ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC EXO] ❀ c r u e l l u ❀ :: Kris x Luhan ::

    ลำดับตอนที่ #2 : ❀ c r u e l l u ❀ :: first time you see me

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 57














     









             ยี่สิบห้าปีที่ผ่านมา ถ้าลู่หานคิดจะวิ่งก็ไม่มีใครตามทัน...

     

             จะเป็นการเรียน กีฬา กิจกรรม การทำงาน ไม่ว่าอะไรก็ตามในชีวิต หากลงมือทำแล้วไม่ได้เหยียบยืนในตำแหน่งแนวหน้าเป็นจ่าฝูงนั้นคงไม่ใช่เขา

     

             ลู่หานไม่ได้ชื่นชอบการแข่งขัน

             แต่เมื่อลงสนามอะไรสักอย่างแล้วละก็

     

             เขาต้องชนะ...

     

             เคล็ดลับการกอบกุมความสำเร็จของชายหนุ่มคือทำทุกเรื่องให้สุดความสามารถ แม้บางครั้งอาจจะต้องกระโดดข้ามหัวคนอื่นไปบ้างก็ตามถ้าจำเป็น...

     

             ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องได้ด้วยกล

             สู้ไม่ได้ด้วยมนตร์ ก็ต้องงัดกันด้วยคาถา

     

             ทุกอย่างถือเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี เพราะคำว่าแพ้ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมชีวิตของคนหน้าหวาน ไม่เคยแม้สักครั้งที่เจ้าตัวจะต้องล้มลงแล้วลิ้มรสของการเป็นรอง

     

             สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้แวดวงรอบข้างจับจ้องเพ่งเล็งมายังลู่หานตลอดเวลา

             สายตาหลากหลายคู่มักจะสื่อส่งอารมณ์แง่ลบมาให้เขาอยู่เสมอ

     

             ไม่ว่าจะตัดพ้อต่อว่า  ขุ่นแค้นโกรธเคือง อิจฉาอาฆาต

             หรือหนักสุด... ก็อัดแน่นด้วยความเกลียดชัง

     

             มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ

             และมองหาเขาด้วยแววตาที่ไม่เหมือนกับคนหมู่มากเหล่านั้น

     

             ชื่นชมในวันที่ประสบสำเร็จ

             ปลอบใจในวันที่รู้สึกท้อแท้

             แลกเปลี่ยนเรื่องราวทั้งร้ายดีแก่กันตลอดมา

     

             หนึ่งในจำนวนเพียงหยิบมือที่ว่าก็คนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าตอนนี้นี่แหละ…

     

             ‘อู๋อี้ฝาน’ หรือที่ลู่หานมักจะเรียกว่า ’คริส’ หนุ่มหล่อเชื้อสายจีนที่ย้ายมาตั้งรกรากในเกาหลีใต้ตั้งแต่ตีนยังเท่าฝาหอย บุคคลผู้มีนิสัยต่างกับเขาจรดขั้วชนิดที่ว่าไม่น่าจะคบหากันมาได้ยืนยาวขนาดนี้ อู๋อี้ฝานชัดเจนเสมอเหมือนยอดเขาเอเวอร์เรสต์เสียดฟ้าที่สามารถมองเห็นได้ง่ายๆเพียงเพ่งตามอง ขณะที่ลู่หานคือเหวทะเลมาเรียนาที่ลึกล้ำดำมืดเสียจนยากที่ใครจะหยั่งถึงได้ด้วยตาเปล่า

     

             สองคนเจอกันครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยชื่อดังของเกาหลี...

             และเจอกันนับครั้งไม่ถ้วนร้านกาแฟย่านชินชอนแแห่งนี้

     

             เจอกันจนแทบจะทราบพิกัดรูขุมขนในตำแหน่งที่ใหญ่ที่สุดบนใบหน้าของแต่ละฝ่ายแล้วด้วยซ้ำ

     

             แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อะไรๆ

             เปลี่ยนไปเลย...

     

             “คริส ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบ!”

