คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [V] Per.1 เทพบุตรทั้ง4 [V]
ตอนที่1 เทพบุตรทั้ง4
อากาศอบอ้าวสัมผัสผิวยามเมื่อก้าวลงจากรถทำให้ชายหนุ่มหน้าสวยผู้มีผมสีบรอนซ์ถึงกับต้องย่นคิ้ว...เมืองไทยนี่...ร้อนกว่าที่เขาคิดไว้เยอะเลย...
แสงอาทิตย์ในฤดูร้อนแผดจ้าจนดวงตาคู่โตภายใต้แว่นกันแดดสีแดงหรี่ลง ร่างสูงโปร่งผอมเพรียวแบบที่ผู้หญิงยังต้องชิดซ้ายในชุดสูทขาวบิดตัวไล่ความเมื่อยขบ ก่อนที่จะพ่นลมออกมาทางริมฝีปากเพื่อไล่เส้นผมที่ปรกหน้าตาออกไปและใช้มือช่วยจัดให้มันเข้าที่เข้าทรง นี่แหละ‘คิมแฮอิล’ผู้ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองดูโทรมสักวินาที เขาต้องดูดีอยู่เสมอ!!!
“อะโหย! แดดที่นี่แรงจัง หมดกันผิวขาวๆของชั้นT_T”
เสียงบ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้งดังมาจากร่างสูงของผู้ก้าวจากรถลงตามมาเป็นคนที่สอง รูปร่างที่ดูสมส่วนกับแก้มกลมๆเหมือนปลาทองที่ไม่ได้ทำให้ดูอ้วนเลยสักนิดตรงข้ามมันกลับทำให้เขาดูน่ารักน่าหยิกสุดๆ ยิ่งบวกรวมกับหน้าใสๆ ดวงตาแป๋วแหว๋ว ผิวขาวเนียนละเอียดไม่ต่างอะไรกับกระดาษ ผมสีดำซอยรากไทร และที่สำคัญท่าทางซุกซน เดาะแด๊ะๆ อันมักจะทำให้ใครๆก็หลงใหลในความน่ารักของเขาเสมอ
“แค่นี้นายก็ขาวจนซีดจะเป็นศพอยู่แล้วนะมินซุก ดำขึ้นมานิดมาหน่อยจะเป็นไรไป”
ฝีปากคมกริบยิ่งกว่ากรรไกรโรงพยาบาลที่ดูไม่เข้ากับใบหน้าสวยๆของแฮอิลตวัดหันกลับมากัดคนบ่น ไม่ใช่อะไรหรอกนะเขาก็แค่หมั่นไส้เจ้ามนุษย์ที่ชอบทำตัวน่ารักนี่เท่านั้น หนอย...ตัวเองขาวที่สุดแล้วยังมาทำเป็นพูดดี เชอะ!
“โธ่...ฮยอง ก็ผมพูดจริงๆนี่นา”เจ้ามนุษย์สุดน่ารักหรือ‘ลีมินซุก’กระพริบตาปริบๆขณะที่เปิดกระเป๋าสะพายยี่ห้อดังค้นหาหมวกมาสวมใส่
“นายนี่...ทำเป็นผีดูดเลือดไปได้ โดนแดดแค่นี้ไม่ตายหรอกน่า”
เสียงที่ดังมาก่อนตัวของหนุ่มหล่อคนที่สามซึ่งกระโดดพุ่งลงจากรถ คว้าหมวกสีชมพูสุดโปรดที่มินซุกเพิ่งหยิบขึ้นมาไปโยนเล่นหน้าตาเฉย
“เอาคืนมานะซองอุน”คนกลัวแดดโวยวายหันไปพยามแย่งหมวกตัวเองจากเงื้อมมือของ ‘คิมซองอุน’ แต่ด้วยสัดส่วนความสูงที่เป็นต่อ อีกทั้งพละกำลังมหาศาลที่ซองอุนเพียงแค่เหวี่ยงแขน ตัวของมินซุกก็ปลิวกระเด็น เปรียบดั่งลูกเจี๊ยบตัวน้อยๆที่ไม่มีทางเอาชนะหมีขาวทรงพลังได้เลย
“ฮยองไม่ถอดเสื้อออกเหรอ ร้อนจะแย่อยู่แล้ว ฟู่~”ชายหนุ่มคนสุดท้ายที่มีผมฟูสีน้ำตาลช็อคโกแล็ตก้าวลงจากรถเดินเข้าไปยืนข้างแฮอิลพลางถอดสูทสีขาวตัวนอกออกจนเหลือแต่เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมสองเม็ดโชว์ผิวขาวและรูปร่างสมส่วนซึ่งการันตีด้วยมัดกล้ามบางๆที่โผล่พ้นเสื้ออกมา...แต่เขาว่าคนเราอย่ามองเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก บางครั้งตัวตนจริงๆก็เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน...
