตัวให้ต่ำลงก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม เผลอกรอกตาตอนที่เหลือบไปสบสายตาเศร้าๆของเยี่ยจื่อมราส่งตรงมายังเขา..

    “ถวายพระพรองค์ไท่จื่อ และขอบพระทัยพะยะค่ะ”

    “จะไปข้างนอกกันหรือ?”เสียงองค์ไท่จื่อกล่าวถามน้ำเสียงรื่นเริงหูยิ่งนัก ต่างจากเจ้าของจวนที่เอาแต่จับจ้องเขานิ่งๆอย่างไม่ละสายตา จงต้ามองเมินสายตานั้นคล้ายไม่ใส่ใจ ใบหน้าของคุณหนูจินเชิดขึ้นเล็กน้อย

    “หม่อมฉันกำลังจะออกไปเยี่ยมสหายพะยะค่ะ”จงต้าเลือกที่จะกล่าวจุดประสงค์ออกไปโดยไม่ปิดบัง และนั่นก็ทำให้ใบหน้าของคุณหนูเยว่ซีดลงถนัดตา มุมปากภายใต้ผ้าคลุมยกขึ้นเล็กน้อย

    จงต้าไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่เมื่อทำอะไรอ๋องเจ็ดไม่ได้ ก็ขอเล่นสนุกกับความรู้สึกของเยว่เยี่ยจื่อหน่อยจะเป็นไรไป..

     

    พู่ชานเลี่ยลอบถอนหายใจ เขาไม่ได้หันไปมองใบหน้าสหายแต่ก็พอรู้ว่าเพียงประโยคธรรมดาของจงต้าก็สร้างความไม่สบายใจให้อีกฝ่ายแค่ไหน

    มิมีข่าวลือว่าคุณหนูรองตระกูลเยว่เจ็บป่วยอันใด ถ้าจะมีเรื่องต้องเยี่ยมเยียนก็เป็นเพราะเจ็บป่วยทางใจจากเรื่องที่เขาเองก็เพิ่งทราบมาเมื่อไม่กี่เค่อที่ผ่านมา

     

    ร่างสูงใหญ่ของอ๋องเจ็ดขยับไปยืนตรงหน้าบดบังร่างเยี่ยจื่อจากสายตาของคู่หมั้น ตาคมดุมีแววปรามอยู่ในทีราวกับรู้ทันว่าคู่หมั้นที่แสนร้ายกาจของตนกำลังจะทำอะไร หาทางดึงความสนใจของคู่หมั้นตัวเล็กมาที่ตน

    “จะออกไปไหนเจ้าก็ควรแจ้งเปิ่นหวางก่อน”

    “หม่อมฉันเพียงแค่จะออกไปพบสหายเพียงเท่านั้น”จงต้าย้ำจุดประสงค์และแสร้งเมินเฉยต่อท่าทางดุดันของคู่หมั้น ขาเล็กขยับพาตนเองออกมาด้านข้าง เมื่อมองเห็นองค์ไท่จื่อก็ยอบตัวคล้ายจะกล่าวลา แต่พู่ชานเลี่ยกลับขยับตามมา

    คนผู้นี้ไม่ยอมรามือ!

     

    “ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดก็ต้องแจ้งเปิ่นหวางก่อน”

    “เช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอแจ้งให้ท่านอ๋องทราบตรงนี้”ท่าทางของคุณหนูจินแปลกตาจนองค์ไท่จื่อแอบยกยิ้ม ผู้สูงศักดิ์ขยับเข้าไปประคองคนรักที่ยืนทำหน้าอมทุกข์ก่อนจะกระซิบให้เดินออกมา แม้จะเสียดายอยู่ไม่น้อยที่เหมือนจะพลาดฉากงิ้วดีๆ จนกระทั่งเหลือเพียงเจ้าของจวนและคุณหนูจินที่ยังคงตกลงกันไม่ได้เสียที

    ใบหน้าของคุณหนูจินยามนี้แดงก่ำไปด้วยความโกรธ นึกอยากจะปาผงพิษใส่ร่างสูงใหญ่ตรงหน้าให้ล้มป่วยสักสามราตรี ไอสังหารที่ไม่ควรจะมีจากร่างคุณหนูตัวเล็กแผ่ออกมาจนเสี่ยงชิงตัวเริ่มขยับตัวออกห่างคุณหนูของตนทีละนิด...

     

    พู่ชานเลี่ยได้ทึ่งกับอีกด้านของคู่หมั้นตนเองอีกครั้ง...

    “หากจะออกไปนอกจวนเปิ่นหวางจะให้พ่อบ้านกงเตรียมรถม้าให้”ตาคมจ้องมองอีกฝ่ายอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ ผ้าแพรผืนบางที่ปิดบังใบหน้าของคู่หมั้นทำให้ยากที่จะมองเห็นแก้มซีกซ้ายที่พี่ชายเอ่ยย้ำจนความรู้สึกผิดเกาะกินหัวใจ แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ด้านนอกจวนจะไม่เหมาะให้คุณหนูจินออกไปมากแค่ไหนก็ตาม แต่เพราะความรู้สึกผิดที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยจนเผลอยอมลงให้ในครานี้

    เพียงแต่คนตรงหน้ากลับปฏิเสธ..

    “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องลำบาก หม่อมฉันสามารถเดินทางไปเองได้..”

    “เปิ่นหวางไม่ได้ลำบาก มันเป็นหน้าที่”

     

    “อ้อ ไม่ต้องห่วงหรอกพะยะค่ะ หม่อมฉันจะไม่ทำให้ชื่อเสียงของพระองค์หม่นหมองเป็นแน่”จงต้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดประชดประชันเมื่อแปลความหมายของความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าออก คนผู้นี้ก็เพียงแค่ห่วงชื่อเสียงของจวนตัวเองเพียงเท่านั้น ถึงได้เดินทางมาเสวนากับเขาราวกับลืมเลือนเรื่องบาดหมางเมื่อไม่กี่วันก่อนไปหมดสิ้น

    ช่างน่านับถือยิ่งนัก!

     

    “หากเจ้าไม่เดินทางโดยรถม้า ก็อย่าคิดที่จะออกจากจวน”

    “หม่อมฉันไม่อยากให้มันวุ่นวาย ท่านอ๋องก็อย่าทรงทำให้เรื่องมันวุ่นวายเลย”แววตาของจงต้าประกายความดื้อรั้นเพิ่มอีกเท่าตัว จู่ๆก็อยากจะต่อต้านและเอาชนะอย่างไม่มีเหตุผล ตัวตนเช่นนี้ที่เมื่อก่อนพู่ชานเลี่ยเอาแต่วิ่งหนี..

    “เจ้าดิ้อด้านแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะดื้อดึงชานเลี่ยก็คล้ายจะอารมณ์ร้อนขึ้นเหมือนกัน แน่นอนว่าหากมิใช่ในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้เขาคงจะทำเป็นหลับหูหลับตาปล่อยให้จินจงต้าหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนเหมือนครั้งนั้น

    เพียงแต่ตอนนี้มันไม่เหมือนตอนนั้น...จินจงต้าไม่ได้ปลอดภัยหากยังไม่ได้เป็นชินหวางเฟย..

     

    คุณหนูจินรู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างมาจุกอยู่ในลำคอเมื่อได้ฟังประโยคดังกล่าว ใบหน้างดงามภายใต้ผ้าผืนบ้างเรียบนิ่งจนติดเฉยชา แค่นยิ้มในเสี้ยววินาที

    “หากท่านอ๋องทรงจำได้ หม่อมฉันก็เป็นคนเช่นนี้มาตลอดแหละพะยะค่ะ”

    พู่ชานเลี่ยถอนหายใจอีกครั้งเมื่อได้ยินถ้อยคำเช่นนั้น...

    แต่ก็ยอมให้ออกไปเพียงลำพังไม่ได้...

    “หากจะออกไปเปิ่นหวางจะให้พ่อบ้านกงเตรียมรถม้า...”

    “หากเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันไม่ไปแล้วพะยะค่ะ”คุณหนูจินเอ่ยแทรกขึ้นมา หันหลังให้กับเจ้าของจวนก้าวหนีอย่างไม่คิดจะเอ่ยลา ทิ้งให้เจ้าของจวนที่อึกอักเหมือนมีคำบางคำจะกล่าวได้แต่ทอดมองแผ่นหลังบอบบางด้วยแววตาสับสน

    ไหล่ที่ตั้งตรงอย่างองอาจของท่านแม่ทัพลู่ลงเล็กน้อย มือใหญ่เสยผมที่ปรกใบหน้าของตนขึ้นอย่างลวกๆ

    การเอ่ยคำขอโทษสำหรับแม่ทัพใหญ่อย่างเขาช่างยากเย็นยิ่งนัก...

    แต่คำว่าเป็นห่วงก็เอ่ยยากเย็นไม่แพ้กัน...

