คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Annoying : CHANCHEN
Title: Annoying
Pairing : ChanChen
อยู่ๆมันก็เด้งขึ้นมา อย่าใส่ใจเพราะมันไม่มีอะไรเลย ฮ่าๆๆๆ มีความสุขกับการอ่านนะคะ ^^
“ชานยอล
เมียมึงมาว่ะ”ปาร์ค ชานยอลได้แต่ยกมือชี้หน้าเพื่อนตัวดีคาดโทษ ก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะหันไปมองตามเสียงของเพื่อน
ร่างบางๆของ คิม จงแด ส่งยิ้มร่ามาให้แต่ไกล
ยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าของชานยอลคนตัวเล็กก็ยิ่งยิ้มกว้าง ชานยอลหันหน้ากลับมาก่อนจะกวาดของใส่เป้
ขายาวยืนขึ้นเต็มความสูงเดินออกจากม้านั่งหน้าคณะ ด้วยความรวดเร็ว
“ชานยอลอา
ปาร์ค ชานยอล เดี๋ยวสิ” คนตัวเล็กตะโกนเรียกตามหลัง
เร่งฝีเท้าตามหลังร่างสูงๆที่เดินไปเรื่อยๆอย่างไม่คิดจะหยุดรอ
แต่ก็ยังไม่ลืมโบกมือทักทาย คิม จงอิน เพื่อนสนิทของชานยอลที่ส่งเสียงทักทายเมื่อตอนที่เขาวิ่งผ่านเมื่อครู่
มือเล็กหอบหิ้วถุงกระดาษในมือ วิ่งตามปาร์ค ชานยอลไปติดๆ
ก่อนจะคว้าแขนของร่างสูงตรงหน้าได้ทัน ก็เล่นเอาหอบแฮ่ก
“ระ
รีบ แฮ่ก ไปไหน?”
“แล้วนายจะตามมาทำไม?”ชานยอลแกะมือที่จับแขนเขาออกอย่างไม่สนใจเสียงหอบหายใจเพราะเหนื่อยของคนตัวเล็กข้างๆ
แต่เมื่อทำท่าว่าจะก้าวเดินต่อ มือเล็กๆนั่นก็คว้าเข้าที่แขนเขา ฉุดดึงไว้อีกรอบ
“ปล่อย”
“ชานยอลจะไปไหน?”นอกจากจะไม่ยอมทำตาม
เจ้าของเสียงใสๆ นั่นยังเอ่ยถามออกมาอีก
ชานยอลหันกลับมามองก็พบใบหน้าขาวๆของเจ้าตัวยิ้มแป้น ทำตาใสใส่
“นายนี่มันน่ารำคาญจริงๆ
ให้ตาย”
“ทำไมชานยอลว่าเราแบบนี้ล่ะ
เสียใจนะ”ทั้งๆที่น้ำเสียงก็เหมือนจะน้อยอกน้อยใจ
แต่ทำไมถึงต้องยิ้มกว้างขนาดนั้นด้วยนะ คิม จงแด
“ปล่อยได้แล้ว
ถ้าอยากตามมาก็เดินห่างๆ ห้ามเกาะแขน”เอ่ยบอกเพราะเหนื่อยที่จะไล่
เจ้าตัวแสบยิ้มแป้นตะเบ๊ะท่ารับคำเสียงใส ก่อนจะขยับตัวออกห่างจากเขาก้าวเดียว
แค่ก้าวเดียวจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นตลอดทางก็มีเสียงใสๆ เอ่ยชวนคุยเสียจน
ชานยอลต้องส่ายหน้า
คิม
จงแด นี่มันน่ารำคาญจริงๆ
ชานยอลยังจำได้ดีว่าครั้งแรกที่เจอกับคนตัวผอมนี่มันเริ่มเมื่อสามเดือนก่อน
ตอนนั้นเขาก็แค่ถูกเพื่อนสนิทอีกคนอย่างลู่หานไหว้วานให้มารับเพื่อนของแฟนมันที่คณะเพราะเลิกดึก
เขาเองที่เพิ่งซ้อมบาสเสร็จไม่มีธุระที่ไหนอยู่แล้วก็เลยตอบรับคำไป
เห็นมินซอกบ่นนักบ่นหนาว่าเจ้าตัวแสนจะซุ่มซ่าม และขี้ลืม
จนไม่อยากให้ไปไหนมาไหนคนเดียว ชานยอลเองก็คิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะหน้าเป็นห่วง
เลยอาสาไปส่งเอง และบอกให้มินซอกสบายใจ
แต่พอเจอกันครั้งแรกก็โดนเจ้าตัวดีบอกรักเสียไม่ทันตั้งตัว
แถมยังขโมยจูบเขาไปอย่างไร้มารยาททั้งๆที่เจอกันวันแรกอีก
กว่าจะได้สติ
ก็ทันได้ยินเสียงตะโกนบอกว่าจะจีบเขา และทั้งๆที่ปฏิเสธไปหลายครั้งแล้วแท้ๆ แต่คิม
จงแดดูเหมือนจะดื้อด้านกว่าที่คิดไว้
“ชานยอลคิดอะไรอยู่”เสียงใสเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบดึงสติให้ชานยอลกลับมาสู่โลกของความเป็นจริง
โลกที่มีคิม จงแดตามติดเป็นเงา ใบหน้าขาวๆ และตากลมจับจ้องเขาอยู่ในระยะประชิด
ชานยอลใช้มือดันหน้าเจ้าตัวแสบออก
ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ของร้านแล้วหลับตาลงอย่างเบื่อหน่าย
ทั้งๆที่ตอนออกมาก็บอกแล้วแท้ๆว่าห้ามก่อกวน
แต่คิม จงแดก็เล่นไม่ยอมฟังอะไรเลย
“นายไม่คิดจะไปทำอย่างอื่นนอกจากตามฉันเลยรึไง”
“ชานยอลเป็นอะไร
ไม่สบายหรอ?”อีกครั้งที่ไม่ยอมตอบให้ตรงคำถาม
จงแดยืดตัวขึ้นก่อนจะยื่นหลังมือมาแตะที่หน้าผากของชานยอลอย่างเป็นห่วง
หมับ
แต่ก็ถูกมือใหญ่จะไว้ก่อนที่มันจะแตะถูกหน้าผากของอีกฝ่าย
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ชอบให้ใครมาแตะตัว”
“อะ
อือ ก็เราลืมไปนี่นา ฮะฮะ”หัวเราะแก้เก้อเมื่อสบเข้ากับแววตาที่ฉายชัดถึงความไม่พอใจ
วูบหนึ่งที่ชานยอลเห็นประกายหม่นที่ดวงตาของอีกฝ่ายก่อนที่คิม จงแด
จะกลับมาฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับนั่งลงตรงข้ามเหมือนเดิม
ไม่หรอก
อย่างหมอนี่ถ้าจะน้อยใจก็คงจะน้อยใจไปนานแล้ว
แม้จะอดคิดถึงแววตาหม่นๆเมื่อครู่ไม่ได้
จนต้องลอบมองร่างบางๆของคนที่จ้วงเค้กเข้าปากอยู่ตรงหน้า
แต่เมื่อเจอรอยยิ้มที่เขาเห็นบ่อยจนชิน ชานยอลก็ได้แต่คิดว่ามันคงไม่มีอะไร
-------귀찮은사람-------
“ชานยอล เราฝากไปส่งจงแดหน่อยนะ
วันนี้ลู่หานไม่สบายจริงๆ”คนตัวเล็กๆที่กำลังก้มหัวขอร้องเขาอยู่ตรงหน้าคือ คิม