“ก็ร้อนน่ะสิถึงไม่ถอด เพราะว่าแสงแดดจะแผดเผาผิวอันบอบบางของฉัน...นี่ถามจริงเถอะจุนวอน...ที่นายถอดสูทออกมาเนี่ยเพราะร้อนหรือว่าเพราะอยากจะโชว์กันแน่ ห๊ะ!” แฮอิลตีหน้าหาเรื่อง กอดอกมองเพื่อนรุ่นน้องซึ่งหน้าจ๋อยเหลือสองนิ้วทันทีที่ได้ยินเขาพูด ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดสีน้ำตาลเข้มกระพริบปริบๆพร้อมกับริมฝีปากบู่ทู่ T.T คล้ายเด็กน้อยกำลังถูกผู้ใหญ่ดุ...นี่แหละ ‘แชจุนวอน’
ทั้งที่ใบหน้าอันหล่อเหลาคมคาย ควบรวมความสูงที่อยู่เหนือทุกคนในทีมมันน่าจะทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่และมีความเป็นผู้นำ...แต่ไม่ใช่เลย...ตัวตนที่แท้จริงของเขากลับขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงนิสัยจะดูเป็นเด็กแถมยังเชื่อฟังรุ่นพี่สุดชีวิตอีกต่างหาก และมันก็เดาได้ไม่ยากนักเมื่อจุนวอนโคจรมาพบกับแฮอิล หนึ่งฮยองตัวแสบที่ชอบแกล้งคนอื่นเป็นงานอดิเรก กับอีกหนึ่งน้องชายผู้ยอมศิโรราบ คงไม่ต้องถามหรอกนะว่ายกนี้ใครจะชนะ...สูทสีขาวที่พาดอยู่บนแขนถูกสวมกลับไปบนร่างของจุนวอนอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง...หนึ่ง สอง สาม...สามวินาที!!! ()_()
โฮ่ง! ขณะที่แฮอิลกำลังเพลิดเพลินกับการได้แกล้งคน เอ้ย! ให้คำแนะนำจุนวอนอยู่นั้นเอง เสียงบางอย่างก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน
“แถวนี้มีสุนัขด้วยเหรอ อ้าว! ฮยอง...”
จุนวอนพึมพำกับตัวเองก่อนจะเห็นคนข้างตัวก้าวผ่านสนามหญ้าตรงไปยังรั้วสีน้ำตาลซึ่งมีพันธ์ไม้เลื้อยขึ้นปกคลุม ด้วยท่าทางที่เหมือนกับจะค้นหาอะไรสักอย่าง?!
“แฮอิลนั่นจะไปไหนน่ะ รีบเข้าบ้านได้แล้ว! พวกนาย 3 คนก็ด้วย จะยืนตากแดดตรงนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน เรายังมีอะไรต้องทำอีกเยอะรู้ไว้ซะ”
เสียงตะโกนอันเข้มงวดของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีครีมที่ก้าวเท้าออกมาจากตัวบ้านได้ผลชะงัด แฮอิลเป่าปากด้วยความรำคาญใจแต่ก็ยอมหันหลังเดินกลับมาโดยไม่วายหันไปมองรั้วนั้นอีกครั้ง...มีอะไรบางอย่างที่สะกิดใจเขาอย่างบอกไม่ถูก...แต่ว่า...มันคืออะไรกันล่ะ?...