     

     

     

     

    ¥¥¥¥¥¥¥¥¥¥

     

     

     

     

    ข่าวเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างองค์ไท่จื่อและคุณหนูเยว่เยี่ยจื่อดังกระฉ่อนไปทั่วเมือง

    แม้ตำแหน่งจะเป็นได้เพียงชายารองตามชาติกำเนิด แต่ทุกคนก็ลือหนาหนูว่าคุณหนูเยว่ผู้นี้คือผู้กุมพระทัยโอรสมังกร ถึงขั้นต้องกราบทูลขอสมรสพระราชทานเพื่อเก็บยอดดวงใจไว้ข้างกาย

    จงต้าทำเพียงนั่งฟังเสียงนางกำนัลและคนงานหลายคนมาเก็บของและเตรียมตัวให้คุณหนูเยว่เข้าวังอย่างสมเกียรติในเรือนของตนเอง เขาไม่ได้สนใจเรื่องราวที่เป็นไปมากนัก เป็นห่วงก็แต่เหยียนหลาง ที่ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นเช่นไร และอีกผู้หนึ่งซึ่งพ่อบ้านกงได้มาแจ้งเขาไว้เมื่อวันก่อนว่าทรงมีราชกิจด่วนไม่อาจอยู่จวนเพื่อดูแลความเรียบร้อยได้ และโยนทุกอย่างให้เขาตัดสินใจเผื่อเกิดปัญหา

    คนผู้นั้นไม่ใช่ว่าทนเห็นขบวนส่งชายารองไม่ได้หรอกหรือ...

    แต่ช่างประไร หาใช่ธุระกงการอะไรของเขาไม่!

     

    จงต้าส่ายหัวปัดความคิดที่คล้ายจะเป็นห่วงผู้เป็นคู่หมั้นนั่นออกไปก่อนจะหันกลับมาสนใจหนังสือในมือต่อ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงประกาศจากหน้าเรือน พร้อมกับที่เสี่ยวชิงวิ่งหอบเข้ามาก็เรียกให้ร่างผอมบางต้องถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายเสียก่อน

    เยว่เยี่ยจื่อจะยุ่งวุ่นวายกับเขาแม้กระทั่งวันสุดท้ายที่จะอยู่ในจวนนี้เลยอย่างนั้นสินะ...

     

    ขบวนเสด็จขององค์ไท่จื่อกำลังตรงมาที่เรือนของเขา ชายารองเยว่เยี่ยจื่อ ถูกประคับประคองมาเคียงข้างร่างสูงใหญ่ และถึงจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวเพียงใด แต่จงต้าก็รู้ดีว่าสิ่งใดควรมิควร

    ยิ่งเมื่อเป็นขบวนเสด็จของเชื้อพระวงศ์ที่มีเหล่านางกำนัลและขันทีพร้อมเยี่ยงนี้ ครานี้เขาปฏิเสธไม่ได้เสียแล้ว

     

    “ถวายพระพรองค์ไท่จื่อ ถวายพระพรว่าที่พระชายารองพะยะค่ะ”ร่างบางถวายพระพรอย่างงดงามตราบขนบธรรมเนียม ใบหน้าน่ารักเรียบนิ่งปราศจากอารมณ์ขุ่นมัวแบบที่เยี่ยจื่อนึกกลัว และเมื่อผู้สูงศักดิ์ที่สุดในที่นี้กล่าวว่าให้ตามสบาย จงต้าก็ลงขึ้นยืนตรงอย่างสง่า ตากลมจับจ้องไปยังร่างของคนที่คิดว่ามีธุระกับเขาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งไร้การคุกคามเพียงแต่รอคอยสิ่งที่อีกฝ่ายจะเอ่ย และตอนนั้นเองที่คุณหนูเยว่ผู้นั้นกลับมีหยาดน้ำตาคลอดวงตาดอกท้ออย่างไม่ทราบสาเหตุ ยิ่งประกอบกับรูปร่างบอบบางในชุดสีชมพูอ่อนนั่นแล้ว เพียงแค่ยืนเฉยๆเขาก็กลายเป็นมารน้อยผู้แค่ทอดสายตาไปก็ทำให้บุรุษผู้งดงามยิ่งกว่าบุบผาหลั่งน้ำตา

    “จื่อเอ้อร์ เจ้าเป็นอะไร ”กระแสเสียงอันอบอุ่นขององค์ไท่จื่อคล้ายตัวกระตุ้นหยาดน้ำตา จงต้ายังคงยืนนิ่งแม้หางตาจะเริ่มเห็นว่านางกำนัลและขันทีในขบวนเสด็จกำลังมองมาที่เขาแล้วเริ่มกระซิบกระซาบกันอย่างไร้มารยาท เบนสายตามาก็เห็นว่าที่ชายารองยกมือเรียวเล็กนั่นเช็ดน้ำตา ก่อนอีกฝ่ายจะพุ่งเข้ามาคว้ามือเข้าไปจับไว้มั่นโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว แต่ยังดีที่ไม่เผลอสะบัดตัวออกเหมือนอย่างเคย ไม่เช่นนั้นหัวของเขาอาจจะหลุดจากบ่า

    แม้จะไม่ได้ชอบใจนักก็เถอะ

     

    “ข้าอยากขอโทษคุณหนูจินสำหรับทุกอย่าง ข้า..”

    “ข้ายกโทษให้เจ้าทุกอย่าง และนับจากนี้ขอแค่อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีก”จงต้าเอ่ยแทรกคล้ายอยากให้ทุกอย่างจบลงเสียที แต่เหมือนประโยคนั้นจะทำร้ายจิตใจอันแสนเปราะบางของว่าที่ชายารองผู้นี้เสียเหลือเกิน เมื่อดวงตาดอกท้อนั่นเบิกขึ้นก่อนใบหน้าที่น่าทะนุถนอมนั่นจะก้มต่ำลง จงต้าถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเพราะต้องรักษาท่าทีของตนเองต่อหน้าผู้อื่น ถ้าเขาไม่รู้จักน้องชายร่วมบิดาของสหายผู้นี้ดี จงต้าคงคิดไปแล้วว่าท่าทางที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ล้วนเสแสร้งแต่เพราะรู้จักดีนั่นแหละ ถึงต่อให้จะขวางหูขวางตาเสียขนาดไหน เขาก็ต้องอดทนเล่นงิ้วในแบบที่ไม่ถนัดเพื่อให้ทุกอย่างจบลงเสียที มือเล็กภายใต้อาภรสีน้ำเงินยื่นออกไปจับมือของคุณหนูเยว่ไว้ ก่อนจะบีบเบาๆ

    “ข้ายกโทษให้เจ้าจริงๆ และมิได้นึกเคืองโกรธอันใด ที่บอกว่าไม่อยากให้ยุ่งเกี่ยวกันอีก ก็เพราะข้าเป็นสหายของพี่เจ้า”จงต้าพูดอย่างใจเย็นและแย้มยิ้มเบาบางไม่ถึงดวงตา

    เยว่เยี่ยจื่อเม้มริมฝีปาก ดวงตาดอกท้อที่แสนจะเปิดเผยทุกอย่างที่คิดนั้น ทอประกายความรู้สึกผิดอยู่หลายส่วน

    ความจริงแล้วเขาไม่ได้อยากจะพูดถึงเหยียนหลาง เพราะเหมือนจะเป็นการสะกิดแผลบางอย่างในใจของเยี่ยจื่ออยู่ไม่น้อย ความรักมันห้ามกันไม่ได้หรอกเขารู้ แต่ตอนนี้การที่คู่หมั้นของพี่ชายแต่กลับกลายเป็นตนเองที่ได้อยู่เคียงข้าง แม้ไม่ได้ตั้งใจแย่งชิงมาตั้งแต่แรก แต่ความเจ็บปวดของสหายของเขาเล่าใครจะรับผิดชอบ

    ที่เหยียนหลางร้ายก็เพราะรักมิใช่หรือ...

     

    “อย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายเลยคุณหนูเยว่ แล้วข้าก็ขอแสดงความยินดีกับเจ้า ขอให้เจ้ามีความสุขกับสิ่งที่เจ้าเลือก”

    ความรู้สึกผิดเหล่านี้จะติดอยู่ในใจของเยว่เยี่ยจื่อตราบนานเท่านาน และที่เขาอวยพรจากใจจริงก็คือการขอให้เยี่ยจื่ออยู่รอดปลอดภัยในวังหลังที่แสนอันตรายนั่น ก็แล้วกัน

     

     

     

    เรื่องวุ่นวายจบลงเมื่อ2/ยามซวี จงต้าน้อมส่งขบวนเสด็จขององค์ไท่จื่อและชายารองตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าของจวน จากนั้นบ่าวไพร่ที่ทำงานกันมาตั้งแต่2/ยามซื่อ จึงได้แยกย้ายพากันไปพักผ่อน เขาให้เสี่ยวชิงเตรียมน้ำจัดการชำระร่างกายตลอดจนผลัดเปลี่ยนอาภรและเตรียมเข้านอนเร็วกว่าทุกวัน เพื่อให้ผู้เป็นบ่าวรับใช้หลายๆคนในเรือนได้ไปพักผ่อนกันก่อนเวลา เพราะแบบนั้นตอนนี้ในเรือนถึงได้มีเพียงจงต้าที่ยังนั่งเท้าคางจ้องตำราพิษของแคว้นฉู่ไม่วางตา แสงตะเกียงส่องกระทบใบหน้านวล ก่อนจงต้าจะได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากหน้าตาที่เขาเปิดอ้าไว้เพื่อรับลมใน1/ฤดูเหมันต์ มือเล็กคว้ามืดสั้นที่เก็บไว้ใต้หมอน กำไว้แน่นตากลมจับจ้องการเคลื่อนไหวรอบกายพร้อมกับเปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดเท่าที่มี แม้การอารักขาของจวนอ๋องเจ็ดจะปลอดภัยเพียงใด แต่จงต้าก็ไม่อาจจะประมาท ทุกอย่างพลาดได้เสมอ...