มินซอก และคนที่ยืนถือเป้อยู่ข้างๆมินซอกและกำลังส่งยิ้มมาให้เขาก็คือ คิม จงแด
เพราะวันนี้ลู่หานป่วยมินซอกถึงต้องรีบกลับ แต่เขาไม่อยากให้จงแดกลับหอคนเดียว อีกอย่างเขาก็รู้ว่าเพื่อนคงอยากจะใช้เวลาร่วมกับคนที่ตัวเองชอบเพราะฉะนั้นมินซอกเองก็เลยอยากจะช่วยเพื่อนเสียหน่อย
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เดี๋ยวไปส่งให้”ชานยอลโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ต้องเกรงใจ
ก่อนจะส่งยิ้มให้ มินซอกยิ้มกว้างขอบคุณเสียอีกยกใหญ่ก่อนจะดุนหลังเพื่อนให้ไปยืนข้างๆคนตัวสูง
จงแดยืนนิ่งจดจ้องการกระทำของชานยอลด้วยความรู้สึกอิจฉา
ก่อนจะรีบก้มหน้าหลบเมื่อคนตัวสูงข้างกายหันกลับมาจ้องเขาหลังจากที่มินซอกเดินออกไปลับตาแล้ว
“ตามมาสิ ฉันยังซ้อมไม่เสร็จ นายคงต้องนั่งรอ”
“อือ” เอ่ยแค่นั้นก็เดินก้มหน้าตามหลังชานยอลไปห่างๆ
ไม่แม้แต่จะมองทางด้านหน้า จงแดก็แค่คิด ภาพรอยยิ้มเมื่อครู่มันยังคงติดตา
ทั้งๆที่ก็รู้มาตั้งนานแล้วว่าชานยอลยิ้มสวยขนาดไหน
แต่พอเห็นว่าคนอื่นต่างก็ได้รับรอยยิ้มนั้น
ต่างจากเขาที่ได้รับมันแค่ครั้งแรกที่เจอกัน
หลังจากนั้นก็เป็นท่าทีที่แสดงออกว่ารำคาญตลอด ทั้งๆที่เขาเป็นคนขี้ลืม
ขนาดนี้แต่ทำไมพอเป็นเรื่องของชานยอลแล้ว มันกลับไม่เคยลืมแม้แต่เรื่องเดียว
ผลั่ก
“ซี๊ด เจ็บ”เพราะไม่รู้เดินชนใครเข้า เขาถึงต้องนั่งแอ้งแม้งอยู่กับพื้น
ตากลมช้อนขึ้นมองก่อนจะพบว่ามีมือของคนๆหนึ่งยื่นมาตรงหน้า
“อ่า ขอบคุณครับ”เอ่ยขอบคุณก่อนจะวางมือลงบนมือเรียวของอีกฝ่าย
เจ้าของใบหน้าน่ารักที่อยู่ตรงหน้าส่งยิ้มมาให้ก่อนจะฉุดดึงให้เขาลุกขึ้น
“ขอโทษที่เดินไม่ระวังนะครับ”เพราะตัวเองเอาแต่ก้มหน้าเลยมองไม่เห็นทางจนเผลอชนคนอื่นเข้า
จงแดก้มหัวขอโทษคนตรงหน้าด้วยสีหน้าสำนึกผิด
ก่อนที่เจ้าของร่างโปร่งที่ตัวเท่าๆกันกับเขาจะเอ่ยบอกว่าไม่เป็นไร
“ขอโทษจริงๆนะครับ”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอก เลิกขอโทษได้แล้ว” คนตรงหน้าเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม
วินาทีนั้นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขา คือคำว่าน่ารัก คนๆนี้น่ารักจริงๆนั่นแหละ
ยิ่งเวลายิ้มยิ่งดูน่ารัก
“เกิดอะไรขึ้น” เสียงของชานยอลที่ยืนอยู่ด้านหลังของคนที่เขาบังเอิญชนเรียกรอยยิ้มกว้างขึ้นมาประดับบนใบหน้า
แต่เมื่อเจ้าของรอยยิ้มน่ารักหันกลับไปหาแล้วเอ่ยเรียกชื่อคนตัวสูงอย่างสนิทสนมแล้ว
จงแดกลับได้แต่ยืนนิ่ง
“นึกว่าวันนี้จะไม่มาซ้อมซะแล้ว”
“ฉันไม่เคยโดดซ้อมนะ แบคฮยอน”
“ให้มันจริงเถอะ แล้วนี่แฟนนาย?” เพราะจู่ๆก็โดนโยงเข้าไปในบทสนทนาเสียดื้อๆ
จงแดสะดุ้งจนสุดตัว ปากบางกำลังจะเอ่ยออกไปอย่างที่เคยกันท่าคนอื่น
ว่าเขากำลังจีบชานยอลอยู่ แต่เสียงทุ้มๆนั่นก็รีบตอบเสียก่อน
“แค่คนรู้จักน่ะ” อ่า นั่นสินะเขาก็แค่คนรู้จักนี่นา
“อย่ามาโกหกน่า
คนรู้จักอะไรจะมานั่งรอนายซ้อมแบบนี้”แบคฮยอนยังคงไม่หยุดแซว
จนชานยอลต้องยกมือขยี้ผมของเพื่อนร่วมชมรมอย่างหมั่นเขี้ยว จงแดมองภาพตรงหน้านิ่ง
ภายในใจมันวูบโหวงเสียจนต้องรีบหันหน้าหนี เอาอีกแล้วรอยยิ้มแบบนี้
รอยยิ้มที่เขาไม่เคยได้ มือเล็กกำเข้าหากันแน่นก่อนจะเดินออกไปจากที่ตรงนั้น
เป้าหมายของเขาคือสแตนท์ที่อยู่ไม่ไกล แม้มันจะไม่ได้ห่างจากที่ตรงนี้มาก
แต่อย่างน้อยมันก็คงดีกว่าที่ต้องมาทนฟังเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
และท่าทีสนิทสนมกันของคนที่ตัวเองชอบ กับคนอื่น
คนอื่นที่จงแดไม่แน่ใจเลยว่า สำหรับชานยอลแล้วคนๆนั้นเป็นคนสำคัญหรือเปล่า
“อ้าว
โดนเข้าใจผิดซะแล้ว”แบคฮยอนมองตามแผ่นหลังบางๆของอีกคนไปพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก ยิ่งเมื่อเห็นรองกัปตันตัวสูงมองตามไป
แม้จะเป็นสายตานิ่งๆ แต่แบคฮยอนกลับรู้สึกสนุก
“ไม่ตามไปอธิบายล่ะ”
“แล้วทำไมฉันต้องทำแบบนั้น” นี่ก็ปากแข็งเหลือเกิน
“เอาเถอะ ไม่อธิบายก็ไม่อธิบาย
แต่ระวังเถอะปล่อยให้เขาเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ จนเขาเปลี่ยนใจแล้วจะเสียใจ”
เพราะไม่ใช่ว่าไม่รู้จักคิม จงแด
แบคฮยอนรู้แม้กระทั่งว่าคนตัวผอมตามตอแยชานยอลอยู่ (อันนี้เจ้าตัวเป็นคนบอก)
แต่เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว แบคฮยอนก็แทบอยากจะบอกว่าเขารู้มาอีกอย่าง
รู้ว่าปาร์ค ชานยอลแม่งโคตรรู้ตัวช้า
หลังจากที่ซ้อมเสร็จชานยอลก็เดินมาหาคนตัวผอมที่นั่งรออยู่กับแบคฮยอนที่แสตนด้านหน้า
