คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [V] บทนำ(หัวใจ) [V]
บทนำ
สวัสดีทุกคน ฉันชื่อวาโย...สงสัยจริงๆเลยว่าจะมีเด็กอายุ18ปีคนไหนมีชีวิตวุ่นวายได้แบบฉันบ้าง
ทำไมน่ะเหรอ?
..............
.............
‘ใครก็ได้ช่วยแจ้งตำรวจที ว่าที่นี่มีการใช้แรงงานทารุณกรรมเด็ก!’ นี่เป็นความคิดที่กู่ก้องร้องในใจ เมื่อฉันต้องกลายเป็นคนรับผิดชอบดูแลตั้งแต่บ้านยันร้านค็อฟฟี่ช็อป! ส่วนแม่อ่ะนะ เฮ้อ! อย่าถามเล้ย คุณนายแอบหนีไปเที่ยวเมืองนอกอย่างแสนสบายอกสบายใจ ทิ้งให้ฉันกลายเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์อยู่คนเดียว แม่นะแม่ ถึงฉันจะปิดเทอมก็เถอะแต่ฉันก็อยากมีเวลาว่างเที่ยวเล่นเหมือนกันนะ...ฮือT^T
“สวัสดีค่ะ จะรับอะไรดีคะ”เสียงกระดิ่งประตูที่หน้าร้านดังขึ้น และก็เป็นหน้าที่ของฉันที่จะหันไปฉีกยิ้มบริการลูกค้าอย่างดีที่สุด มีผู้ชายตัวสูงสี่คนเดินเข้ามาในร้าน คนแรกที่คุยโทรศัพท์มือถือใส่เสื้อโปโลสีขาวเดินนำมาน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่อีตา3คนด้านหลังนี่สิ...ใส่สูทซาฟารีซะเนี้ยบกริบ แถมสวมแว่นกันแดดสีดำท่าทางอย่างกับหลุดมาจากในหนัง ‘ข้าเป็นยากูซ่า’ ประมาณนั้นเลยง่ะ น่ากลัวชะมัด เฮ้ย!ๆ เดี๋ยวก่อน...นี่หวังว่าพวกเขาคงไม่ได้มาเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากร้านฉันหรอกใช่ไหม...แง๊
“อะไรนะ! ต้องซื้อไปให้ด้วย...นี่เจ้าพวกนั้นเห็นผมเป็นคนใช้หรือไง!!”คนที่ใส่เสื้อโปโลสีขาววางมือบนเคาน์เตอร์ พร้อมกับพูดคุยโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษด้วยเสียงดังแบบได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน แต่เอ๋? หมอนี่เป็นคนต่างชาติงั้นเหรอ...แปลกแฮะ ถึงร้านนี้จะอยู่ย่านใจกลางเมือง แต่ก็อยู่ในซอยที่เงียบสงบไม่ค่อยมีลูกค้าชาวต่างชาตินี่นา ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกลูกค้าขาประจำหรือพนักงานบริษัทที่อยู่ใกล้ๆแถวนี้เท่านั้นเอง...แล้วตาลุงนี่หลุดมาจากดาวไหนล่ะเนี่ย?
“ก็ได้ๆ ตกลงผมจะซื้อไปให้”เขาจำใจรับอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์“ฝากคุณดูแลด้วยแล้วกัน ถึงจะมีแค่4คนแต่ก็ซนยิ่งกว่าลิงขยันสร้างเรื่องปวดหัวกันน่าดู”เขาย้ำอีกครั้งแล้วก็วางโทรศัพท์หันมาหาฉันที่รอค้างเติ่งเป็นปลาตากแห้งอยู่นาน
แหม...กว่าจะหันมาสนใจ ปล่อยให้ยืนรอจนรากงอกเชียวนะเดี๋ยวก็ให้ชิมโอยั๊วะแทนกาแฟซะหรอก ชิ! แต่...เอ่อ...คิดอีกทีพอสบตาพี่บึ้กสามคนด้านหลังนั่นแล้ว...เอื๊อก! ให้ยืนฉีกยิ้มรอไปอีกสามวันวาโยคนนี้ก็ทำได้ แหะๆ^_^;
“คาปูชิโน 4 แก้ว แล้วก็ของผมเอาเป็น...แอ็กเพรสโซ่แก้วนึงแล้วกัน”เขาสั่งเป็นภาษาอังกฤษพลางกวาดตามองขนมเค้กที่อยู่ในตู้โชว์ด้านหน้า
“แล้วก็ขอสตอเบอรี่ชีสเค้กนี่ใส่กล่องให้ด้วย”
“จะรับกี่ชิ้นดีคะ”ฉันถามออกไป ตาลุงนั่นเม้มปากเงียบไปนิดนึงแล้วคำตอบของเขาก็ทำให้ฉันช็อก...