    จงต้าไม่ได้มีวรยุทธเช่นพี่ใหญ่ เขาเพียงแค่มีการรับรู้เรื่องกลิ่นและเสียงดีกว่าคนปกติเพียงเพราะการศึกษาวิชาแพทย์เพียงเท่านั้น แม้เทียบไม่ได้กับผู้เป็นวรยุทธ แต่เขาก็ยังพอมีวิชาป้องกันตัวเล็กน้อยที่พอจะฝึกได้

    เงาสีดำวูบไหวเคลื่อนตัวผ่านหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว หัวใจของจงต้าเต้นรัว เมื่อรับรู้ได้ถึงกระแสพลังบางอย่างที่เย็นเยียบพัดเข้ามากระทบใบหน้า และตอนที่ยังไม่ทันตั้งตัวเงาสีดำก็พุ่งจากหน้าต่างเข้ามาในห้องของเขา จงต้าไม่ได้กระพริบตาด้วยซ้ำ เขารับรู้ได้ทันทีว่าความเร็วเช่นนี้ต้องเป็นผู้มีวรยุทธล้ำเลิศ แต่ถึงอย่างนั้นมีดสั้นในมือก็พุ่งเข้าใส่ร่างนั้นอย่างไม่เกรงกลัว

    และถึงมันจะพลาดเป้าเมื่อคนผู้นั้นหาได้ทำร้ายเขาแต่กลับพุ่งเข้ากอดเขาไว้ทั้งร่าง!!

    กลิ่นกายสูงศักดิ์แฝงความเย็นชาที่คุ้นเคยไม่ได้เป็นสาเหตุให้มีดสั้นในมือร่วงหล่นลงพื้นแต่เพราะกลิ่นคาวเลือดต่างหาก

    “ท่านอ๋อง!!

     

    ร่างสูงใหญ่คล้ายจะทรุดฮวบทิ้งตัวพิงร่างเขาไว้ อ้อมแขนเล็กกอดรัดแผ่นหลังกว้างพยายามทรงตัวให้ยืนอยู่แม้จะไม่มั่นคงนัก ลมหายใจหอบดังขึ้นข้างหู พู่ชานเลี่ยยังไม่สิ้นสติแต่เขาคาดว่าอีกไม่นานนัก เมื่อฝ่ามือเล็กสัมผัสกับสิ่งเหนียวหนืด

    เลือด...

    “เสี่ยวชิง ใครก็ได้เข้ามาที!!

     

    เสียงร้องเรียกของคุณหนูจินสร้างความตื่นตระหนกให้บ่าวไพร่ในเรือนไม่น้อย เสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งตึงตังมาบ่งบอกถึงความเร่งรีบ และเมื่อประตูห้องนอนเปิดกว้างออกสายตาเกือบหกคู่ก็เบิกกว้าง

    ร่างของคุณหนูจินถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนของบุรุษชุดดำ!!

    “คุณหนู...”

    “รีบช่วยข้าพาท่านอ๋องขึ้นนอนบนเตียง”

     

    ทุกอย่างคล้ายกระจ่าง บ่าวชายสามคนเป็นฝ่ายเข้ามาพยุงร่างสูงใหญ่ของท่านอ๋องเจ็ดลงบนเตียงสีขาวสะอาดของคุณหนูจิน

    “ให้คนไปบอกพ่อบ้านกง รีบเรียกหมอหลวง”จงต้าขยับเข้าไปใกล้คนบาดเจ็บ มือเล็กคว้าจับชีพจรอย่างชำนาญ เอ่ยสั่งอย่างไม่มีความลังเลในน้ำเสียงเลยแต่น้อย“เสี่ยวชิงเจ้าไปนำกล่องแพทย์ของข้ามา ส่วนพวกเจ้าไปต้มน้ำร้อนให้เดือด เตรียมผ้าสะอาดมาให้ข้า”

     

    ใบหน้าของคุณหนูจินเรียบนิ่งไร้ร่องรอยตื่นตระหนกอย่างที่ควรเป็น หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ตอนที่สัมผัสได้ถึงชีพจรของอ๋องเจ็ดที่เต้นไม่เป็นจังหวะ แถมร่างกายยังร้อนดังไฟสลับกับเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง หากจะบอกว่าเกิดจากการอักเสบของบาดแผลเพียงเท่านี้คงไม่ใช่

    มือเล็กแหวกเสื้อด้านหลังของอีกฝ่ายออกจนเห็นผิวเนื้อที่ปรากฏเป็นแผลลากยาวจากบ่าขวาพาดเฉียงลงมาเกือบถึงกึ่งกลางแผ่นหลัง แผลตรงหัวไหล่บาดลึก ปากแผลเปิดเป็นสีดำคล้ำ

    อาวุธของคนที่ทำร้ายคนตรงหน้าอาบยาพิษอย่างที่คิดไว้

    ดูท่าแล้วหากไม่ใช่เพราะพิษท่านอ๋องผู้เกรียงไกรคงไม่รู้สึกรู้สากับบาดแผลเพียงเท่านี้

     

    “เสี่ยวชิงส่งยาในขวดสีทึบลายดอกเหมยมาให้ข้า”

    “ท่านอ๋องถูกพิษหรือเจ้าคะคุณหนู”จงต้าพยักหน้ารับ และเมื่อเสี่ยวชิงมองเลยไปยังบาดแผลที่มือของคุณหนูแหวกเสื้อออก ตาเรียวเล็กนั่นก็เบิกกว้างกุจีกุจอไปหยิบขวดยาล้ำค่ามาให้ผู้เป็นนายแทบจะทันที

    พู่ชานเลี่ยรับรู้ว่าทุกอย่างในห้องกำลังเคลื่อนไหว ทั้งบทสนทนาที่ไร้ความตื่นตระหนกราวกับเหตุการณ์ที่มีคนต้องพิษ ร่างกายได้บาดเจ็บตรงเลือดไหลอยู่ตรงหน้าเป็นเรื่องปกติ จงต้าประคองใบหน้าของอีกฝ่ายให้หนุนตัก เปลือกตาของพู่ชานเลี่ยเปิดขึ้นอย่างอ่อนล้าหลังจากที่ข่มความร้อนสลับเย็นในร่างกายไว้อย่างยากลำบาก ตอนที่มือเล็กประคองปลายคางและบังคับให้ริมฝีปากอิ่มเปิดกว้างพู่ชานเลี่ยก็สบเข้ากับดวงตากลมโตของคู่หมั้นที่ทอประกายความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด

    มุมปากเขายกขึ้นแต่กลับกลายเป็นบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดระลอกแรกของพิษ..

     

    ยาเม็ดกลมสีขาวดั่งไข่มุกแตะอยู่บนริมฝีปาก

     

    “มันไม่ใช่ยาพิษหรอกกลืนเข้าไปเถิด แล้วท่านจะดีขึ้น”

    รถขมปร่าสัมผัสปลายลิ้นเพียงชั่วครู่ ก่อนจะตามด้วยน้ำอุ่น ชานเลี่ยหลับตาลงเมื่อมืออุ่นๆลูบตรงข้างแก้ม

     

     

     

     

    ¥¥¥¥¥¥¥¥¥¥

     

     

     

     

    ท่านอ๋องหลับใหลไม่ได้สติอยู่เกือบสามวันบนเตียงของเขา จงต้าเป็นคนเฝ้าและควรตรวจดูอาการและป้อนยาให้สม่ำเสมอ พิษในร่างกายถูกขับออกมาจนหมดสิ้นไร้ความกังวลแล้ว เพียงแต่ที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพิษบาดแผลและอีกส่วนหนึ่งคือผลข้างเคียงของยาขับพิษที่มีฤทธิ์กล่อมประสาท ชีพจรของผู้มีวรยุทธยังคงแข็งแกร่งจนน่าทึ่ง ใบหน้าหล่อเหลานั่นดูมีเลือดฝาดและคล้ายคนนอนหลับสนิทในตอนกลางคืนเสียเพียงเท่านั้น คุณหนูจินเช็ดใบหน้าของคนป่วยแผ่วเบาก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อีกไม่กี่เค่อคนป่วยก็คงจะฟื้น แล้วเมื่อนั้นเขาก็จะให้คนเคลื่อนย้ายท่านอ๋องกลับไปพักที่เรือนใหญ่ของจวนเสียที

     

    “คุณหนูออกไปพักหน่อยไหมเจ้าคะ เดี๋ยวบ่าวเฝ้าท่านอ๋องให้เองเจ้าค่ะ”เสี่ยวชิงเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง คุณหนูของนางดูแลท่านอ๋องแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลยด้วยซ้ำ ใบหน้างดงามของคุณหนูมีร่องรอยความเหนื่อยล้าแฝงอยู่ไม่น้อย