     

             คนที่ใช้นามสกุลลู่แล้วตามด้วยชื่อหานแผดเสียงลั่น เรียวคิ้วสวยผูกปมจนเผยให้เห็นริ้วรอยแห่งวัยที่ถูกปิดซ่อนไว้ในเวลาปกติที่ตีสีหน้าเรียบเฉยอย่างชัดเจน สาเหตุก็จากเพื่อนตัวโย่งซึ่งอาจจะพ่วงตำแหน่งเพื่อนที่ยังเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนในชีวิตนั้นเอาแต่นั่งจับจดอยู่กับโทรศัพท์ราคาแพงในมือโดยไม่สนใจฟังที่เจ้าตัวกำลังบ่นเรื่องเนื้อแป้งบราวนี่ในจานมันร่วนเกินไป

     

             “นายควรจะตอบโต้ฉันบ้างสิ ฉันพูดคนเดียวอย่างกับคนบ้า! ติดโทรศัพท์ขนาดนั้นก็เอาด้ายเย็บใส่มือไปเลยเถอะ ไอ้พวกทาสเทคโนโลยี!”

     

             “ก็มันติดพันอยู่...” อู๋อี้ฝานที่ฝังตัวอยู่กับอุปกรณ์สื่อสารในมือเงยหน้ามองคนที่เอาแต่บ่นเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนอาจุมม่าหม้ายแก่ด้วยความเหนื่อยหน่าย สายตาที่ติดจะรำคาญนิดๆถูกส่งให้เพื่อนรักที่ตนหลวมตัวคบหามาหลายปี

     

             “ติดพัน หรือติดแม่พันธุ์กันแน่ คราวนี้สาวโนตมเต้าเบิ้มที่ไหนอีกล่ะ” คนมีหน้าตาทรยศเพศที่แม่มอบให้เบะปากใส่เจ้าของนัยน์ตาค่อนขอดตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้

     

             นี่แหละ...อู๋อี้ฝาน     

           ลื่นพริ้วยิ่งกว่าปลาไหลไถลน้ำมัน

     

             “เต้าเบิ้มที่ไหนล่ะ ฉันกำลังคุยงานต่างหาก อยู่เงียบๆไปก่อนสิ”

     

             ลู่หานเบิกตาโพลงเพราะตื่นตกใจกับสิ่งที่ออกมาจากปากของเพื่อนซี้ต่างไซส์

     

             อู๋อี้ฝานสั่งให้เขาหุบปาก!!!!

             อู๋อี้ฝานสั่งให้เขาหุบปาก!!!!

             อู๋อี้ฝานสั่งให้เขาหุบปาก!!!!

     

             นั่นไม่น่าแปลกใจเท่า...

     

             อู๋อี้ฝานกำลังคุยเรื่องงาน!!!!!!!!!

     

             “คนเสเพลล่อกแล่กแบบนายน่ะเหรอหางานทำ?” ม่านกลมหรี่ลงอย่างจับผิด ในใจก็นึกหวังว่า’งาน’ที่คนตรงหน้าบอก จะไม่ใช่คำพูดบังหน้าเพื่อปันเวลาไปคุยกับสาวปริศนาทั้งหลายแหล่ในโปรแกรมแชทมากความลับที่เจ้าตัวหวงนักหวงหนา

     

             “เปล่าหา... ได้งานแล้ว”

     

             ถึงตรงนี้เจ้าของใบหน้าสะสวยกลับไปทำเช่นบรรทัดก่อนหน้าอีกครั้ง

             ‘ลู่หานเบิกตาโพลงเพราะตื่นตกใจกับสิ่งที่ออกมาจากปากของเพื่อนซี้ต่างไซส์’

     

             เพียงแต่คราวนี้ออกจะเล่นใหญ่กว่าเก่านิดหน่อยเสียจนน่าเกลียด

     

             “ได้งานแล้ว!? งานอะไร ตั้งแต่ตอนไหน ทำไมนายไม่คิดจะบอกฉัน!” คนพูดพยายามซุกซ่อนอาการน้อยอกน้อยใจเอาไว้แล้วกลบเกลื่อนด้วยมวลอารมณ์แห่งความไม่พอใจ