เห็นอีกฝ่ายยิ้มแย้ม หัวเราะกับเรื่องตลกของแบคฮยอนแล้วก็ได้แต่คิ้วกระตุก
คิดไว้ว่าเพื่อนร่วมชมรมอย่างแบคฮยอนต้องเม้าท์เรื่องของเขาให้จงแดฟังไปไม่มากก็น้อย
ยิ่งเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มนั่นหันมามองเขาพร้อมกับอาการกลั้นหัวเราะแล้วด้วย
“นี่เล่าอะไรให้หมอนี่ฟัง”เอ่ยเสียงเข้ม
แต่เหมือนแบคฮยอนจะไม่ได้เกรงกลัวเสียเท่าไหร่เป็นจงแดเองที่เม้มปากก้มหน้าหลบสายตาดุๆที่กวาดมาเสียเอง
“เอาน่า ก็แค่เรื่องทั่วๆไป เนอะจงแด”หันไปหาลูกคู่
คนตัวผอมพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเออออไปกับแบคฮยอนเสียจนหน้าหมั่นไส้
“แบคฮยอนก็แค่เล่าเรื่องทั่วไปในชมรมเอง ไม่ได้นินทาชานยอลหรอกน่า”
“ให้มันจริงเถอะ
ไปกลับกันได้แล้ว”ไม่ลืมส่งสายตาคาดโทษไปให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆคนตัวผอม
จงแดผุดลุกเมื่อเห็นชานยอลเดินไปหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาน
ก่อนจะก้มหัวให้แบคฮยอนที่โบกมือมาให้
เดินตามหลังร่างสูงๆนั่นไป
แต่ก็ยังไม่วายหันกลับไปมองร่างของแบคฮยอนที่โบกมือตามหลังมาอีกที
จนเผลอสะดุดขาตัวเองหน้าเกือบก้มไปจูบกับพื้น โชคดีที่ชานยอลหันมาเจอและจับตัวเขาไว้ได้ทันเสียก่อน
“เดินดีๆไม่เป็นหรือไงนะ ทำไมต้องสะดุดโน่นนี่นั่น อยู่เรื่อย”
“อ่า ขอโทษที”หัวเราะแหะๆ ก่อนจะเอ่ยขอโทษเสียงอ่อน
ชานยอลถอนหายใจเฮือกใหญ่มองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง
ก่อนจะตัดสินใจคว้าเอาข้อมือของอีกฝ่ายมาจับไว้ แล้วกระตุกให้เดินมาเบาๆ จงแดทำหน้าเหรอหรา
แต่ก็ยอมเดินตามไปอย่างว่าง่าย เพราะชานยอลไม่เคยยอมให้เขาเข้าใกล้
ไม่ยอมให้แตะเนื้อต้องตัว แต่ว่าวันนี้กลับเป็นคนจับข้อมือเขาเสียเอง
ริมฝีปากบางเม้มแน่นเมื่อได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นดังระรัวของตนเอง
ช้อนตามองคนที่เดินจับจูงเขาไปตามทางเดินแล้วก็ได้แต่อ้าปาก
แล้วก็หุบปากลงสลับไปมาอยู่อย่างนั้น แม้อยากจะเอ่ยถามแต่ก็ไม่กล้าพอ
“ทางมันมีด
ถ้าปล่อยให้เดินเองเดี๋ยวนายก็สะดุดอีก”เหมือนจะรับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ชานยอลถึงได้เอ่ยออกมาก่อน
จงแดเอ่ยขอบคุณเบาๆในลำคอก่อนจะก้าวเท้าตามแรงจับจูงของคนตัวสูงไปเรื่อยๆ
จงแดก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าถนนที่เขาเดินอยู่ทุกวันน่ะมันสั้นขนาดนี้
หรือเป็นเพราะว่ามันคือช่วงเวลาแห่งความสุขกันนะ
สำหรับจงแดมันถึงรู้สึกไม่พอ
-------귀찮은사람-------
บรรยากาศยามเย็นเงียบสงัด แต่บริเวณม้านั่งข้างล่างของตึกคณะกลับยังมีนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่ยังคงนั่งกุมขมับกับงานในมือ
เพราะงานกลุ่มที่ต้องส่งพรุ่งนี้กลับโดนอาจารย์คอมเม้นมาเสียชุดใหญ่
กลุ่มของเขาจึงต้องพากันมานั่งถกเถียงกันเรื่องแบบใหม่ตั้งแต่เริ่ม
ชานยอลยกมือนวดบริเวณลำคอเมื่อรู้สึกถึงความเมื่อยล้า
เมื่อหันไปมองรอบๆก็พบว่าเพื่อนร่วมก๊วนก็มีสภาพแทบไม่ต่างกัน
“ก็ว่า กูไม่ไหวแล้วว่ะ ขอโทรหามินซอกก่อน” พอรู้สึกล้าก็เริ่มคิดถึงแฟน
ลู่หานแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนไปหาที่เงียบๆโทรหาแฟน ในขณะที่จงอิน
ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาจิ้มมือถือไปเรื่อย ชานยอลถอนหายใจออกมาก่อนจะตัดสินใจวางดินสอในมือลง
เขาก็คิดว่าตัวเองควรจะพักเสียหน่อย
จึก จึก
แรงจิ้มที่ไหล่ทำให้ชานยอลจำเป็นต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมอง
ก่อนจะพบใบหน้าเปื้อนยิ้มของแบค ฮยอนพร้อมกับมือเรียวชูกระดาษที่เป็นตารางซ้อมทั้งเดือนของชมรมโบกไปมาอยู่ตรงหน้า
“กัปตันฝากมา”
“อือ ขอบใจ แล้วนี่มาคนเดียว?”ดึงเอาตารางซ้อมมาอ่านคร่าวๆ
ก่อนจะเอ่ยถามกลับ
แบคฮยอนพยักหน้าให้แทนคำตอบก่อนจะไปสนใจแบบที่วาดยุกยิกๆบนกระดาษขาวตรงหน้า
“นี่กำลังเครียดกันอยู่สินะ”
“ก็ทำนองนั้นแหละ แก้บานเลย”เป็นจงอินที่ตอบแทน แบคฮยอนโบกมือเป็นเชิงบอกว่า
เอาน่าๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปให้
ก่อนจะตาเรียวจะกลับมาจ้องหน้าคนที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างๆอีกครั้ง
“วันนี้แมวน้อยไปไหนซะล่ะ?”
“..”ชานยอลเลิกคิ้วทำหน้างงใส่
จนแบคฮยอนอดไม่ได้ที่จะขำท่าทางของเพื่อนตัวสูง
ก่อนจะเอ่ยปากขยายความถึงแมวน้อยตัวนั้น
“ก็จงแดไง วันนี้ยังไม่เห็นหน้าเลย ไม่คิดถึงหรือไง?”