    “เจ้าไปพักเถิดเสี่ยวชิงข้าขอดูอาการท่านอ๋องอีกชั่วครู่แล้วจะไปพัก”

    “คุณหนูสัญญาแล้วนะเจ้าคะ”เสี่ยวชิงไม่ได้อยากจะถามย้ำให้เป็นที่น่ารำคาญแต่นางเองก็อยากให้คุณหนูห่วงสุขภาพของตนเองบ้าง เกิดท่านอ๋องฟื้นขึ้นมาแล้วเป็นคุณหนูที่ล้มป่วยลงมันไม่คุ้มกัน

    “ข้าสัญญา เจ้าไปเตรียมที่นอนไว้เถิด”

     

    เสี่ยวชิงออกไปแล้วจงต้าก็หันกลับมาหาคนที่นอนนิ่งบนเตียงอีกครั้ง ความเงียบเข้ามาปกคลุมพร้อมกับความง่วงที่ถ่วงหนังตาให้รู้สึกหนักอึ้ง จงต้าสะบัดหัวไล่ความง่วงงุนเช่นนั้นออกไป รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้า นิ้วเรียวเกลี่ยแก้มของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นแผ่วเบา

    จงต้ารู้ว่าตอนนี้กำลังทำให้เสี่ยวชิงและบ่าวคนอื่นเป็นห่วง แต่จะให้ทำอย่างไรเล่า ถึงเขาจะเป็นหมอและเชื่อมั่นในสรรพคุณยาของอาจารย์ แต่หากไม่เห็นด้วยตาตนเองว่าคนที่เป็นห่วงฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ จะหมดห่วงได้อย่างไร

    จงต้าถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

    เขารู้ว่ามันยากเหลือเกินกับการเลิกรัก แต่ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะยากเย็นเช่นนี้

    กำแพงที่เขาเพียรพยายามสร้างขึ้นมันมีแต่ถูกทำลายลงเสียทุกครั้ง...ทั้งๆที่คนผู้นี้ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

    แต่หลายๆครั้งจงต้าก็ถูกดึงกลับไปอยู่ในจุดๆเดิม..เหมือนเช่นครั้งนี้

    ลับสายตาผู้อื่นจงต้าก็ยังคงเป็นจงต้าที่โง่งม..

     

    “ตื่นขึ้นมาเสียทีเถิด ถ้าท่านไม่ตื่นข้าจะหลับลงได้อย่างสนิทอย่างไรเล่าพี่ชานเลี่ย

     

     

     

    “คุณหนู..อ่ะท่านอ๋อง”เสี่ยวชิงยกมือปิดปากของตนเองเมื่อได้รับสายตาดุๆจากเจ้าของจวนที่ฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ นางเห็นว่าผ่านมาได้เกือบสองเค่อแล้วจึงมาตามคุณหนู แต่พอเปิดประตูเข้ามากลับทำได้เพียงยืนอยู่ด้านหน้าประตูและที่นางตกใจมากกว่าเห็นจะเป็นเพราะร่างผอมบางของคุณหนูจินหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงในอ้อมแขนของอ๋องต่างหากเล่า คุณหนูของนางคงจะเหนื่อยจนไม่อาจฝืนแล้วถึงได้เผลอหลับไป แต่หากให้คุณหนูนอนอยู่แบบนั้นจะไม่ลำบากคนบาดเจ็บเยี่ยงท่านอ๋องงั้นหรือ

     

    “ตัวจงต้าเบาแค่นี้ข้าไม่เป็นไร เจ้าออกไปเถอะ”คล้ายรับรู้ความคิดของบ่าวตรงหน้าพู่ชานเลี่ยเอ่ยเสียงเบาก่อนจะใช้แขนซ้ายกระชับร่างผอมบางให้ซุกเข้ากับอกคล้ายไม่ยอมปล่อยไปไหน ทอดสายตาอ่อนโยนมองคนที่หลับในอ้อมแขนอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับทำให้เสี่ยวชิงรีบก้มหน้างุดรู้สึกขัดเขินแทนคุณหนูแล้วรีบถดกายออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ

    หากบาดแผลฉีกแล้วอย่างไรเล่านางหรือจะกล้าขัดคำสั่งของผู้สูงศักดิ์เช่นท่านอ๋อง

     



    ภาพตรงหน้าของจงต้าคือเก๋งขนาดใหญ่ในจวนแม่ทัพ เสียงเหยียนหลางตวาดดังลั่นคลอกับเสียงสะอื้นที่เขาจำได้ดี เหตุการณ์ตรงหน้าคล้ายกับเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง และเพื่อเพิ่มความมั่นใจจงต้าจึงเร่งสาวเท้าเข้าไปอย่างเร่งรีบ และก็เป็นอย่างที่คิดเหยียนหลางกำลังต้อนร่างบอบบางของเยว่เยี่ยจื่อจนถอยร่นไปจนถึงริมเก๋ง ด้านหลังคือสระบัวสีสวย สาวใช้ของเยี่ยจื่อถูกสาวใช้ของเหยียนหลางจับตรึงไว้กับพื้น สหายของเขากำลังสาวเท้าเข้าไปใกล้และกดดันให้คนตรงหน้าตัวสั่น

    “เหยียนหลาง”จงต้าเอ่ยเรียกสหายเสียงดัง เหยียนหลางผินในหน้ามามองเขาก่อนจะแย้มยิ้มซุกซน

    “มาพอดีเลยจงต้า เจ้าจะได้มาดูอะไรสนุกๆที่ข้ากำลังทำ”กล่าวจบเหยียนหลางก็หันกลับไปจ้องใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของน้องต่างมารดาอย่างเยี่ยจื่อด้วยความเกลียดชัง “หากเจ้าไม่เผยอเทียบข้าเจ้าก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้หรอก เยี่ยจื่อ จงจำไว้ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตัวเจ้าเอง!

    “เหยียนหลางเจ้าอย่าทำเช่นนั้น”จงต้าขยับเข้าไปจับมือของสหายไว้แน่นยามที่เห็นว่ามือเล็กนั่นกำแน่นคล้ายกำลังข่มโทสะ “หากเจ้าทำร้ายเยี่ยจื่อ คนอื่นจะมองเจ้าเช่นไร สงบอารมณ์เถอะข้าขอร้อง”

    ในตอนที่เขากำลังลูบแขนให้สหายใจเย็นลงตากลมก็ส่งสัญญาณให้เยว่เยี่ยจื่อขยับออกจากจุดอันตราย เพียงแต่จงต้าลืมไปเยี่ยจื่อไม่ใช่สหายที่เพียงแค่มองตาก็รู้ใจกันเช่นเขากับเหยียนหลาง

    ไม่เพียงเท่านั้นคุณเยี่ยจื่อผู้นั้นกลับทำตัวคล้ายคนโง่เขลา คนผู้นั้นพุ่งเข้ามาจับมืออีกข้างของเหยียนหลาง น้ำตาหยดแหมะทั่วดวงหน้า เอื้อนเอ่ยขอความเห็นใจแต่คล้ายจงใจกระตุ้นให้อารมณ์ที่คล้ายเย็นลงของสหายเขายิ่งโหมกระหน่ำ

    “พี่รองเรื่ององค์ไท่จื่อข้าขอโปรดให้ท่านเข้าใจ และยกโทษให้ข้า”

    ผลั่ก!

    เหยียนหลางสะบัดมือออกเต็มแรง ร่างของเยี่ยจื่อร่วงลงจากเก๋งกลางน้ำโดยทันที

     

    เสียงน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้างพร้อมกับที่บ่าวไพร่ร้องฮือฮาขึ้น จงต้าเบิกตากว้างคว้าตัวสหายที่คล้ายกับสติหลุดไปเช่นเดียวกันไว้ เหยียนหลางไม่ได้สะใจอย่างที่คิดแต่สหายของเขากำลังตัวสั่นตากลมโตนั่นเบิกกว้างและโดยที่ไม่ทันตั้งตัวบ่าวคนสนิทของเยี่ยจื่อก็พุ่งเข้ามา จงต้าผลักตัวสหายไปอีกทาง กว่าจะรู้ตัวร่างของเขาก็กระแทกกับพื้นน้ำตามเยี่ยจื่อเสียแล้ว ความเจ็บแล่นขึ้นมาทั่วแผ่นหลังเมื่อบริเวณที่ตัวเขาตกลงไปนั่นดันมีท่อนไม้ขนาดใหญ่เป็นที่รองรับต่อจากชั้นน้ำ

    เหตุการณ์วันนั้นเหยียนหลางไม่ได้ตั้งใจ

     

    “เหยียนหลาง!”ตากลมเปิดออก ก่อนจะกระพริบไล่หยาดน้ำตาที่คลอหน่วย จงต้าฝันเห็นเหตุการณ์ตอนที่ตนเองพลัดตกน้ำก่อนที่จะสลบไปวันนั้น ความรู้สึกผิดก่อกวนในใจ

    เพราะเขาสลบไปตื่นมาอีกทีก็รับรู้จากปากเสี่ยวชิงว่าเหยียนหลางถูกองค์ไท่จื่อถอนหมั้น เหตุการณ์วันนั้นร้ายแรงมาก แต่ที่น่าเจ็บปวดก็คือการที่ทุกคนต่างโยนความผิดให้เหยียนหลาง และเขาไม่มีโอกาสแก้ความเข้าใจผิดเหล่านั้นให้สหายเลยด้วยซ้ำ

    สัมผัสอุ่นๆที่โอบล้อมรอบการดึงให้สติของจงต้ากลับมา แสงสว่างริบหรี่จากตะเกียงหัวเตียงทำให้เขามองไม่ชัดนัก จนกระทั่งรู้สึกถึงแรงกอดรัดที่ช่วงเอวและเสียงนุ่มทุ้มที่ดังอยู่ไม่ไกลจากใบหู

     

    “เจ้าฝันร้ายหรือ?”