“จุ๊ๆ...ใจเย็นๆหน่อยซิครับมิรินน้อย พวกเราก็แค่อยากสำรวจบ้านนิดหน่อยเอง ดุมากๆเนี่ยระวังหน้าสวยๆจะย่นเป็นอาจุมม่าเอานะ”
“ซองอุน!!!”
เสียงล้อเลียนมาพร้อมกับรอยยิ้มใสซื่อที่ดูจะไม่เข้ากับใบหน้าของคนตัวโตอย่างซองอุน และแน่นอนที่สุดว่ารอยยิ้มหยีแบบนี้ก็ไม่สามารถทำให้ ‘ชินมิริน’หรือมิรินน้อยที่เขาเรียกคลายความโกรธลงได้ หญิงสาวเดินตรงมาที่บรรดาหนุ่มๆยืนอยู่แล้วก็...
พลั่ก! แฟ้มสีส้มในมือกระทบเข้าที่ศรีษะของซองอุนเต็มๆ
“วันนี้อาหารเย็นของนาย...งด!”
“ว่าไงนะ!!! เฮ้ๆ...แบบนี้ไม่แฟร์เลยนี่ เดี๋ยวก่อนสิมิริน...มิริ๊นนนนน” ซองอุนส่งเสียงค้านได้อย่างน่าสงสาร(หรือน่ารำคาญกันแน่?) แต่เจ้าของคำสั่งก็ไม่ยอมสนใจเดินหนีไปทิ้งให้พี่หมีขาวตัวใหญ่ต้องมองตามตาละห้อยพร้อมกับความฝันที่แตกสลาย...ข้าวจ๋า...หนู(หมู)ลาก่อนT0T...
“โอ๊ะโอ๋ๆๆ เสียใจด้วยนะซองอุน เฮ้อ~ แต่ไม่น่าไปเล่นแบบนั้นกับมิรินเลยนี่นา ก็รู้ๆกันอยู่เนอะว่าเขาเป็นใคร” มินซุกตีหน้าสลดเดินมาตบไหล่เพื่อนเพื่อเป็นการปลอบใจ
“นั่นสิ...ไปล้ออย่างนั้น เค้าไม่มีทางปล่อยนายไว้หรอก เชื่อได้เลย”จุนวอนตีหน้าเห็นใจเดินเข้ามาโอบคอ สมทบขบวนการซ้ำเติม เอ้ยไม่ใช่! ปลอบใจซองอุนเป็นรายที่2 น้ำใจจากเพื่อนๆทำให้ชายหนุ่มผู้โชคร้ายซึ่งไม่มีข้าวเย็นกินวันนี้เหลือบตามองบุคคลที่ขนาบข้างซ้ายขวา ด้วยดวงตาเป็นประกาย...
เอ่อ...ประกายพิฆาตน่ะ! - -+
“มินซุก...จุนวอน... ขอบคุณสำหรับคำปลอบใจของพวกนาย ฉันมีรางวัลจะตอบแทนให้สาสมเลยล่ะ ย้ากกกก!!” สิ้นคำจอมพลังอย่างซองอุนก็ล็อกคอคนทั้งสองเหวี่ยงไปบนพื้นสนามหญ้า...ส่วนสภาพหลังจากนั้นคงไม่ต้อถามหรอกนะว่ามันจะวุ่นวายสักขนาดไหน...เอาเป็นว่าไม่ต่างจากสวนลิงป่าเลยก็แล้วกัน...
เสียงเพลงป๊อบหวานซึ้งลอยแผ่วเบาคลอกับบรรยากาศ ขณะเดินผ่านบรรดาร้านค้ามากมายในดงวัยรุ่นสุดฮิตแห่งนี้ สยาม...