“เลิกพูดสักทีเหอะน่าไม่มาก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย”เอ่ยตัดรำคาญเมื่อเห็นสีหน้าล้อเลียนของแบคฮยอน
แต่ถึงอย่างนั้นชานยอลก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ของเจ้าตัวดังขึ้นมาอีกรอบ
และเพราะว่ามันฟังดูกวนประสาทนั่นแหละ
เขาเลยผลักหัวกลมๆนั่นไปทีนึงด้วยความหมั่นไส้
“อ้าว เขินก็เลยใช้กำลังหรอ ปาร์ค ชานยอล” แบคฮยอนยังคงไม่เลิกแซว
ดวงหน้าน่ารักนั่นยิ้มล้อ เสียจนเขากระโจนเข้าไปล็อกคอเจ้าตัวให้ร้องลั่น โดยมีคิม
จงอิน หัวเราะเอิ้กอ้ากเป็นลูกคู่อยู่ไม่ห่าง แบคฮยอนไม่ได้ยอมอยู่เฉยๆ
เพราะมือเรียวแต่หนักนั่นฟาดเข้าที่แขนของเขาเสียจนแสบ
แต่ยังไม่ทันที่ชานยอลจะได้ปล่อยแขนออกจากคอขอแบคฮยอน
ก็มีมือคู่หนึ่งดึงมือเขาออกจากตัวแบคฮยอนเสียก่อน
“อ่าว จงแด”แบคฮยอนเอ่ยทักคนตัวผอมที่ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ตรงหน้า
ชานยอลทำเพียงแค่หันไปมองแว๊บหนึ่ง ก่อนจะหันหลังให้
ริมฝีปากบางถูกเม้มแน่นเมื่อเห็นท่าทีไม่ยินดียินร้ายของชานยอล
ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งแทรกกลางระหว่างคนทั้งครู่
“เรานั่งด้วย” เพราะอยากเอาชนะ และเพราะอารมณ์หึงหวง
จงแดเหมือนกับเด็กเอาแต่ใจที่กำลังทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองอยากได้
ทั้งๆที่เขาไม่รู้เลยว่าสุดท้ายผลลัพธ์มันจะไปทางไหน
บางทีความสัมพันธ์ที่เคยอยู่ในจุดเดิม อาจจะก้าวถอยหลังลงไป
“ทำไมต้องมานั่งเบียดที่นั่งตรงอื่นมีตั้งเยอะ”
แม้แบคฮยอนจะลุกออกนั่งข้างจงอินแล้ว แต่คิม จงแดก็ยังไม่ขยับไปไหน
ร่างผอมๆยังคงนั่งติดกับชานยอล
ตากลมจ้องใบหน้าด้านข้างของคนที่ก้มหน้าพูดประโยคนั้นออกมาไม่ยอมละไปไหน
“ก็แล้วทำไมทีแบคฮยอนยังนั่งได้”
คนที่ถูกดึงเข้าไปในบทสนทนาได้แต่ยกมือยกไม้ปฏิเสธแต่จงแดคงไม่ทันเห็นเพราะเอาแต่จ้องมองคนข้างๆด้วยความน้อยใจ
ทั้งที่ปกติเขาไม่เคยงี่เง่าแบบนี้ ยิ่งกับปาร์ค
ชานยอลคนที่เขาเป็นฝ่ายเฝ้าไล่ตามแล้ว จงแดยิ่งไม่เคย
“ทำไมทีเราชานยอลถึงไม่ยอมให้เข้าใกล้..”
เอ่ยถามอีกครั้งเมื่อคำถามแรกยังไม่ได้รับคำตอบ
ตากลมจับจ้องการกระทำของร่างสูงตลอดแม้กระทั่งตอนที่ใบหน้าหล่อเหลานั่นยอมหันมาสบตา
“ทำไมทีคนอื่นทำได้ แล้วเราถึง..”
“เลิกพูดสักที..”ชานยอลถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
ตาคมสบเข้ากับตากลมนั่นเข้าอย่างจัง จงแดไม่ได้หลบตา
แต่มือเล็กกลับกำถุงยาในมือแน่น
สายตาของชานยอลกำลังทำให้เขาหายใจไม่ออก ยิ่งเมื่อประโยคต่อมาที่ได้ยิน ยิ่งทำให้จงแดตัวแข็งทื่อ “รู้มั๊ยว่ามันน่ารำคาญ..”
นั่นสินะ ก็คิม จงแดน่ะ มันน่ารำคาญจริงๆนี่นา
รู้ตัวได้แล้วล่ะ
“อือ รู้แล้ว” น่าแปลกที่ประโยคที่ตอบออกมาจากปากของคิม
จงแดกลับแผ่วเบาเสียเหลือเกิน ร่างผอมลุกขึ้นยืน
ก่อนจะวางถุงยาที่อุตส่าห์วิ่งไปซื้อเพราะได้ยินจากลู่หานว่าชานยอลเหมือนจะไม่ค่อยสบาย
วางลงตรงหน้า ไม่ได้สบสายตาทุกคู่ที่จ้องมาที่ตัวเองเลยด้วยซ้ำ
รู้เพียงแต่ว่าต้องพาตัวเองออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาให้คนใจร้ายคนนั้นหัวเราะเยาะเขา
ชานยอลมองตามแผ่นหลังบางไปจนลับตา ไม่แม้แต่ขยับเขยื้อน
ดวงกลมที่ฉายแววหม่นเสียจนเหมือนคนจะร้องไห้นั่นยังคงติดตา
และยิ่งคิดถึงคำพูดที่ตัวเองพูดไป
สลับกับมองถุงยาที่บรรจุด้วยสารพัดยากองอยู่ตรงหน้าแล้วด้วย
นี่เขาทำอะไรลงไปวะ
ยกมือขยี้ผมตัวเองเสียหลายที
จงอินกับแบคฮยอนมองหน้ากันก่อนจะพร้อมใจส่ายหัวให้เพื่อนจอมปากแข็ง
ทั้งๆที่ปกติก็ทำเหมือนรำคาญเขาอยู่แล้ว
วันนี้ก็ยิ่งตอกย้ำให้เขาเข้าใจผิดไปอีกยกใหญ่
แล้วไอ้ที่มองเขาตาละห้อยทั้งๆที่เพิ่งว่าเขาน่ารำคาญไปนั่นมันจะรู้หรือเปล่า ว่ามันหมายความว่ายังไง
เกลียดจริงๆไอ้พวกปากไม่ตรงกับใจ รักเขาชอบเขาแต่ดันทำท่าทางเหมือนรำคาญ
วิธีการแสดงความรักของปาร์ค ชานยอลโคตรห่วยแตก
และตอนนี้มันควรจะรู้ตัวเองได้แล้วว่าควรทำยังไงต่อไป
-------귀찮은사람-------
“จงแดพอได้แล้ว นายดื่มเยอะไปแล้วนะ” เมื่อตอนเย็นทำเอามินซอกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเพื่อนสนิทวิ่งโผเข้ามากอดพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น
ทั้งๆที่คิม จงแดต่อให้เจ็บตัวขนาดไหนก็ร้องไห้ยากแท้ๆ
ลู่หานที่นั่งอยู่ข้างกันยังงุนงง จงแดไม่ยอมเล่าอะไร
เอาแต่กอดซุกหน้าลงกับบ่าเขาแล้วร้องไห้ต่อไปเงียบๆ เช็ดน้ำตา
แล้วก็ร้องไห้อยู่อย่างนั้น
จนกระทั่งยอมเงยหน้าขึ้นมาจากบ่าเขาแล้วเอ่ยชวนมาที่นี่
ผับของพี่ดงแฮที่อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัย
แล้วก็เอาแต่ยกแก้วกรอกลงลำคออยู่อย่างนี้ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา
“จงแด พอเถอะ
นายจะไม่ไหวแล้วนะ”ฉุดแก้วจากมือเล็กนั่นไว้ทันก่อนที่เจ้าตัวจะลำเลียงน้ำเมาลงลำคออีกครั้ง
ตากลมที่ตอนนี้เยิ้ม เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ช้อนขึ้นสบตา ก่อนที่ดวงตาจะเริ่มแดงก่ำ พร้อมกับน้ำหยดใสที่ไหลออกมาเสียดื้อๆ
“จงแด เป็นอะไร?”มินซอกร้องด้วยความตกใจ
เผลอปล่อยมือออกจากแก้วเพื่อนตัวดีก็ยกขึ้นดื่มอีกครั้ง
พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย
“เราเหนื่อยว่ะมินซอก เหนื่อย...”ประโยคแรกของคิม จงแด
หลังจากมานั่งอยู่ที่นี่ถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง มือเล็กยังไม่หยุดกระดกแก้วเข้าปาก
สลับกับใช้หลังมือปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ มินซอกเองก็ทำได้แค่นั่งนิ่งและฟัง
“...”