“ทั้งหมดเลย!” วะ...ว่าไงนะ! หมดนี่เลยเหรอ เฮ้ๆ! ฉันฟังผิดหรือเปล่าเนี่ย ถ้าคนสั่งเป็นเด็กผู้หญิงวัยรุ่นจะไม่แปลกใจเท่านี้เลยนะ แต่นี่เป็นผู้ชายอายุราว30ปลายๆแถมมีหมีควายร่างบึ้กตามมาอีกตั้ง3คน หมอนี่เป็นโรคสตอเบอรี่ลิซึ่มรึไง หรือว่า...จะเป็นพวกแอบ(เกย์)
“อะแฮ่ม!...”ดูเหมือนว่าสีหน้าและแววตามันจะฟ้องความคิดฉันออกไป ตาลุงนั่นก็เลยกระแอมไอเป็นการเตือนพร้อมกับขยับคอเสื้อตัวเองอย่างอึดอัด
“พวกกระเพาะมารนั่นทำฉันเดือดร้อนอีกแล้วไหมล่ะ เจ้าตัวแสบชอบอะไรไม่ชอบดันชอบสตอเบอร์รี่”เขาบนงึมงำอะไรบางอย่างซึ่งฉันก็ได้ยินไม่ถนัดนัก เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตายกสตอเบอร์รี่ชีสเค้กออกมาจัดใส่กล่องโดยที่พยามกลั้นหัวเราะไว้สุดชีวิต ฮ่าๆๆ นี่ถ้าไปเล่าให้ใครฟังจะมีคนเชื่อไหมเนี่ยว่าตาลุงท่าทางเหมือนอาเสี่ยพร้อมบอดี้การ์ดอีกสามคนมาเหมาสตอเบอรรี่ชีสเค้กที่ร้านเอาไปจนเกลี้ยง
“วาวันนี้มีเรียนภาษาเกาหลีไม่ใช่หรอ นี่บ่ายโมงแล้วเดี๋ยวจะสายไม่รู้นะ”
หลั่นล้า~เสียงระฆังของฉันมาพอดี...พี่แนนเอ่ยเตือนหลังจากนำบราวนี่กับคาปูชิโน่ไปเสิร์ฟลูกค้าที่โต๊ะชั้น2เสร็จ ที่จริงพี่แนนเป็นญาติห่างๆของเราแต่ว่าพ่อกับแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต คุณยายของฉันก็เลยรับเธอมาเลี้ยงจนเหมือนคนในครอบครัว กระทั่งท่านเสียไปเมื่อปีก่อนพี่แนนก็ย้ายมาอยู่กับแม่ ช่วยดูแลร้านคอฟฟี่ช็อปนี้แทน
“อ๊ะ จริงด้วย! ขอบคุณนะพี่แนน”หางตาฉันเหลือบไปมองนาฬิกาก่อนจะรีบผละจากกล่องเค้กเปลี่ยนให้พนักงานในร้านเข้ามาทำต่อ
“งั้นพี่จัดการนี่แทนวาทีนะ วาไปก่อนล่ะ”ฉันหยิบออเดอร์ของตาลุงสตอเบอร์รี่ส่งให้พี่แนนจากนั้นก็ถอดชุดผ้ากันเปื้อนสีเหลืองที่มีโลโก้รูปช้างชูแก้วกาแฟออก
เรื่องสัญลักษณ์ช้างนี่แม่ฉันเป็นคนเลือกเองแหละ แม่บอกว่ามันดูไทยๆดี แต่บางครั้งฉันก็ว่ามันทำให้คนเปลี่ยนชื่อร้านเราเอาได้...ร้านกาแฟยายช้าง นี่ๆกำลังคิดกันอยู่ล่ะสิว่ายายช้างหมายถึงใคร...อ้าฮ้า! แน่นอนก็ต้องหมายถึงแม่ฉันน่ะสิ ไม่มีทางใช่คนที่ออกจะสาวและสวยแถมหุ่นสแลนเดอร์อย่างฉันเด็ดขาด!!-0-
“แล้วรีบกลับมาเร็วๆนะวา อย่าไปเที่ยวเล่นที่ไหนล่ะ”ฉันได้ยินเสียงพี่แนนตะโกนทิ้งท้ายก่อนที่จะหยิบกระเป๋าและหนังสือเรียนวิ่งออกไปทางประตูด้านหลังร้าน หุหุ วาไม่ไปเที่ยวเล่นหรอกพี่แนน...ก็แค่...แวะพักแถวๆสยามก็เท่านั้นเอง...
โฮ่ง ๆ! เสียงคุ้นหูดังขึ้นขณะฉันกำลังฮัมเพลงเปิดประตูออกมาที่ถนน ไม่ต้องเดาให้ยากเล้ย...เพราะมีคน ไม่ใช่สิ! ตัวเดียวที่กล้าทำแบบนี้
“เยลลี่!”