แน่ล่ะมันเป็นแหล่งประจำที่บรรดาวัยรุ่นบ้านเราเอาไว้ลากขาเดินเที่ยวเล่น จะช็อปปิ้ง กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ถ่ายรูป ร้องคาราโอเกะ แบบไหนก็เลือกได้ทั้งนั้นครบสูตร
“เฮ้ย!! วาเพลงนี้ๆ”จู่ๆเสียงแหลมเล็กของหญิงสาวเจ้าของผิวสองสีผู้มีผมซอยสั้นก็ดังขึ้น เธอยื้อยุดจับแขนเพื่อนที่เดินด้วยกันเขย่าไปมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะเอามือกุมหัวใจทำหน้าเคลิ้มฝันเหมือนคนจะลอยได้...เอิ่ม...ลอยไปเข้าศรีธัญญาน่ะนะ
“โอ๊ย! เป็นอะไรของแกฮะไหม ทำท่าเหมือนแมวอยากผสมพันธ์เดี๊ยะเลยรู้ตัวป่ะเนี่ย”เสียงของผู้ที่ถูกเรียกดูจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ที่โดนเพื่อนรักเขย่าซะจนเธอหัวสั่นหัวคลอนไปหมด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มวาววับขึ้นมาอย่างดุๆ เสริมให้ดวงที่ดูกลมโตอยู่แล้วดูโตมากยิ่งขึ้นไปอีก ผมยาวสไลด์สีดำขลับถูกรวบสูงเปิดเผยใบหน้าขาวใสรูปไข่ จมูกโด่งกับริมฝีปากสวย เรียกว่าถึงจะไม่ได้สวยเลิศเลอเพอร์เฟคแต่ทั้งหมดนี้ก็ทำให้หญิงสาวจัดเป็นคนเข้าขั้นดูดีทีเดียวล่ะ
“บ้ายัยวา! ฉันกำลังชื่นชมกับบทเพลงอันแสนไพเราะอยู่ไม่รู้รึไง”ไหมหันมาแยกเขี้ยว ก่อนจะพูดด้วยอาการชวนฝัน
“เพลง!?” คนถูกว่าบ้าทำหน้างงเล็กน้อยก่อนจะตั้งใจฟังเสียงเพลงที่ดีเจในสยามเปิดอีกครั้ง
“อ้อเพลงเกาหลี ก็โอเคนะ เพราะดี แต่ไม่เห็นแกจะต้องทำท่าโอเวอร์แอคติ้งกรี๊ดวี๊ดว้ายขนาดนี้เลยนี่นา”
วาโยยักไหล่อย่างเบื่อๆ ถึงแม้เธอจะเรียนภาษาเกาหลีแต่เรื่องราวเกี่ยวกับความบันเทิง ทั้งหนัง เพลง และสิ่งต่างๆที่กำลังฮิตติดกระแสโคเรียฟีเวอร์ กลับไม่อยู่ในสารระบบของวาเลยสักนิด พูดง่ายๆก็คือเธอแทบไม่เคยสนใจมันด้วยซ้ำ!
“ถ้าเป็นเพลงธรรมาดาก็ดีสิ แต่นี่ๆๆๆ...”ไหมย้ำเสียงพร้อมกับบิดมือหมุนตัวไปมาด้วยความตื่นเต้น ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นที่กลางชุมชนเชื่อได้เลยว่าเธอคงจะบิดจนลงไปนอนกองกับพื้นแน่นอน
“แล้วนี่เป็นเพลงจากมนุษย์ต่างดาวหรือไง มันถึงไม่ธรรมดาน่ะฮะ”
“โธ่ยัยวาอย่าเพิ่งขัดคอฉันได้ไหม เพลงนี้เป็นเพลงที่ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ต M channel ของเกาหลีเชียวนะ เพลงU are my miracleของวงSilver Knight แกไม่รู้เหรอ”
“เหอะ ไม่รู้หรอก ฉันไม่สนใจ”วาโยสั่นหน้าพลางเดินหนีเข้าไปภายในร้านหนังสือ
“ห๊า! พูดเป็นเล่น วงนี้น่ะเป็นศิลปินวัยรุ่นในเกาหลีที่กำลังมาแรงสุดๆในรอบปีเชียวนะ ให้ตายสิ! แกเรียนภาษาเกาหลีแต่กลับไม่รู้เรื่องราวอัพเดทอะไรเกี่ยวกับบ้านเมืองเขาเลย เหลือเชื่อชะมัด!@!”สีหน้าและท่าทางของไหมทำให้วาถอนหายใจ แน่ล่ะเหตุผลที่เธอเรียนภาษาเกาหลีไม่ใช่เพราะชอบหนัง เพลง หรืออะไรอื่นๆเหมือนคนทั่วไปหรอก ซึ่งวาก็เรียนภาษาเกาหลีมาตั้งแต่สองปีก่อนหน้าที่จะมีกระแสโคเรียฟีเวอร์ไปทั่วบ้านทั่วเมืองอย่างตอนนี้ซะด้วยซ้ำไป
“จุดประสงค์ที่ฉันเรียนก็เพื่อให้ใช้ภาษาเกาหลีได้อย่างที่แม่ต้องการ เพราะฉะนั้นแค่รู้ภาษาเขาก็พอแล้วนี่นา ไม่เห็นจะต้องไปรับรู้ไปสนใจเรื่องพวกนั้นตรงไหน”คำแย้งของวาคงจะเข้าหูเพื่อนเธออยู่บ้างถ้าไม่ใช่ว่าตรงที่ทั้งสองยืนเป็นที่วางของนิตยสารบันเทิง และ...