     

             “ก็นายเอาแต่บ่น ฉันจะหาช่องว่างตรงไหนล่ะ” อู๋อี้ฝานตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ กระนั้นเมื่อยิ่งทำเหมือนเป็นเรื่องปกติไม่มีอะไรพิเศษก็ยิ่งทำให้คนตัวเล็กที่นั่งชักสีหน้าบูดบึ้งอยู่ตรงข้ามรู้สึกแย่มากกว่าที่เป็นไปอีกระดับ

     

             ทว่าเหมือนอดีตนักบาสดาวรุ่งจะอ่านม่านตาคู่สวยที่พลุ่งพล่านไปด้วยความคิดมากมายนั้นออก เจ้าตัวจึงวางโทรศัพท์ในมือลงแล้วเริ่มตอบคำถามทีละข้ออย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อปลดเปลื้องความสงสัยให้คนที่กำลังพึมพำอยู่คนเดียวเหมือนหมีกินผึ้ง

     

             “ฉันได้งานเมื่อสองวันก่อนหน้า ตอนนั้นที่นายกำลังยุ่งๆอยู่กับเรื่องบริษัทลูกค้ารายใหม่ที่นายบ่นว่าขี้ตืดยังกับผีไร้ญาติได้อมเหรียญ” เจ้าของนัยน์คมแสร้งทำเสียงล้อเลียนเพื่อนหน้าหวานเมื่อสองวันก่อนในประโยคหลัง จากนั้นจึงกลับมาตอบคำถามให้จบด้วยโทนเสียงปกติดังเดิม “ส่วนเรื่องงาน... จะว่าเป็นชิ้นเป็นอันก็ไม่ใช่ พี่อึนจีเธอกำลังจะสร้างหนังเรื่องใหม่เลยติดต่อให้ฉันช่วยเขียนบทให้ พอดีกับที่ฉันกำลังหาอะไรทำแก้เบื่อก็เลยตกปากรับงานไป”

     

             พลันเมื่อเห็นแววกลมของคนที่กำลังเท้าคางฟังอย่างจดจ่อไร้ซึ่งประกายของความเศร้าสร้อยเช่นในตอนแรก อู๋อี้ฝานก็อดจะพรูลมหายใจออกมาเบาๆไม่ได้ จุดอ่อนแย่ๆของเขาคือไม่สามารถหักหาญทำร้ายจิตใจลู่หานได้ลงคอเลยสักครั้ง

     

             ต้องรักษาดวงตาใสๆคู่นั้นให้ร่าเริงอยู่เสมอ...

     

             “ถึงงานจะดูเพ้อฝัน งี่เง่าไปหน่อยก็เถอะ แต่นายดูเท่ชะมัดเวลาจริงจัง ฉันล่ะภูมิใจในตัวนายจริงๆ ลู่หานคนนี้ขอคารวะท่านอู๋อี้ฝานหนึ่งจอก”

     

             ไม่ว่าเปล่าชายหนุ่มตากวางยกมือทั้งสองข้างประคองแก้วกาแฟตรงหน้าขึ้นเพื่อใช้ต่างถ้วยชา เจ้าตัวโค้งศีรษะเล็กน้อยประหนึ่งอยู่ในฉากฝากตัวเป็นศิษย์-อาจารย์ตามภาพยนตร์กำลังภายในทั่วๆไป จากนั้นจึงยกเครื่องดื่มในมือซดพรวดเข้าปากไปทันที

     

             “ขมชิบ!” คนหน้าหวานสบถออกมาด้วยสีหน้าเหยเกปนหงุดหงิด ก่อนจะรับกระดาษทิชชู่จากมือหนามาทำความสะอาดคราบเลอะที่มุมปาก

     

             “แต่ตอนนี้ฉันกำลังติดปัญหาเรื่องความคิดไม่ตรงกันกับคนอื่นในทีมน่ะ“ อู๋อี้ฝานไหวไหล่เบาๆ “ทำไมต้องทำแต่อะไรแมสๆไร้รสนิยมเพื่อเอาใจตลาดแบบนั้น ฮิปสเตอร์อย่างฉันมันต้องหนังอินดี้สีฟุ้งๆสิถึงจะถูก”