    “ท่าน!”ร่างเล็กกระถดตัวถอยหลังตามสัญชาตญาณแต่แผ่นหลังกลับติดกับแผงอกของคนป่วยเสียอย่างนั้น เสียงร้องจากความเจ็บปวดหลุดลอดออกมาให้ได้ยินเล็กน้อย แต่นั่นก็เพียงพอให้ร่างของจงต้าหยุดการเคลื่อนไหว ตากลมมองสำรวจผ้าพันแผลสีขาวนั่นอย่างเป็นห่วง

    “เจ็บมากหรือไม่ขอรับ?”น้ำเสียงเป็นกังวลพอๆกับมือเล็กที่เอื้อมไปแตะตรงบาดแผล จงต้ามัวแต่ห่วงคนเจ็บจนไม่ทันรู้ตัวว่าแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของท่านอ๋องเจ็ดยังโอบรัดร่างเขาไว้แน่น

    “เจ้าช่วยอยู่นิ่งๆหน่อย”เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาข้างกลุ่มผมสีหมึกที่คลอเคลียข้างแก้ม จินจงต้าทำตามอย่างว่าง่าย มือเล็กยังคงวางอยู่เหนือผ้าพันแผลตรงหัวไหล่ขวาของอีกฝ่ายใบหน้าน่ารักแนบชิดบนแผ่นอกที่เปลือยเปล่าฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะช้าสลับเร็วถี่ของท่านอ๋องด้วยใบหน้าแดงก่ำราวกับ4/ผลอิ่งเถา

    เขาไม่ได้อยากใกล้ชิดกับท่านอ๋องในสภาพนี้แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายเจ็บอีกครั้งจึงได้แต่ยอมอยู่นิ่งๆอย่างจำนน ขอแค่เพียงอย่าใครผู้ใดเข้ามาเห็นในสภาพนี้ก็เพียงพอ..

     

    “ข้าว่าท่านนอนลงให้สบายไม่ดีกว่าหรือขอรับ”ร่างเล็กขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงปลายจมูกที่แตะลงบนกลุ่มผมของตน คนที่เมื่อก่อนได้รับแต่ความเย็นชาจากผู้เป็นคู่หมั้นคู่หมายไม่อาจจะรับมือกับการกระทำแปลกๆของท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ได้ จงต้าผละสายตาจากท่อนแขนที่ยังคงโอบรัดเอวของตนไว้แนบสนิทนั่นไปยังขวดยาสลายพิษที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงหัวคิ้วคุณหนูจินขมวดเข้าหากัน

    หรืออาการเหล่านี้จะเกิดจากยาของเขา...

     

    “ข้าว่า...”

    “เสี่ยวต้า”กำลังจะเอ่ยถามอาการอื่นของผู้ป่วยแต่กลับต้องมาแสดงกิริยาไม่งามเพราะคำที่อีกฝ่ายใช้เรียกเขาเมื่อครู่ ริมฝีปากบางอ้าค้างชั่วขณะก่อนตากลมจะกระพริบปริบๆเหมือนเรียกสติตนเอง “เสี่ยวต้า เปิ่นหวางเจ็บยิ่งนัก”

    ตาคมทอดมองกลุ่มผมของคนในอ้อมแขนกดจมูกสูดดมกลิ่นประจำตัวของจินจงต้าเข้าเต็มปอดพร้อมกับกระชับร่างเล็กให้แนบชิด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาไปปฏิบัติภารกิจให้เสด็จพ่อแล้วตัวเองพลาดพลั้งต้องพิษจากฝ่ายตรงข้าม แม้จะปฏิบัติภารกิจสำเร็จแต่ตนเองกลับบาดเจ็บหนัก แต่ที่น่าแปลกคือวินาทีที่คิดว่าตนเองจะไม่รอดใบหน้าหวานของคู่หมั้นกลับปรากฏขึ้นในม่านความคิด

    ชานเลี่ยคิดว่าเพราะเขาได้ติดค้างคำขอโทษต่อจงต้า

    นั่นอาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกหลายส่วนอาจจะเป็นเพราะความรู้สึกของเขาที่มีต่อคู่หมั้นตัวเองมันเปลี่ยนไป ในช่วงวินาทีอยู่ระหว่างช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เขานึกเสียดายที่จะไม่ได้อยู่เคียงข้างจินจงต้า

    ช่างน่าขันนัก...

    หัวใจของท่านอ๋องผู้เย็นชา แม่ทัพไร้พ่ายผู้ไม่เคยนำชีวิตผูกติดกับผู้ใดกลับนึกเสียดายชีวิต

     

     

    ร่างในอ้อมแขนนิ่งไป จิตใจของคุณหนูจินจมดิ่งไปกับประโยคเมื่อครู่ ความหมายของคำว่าเจ็บของอ๋องเจ็ดคงมิใช่ที่บาดแผลกระมัง แม้ร่างกายจะได้รับผลข้างเคียงจากยาแต่หัวใจที่เจ็บปวดนั่นก็ยังคงเดิมเช่นนั้นเอง

    ในเมื่อผู้เป็นเจ้าของดวงใจไม่รั้งให้อยู่เคียงข้างแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็คงเจ็บปวด

    ตัวเขาเองก็เช่นกัน แม้จะได้อยู่เคียงข้างแต่หากไร้ใจมอบให้ก็แสนเจ็บปวด

    แม้อ้อมกอดที่รู้สึกอบอุ่นเมื่อครู่ก็ยังรู้สึกเหน็บหนาว

     

    “ท่านอ๋อง ข้าว่าท่านปล่อย...”

    “เจ้ายังโกรธเปิ่นหวางใช่ไหมเสี่ยวต้า?”ตากลมช้อนมองเมื่ออ้อมแขนยอมคลายออกหลวมๆ แววตาฉงนคล้ายไม่เข้าใจประโยคที่เขากล่าวจนพู่ชานเลี่ยยกยิ้มเอ็นดู มือซ้ายแตะแผ่วเบาที่แก้มขาวผ่อง “ตรงนี้ใช่หรือไม่ที่เปิ่นหวางทำร้ายเจ้า”

    “เปิ่นหวางขอโทษ..”

    “...”ตากลมกระพริบปริบๆ อีกทั้งหัวคิ้วยังขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม จงต้าคล้ายตามไม่ทัน ท่าทางหม่นหมองกอปรกับคำพูดราวกับเจ็บปวดเมื่อครู่นั่นมิใช่เรื่องการสมรสของเยว่เยี่ยจื่อหรอกหรือ

    “หากเจ้ายังไม่อยากยกโทษให้เปิ่นหวางก็พอเข้าใจ”เมื่อเห็นร่างในอ้อมแขนยังเงียบพู่ชานเลี่ยเลยนึกเข้าใจเอาเองว่าจงต้าคงนึกโกรธไม่หาย หัวแม่มือยังคงแตะแผ่วเบาบนแก้มเนียน ดวงตาคมโตทอประกายความหม่นหมองออกมาเสียจนน่าหดหู่

    และตอนนั้นเองที่ร่างเล็กถูกดันออกห่างให้สองร่างมีช่องว่างมือขวาของจงต้าถูกจับขึ้นมาด้วยมือซ้ายของอ๋องเจ็ดที่พ่วงเป็นผู้บาดเจ็บในการดูแลของเขา ตากลมมองการกระทำนั่นอย่างงงๆก่อนจะร้องลั่นเมื่อมือเล็กถูกจับกระทบเข้ากับแก้มซีกซ้ายของอีกฝ่ายอย่างไม่ออมแรง

    ฝ่ามือของเขาชา..