“เราเพิ่งรู้ว่าการวิ่งตามใครสักคนโคตรเหนื่อยเลยว่ะ
ยิ่งคนๆนั้นไม่คิดจะหยุดรอเราแล้วด้วย..”เสียงแหบเอ่ยกระท่อนกระแท่น
แต่ถึงอย่างนั้นมินซอกกับจับความรู้สึกเจ็บปวดในน้ำเสียงได้ดี
“แถมยังไปทำตัวให้เขารำคาญอีก ฮะฮะ”จงแดแค่นเสียงหัวเราะราวกับกำลังเยาะเย้ยตัวเอง
มือเล็กถูกยกขึ้นเช็ดน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่น้ำตาก็ยังไม่หมดเสียที
เขารำคาญ รำคาญตัวเองที่หลงรักปาร์ค ชานยอลจนต้องกลายเป็นคนอ่อนแอแบบนี้
“เราไม่ได้อยากทำให้เค้ารำคาญนะเว้ย แต่เรา..ฮึก.”กลับกลายเป็นตัวน่ารำคาญ
ก้อนสะอึกจุกที่ลำคอยิ่งคิดถึงน้ำเสียง และสายตาตอนที่อีกฝ่ายพูดออกมา
จงแดก็ยิ่งสะอื้น สะอื้นเสียจนพูดต่อไม่ได้
จงแดฟุบหน้าลงกับโต๊ะปล่อยให้มินซอกลูบหัวปลอบเขาอยู่อย่างนั้น
จงแดหยุดร้องไห้ไปแล้ว แต่ดวงตายังคงแดงก่ำ
คนตัวผอมนั่งนิ่งเหม่อตามคำสั่งของมินซอกว่าให้นั่งรอจนกว่าเจ้าตัวกับลู่หานจะกลับเข้ามา
แต่ถึงอย่างนั้นสายตาเจ้ากรรมกับดันไปเห็นร่างสูงที่แสนคุ้นตาเดินเคียงข้างเข้ามากับลู่หานเสียอย่างนั้น
ไม่ได้คิดจะขัดคำสั่งเพื่อน แต่จงแดแค่ยังไม่อยากพบหน้าคนที่เขาเพิ่งบอกว่าจะตัดใจเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้
มือเล็กพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น
แม้จะโอนเอนไปบ้างแต่จงแดก็ยังเชื่อว่าตัวเองจะสามารถประคับประคองไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลได้
อย่างน้อยถ้าเขาได้ล้างหน้าล้างตาสักหน่อยก็คงจะสดชื่นขึ้น
ปาร์ค ชานยอลขมวดคิ้ว
สายตาจับจ้องตั้งแต่เห็นร่างผอมๆนั่นเดินโซเซผ่านผู้คนไปห้องน้ำ
น่าแปลกที่ครั้งนี้ไม่ได้มีใครบอกให้ทำ
ขายาวกลับก้าวตามร่างผอมบางนั่นไปอย่างไม่ทันคิด ลู่หานกับมินซอกมองหน้ากัน
แม้มินซอกจะไม่อยากปล่อยให้จงแดเจอกับชานยอลตอนนี้เท่าไหร่ แต่เมื่อลู่หานส่ายหน้าและบอกว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขาสองคน
มินซอกก็ยอมนั่งลงข้างๆลู่หานอย่างว่าง่าย
ก็แค่ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
“ปล่อย
บอกให้ปล่อยไง”เพราะเดินมาทันเห็นร่างผอมๆที่กำลังจะทรุดกองกับพื้น
ชานยอลถึงได้รีบเข้ามาประคองไว้ได้ทันท่วงที ตอนแรกอีกฝ่ายก็เอ่ยขอบคุณเขาอยู่หรอกแต่พอเงยหนาขึ้นมาแล้วพบว่าเป็นใคร
คิม จงแดก็เริ่มดิ้น ดิ้นทั้งๆที่รู้ว่าถ้าเขาปล่อยเอวบางๆนี่ออกเจ้าตัวก็จะลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น
“อย่าดื้อนักได้มั๊ย ยืนจนแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว ยังจะอวดเก่งอีก”
“ก็ช่างสิ อย่ามายุ่งกับเรา ปล่อย”ไม่ยอมแพ้
กำปั้นน้อยๆนั่นทุบเข้าที่อกเขาเท่าที่แรงจะมี
แม้ว่าการรับรู้จะเลือนรางเหลือเกินแต่คิม จงแดในโหมดเมาก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ชานยอลลองปล่อยอีกฝ่ายให้ยืนเอง
เจ้าตัวสะบัดหน้าไปมาชั่วครู่ ก่อนจะพยายามประคองร่างไม่ให้ล้ม
ผลักอกชานยอลออกห่าง พร้อมกับตั้งท่าจะเดินผ่านเข้าไปด้านในของผับ
ชานยอลส่ายหน้าให้กับความดื้อด้าน
ก่อนจะตัดสินใจกระตุกข้อแขนของคนขี้เมาให้เซถลาเข้ามาในอ้อมแขน
จงแดพยายามผลักออกอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้มันไม่ได้ง่ายเมื่อชานยอลไม่ยอมออมแรงให้เลยอ้อมแขนนั่นออกแรงรัดเสียจนเขาหายใจไม่ออก
“นายเมามากแล้ว กลับบ้าน”อดที่จะเอ่ยเสียงดุคนดื้อดึงในอ้อมแขนไม่ได้
ตากลมที่มักจะเปล่งประกายระยิบระยับนั่นคลอด้วยหยาดน้ำสีใสเสียจนชานยอลรู้สึกสงสาร
แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมอ่อนลงให้เสียที
“บอกว่าไม่ต้องมายุ่งไง ปล่อยสิ”
“ทำไมถึงได้ทำตัวแบบนี้นะคิม จงแด รู้มั๊ยว่ามันไม่น่ารักเลยนะ”
“ถ้าอยากได้แบบน่ารักก็ไปหาแบคฮยอนสิ ที่นี่ไม่มีให้หรอก”
“คิม จงแด อย่าพาล..”
“ดีเนอะ นอกจากจะพาลแล้วอะไรอีกล่ะ
น่ารำคาญใช่มั๊ยที่ชานยอลพูดบ่อยๆน่ะ..”
“หยุดพูดประชด...”
“ก็แล้วทำไม ก็ไม่น่ารักอยู่แล้ว ในเมื่อรำคาญกันอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องมายุ่งสิ”
“...”