“ว๊าย! วานี่ไงๆวงนี้แหละสุดหล่อลากกระชากใจฉัน”ไหมไม่สนคำบ่นของวา เธอผวาเข้าหาเข้าหานิตยสารบันเทิงเอเชียชื่อดังของเมืองไทย พร้อมทั้งเปิดหน้าที่มีรูปวงในดวงใจของเธอยกขึ้นมากอดด้วยความตื่นเต้นและหันมายื่นให้เพื่อนของเธอดู แต่หญิงสาวกลับไม่สนใจโบกมือขอตัวเดินหนีออกจากร้านทันทีด้วยความเซ็งสุดขีด ทว่าคนที่ประกาศตัวเป็นแฟนคลับศิลปินเกาหลียังคงไม่ละความพยายาม วิ่งตามมาเกลี้ยกล่อม
“นี่ๆเดี๋ยวก่อนสิวา ไหนๆแกก็เรียนภาษาเกาหลี รู้จักเพลง รู้จักศิลปินเขาไว้หน่อยก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลยนี่นา ฉันจะเป็นติวเตอร์ให้ก็ได้ นี่เผลอๆนะ ถ้าแกได้ฟังเพลง ได้รู้เรื่องราวของพวกเขา แกอาจจะหลงรักวงนี้ขึ้นมาก็ได้”
“ไหม...”
“ที่บ้านฉันนะมีทั้งอัลบั้ม ทั้งซิงเกิ้ล แล้วยังมีพวกนิตยสารกับพวกข่าวทั้งไทยทั้งเกาหลี ไว้วันหลังฉันจะเอามาให้ แกจะได้ใช้ภาษาเกาหลีที่เรียนมา ช่วยฉันแปลไงล่ะ...”
“ยัยหนอนไหม!!”
“แหะๆ ถ้าไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไรเนอะ ไว้ฉันไปแนะนำคนอื่นๆก็ได้”หนอนไหมที่พล่ามไม่หยุดพอสบสายตาโหดๆของเพื่อนแล้ว เธอก็คิดขึ้นมาได้ว่าระหว่างการแนะนำศิลปินกับสองบาทาของวาโย อันหลังเนี่ยน่าจะมีอิทธิพลมากกว่า...