     

             “อินดี้แล้วมันพอยาไส้มั้ยเล่า! ทุกวันนี้ใครเขาก็ต้องกินต้องใช้กันทั้งนั้น อึดอัดนักก็อดตายไปสิพ่อผู้สร้างอิสระ” ม่านหวานกลอกไปมาด้วยความอิดหนาระอาใจ ก้านนิ้วสวยยกขึ้นกรีดที่คอเป็นทางยาวเพื่อประกอบการสนทนา

     

             “ถึงงั้นก็เหอะ.. ฉันกำลังคิดว่า---“

     

             “หยุด! นี่ยังไม่เอาเรื่องเก่าๆมาเป็นบทเรียนอีกเหรอ ก็เพราะไอ้ความแหกคอกนอกกระแสของนายไม่ใช่รึไง ที่ทำให้ทุกวันนี้ฉันต้องเป็นคนควักกระเป๋าจ่ายค่ากาแฟเนี่ย เมื่อไหร่จะอยู่กับความเป็นจริงสักทีคริส ฉันเบื่อจะเห็นนายใช้ชีวิตเอื่อยๆแบบนี้แล้วนะ”

            

             ไม่ทันที่คนตัวสูงจะทำการจบประโยคของตนให้สมบูรณ์ เรียวปากสวยก็ขัดขึ้นด้วยเทศนาสิบสามกัณฑ์ตามวิสัยของเจ้าตัวเสียก่อน

     

             “ก็มัน....”

     

             “อย่ามาเถียงนะ!”

     

             “โอเค ไม่เถียง”

     

             “แล้วก็วานช่วยปิดเสียงข้อความเข้าจากฮาเร็มอีหนูของนายด้วยมันดังไม่หยุดจนขี้หูฉันลุกขึ้นมาเต้นโหยงๆแล้วเนี่ย”

     

             “โอเค ปิดเสียงข้อความ”

     

             เมื่อเห็นว่าพูดไปคนที่กำลังโวยวายก็ไม่ยอมรับฟัง อู๋อี้ฝานจึงยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายราวกับตนเป็นทหารในบัญชาของแม่ทัพตาใสที่ดูยังไงก็ไม่มีความน่าเกรงขามเลยแม้แต่นิด

     

             “ว่าแต่...ทำไมช่วงนี้นายไม่เห็นจะเล่าเรื่องชู้สาวคาวโลกีย์ให้ฉันฟังบ้างล่ะ จริงๆก็ไม่ได้อยากรู้หรอก... แต่เห็นว่าเงียบๆไปก็แค่นั้น”

     

             คนตัวเล็กสอดส่ายสายตาไปเรื่อยเปื่อยระหว่างที่พูด

     

             นาฬิกา ผ้าม่าน แจกัน

             หรือแม้แต่ถ้วยกาแฟ

                      

             ทุกสิ่งรอบข้างล้วนถูกนัยน์กลมคู่สวยพินิจพิจารณาทั้งหมด           

             จะมีก็แต่แววคมของคนตรงหน้าเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้น...

     

             “ปกติไม่ชอบให้พูดถึงเรื่องรักๆใคร่ๆแล้ววันนี้สมองกลับอะไรอีกล่ะ ฉันตามนายไม่ทันแล้วเนี่ย” อู๋อี้ฝานเอ่ย

     

             “ทำอย่างกับปกตินายเชื่อฉันงั้นแหละ คนอุตส่าห์เป็นห่วงกลัวจะอกหักช้ำในตายไม่มีที่ระบายแท้ๆ ดันมาแว้งกัดกันซะได้ ไอ้งูพิษ!”