“ชานยอลคงไม่อยากจะยุ่งกับคนน่ารำคาญอย่างเราหรอก...”พูดจบก็ก้มหน้าแอบปาดน้ำตาตัวเองเงียบๆ
ชานยอลก้มมองกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนของคนในอ้อมแขนแล้วก็ได้แต่ยกยิ้มด้วยความเอ็นดู
มือใหญ่ยกขึ้นมาลูบผมคนในอ้อมแขน ก่อนจะตัดสินใจช้อนเอาร่างผอมบางขึ้นพาดบ่าอย่างที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
เสียงแหลมหวีดร้อง ส่งแรงทุบหลังเขาอย่างหนักหน่วง
เสียงก่นด่าคลอกับเสียงสะอื้นยังดังเป็นระยะๆ แต่ชานยอลไม่ได้สนใจ
เพราะเขาให้เวลาคิม จงแดดื้อดึง มามากพอแล้ว
ขายาวยังคงก้าวผ่านผู้คนที่มาใช้บริการสถานราตรีแห่งนี้นิ่งๆ เพื่อพาเด็กน่ารำคาญคนนี้ไปยังที่หมาย
ที่ที่คิม จงแด จะได้รู้สักที ว่าคำว่าน่ารำคาญของชานยอลน่ะ
มันเพราะอะไร
-----귀찮은사람-------
กว่าจะพาร่างผอมๆนี่ขึ้นมานอนแผ่บนเตียงได้ชานยอลก็แทบจะหมดแรง
ทั้งๆที่กินไปมากขนาดนั้น แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมหมดฤทธิ์ง่ายๆ หลับไปแค่แป๊บเดียวในช่วงที่เขาขับรถกลับมาที่คอนโดแต่พอกำลังจะอุ้มขึ้นห้อง
เจ้าตัวก็ดันตื่นและโวยวายเสียยกใหญ่ เวลาปกติไม่เห็นจะดื้อแบบนี้
แต่ทำไมพอเวลาเมาถึงได้ไม่ยอมลงให้เลยนะ
ปัดปรอยผมที่ปรกหน้าผากของอีกคนออกก่อนจะใช้ผ้าเย็นซับเบาๆไปทั่วใบหน้า
แอบบีบปลายจมูกรั้นๆนั่นไปเสียหนึ่งทีด้วยความหมั่นเขี้ยว
เกลี่ยนิ้วเข้าที่แก้มใสก่อนจะมาหยุดที่ริมฝีปาก
ปากบางๆนี่สินะที่ตะโกนเสียงแหลมๆมาตลอดทาง
งั่ม
ชักนิ้วออกแทบไม่ทันเมื่อจู่ก็โดนริมฝีปากของคนที่เมื่อครู่นอนหลับตาอยู่งับเข้าที่ปลายนิ้ว
คงเป็นประเภทที่มีอะไรมากวนใจในเวลานอนไม่ได้เลยสินะ หัวเราะได้ไม่นานนักเปลือกตาของคนขี้เมาก็เปิดออก
เจ้าตัวผุดลุกนั่งแถมยังจ้องหน้าเขาเขม็งคล้ายกับจะหาเรื่อง
ชานยอลเลิกคิ้วมองเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าเขาก่อนจะยกแขนขึ้นมากอดอกแล้วเบือนหน้าหนี
“จะลุกขึ้นมาทำไม นอนลงไป”
“...”
“ทำไมถึงได้ดื้ออย่างนี้นะ”เพราะไม่ยอมตอบและไม่ยอมหันมาสนใจ
ชานยอลที่เมื่อครู่นั่งอยู่ข้างเตียงถึงได้เขยิบเข้าไปใกล้หมายจะกดไหล่อีกฝ่ายให้นอนลง
แต่ก็อย่างว่า จงแด ตอนเมาน่ะฤทธิ์น้อยเสียเมื่อไหร่ยิ่งตอนที่เจ้าตัวเริ่มจะสร่างเมาเพราะอ้วกออกไปหมดไส้หมดพุงแล้วด้วย
“พามาที่นี่ทำไม?”เปิดปากถามพร้อมกับตวัดสายตาหาเรื่องมาใส่อย่างไม่เกรงกลัวใดๆ
ทั้งๆที่ปกติแค่เขาพูดเสียงเข้มๆก็ก้มหน้างุดเชื่อฟังอย่างง่ายดายแท้ๆ
“ก็จะพามาเคลียร์ แต่ตอนนี้คงเคลียร์กันไม่รู้เรื่อง..”
“รู้เรื่องสิ พูดมาเลย”
“ฉันไม่ชอบคุยกับคนเมา”
“เราไม่ได้เมานะ!”แว๊ดเสียงแหลมใส่
แต่แปลกที่ชานยอลกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้ทำให้น่ากลัวสักนิด
“ก็ถ้าจะคุยกันตอนนี้ก็นั่งเงียบๆแล้วฟัง ทำได้มั๊ยล่ะ” ชานยอลว่าพลางมองสบตาขวางๆนั่นนิ่ง
จนกระทั่งอีกฝ่ายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้พยักหน้ารับคำไปในที่สุด
“ขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อตอนเย็น ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น..”
“...อือ”
“แล้วก็เรื่องแบคฮยอนน่ะ..”
“ไม่ต้องมาพูดถึงชื่อนี้เลยนะ”พูดจบก็ยกมือขึ้นปิดหูตัวเองอีกต่างหาก ชานยอลส่ายหน้า
มือเรียวพยายามแกะมือที่อยู่ข้างหูของคนดื้อดึงออก แต่จงแดก็เอาแต่ส่ายหน้าและไม่ยอมง่ายๆ
ชานยอลจึงตัดสินใจรั้งเอาเอวบางของอีกฝ่ายขึ้นมานั่งคร่อมตักทั้งอย่างนั้น
“ไหนบอกว่าจะฟังเงียบๆไง”
“ก็เราไม่อยากฟังแล้วนี่”
“ดื้อ”
“ใช่ ก็เราดื้อ ปล่อยเรา”
“น่ารำคาญจริงๆเลย..”สุดท้ายก็หลุดปากออกไปจนได้
ร่างผอมหยุดชะงักแทบจะทันทีก่อนจะเงยดวงหน้าที่คลอไปด้วยเต็มไปด้วยน้ำตาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ขึ้นมาสบตา
“ก็ใช่สิ ก็เรามันน่ารำคาญนี่ ..”
“หยุด..”
“ไม่ต้องห่วงหรอกเราจะไม่มาให้ชานยอลต้องรำคาญอีกแล้ว เราจะตัดใจ อื้อ”เพราะไม่ต้องการจะฟังคำตัดพ้อต่อว่าอะไรอีก
ถึงได้ก้มลงปิดริมฝีปากบางของคนดื้อรั้น ทีแรกเขาก็แค่ตั้งใจจะหยุดอยู่แค่กดริมฝีปากค้างไว้แค่นั้นแต่เมื่อได้สัมผัสกับความรู้สึกนุ่มๆราวกับขนมหวานของคนตรงหน้าแล้วชานยอลก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงหยุดตัวเองไม่ได้
ยิ่งดึงดูดริมฝีปากบางๆนั่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากลิ้มลองให้ลึกซึ้งมากกว่านี้
เพราะลิ้นอุ่นๆที่แทรกเข้ามาทำให้จงแดหลับตาปี๋เผลอเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
มือเล็กจิกเสื้อบริเวณอกของชานยอลไว้แน่น ยิ่งตอนที่อีกฝ่ายเริ่มไล่ต้อน
หยอกเย้าให้เขาหัวหมุน จนต้องตอบสนองไปอย่างเก้ๆกังๆนั้น
จงแดก็เริ่มรู้ตัวว่าเขาได้เดินหลงเข้าไปในเส้นทางที่ชานยอลขุดไว้อีกครั้ง
ยากเหลือเกินที่จะเดินออกมา
“อึก พะ พอ”หลีกหนีริมฝีปากซุกซนด้วยการซบใบหน้าลงกับอกแกร่งนิ่งหอบโกยอากาศเข้าปอดไปเท่าที่จะทำได้
กว่าชานยอลจะยอมละริมฝีปากออกก็ทำเอาคนตัวผอมเกือบจะขาดอากาศหายใจไปแล้วชานยอลมองใบหูสีแดงระเรื่อนั่นอย่างนึกขำก่อนจะกอดกระชับเอวบางของอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น
หมดฤทธิ์แล้วสินะ
“ฉันกับแบคฮยอนไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเป็นแค่เพื่อน เลิกคิดเองเออเองได้แล้ว”
“...”
“ส่วนเรื่องของนาย...”
“...”
“อาจจะมีบ้างที่ฉันพูดไม่ดีออกไปแต่นั่นน่ะทั้งหมดมันก็เพราะนายนั่นแหละ..”ถอนหายใจก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลุ่มผมนิ่มราวกับต้องการกำลังใจ
“เพราะนายทำให้ฉันรำคาญตัวเอง ที่เอาแต่คิดถึงเรื่องของนายตลอดเวลา”
“...”