“เฮ้อ~ ช่างเถอะ วันนี้ฉันไม่เดินต่อแล้วนะ กลับเลยดีกว่าพี่แนนยิ่งชอบบ่นอยู่ด้วยว่าให้กลับเร็วๆ”พอเห็นใบหน้าเจี๋ยมเจี้ยมของไหมแล้ววาก็ถอนหายใจ อ้าปากว่าเพื่อนรักของตนไม่ลง
“ก็ได้ ไว้ฉันจะโทรไปละกัน บ๊าย บาย กลับบ้านดีๆนะ”ไหมฟ้าที่ตอนนี้กลายร่างเป็นหนอนไหมคอย่นหน้าเหลือสองนิ้วไม่กล้ากล่าวท้วงติงใดๆ เอ่ยลาเพื่อนอย่างสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัว
หลังจากร่ำลาวาโยก็แยกไปขึ้นรถไฟฟ้า สายตาของเธอเหม่อลอยทอดมองผ่านวิวทิวทัศน์ของตึกที่เรียงรายสองข้างทาง คำพูดของเพื่อนรักวนเข้ามาในหัวอีกครั้ง
...ไหนๆแกก็เรียนภาษาเกาหลี รู้จักเพลง รู้จักศิลปินเขาไว้หน่อยก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลยนี่นา ฉันจะเป็นติวเตอร์ให้ก็ได้ นี่เผลอๆนะ ถ้าแกได้ฟังเพลง ได้รู้เรื่องราวของพวกเขา แกอาจจะหลงรักพวกเขาขึ้นมาก็ได้...
“หลงรักกะผีน่ะสิ!!! ยัยไหมเอ๊ยท่าทางจะอาการหนักมากนะเนี่ย เฮ้อ~ ...เราก็ดันบ้าจี้ไปให้เค้าชักจูงอยู่ได้ โอ๊ย!! คิดแล้วมันโมโหไม่หาย”หญิงสาวขี้หงุดหงิดบ่นโวยวายอยู่คนเดียวจนผู้คนรอบข้างเหลือบตามอง เปล่าๆ...พวกเขาไม่ได้มองความสวยอันแสนจะเพริศพริ้ง(ตรงไหน?)ของเธอหรอกนะ แต่พวกเขามองเผื่อว่าจะได้วิ่งหนีทัน ถ้าเกิดอยู่ดีๆผู้หญิงคนนี้ลงไปชักกระตุกกับพื้นรถไฟฟ้าต่างหาก ก็...คนสติดีที่ไหนจะมานั่งพูดคนเดียวล่ะจริงไหม?
หลังจากที่ฝ่ามรสุมคลื่นสายตาประหลาดๆจากผู้โดยสารคนอื่นๆโดยที่เจ้าตัวไม่เคยรับรู้สักนิดแล้ว ร่างของวาโยก็กระก็กระโดดร่าเริงเข้ามาในร้านค็อฟฟี่ช็อป
“พี่แนน เจ้าหญิงวาโยสุดสวยกลับมาแล้ว วู้วๆ!”
ปรกติเวลานี้เป็นเวลาทำงานของบริษัทต่างๆ ที่ร้านจึงมีลูกค้าไม่มากนักหรือบางครั้งก็ปราศจากคน ทำให้วาที่มองผ่านกระจกใสของร้านแล้วไม่เห็นใครนั่งอยู่ กล้าที่จะเดินเข้าทางด้านประตูหน้าและตะโกนเล่นเสียงดัง แต่ดูเหมือนครั้งนี้การคาดคะเนของเธอจะพลาดไปถนัด...
ที่โต๊ะมุมริมในสุดซึ่งอยู่ติดกับกระจกเงาลายวิคตอเรียที่แม่เธอเป็นคนซื้อมาตกแต่ง หัวสีบรอนซ์ของใครบางคนกำลังเด่นเป็นสง่า นี่ยังไม่นับรวมเสื้อสีส้มแปร๊ดกับกางเกงสีขาวที่ดูสะดุดสายตาเธออย่างที่สุด และอย่างสุดท้ายที่ทำให้วาโยอึ้งจนอ้าปากค้าง ก็เพราะว่าผู้ชายคนนี้...
คือคนเดียวกับที่เธอเห็นเมื่อวันก่อนที่บ้านของคุณยาย
คือคนเดียวกับที่ทำหน้าสงสัยตอนเจ้าเยลลี่เห่าเสียงดัง
คือคนเดียวกับที่ทำให้เธอต้องรีบวิ่งหนีหน้าตั้งเพราะเกือบถูกจับได้ว่าไปแอบดู
เขา...คือหนึ่งในเทพบุตรสุดหล่อ 4 คนนั่น!!!
ความคิดเห็น