     

             แม้ลู่หานจะไม่ชอบรับฟังเรื่องราวความรักน้ำเน่าชวนถ่ายท้องก็ตาม แต่เมื่อพบว่าคนที่ปกติมักจ้อไม่หยุดเกี่ยวกับผู้หญิงคนนู้นคนนี้ในบัญชีซึ่งยาวเป็นหางว่าวจนต้องปรามปากให้สงบอยู่เป็นประจำนั้นกลับเงียบหายไปจากเรื่องดังกล่าวถึงสองสามวัน ก็อดจะให้คนที่มีหน้าที่เพื่อนค้ำคออยู่เช่นเขาเป็นห่วงไม่ได้ จนต้องยอมแข็งขืนฝืนใจอุปโลกน์ตัวเองขึ้นเป็นศิราณี(หรือในกรณีนี้ก็ศิรานาย)จำเป็นอย่างเช่นตอนนี้

     

             “หายห่วงแน่นอน นายคงลืมไปแล้วสินะว่าฉันคือใคร ไหนลองมองหน้าฉันให้ชัดๆสิ หล่อเทพขนาดนี้ใครจะหักอกได้ลงคอ”

     

             อู๋อี้ฝานกล่าวด้วยความมั่นใจ มือหนาเอื้อมจับใบหน้าสวยหวานของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก่อนจะออกแรงบีบบังคับให้คนที่ขืนตัวไปมามองมายังตนตรงๆในที่สุด

     

             นี่แหละ...ลู่หาน

           ปากร้าย แต่ใจดี

     

             “เล่นบ้าอะไร! ถ้าฉันเป็นสิวขึ้นมานายได้ชดใช้ด้วยหนี้กาแฟทั้งชีวิตของนายแน่อู๋อี้ฝาน!” ลู่หานสะบัดมือที่กอบกุมใบหน้าของตนออก ปากบางขยับร้องโวยวายพร้อมกับชักสีหน้ารังเกียจเดียดฉันใส่

     

             “นายกลัวจะหวั่นไหวกับฉันเหรอ?” 



             กระนั้นคนตัวใหญ่กว่ากลับไม่ได้รู้สึกสำนึกอะไร ยังคงยั่วแหย่คนตัวเล็กกว่าต่อไปด้วยความสนุกสนาน

     

             “ทุเรศ!!!”

     

             “แก้มนายแดงแฮะ...”

     

             “แดงกับผีสิ!” ลู่หานถลึงตาใส่เพื่อนตัวสูงอย่างเอาเรื่อง ก่อนแววหวานที่โพลงโตจะค่อยๆหลุบต่ำลงเมื่อกล่าวประโยคถัดมา “ว่าแต่ที่พูดแบบนั้น...แสดงว่าตอนนี้นายคบใครเป็นตัวเป็นตนแล้วงั้นสิ ไม่เห็นจะ.. บอกฉันบ้างเลย นี่ฉันไม่สำคัญแล้วใช่มั้ย? ฉันไม่ใช่เพื่อนที่รู้ทุกเรื่องของนายแล้วสินะ?”

     

             น้ำเสียงที่จู่ๆก็สั่นเครือเพราะอารมณ์ที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้าภายในพริบตาเดียวของคนแซ่ลู่ทำเอาเจ้าของใบหน้าหล่อคมแทบจะยกมือขึ้นมากุมขมับ

     

             “นายมีความลับกับฉัน...”

     

             “ไม่ใช่! นายอย่าคิดไปเองสิ” หน่วยตาที่เริ่มรื้นริ้นด้วยของเหลวใสทำให้อู๋อี้ฝานต้องรีบออกตัวปฏิเสธข้อครหาในทันที

     

             “งั้นนายคบกับใครอยู่ เขาเป็นผู้หญิงที่ดีใช่มั้ย ฉันจะรู้ได้ไงว่าฉันจะฝากชีวิตเน่าๆไร้ค่าของนายไว้กับเขาได้อย่างมั่นคงโดยที่ไม่ต้องเป็นห่วงน่ะ แล้วนายจะออกมานั่งกินกาแฟเป็นเพื่อนฉันแบบนี้ต่อไปได้รึเปล่า แล้วถ้าไม่ล่ะ...”