“หึ ชิงหลับไปแล้วสินะ”เพราะเห็นว่าไม่ยอมตอบสนองอะไรกลับมา
พอก้มลงไปดูก็พบว่าอีกฝ่ายเข้าสู่ห้วงนิทราไปทั้งอย่างนั้น ชานยอลยิ้มเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ตั้งแต่กลับมาถึงห้อง
ก่อนจะค่อยๆจัดท่าทางให้คนขี้เมานอนสบายๆบนเตียง ล้มตัวนอนข้างๆดึงรั้งร่างผอมเข้าสู่อ้อมกอด
ไม่ลืมกระซิบบอกคำพูดที่เตรียมจะบอกอีกฝ่ายไปแต่ดันชิงหลับไปเสียก่อน
“ไม่มีใครรำคาญคนที่ตัวเองชอบหรอก จงแด”
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ยินก็ตาม
-------귀찮은사람-------
“ตื่นแล้วก็ลุกสิ”
กำลังนั่งสะลึมสะลืออยู่บนเตียงก็ได้ยินเสียงทุ้มของเจ้าของห้องดังแว่วเข้ามา
จงแดที่กำลังเรียงลำดับเหตุการณ์ในหัวหันขวับไปมองต้นเสียงก็พบว่า ปาร์ค
ชานยอลตัวเป็นๆมายืนอยู่ไม่ไกลเสียแล้ว
“ยังมึนหัวอยู่หรือไง?”มือเรียวเอื้อมเข้ามาจะแตะเข้าที่หน้าผาก
จงแดก็ผงะออกด้วยความตกใจก่อนจะคว้าเอาผ้าขนหนูที่วางอยู่ไม่ใกล้
(คาดว่าชานยอลนน่าจะเตรียมมาให้) วิ่งเข้าห้องน้ำไปแทบจะทันที
ชานยอลหัวเราะตามหลังก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไปอย่างอารมณ์ดี
เอาเถอะให้เวลาเตรียมใจซักหน่อยเพราะวันนี้คิม
จงแดยังต้องสู้รบปรบมือกับเขาทั้งวัน
เดินออกมาจากห้องน้ำก็ไม่พบเจ้าของห้องแล้วจงแดแอบผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ก่อนจะหน้าร้อนฉ่าเมื่อมองเห็นเสื้อผ้าชุดเดิมของเมื่อวานวางอย่างเรียบร้อยบนเตียง
ทั้งๆที่ทำเป็นลืมเรื่องที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าอยู่ในชุดนอนของเจ้าของห้องแล้วแท้ๆ
แต่พอมาเห็นอย่างนี้ก็อดเขินไม่ได้ ก้มหน้าก้มตาเปลี่ยนชุดทั้งๆทั้งความร้อนยังไม่หายไปจากใบหน้าเพราะกลัวว่าถ้าขืนชักช้าเขาอาจจะต้องเผชิญหน้ากับชานยอลในห้องที่นำมาซึ่งความกระอักกะอ่วนใจที่สุด
ถึงแม้เขาจะจำไม่ได้เลยว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่เขาก็คิดไว้แล้วว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ เขาต้องเผลอทำอะไรบ้าๆลงไปแน่ๆ
ย่องออกไปนอกห้องก็พบแผ่นหลังกว้างที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่บนโต๊ะอาหาร
จงแดได้แต่ยืนกัดปากด้วยความประหม่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะแสดงสีหน้าท่าทางอย่างไรดี
ถึงจะเข้ากับสถานการณ์ตอนนี้ ชานยอลทำตัวปกติแทบทุกอย่าง
หรือบางทีอาจจะไม่ปกติก็ตรงที่ยอมพาเขามาที่ห้องนี่แหละ
”มานั่งนี่สิ”
มัวแต่คิดว่าจะต้องท่าทางยังไง
ถึงได้ไม่ทันรู้ตัวว่าโดนเจ้าของห้องจ้องกลับมาตั้งหลายนาทีแล้ว
จงแดได้แต่รับคำในลำคอก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ชานยอลเลื่อนออกให้อย่างว่าง่าย
ลอบมองหน้าคนทีมานั่งลงตรงข้ามก่อนจะก้มหน้าก้มตาตักโจ๊กร้อนๆเข้าปากเมื่อเจอสายตาดุๆจ้องกลับมา
อะไรจะกดดันกันขนาดนั้น
“จำได้หรือเปล่าว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไปบ้าง?”
“แค่กๆ อ่ะ น้ำ แค่ก น้ำ..”เพียงแค่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนจงแดก็สำลักข้าวต้มแทบจะทันที
ชานยอลยิ้มขำ ก่อนจะตีหน้านิ่งขรึมในขณะที่ยื่นแก้วน้ำไปให้ดื่ม
ลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ จนกระทั่งเจ้าตัวเริ่มกลับมาเป็นปกติ
เว้นเสียแต่จมูกกับแก้มที่ยังแดงระเรื่อ
“อ่ะ อิ่มแล้ว เดี๋ยวเราเอาชามไปล้างก่อนนะ”เลี่ยงที่จะตอบอีกรอบ
ชานยอลได้แต่ส่ายหัวให้กับท่าทางการเอาตัวรอดของอีกฝ่ายเบาๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ห้าม
เขาก็แค่อยากรู้ว่าคิม จงแดจะเอายังไงต่อ
ตามไปยืนคุมตอนที่อีกฝ่ายตั้งอกตั้งใจล้างชามในอ่างก่อนจะคว่ำชามไว้บนตะแกรงอย่างขะมักเขม้น
ทั้งๆที่ดูก็รู้ว่าเกร็งขนาดไหน เขาไม่ได้อยากจะแกล้งนักหรอกแต่พอเห็นคิม
จงแดเป็นแบบนี้แล้วก็เพิ่งรู้
ว่าการแกล้งให้คนตรงหน้าเขินจนทำอะไรไม่ถูกนี่มันสนุกกว่าตอนเก๊กทำหน้าขรึมๆซะอีก
ขายาวก้าวเข้าไปประกบด้านหลังพร้อมกับสอดมือเข้าไปรวบกอดเอวบางๆนั่นไว้อย่างรวดเร็ว
ได้ยินเสียงร้องตกใจของอีกฝ่ายก่อนที่จะยืนตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขาเมื่อเขาเกยคางไว้ที่หัวไหล่
“ชะ ชานยอล ถะ
ถอยออกไปหน่อย”กลั้นใจเอ่ยปากบอกออกไปทั้งๆที่หัวใจเต้นระรัวเสียจนไม่สามารถควบคุมได้
คิม จงแดยอมรับว่ากำลังงุนงงกับท่าทางแปลกๆเหมือนกินยาเกินขนาดของคนตัวสูง
ทั้งๆที่ปกติแทบจะไม่เคยเข้าใกล้เขา บอกว่าไม่ชอบให้ใครโดนตัว
พอโดนเขาจับทีก็ตีหน้าดุใส่จนเกือบท้อไปหลายครั้งแล้วแท้ๆ แล้วนี่มันอะไร
ตั้งแต่เรื่องเมื่อคืนที่พาเขามาที่คอนโด (รวมถึงเหตุการณ์ที่เขาจำไม่ได้)
แล้วยังจะมาทำแบบนี้อีก คิม จงแดไม่เข้าใจ ปาร์ค ชานยอลเลยจริงๆ
“ระ เราอึดอัด”พยายามแกะมือที่กอดรัดเอวออกแต่เหมือนชานยอลจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เจ้าของห้องยิ้มกริ่มก่อนจะยกร่างทั้งร่างของคนที่ตกอยู่ในอ้อมแขนวงลงบนเคาเตอร์ข้างอ่างล้างจาน กางแขนกักกันร่างทั้งร่างไว้ไม่ยอมให้จงแดขยับตัวหนีได้แม้แต่วินาทีเดียว
“เราจะกลับแล้ว
เดี๋ยวมินซอกเป็นห่วง”แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่ไม่มีสายเรียกเข้าเป็นหลายสิบสายจากเพื่อนสนิทที่ทำตัวเหมือนผู้ปกครองเขาเช่นเคย
แต่จงแดก็ยังขอแอบหยิบยกชื่อเพื่อนมาอ้าง
เขาแค่ไม่อยากอยู่กับชานยอลแค่สองคนในบรรยากาศที่มันไม่เหมือนเดิมอย่างตอนนี้
และที่สำคัญในท่าทางแบบนี้
“ยังคุยกันไม่จบ ไม่ให้กลับหรอก”
“ก็แล้วจะคุยอะไรล่ะ”เพราะเขินจนต้องแว๊ดออกมากลบเกลื่อน
จงแดรู้ดีว่าเขาไม่สามารถหลอกตัวเองได้เลยว่าเขากำลังขัดเขินเสียจนทำอะไรไม่ถูก
“นายจำอะไรได้บ้าง?”