    “ท่านอ๋อง! ทำอะไร หยุดนะขอรับ!”จงต้าใช้มืออีกข้างรั้งไว้ตากลมเบิกโพลงเมื่อเห็นแก้มของอีกฝ่ายขึ้นรอยแดงเป็นปื้น ก่อนจะส่งสายตาไม่พอใจกับการกระทำโดยไม่นึกคิดของอีกฝ่าย แต่ดูท่าท่านอ๋องเจ็ดคล้ายจะพึงพอใจกับปฏิกิริยาตอบรับของเขาอยู่หลายส่วนทีเดียว ในเมื่ออีกฝ่ายกลับยกยิ้มชอบใจเยี่ยงนั้น

    “ก็วันนั้นเปิ่นหวางเผลอตบเจ้า วันนี้เลยให้เจ้าเอาคืน”

    “แต่ท่านไม่ควรทำเช่นนี้ มันไม่สมควร”

    “เปิ่นหวางอนุญาตและเป็นคนยืมมือเจ้าเอง พอใจหรือไม่”ดวงตาของพู่ชานเลี่ยพราวระยับเมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงของจงต้า ยกฝ่ามือน้อยๆที่มีสีแดงไม่ต่างกันกับใบหน้าของตนเองขึ้นมาลูบเบาๆ

    “ยกโทษให้เปิ่นหวางเถิด ไม่เช่นนั้นเปิ่นหวางคงจะไม่หายเจ็บเป็นแน่”

    จงต้าคล้ายถูกของร้อน ร่างเล็กดึงมืออกจากการเกาะกุมผุดลุกเด้งตัวออกมายืนห่างๆคนป่วยอย่างไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บอะไรทั้งนั้น ใบหูจงต้าแดงก่ำรู้สึกคล้ายร่างกายเป็นฝ่ายถูกพิษของพืชชนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายร้อนขึ้นคล้ายคนเป็นไข้

    เพียงแต่พืชชนิดนั้นไม่ได้มีผลกับอัตราการเต้นของหัวใจ

     

    “ข้ายกโทษให้ท่าน แต่.. แต่อย่าทรงทำแบบนี้อีกนะขอรับ!

     

     

     

     

    ¥¥¥¥¥¥¥¥¥¥

     

     

     

     

    บรรยากาศขุ่นมัวภายในจวนอ๋องเจ็ดมลายหายไปจนสิ้น...

    เมื่อฝ่ายนั้นยอมขอโทษและไถ่โทษด้วยวิธีไม่คาดฝันจงต้าก็ไม่ติดใจเอาความ

    เพียงแต่ว่าตอนนี้.. คนผู้นั้นเหมือนจะมีอาการผิดปกติ

    จงต้าถอนหายใจมาหลายครั้งหลายคราในแต่ละวัน หลังจากที่อาการของท่านอ๋องดีขึ้นจนเดินเหินได้สะดวก ร่างสูงใหญ่ย้ายกลับเข้าไปรักษาตนต่อในเรือนของตนเอง เพียงแต่ทุก 2/ยามอุ้ย จักต้องมาขอดื่มชาจากเขาไม่วันใดตกหล่น วันดีคืนดีก็เรียกเข้าไปช่วยฝนหมึกในห้องหนังสือ ให้เขานั่งตาปรือเปิดปากหาวจนบางทีก็ฟุบหลับบนกองหมอนอิงที่เหมือนจะนำมาไว้เผื่อให้เขานอนเอกเขนกอย่างไร้ความอาย แรกๆเขาก็เกรงใจเลยต่อสู้กับอาการง่วงของตนเองจนหัวแทบจะจุ่มลงกับที่ฝนหมึก แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะคล้ายเย้ยหยันในลำคอของอีกฝ่ายพร้อมกับเหลือบเห็นกองหมอนอิงด้านข้าง จงต้าก็เลยละทิ้งขนมธรรมเนียมที่พร่ำเรียนมาฟุบหลับในห้องหนังสือเฝ้าอีกฝ่ายทำงานเสียเลย

    แต่วันนี้โชคเข้าข้างเมื่อหลังจากทานมื้อเช้าท่านอ๋องก็ได้รับคำสั่งให้เข้าพบฮ่องเต้

    วันนี้เขาเลยตั้งใจที่จะออกไปเยี่ยมเหยียนหลางอย่างเงียบๆเสียหน่อย

    และพอมาถึงจวนแม่ทัพกลับพบว่าไม่ได้มีตนเองเป็นแขกเพียงผู้เดียวแต่ยังมีอ๋อง 9 ที่ดำรงตำแหน่งรุยอ๋อง บุตรของหวงกุ้ยเฟยกำลังเกี้ยวพาสหายของเขาอยู่ ว่าแบบนี้ก็คงไม่ผิดกระมัง ในเมื่อสิ่งที่เห็นก็น่าจะทำให้คิดได้เช่นนั้น

    ในนิมิตเขาไม่ได้เห็นคนผู้นี้เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะจุดจบของสหายเขามันไม่สู้ดีนัก แต่เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีนั่นคงจะเป็นไปได้ว่านับจากนี้เหยียนหลางจะมีแต่ชีวิตที่ดีขึ้น และผู้ที่จะทำให้สหายของเขามีความสุขคงจะไม่พ้นคนผู้นี้

    ชะตาชีวิตของเหยียนหลางเปลี่ยนไปแล้ว..

     

    “จงต้า เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าเบื่อเต็มทน”ดวงตากลมโตของสหายแทบจะถลนใส่ร่างสูงใหญ่ตรงหน้า แม้ว่าจะกล่าวกับเขาอยู่ก็ตามที จงต้าได้เพียงแย้มยิ้มจดจ้องดวงตาหยอกเย้าของท่านอ๋อง 9 ที่มีต่อเหยียนหลางอย่างมีความสุข

    สหายของเขาไม่ได้มีท่าทีทุกข์ใจอย่างแต่ก่อน หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะไม่มีเวลาให้ขบคิดเรื่องเหล่านั้น

    “เสียมารยาทต่อท่านอ๋องแล้วเหยียนหลาง”จงต้าเปิดปากห้ามปรามพอเป็นพิธี แต่กลายเป็นว่าน้ำเสียงกลับดูหยอกเย้าเสียจนผู้เป็นสหายตีแขนแก้ความขัดเขิน สายตาของรุยอ๋องจับจ้องมองคนข้างกายจงต้าด้วยแววตาเอ็นดู

    “เช่นนั้นเปิ่นหวางขอตัวไปพบคุณชายเยว่หนานก่อน”ผู้สูงศักดิ์กล่าวก่อนจะไปก็ไม่วายส่งสายตาให้สหายข้างกายหน้างอ จนจงต้าหัวเราะอย่างชอบใจ ถูกเหยียนหลางค้อนขวับหลายต่อหลายครั้งก่อนจะถูกจับจูงไปยังเก๋งริมน้ำที่เคยทำให้เกิดเรื่องต่างๆมากมาย สองสหายนั่งลงอย่างสงบ บ่าวไพร่รินชาให้จนกระทั่งถอยหลังออกไปรอในที่ห่างไกล แววตาของเหยียนหลางถึงทอแสงอ่อนลง

     

    “เจ้าสบายดีหรือไม่จงต้า?”

    “ข้าสบายดี เจ้าเล่า ทำใจได้แล้วใช่หรือไม่?”ใบหน้าของเหยียนหลางหม่นลง แต่ก็ยังปรากฏรอยยิ้มจางๆประดับใบหน้า เมื่อเป็นเช่นนั้นจงต้าเลยจับมือเล็กที่แสนนุ่มนิ่มของสหายไว้มั่น จดจ้องใบหน้าสหายที่มีน้ำตาหยดเล็กคลอดวงตากลมโต

    “มันอาจจะยากนัก แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้” จงต้ากล่าวก่อนจะเช็ดหยาดน้ำตาให้คนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา เหยียนหลางมักจะถูกมองว่าร้ายกาจเอาแต่รังแกเยี่ยจื่อซึ่งเป็นเพียงลูกอนุในจวนแม่ทัพ แต่ใครเลยจะรู้ดีเท่าเขา เหยียนหลางก็เป็นเพียงแค่มนุษย์หัวอ่อนผู้หนึ่งที่โดนปลูกฝังให้รับรู้ว่าตนเองสูงส่งและเหมาะกับตำแหน่งไท่จื่อเฟยเพื่อยืนเคียงข้างองค์ไท่จื่อมาตลอด แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนที่ตนเองกำลังไล่ตามคนผู้นั้นเพื่อตำแหน่งที่เหมาะสมมันใช่ความรักแน่หรือไม่

    จนกระทั่งวันหนึ่งสิ่งที่ไล่ตามมันกลับหายไปและไม่มีวันเอื้อมถึง

    เคยเกือบโง่เง่าถึงกับคิดว่าหากไม่มีน้องสี่ของตนเองตำแหน่งไท่จื่อเฟยก็จะกลับมาเป็นของตนอีกครั้ง

     

    “ข้าขอโทษที่ครั้งนั้นข้าปล่อยให้เจ้าต้องเผชิญกับความโหดร้ายเพียงลำพัง ข้าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เจ้าดูร้ายกาจจนถูกยกเลิกการหมั้นหมาย ข้า..”มือเรียวของเหยียนหลางยกปิดริมฝีปากบางของจงต้าไว้ ใบหน้าหวานของคุณหนูรองจวนแม่ทัพส่ายเป็นเชิงปฏิเสธไม่ให้จงต้าพูดต่อทั้งที่ใบหน้ายังนองน้ำตา

    “ไม่เลย เพราะเจ้าวันนั้นข้าถึงได้เห็นสัจธรรมบางอย่าง”

    “...”

    “หากมิได้เกิดมาเพื่อที่จะเคียงคู่ย่อมไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของดวงใจ...”