     

             ลู่หานพรั่งพรูคำพูดที่อัดอั้นอยู่ในความคิดออกไป เมื่อเพื่อนสนิทจะเริ่มคบหาจริงจังกับใครสักคน เขาเองก็อยากให้คนที่พร้อมจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้กับผู้ชายอย่างเพื่อนของเขานั้นเป็นคนที่ดี อีกทั้งเจ้าตัวก็อยากจะมั่นใจว่าอู๋อี้ฝานจะยังคงปันเวลาในการออกมาคบค้าสมาคมกับตนต่อไปเหมือนเดิมด้วยเช่นเดียวกัน

     

             “ฉันคบอยู่กับ...” เสียงทุ้มเปรย

     

             “…??”

     

             “ซูยอน...” เมื่ออู๋อี้ฝานเอ่ยชื่อคนพิเศษออกมาลู่หานจึงพยักหน้ารับเล็กน้อย “จองอา ดาจอง ฮานึล อึลกี มีนัม นาบี จีน่า ซอนจิน อินฮยอง แล้วก็----”

     

             “ไอ้บ้ากามคริส! นี่แกนั่งไล่คอลเลกชั่นตุ๊กตายางให้ฉันฟังรึไง ทำไมมันเยอะยังงี้วะ!” มือบางฟาดลงที่ต้นแขนหนาตามแรงโทสะไม่ยั้ง จนคนถูกกระทำเบี่ยงตัวหลบพัลวัน

     

             นี่แหละ... อู๋อี้ฝาน

           กวนประสาทเช้าเย็นไม่หยุดหย่อน

     

             “โธ่… นายมันกวางอ่อนซื้อบื้อโลกบอดจะไปรู้อะไร” น้ำเสียงยียวนจนแทบจะทำให้ลู่หานลุกขึ้นมาถวายบาทาเอ่ย “สมัยนี้ความสัมพันธ์แบบ some กำลังสดใหม่ ฮิตฮอตเมนสตรีมมากๆ”

     

             “แล้วหมาที่ไหนมันเคยบอกฉันว่าอยากพบเรื่องรักชวนฝันไล่ขี่กันประดุจหนังอินตะระเดียกามๆกันนะ...”

     

             “หึ! ก็รักแท้มันหายากเหมือนงมถั่วงอกในแปลงกะหล่ำปลี ต่างกับรักเทียมชั่ววูบหวาบหวิวแบบนี้ไงล่ะ ฉันอยากพบอะไรที่ลงตัวเร็วๆจัง” อู๋อี้ฝานผ่อนลมหายใจเพียงบางเบา พร้อมกับยกกาแฟขึ้นดื่มแก้เก้อ “ว่าแต่นายเถอะ...จะไม่ลองมีอะไรแบบนี้ดูสักหน่อยเหรอ มันเร้าใจจนรู้สึกเหมือนได้กลับไปตอนสิบหกสิบเจ็ดเลยนะ”

     

             “แหวะ! สิบหกสิบเจ็ดที่นายยังเป็นไอ้ตัวเห่ยเงิงทะลุหน้านั่นนะ... ฉันขอผ่าน อย่าได้คิดยัดเหยียดความสัมพันธ์เน่าหนอนบ้าบอคอแตกอะไรนี่ให้ฉันเด็ดขาด”

     

              น้ำเสียงแน่วแน่ที่ออกมาจากใจของลู่หานทำให้อู๋อี้ฝานยักไหล่ขึ้นเบาๆด้วยความจนใจ

     

             นี่แหละ...ลู่หาน

           จะความสัมพันธ์เชิงนั้นรูปแบบไหนก็ปฏิเสธทั้งสิ้น...