จงแดยังคงก้มหน้างุดกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อข่มอาการทำตัวไม่ถูกอยู่อย่างนั้น
ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆเมื่อคิดให้ตายเขาก็จำไมได้เลยแม้กระทั่งว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่
ความจำเขาหยุดอยู่แค่ตัวเองนั่งร้องไห้ในร้านพี่ดงแฮกับมินซอกเท่านั้น
“งั้นก็จำไม่ได้แม้กระทั่งตอนที่ เราจูบกัน สิ”
“ห๊ะ!!” ตากลมจ้องหน้าชานยอลอย่างไม่เชื่อสายตา อ้าปากค้างปะติดประต่อเรื่องราวในหัว
แต่ถึงจะคิดไม่ออกยังไงแต่เมื่อเจอสายตาที่มองมาที่ริมฝีปากเขา
จงแดก็ห้ามอาการหน้าแดงของตัวเองไม่ได้
“ฉันพูดเรื่องจริง...”
“...” ชานยอลเลือกไม่พูดว่าเขาต่างหากที่เป็นคนเริ่มก่อน จับจ้องคนตรงหน้าด้วยดวงตาพราวระยับ
จงแดรู้สึกเหมือนตัวเองตัวหดเล็กลงไปเรื่อยๆทั้งๆที่ตอนเกิดเรื่องจนกลายเป็นคนน่ารำคาญในสายตาชานยอลก็ตั้งแต่ตอนที่ทำตัวใจกล้ากระโดดจูบริมฝีปากนั่นเพราะอยากจะให้เป็นจูบแรกของตนกับคนที่ชอบ
แล้วครั้งนี้ยังกล้าทำแบบนั้นอีก
ถึงจะเมาก็เถอะแล้วแบบนี้เขาไม่โดนเกลียดมากกว่าเดิมหรือไง
“ขอโทษ”เจ้าของร่างผอมๆเอ่ยออกมาเสียงเบาและยิ่งชานยอลเงียบไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาสักที
จงแดก็ย้ำขึ้นมาอีกรอบ“เราเมามากจนจำอะไรไม่ได้เลย ขอโทษนะ”
“ช่างเถอะ มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกซะหน่อยที่นายขโมยจูบฉัน”ยิ้มขำเมื่ออีกฝ่ายก้มหน้าหลบก่อนจะใช้มือประคองใบหน้าน่ารักของคนตรงหน้าขึ้นมาสบตา
ชานยอลคิดว่าคงจะต้องเข้าเรื่องสักที
เขาไม่อยากปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้แล้ว
“คิม จงแด..”ยกนิ้วชี้แตะลงบนริมฝีปากบางที่กำลังจะอ้าปากถามอะไรบางอย่างนั่นไว้ก่อน
“นายน่ะ ช่วยเงียบๆแล้วก็ฟังที่ฉันพูดให้จบ..”
“...”เจ้าตัวยู่ปากแต่ก็ยอมพยักหน้าตกลง
ชานยอลถึงได้ถอนหายใจก่อนจะพูดในสิ่งที่เขาคิดไตร่ตรองมาตั้งแต่เมื่อคืน
“คิดว่าเมื่อคืนนายคงจำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นฉันจะพูดใหม่ทั้งหมด..”
“...”
ขอโทษที่พูดไม่ดีกับนาย ขอโทษที่ทำเป็นไม่สนใจนาย
แล้วก็ขอโทษที่ทำตัวไม่ชัดเจน..”
“...”
“เรื่องแบคฮยอนน่ะ เราเป็นแค่เพื่อนกัน นี่คิม จงแดไหนบอกว่าจะฟังไง”พอได้ยินชื่อแบคฮยอนเจ้าตัวก็เริ่มดื้อหุนหันจะโดดลงจากเค้าเตอร์เสียอย่างนั้น
ชานยอลถึงได้เอ่ยเสียงดุแล้วดึงรั้งเข้ามากอดไว้เสียเลย เจ้าตัวแสบดิ้นแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“ฟังสิ ฉันกำลังจะบอกชอบนายนะ”
“...”
“ฉันชอบนายจริงๆ ให้ตายเถอะ ทั้งๆที่นายทำตัวน่ารำคาญขนาดนี้แท้ๆ..”เหมือนชานยอลจะพูดกับตัวเองแต่จงแดได้ยินมันไปแล้ว
ร่างผอมผลักอกอีกฝ่ายออกก่อนจะจ้องมองด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่น่าเชื่อ
แต่แก้มและหูที่กำลังเป็นสีแดงของชานยอลก็ทำให้จงแดหลุดขำออกมาเสียได้
ก็ปาร์ค
ชานยอลที่จงแดรู้จักน่ะไม่เคยหลุดมาดเขินแบบนี้ให้เห็นมาก่อนเลยนี่นา
“หยุดขำเดี๋ยวนี้เลยนะ คิม จงแด...”จงแดยกมือขึ้นปิดปากแต่ดวงตาที่หยิบหยีเป็นเส้นตรงนั้นก็ทำให้ชานยอลยิ่งอาย
เขาไม่เคยสูญเสียความเป็นตัวเองขนาดนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ทั้งหมดก็เพราะคิม จงแด คนเดียว
เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงเพราะความเขินอาย จงแดก็ได้แต่ยิ้มเต็มหน้ารับรู้ได้เลยว่าหัวใจของตัวเองพองโตเพราะความดีใจขนาดไหน
แม้ว่าคำว่าชอบของปาร์ค ชานยอลจะไม่ได้โรแมนติกอย่างที่เขาวาดหวังไว้ แต่แค่นี้
แค่จงแดได้รู้ว่าสิ่งที่เขาพยายามมาตลอดไม่ได้สูญเปล่า มือเล็กประคองใบหน้าร้อนๆของอีกฝ่ายให้มาสบตา
ก่อนจะแตะริมฝีปากลงบนกลีบปากอิ่มของชานยอลแผ่วเบาแล้วละออกอย่างช้าๆแต่เมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นเคลื่อนเข้ามาหวังจะช่วงชิงริมฝีปากเขาคืนมือเล็กก็ยกขึ้นปิดกันริมฝีปากตัวเองไว้
ยักคิ้วให้กับเจ้าของห้อง บ่งบอกว่าถึงเวลาที่ปาร์ค
ชานยอลต้องเป็นฝ่ายเริ่มบ้างแล้ว
“ถ้าจะจูบก็ต้องจีบเราให้ติดก่อนนะชานยอลอา”
อย่างน้อยก็ขอเอาคืนบ้างเถอะนะ ปาร์ค ชานยอล ~~~ #ยิ้มตาปิด
END????
เหมือนจะไม่ยอมจบดีๆอีกแระ ฮ่าๆๆๆๆ รักรีดเดอร์ทุกท่านที่ทั้งเข้ามาอ่านและเข้ามาเม้นนะคะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ รักทุกคนที่รักน้องเฉิน นะคะ สถานีต่อไปจะอัพBaekchen ให้จบนะคะ เจอกันค่าาาาา ^_____^
ความคิดเห็น