    “...”

    “ข้าขอบคุณเจ้าจงต้า ขอบคุณที่ไม่เคยทอดทิ้งข้า ฮึก..”ร่างบอบบางของเยว่เหยียนหลางโผเข้ากอดจงต้าแน่นน้ำตาพร่างพรูออกมาราวกับต้องการปลดปล่อยความทุกข์ทุกอย่างในใจของตนเอง “ขอบคุณที่วันนั้นเจ้าเลือกที่จะทำลายยาพิษ และกล่าวตักเตือนให้ข้ารู้ซึ้งถึงความโง่เขลาของตนเอง”

    “เหยียนหลางคนเราต่างก็มีมุมโง่เขลา ข้าเองก็ไม่ต่างจากเจ้า”

    “แต่ท่านอ๋องไม่ได้รังเกียจเจ้า เช่นที่องค์ไท่จื่อรังเกียจข้า”

    “ไม่หรอก เขาอาจจะแค่ไม่มีทางเลือกที่จะผลักข้าออกห่าง..”

    “จงต้า..”เหยีนหลางขยับใบหน้าออกมาจ้องมองสหายอย่างไม่เข้าใจ เรื่องที่อ๋องเจ็ดยินยอมให้จงต้าเข้าไปอยู่ที่จวนมิใช่ว่ายอมรับสหายของเขาเป็นชินหวางเฟยแล้วงั้นหรือ

    “เจ้าก็รู้ยิ่งตระกูลมีอำนาจเท่าใด การสมรสก็เป็นเพียงแค่การรวมขั้วอำนาจ..”จงต้ายิ้มน้อยๆ แม้ว่าหลายวันมานี้คู่หมั้นของเขาจะมีท่าทีเปลี่ยนไปแต่จงต้าก็รู้ดี อ๋องเจ็ดก็เพียงแค่คิดได้ว่าตนเองควรจะทำสิ่งใดต่อไปในอนาคตเพียงเท่านั้น “เจ้าโชคดีนักเหยียนหลาง เพราะฉะนั้นขอให้เจ้าได้ใช้ชีวิตกับคนที่รักเจ้าและเจ้ารักด้วยความสุขเถิด”

    อย่าเข้ามาอยู่ในวังวนของการสร้างฐานอำนาจที่ไม่มีวันจบสิ้นเช่นข้าเลย...

     

    จงต้ารู้ดีตอนนี้ทุกอย่างในนิมิตที่เขาเห็นมันจบลงแล้ว จบลงพร้อมกับหลายๆอย่างที่เปลี่ยนแปลง จะต้องไม่มีพิธีการสมรสระหว่างเขากับท่านอ๋อง เหยียนหลางไม่ต้องถูกขับไล่ออกจากเมืองและกำลังมีชีวิตใหม่ที่ดี เหลือเพียงแค่การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของเขา นั่นคือการตกลงกับท่านอ๋องเพื่อยกเลิกสมรสพระราชทาน

    เป้าหมายครั้งสุดท้ายเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนเอง!

     

     

     

     

    ¥¥¥¥¥¥¥¥¥¥

     

     

     

     

    รถม้าขนาดกลางที่มีตราของจวนแม่ทัพแล่นผ่านตลาดใหญ่ จงต้าที่ถูกขอร้องแกมบังคับจากสหายให้เดินทางกลับโดยรถม้าของจวนแม่ทัพแหวกผ้าม่านออกดูบรรยากาศคึกคักรอบข้างทาง ตอนขามาเพราะเร่งรีบเลยไม่ทันสนใจรอบกาย แต่เมื่อขากลับได้นั่งสบายอยู่บนรถม้าเช่นนี้ จงต้าเลยได้มีเวลาสำรวจบรรยากาศเสียหน่อย เสี่ยวชิงเองก็มีท่าทีตื่นเต้นไม่แพ้ผู้เป็นนาย สองนายบ่าวที่มัวแต่ชื่นชมบรรยากาศรอบกายจึงแทบจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นจนกระทั่งอีกเพียงไม่ถึง 1 ลี้ก่อนถึงจวนอ๋องเจ็ด จงต้าถึงได้ยินเสียงบางอย่างแหวกผ่านอากาศมา พร้อมกับที่รถม้าหยุดลงและองครักษ์หนึ่งในสี่ที่ตามอารักขามาจากจวนแม่ทัพเปิดม่านรถม้าด้วยสีหน้าแตกตื่น

    “มีคนโจมตีเราขอรับ”

    “ข้าจะอยู่แต่ในนี้ ไม่ต้องห่วง”จงต้าชิงพูดขึ้นก่อนจะมองลอดออกไปทางหน้าต่าง ชายชุดดำประมาณ 10 คนกำลังโรมรันอยู่กับองครักษ์ทั้งสี่ไม่สิตอนนั้นมีคนชุดดำอีกผู้หนึ่งที่พุ่งเข้ามาช่วยองครักษ์จากจวนแม่ทัพ!

     

    ฉึก !

     

    “คุณหนู!”ลูกธนูพุ่งทะลุผ่านม่านเฉียดใบหน้าของจงต้าไปเล็กน้อย พร้อมๆกับที่เสี่ยวชิงดึงร่างของคุณหนูเข้ามาหลบได้ทัน สาวใช้ตัวน้อยตัวสั่นเทาแต่ก็ยังพยายามดันตัวคุณหนูให้อยู่ตรงกึ่งกลางของรถม้าและพยายามเอาตัวเองบังจงต้าไว้ทุกทาง นับว่าโชคดีที่พี่ใหญ่ของเขาสอนให้พกอาวุธไว้ป้องกันตัวเสมอเวลาที่ไม่ได้อยู่ภายในจวน จงต้าถึงได้เคยชินมือเล็กแตะมืดสั้นที่พกไว้ใต้แขนเสื้อ เลื่อนไปข้างๆก็เจอห่อพิษที่พกมาด้วย แม้ไม่ได้เชี่ยวชาญการใช้พิษเฉกเช่นอาจารย์แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีฝีมือเสียเลย จงต้าร่วมรวมสมาธิตั้งสติให้มั่น ตากลมพยายามสอดส่องหาทางหนีเมื่อเริ่มรู้สึกว่าเสียงจากการต่อสู้ไม่คล้ายว่าจะลดลง พวกมันเหมือนจะมีมากกว่าที่เห็นเมื่อครู่

     

    จงต้าผละออกจากเสี่ยวชิงแหวกผ้าม่านออกและตอนนั้นเองที่เขารู้สึกได้ถึงภัยอันตราย ชายชุดดำพวกนั้นไม่ได้มีแค่สิบคนเหมือนอย่างที่เขาคิด และตอนนี้องครักษ์ทั้ง 5 คนแม้จะเก่งกาจเพียงใดแต่จำนวนคนที่คล้ายกับว่าไม่ลดลงเลยของฝ่ายตรงข้ามก็ทำให้ทุกอย่างยากขึ้นไม่น้อย เขาไม่อาจอยู่เฉยๆ

    “เสี่ยวชิง เราต้องออกไป”

    “คุณหนูแต่..”

    “เราอยู่ในนี้ก็ต้องตาย ออกไปเรายังมีทางรอด”จงต้าเอ่ยขึ้นมาอย่างเด็ดขาดมองไปยังปิ่นปักผมที่อยู่บนหัวของสาวใช้ตัวเล็ก “ปิ่นนั่นที่ข้าให้เจ้าหากปลดปลอกด้านล่างออกมีผงพิษอยู่ในนั้น ตามข้ามา” ตากลมสอดส่ายไปรอบบริเวณรถม้าก่อนจะกระตุกแขนเสี่ยวชิงให้ขยับออกมา คนพวกนั้นโรมรันปะทะฝีดาบและวรยุทธอยู่ด้านหน้า องครักษ์ของจวนแม่ทัพฝีมือดีไม่น้อยที่ไม่ปล่อยให้มีผู้ใดผ่านเข้ามาถึงรถม้า

    แต่จะเรียกว่าซวยดีหรือไม่ เพราะเพียงแค่เขาพยายามหยิบมืดสั้นที่เหน็บไว้ข้างเอวออกจากศพของคนขับรถม้าเพื่อจะส่งให้เสี่ยวชิง ร่างของชายชุดดำคนหนึ่งกลับหลุดลอดเข้ามายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว

     

    “อย่าทำอะไรคุณหนูข้านะ!”เสี่ยวชิงที่แม้จะขาสั่นและกลัวดาบในมือของโจรชั่วนั่นเพียงใดแต่กลับพุ่งมายืนขวางหน้านายของตนไว้ จงต้าไม่ได้มีท่าทางเกรงกลัวซ้ำยังดึงมืดสั้นออกมาจากแขนเสื้อแล้วกำไว้มั่น ในหัวกำลังคิดถึงกระบวนท่าที่พี่ใหญ่สอนจงต้าจะสู้ในเมื่อคนผู้นี้ไม่มีวรยุทธ! อย่างไรเสียก็มีโอกาสเสมอและถ่วงเวลาไว้บ้าง

     

    “คุณหนูจินต้องขออภัยที่ล่วงเกิน”

    “เสี่ยวชิงหลบไป!