     

             “เพราะนายเป็นจอมบ้างานทึนทึกน่ะสิ จะไปมีคนสนใจได้ยังไงกัน”

     

             “เหอะ! หล่อๆแบบฉันน่ะมีคนมาต่อแถวรอเป็นสิบๆ” ลู่หานเชิดหน้าขึ้นในตอนที่พูด

     

             “อ๋อ... ก็นายมันคนมีตำแหน่งนี่เนอะ ดีกรี—- อ๊ะ อ โอ้ยยยย! ฉันเจ็บนะ!“

     

             เป็นอีกครั้งที่อู๋อี้ฝานไม่สามารถจบประโยคของตนให้เสร็จเรียบร้อยได้เพราะฝีมือเจ้าของกายบางที่แรงไม่เบาตรงหน้าคนนี้คนเดิม

     

             “หุบปากสั่วๆไปเลยคริส! ในหัวนายมันจำแต่เรื่องไร้สาระงี่เง่า”

     

             “เพราะนายป่าเถื่อน ไร้ความโรแมนติกแบบนี้ไง เลยไม่มีใครชอบ” คนตัวใหญ่แต่ใจปลาซิวลูบแขนตัวเองป้อยๆขณะที่กำลังตัดพ้อ

     

             “แล้วที่ฉันอุตส่าห์ยอมนั่งฟังนายพล่ามเรื่องสถานะซัมบ้าซัมบออะไรเนี่ย ไม่โรแมนติคตรงไหนไม่ทราบ”

     

             “ตอนปีหนึ่งนายตรวจคำผิดในจดหมายสารภาพรักของคังจุนแล้วส่งกลับ” อู๋อี้ฝานเลียบพูดขึ้นนิ่งๆ “ตอนปีสองนายเอาขนมที่รุ่นพี่แทคยอนซื้อมาให้โยนให้หมาที่คณะกินได้อย่างหน้าตาเฉย ตอนปีสามนายแย่งช่อดอกกุหลาบที่ปาร์คชานยอลมอบให้แบคฮยอนมาขายโก่งกำไรที่ซุ้มวันวาเลนไทน์ได้อย่างเลือดเย็น ส่วนปีสี่---“

     

             ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้งที่ต้นแขนข้างเดิม อู๋อี้ฝานกัดฟันโอดโอยพร้อมกับส่งค้อนวงโตประท้วงคนที่ชอบใช้ความรุนแรง

     

             นี่แหละ...อู๋อี้ฝาน

           ใส่ใจกับทุกรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเสมอ

                 

             “อดีตก็คืออดีตไปสิ ฟื้นฝอยหาตะเข็บอยู่ได้” ลู่หานโวยก่อนจะหยิบโทรศัพท์เครื่องสวยขึ้นมาเพื่อเช็คอีเมลล์จากที่ทำงาน

     

             “นายเพิ่งจะบอกฉันไปหยกๆว่าไม่ให้ใช้โทรศัพท์ตอนที่อยู่กับเพื่อนนะลู่หาน” อู๋อี้ฝานท้วง

     

             “ก็นี่มันงาน แยกแยะบ้างได้มั้ยคริส” คนเฉไฉต่อว่าโดยไม่แม้แต่จะละสายตาจากหน้าจอเครื่องมือสื่อสารที่ตนเลื่อนไล้อยู่

     

             “ของฉันก็งานนะเว้ย!”

     

             “หุบปาก…” กลีบปากสวยเคลื่อนขู่เพื่อกำราบคนตรงหน้า ก่อนจะส่ายหน้าไปมาด้วยความไม่สบอารมณ์

     

             นี่แหละ...ลู่หาน
           
           ห้ามจนมุม!!!






           
    TBC.










    - - -

    talkie wakie ++




    อดทนกับพี่ลู่กันหน่อยนะ...
    มันต้องมีพัฒนาการไปเรื่อยๆเป็นธรรมดาของตัวละคร

    ยังไม่ได้กรองคำอะไรเลย แต่ถ้าเจอตรงไหนไม่ถูกใจก็คงจะแก้ไขเรื่อยๆไปตามสไตล์
    เป็นฟิคที่เขียนแล้วมันส์มาก และปวดหัวมาก 

    คือเรื่องนี้ตั้งใจจะเขียนแบบสลับช่วงเวลาไปมา
    เป็นปัจจุบันสลับกับตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเป็นตอนๆ (คาดว่าจะเป็นแบบนั้น)

    อย่าลืม comment และเข้าไปพูดคุยกันที่ #ficcruellu 


    ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งอย่างจ้า 


     



     

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×