    จงต้าผลักสาวใช้ตัวน้อยออกห่างทันทีที่คมดาบพุ่งเข้าหา เบี่ยงตัวหลบ พุ่งเข้าประชิดพร้อมกับจ้วงมีดสั้นในมือใส่อย่างคล่องแคล่ว แต่นางเพิ่งจะรู้หลังจากปะทะกันเมื่อครู่คนผู้นี้แม้ไม่มีวรยุทธแต่ถูกฝึกมาให้เป็นโจร!

    เขารู้สึกด้อยค่าลงทันใด แต่หาได้ยอมแพ้ไม่!!

     

    กึก!

    ร่างเล็กพุ่งเข้าใส่อีกครั้งอาศัยความว่องไวกว่าหลบหลีกคมดาบที่เฉือนเสื้อผ้าเขาไปบางชิ้น และตอนที่คมดาบเหวี่ยงลงมากระทบกับมีดสั้นของตนเองจงต้าก็ถึงกับแขนสั่น ประทะกันตรงๆแรงของเขาเทียบกับฝ่ายนั้นไม่ได้เลย ฟันขาวกัดริมฝีปากใช้แรงทั้งหมดที่มีต้านแรงของอีกฝ่ายไว้ จนกระทั่งในเสี้ยววินาทีที่รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงหดหาย จงต้าก็ได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวผ่านอากาศ พร้อมกับที่แรงที่ส่งมาจากคมดาบหายไป

     

    “อ๊ากกกกกกก”

     

    แหมะ!

    หยาดเลือดจากคนตรงหน้าเปรอะเปื้อนดวงหน้า ยังไม่ทันกระพริบตาเท่านั้นร่างที่ถูกฟันขาดเป็นสองท่อนก็ล้มลงต่อหน้าต่อตา พร้อมกับที่รู้สึกว่าร่างกายลอยหวือขึ้นจากพื้น

    จงต้าร้องลั่นดีดดิ้นก่อนจะหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นเหนือหัว

     

    “หากเจ้ายังดิ้นเปิ่นหวางจะโยนเจ้าลงจริงๆนะเสี่ยวต้า”จงต้าได้แต่เบิกตากว้างตอนที่เห็นว่าเจ้าของอ้อมแขนคืออ๋องเจ็ดในชุดว่าราชการเต็มยศ ใบหน้าที่กำลังหวาดหวั่นเมื่อครู่ก็เพิ่มความซีดเผือดเข้าไปอีกหลายส่วนยิ่งเมื่อใกล้ชิดกันเยี่ยงนี้จงต้ารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายสังหารจากบุรุษผู้นี้ได้เป็นอย่างดี เสียงปะทะฝีมือของกลุ่มโจรชุดดำกับคนของอ๋องเจ็ดยังได้ยินแว่วๆแต่ตอนนี้จงต้ากลับรู้สึกอยากจะกระโดดไปให้คนเหล่านั้นฟันสักแผลสองแผล ดีกว่าโดนมองด้วยสายตาดุๆเยี่ยงนี้

     

    “ท่านอ๋องคือข้าไม่เป็นไร...”น้ำเสียงเขาแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ทำเพียงพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งครั้งก่อนจะปล่อยเขาให้ยืนบนพื้นดีๆ เพียงแต่วงแขนก็ยังคงประครองเอวบางไว้ไม่ให้ห่างตัว

    “จินจงต้า เจ้านี่มันดื้อด้านนัก”คนตัวเล็กหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นว่ามือข้างที่ว่างของท่านอ๋องยกขึ้นมาคล้ายจะฟาดเขา แต่พอผ่านไปสักพักกลับรับรู้ได้เพียงสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้ม ตากลมเปิดขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนจะพบว่าท่านอ๋องกำลังใช้สายตาคมกริบจดจ้องไปทั่วร่างเขาราวกับหาจุดบาดเจ็บจนกระทั่งทุกอย่างรอบตัวเงียบลงและเสียงเอ่ยรายงานจากคนของท่านอ๋องดังขึ้นจงต้าถึงรู้ตัวว่าตรงเอวของเขามันร้อนวูบวาบเหลือเกิน

    “เอ่อ เสี่ยวชิง”เขาทำเพียงมองหาบ่าวตัวน้อยแก้เก้อก่อนจะพบว่าเสี่ยวชิงอยู่ในอ้อมแขนขององครักษ์ผู้หนึ่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความเป็นห่วง

    “นางแค่สลบไป”อ๋องเจ็ดตอบลอบมองคนตัวเล็กข้างกายก่อนจะพยักหน้าให้องครักษ์ที่อุ้มร่างสาวใช้ของจงต้าทยานกลับจวนไปก่อน องครักษ์บางส่วนอยู่จัดการซากศพของชายชุดดำ และส่วนหนึ่งนำตัวผู้ที่ถูกสกัดจุดให้เหลือรอดไปเค้นถึงผู้จ้างวาน

    พู่ชานเลี่ยรู้ดีตอนนี้จินจงต้าไม่ปลอดภัยแล้ว

    ไม่อยากจะคาดคิดเลยหากเขามาไม่ทันแล้วร่างเล็กนี่เป็นอะไรไปจะเป็นเช่นไร

     

    แค่คิดเขาหัวใจเขาก็เจ็บแปลบ

    ตาคมจดจ้องคู่หมั้นตัวน้อยอยู่ชั่วครู่แล้วรวบเอาร่างของจงต้าขึ้นสู่อ้อมแขนอีกครั้งอย่างไม่บอกไม่กล่าว และแน่นอนเสียงติดแหลมนั่นร้องลั่นเสียจนคนของเขาลอบหันมามอง

     

    “ท่านอ๋อง ท่านปล่อยข้า!!

    “กลับถึงจวนเปิ่นหวางจะลงโทษเจ้า”หาได้สนใจท่าทางไม่พอใจของคนตัวเล็กไม่ท่านอ๋องเจ็ดเตะเท้า ใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าสู่จวนอ๋องเจ็ด ด้วยจิตใจที่ไม่ได้คลายความเป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย

     

     

    แต่ใครเล่าจะทราบว่าเรื่องวุ่นวายกว่าที่จงต้าไม่ทันคาดคิดกำลังรออยู่

     

     

    คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อร่างสูงใหญ่ยอมปล่อยให้เขายืนบนพื้นดินเสียที ตากลมมองเห็นกลุ่มคนที่ดูคุ้นตาอยู่ด้านหน้าเรือนใหญ่ของอ๋องเจ็ด ใบหน้าของอ๋องเจ็ดฉายแววกังวลครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าแขกผู้นั้นเป็นใคร

    ยืดเยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว...

     

    ในจังหวะที่กลุ่มคนด้านหน้าแหวกทางแล้วร่างท้วมในชุดขันทีประจำพระองค์ของฮ่องเต้เดินตรงเข้ามาพร้อมกับราชโองการสีเหลืองทองประทับตราประจำพระองค์ของโอรสสวรรค์ คุณหนูจินก็เผลอขยับชิดร่างสูงของคู่หมั้นอย่างไม่รู้ตัว

    จู่ๆจงต้าก็รู้สึกไม่ดี...

     

    “จินจงต้ารับราชโองการ”

     

    ร่างของเจ้าของนามและผู้เป็นคู่หมั้นคุกเข่าลงข้างกันเพื่อแสดงความเคารพต่อผืนผ้าสีทองในมือของแขกผู้มาเยือน ดวงตาของพู่ชานเลี่ยจับจ้องร่างของคู่หมั้นไม่วางตา

    ทอดสายตาเป็นห่วงโดยที่จงต้าไม่อาจรับรู้ได้..

     

    “ทรงพระเจริญ พันปี พันปี พันๆปี”น้ำเสียงหวานเปล่งรับ หัวใจเต้นระรัว...

    “บัญชาสวรรค์ ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งคุณหนูรองตระกูลจิน จินจงต้ามากด้วยความสามารถ รูปโฉมงดงามควรค่าแก่การแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกในอ๋องเจ็ด พู่ชานเลี่ย โดยงานมงคลจัดขึ้นสามวันนับจากนี้จบราชโองการ”

     

    ตากลมเบิกกว้างก่อนจะหลุบต่ำลงซ่อนความรู้สึกมากมายไว้ในท่าทางเช่นนั้น เขารู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นแตะลงที่ด้านหลังพลันให้รู้สึกตัวขึ้นมา

    สองมือเรียวหงายออกด้านหน้าและยกขึ้นเหนือหัวรับเอาราชโองการมาไว้ในมือ

     

    “จินจงต้ารับราชโองการพะยะค่ะ”มือเล็กกำราชโองการไว้แน่น “ขอบพระทัยฮ่องเต้ ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆปี”


    ทุกอย่างในหัวพลันว่างเปล่า เขายังไม่ทันจะได้เริ่มต้นทำสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ

    ไม่มีการเอ่ยขอให้ท่านพ่อเลื่อนการสมรส แล้วเหตุใด..


    สุดท้ายจิน จงต้าก็หนีชะตากรรมของตนเองไม่พ้นเช่นนั้นหรือ...

     

     


     จบตอน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×