ร่างปุกปุยสีดำของเจ้าลูกสุนัขพันธ์ฮัสกี้ไซบีเรียนที่พี่แนนเลี้ยงเอาไว้ วิ่งลอดขาฉันออกมาข้างนอก ถึงแม้ฉันจะพยามคว้าตัวมัน แต่ก็แตะโดนเพียงแค่ปลายหาง เจ้าเยลลี่ตัวแสบหลุดมือไปได้แถมวิ่งแล้วหันมาเอียงคอกระโดดโชว์เหมือนจะเยาะเย้ยกันอีก
“ซ่าส์นักนะเรา เข้าบ้านไปเดี๋ยวนี้เลย!”เยลลี่สะบัดหางสีดำของมันไปมาไม่สนใจคำขู่ฉัน จริงๆแล้วบางครั้งฉันก็สับสนเหมือนกันว่าเยลลี่เนี่ยมันเป็นพันธ์ผสมหรือเปล่า ไม่ใช่พันธ์ผสมระหว่างฮัสกี้ไซบีเรียนกับอะไรหรอกนะ แต่เป็นพันธ์ผสมระหว่างสุนัขกับลิงต่างหากล่ะ แน่ะ!...พูดไม่ทันขาดคำเจ้าเยลลี่ก็วิ่งไปโน่น เดือดร้อนฉันต้องวิ่งไปตามจับกลับมาอีกใช่ไหมเนี่ย...ฮึ่ม! จับตัวได้เมื่อไหร่ น่าดู!
“เยลลี่! กลับมานี่นะเยลลี่ เย...”เสียงของฉันขาดหายไปในคอเมื่อเห็นได้ชัดว่าเยลลี่วิ่งมาที่ไหน บ้านสไตล์ไทยโมเดิร์นสีขาวสะอาดตา สวนร่มรื่น กับรั้วสีส้มอิฐที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี...บ้านของคุณยาย
นี่ฉันไม่ได้แวะมาที่นี่นานขนาดไหนแล้วนะ...อันที่จริงก่อนที่คุณยายจะเสียฉันชอบมาอยู่เล่นที่บ้านหลังนี้แทบทุกวัน เพราะว่าห่างจากบ้านของแม่ที่เป็นร้านคอฟฟี่ช็อปไม่มากนัก แต่พอคุณยายท่านเสียไปเมื่อปีก่อน ด้วยความที่แม่ไม่อยากขายบ้านแต่ก็ไม่อยากปล่อยทิ้งไว้เฉยๆให้ทรุดโทรม เลยตัดสินใจเปิดเช่าสำหรับชาวต่างชาติที่ชอบบ้านสไตล์ไทยซึ่งผู้เช่าคนก่อนก็เป็นวิศวกรชาวอังกฤษที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย แต่หลังจากที่เขาต้องกลับประเทศไปเมื่อสองเดือนที่แล้วก็ไม่มีใครมาเช่าต่อ...
...เดี๋ยวก่อน!? ไม่มีใครมาเช่าต่องั้นเหรอ 0-0? ถ้าอย่างนั้น...ไอ้รถพวกนี้มันมาจากไหนกันล่ะเนี่ย?!?
ฉันจ้องมองมองผ่านประตูรั้วที่เปิดกว้างเข้าไปเห็นรถตู้สองคันจอดอยู่พร้อมกับคนนับ10 ที่กำลังขนกล่องสีเงิน ลังสีดำใบใหญ่ รวมถึงข้าวของหน้าตาแปลกๆ อีกนับไม่ถ้วนเดินเข้าออกตัวบ้านด้วยความประหลาดใจ...ผู้เช่ารายใหม่สินะ แม่คงจะให้ใครเช่าต่อสักคนนั่นแหละ... แต่ที่สะดุดใจฉันก็คงเป็นท่าทางแปลกๆของพวกเขา ที่เหมือนกำลังทำงานสำคัญกันอยู่และก็ดูจะทั้งเร่งรีบทั้งระมัดระวังกันมากซะด้วย ทั้งหมดนี้กระตุ้นต่อมอยากรู้ของฉันขึ้นมาฉับพลัน
หงับ! ดูเหมือนเจ้าเยลลี่จะไม่ชอบที่ฉันให้ความสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าตัวมัน จึงได้ใช้เขี้ยวเล็กๆงับเข้าที่ขากางเกง คราวนี้ถือว่าเจ้าเยลลี่พลาดไปถนัดเพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ฉันรีบก้มลงไปรวบตัวมันขึ้นมาอุ้มไว้ ก่อนจะมองหาช่องทางที่สามารถซ่อนตัวและแอบสังเกตการณ์สิ่งต่างๆภายในบ้านได้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยสำหรับฉันที่เคยวิ่งเล่นปีนเข้ามุดออกรั้วบ้านนี้มาตั้งแต่เด็กๆ
ของแค่เนี๊ยะวาโยสามารถอยู่แล้ว...
ด้วยความชาญฉลาดแบบเฉพาะตัวทำให้ตอนนี้ฉันเข้ามาอยู่ในมุมซึ่งใกล้กับตัวบ้านแถมเป็นจุดที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน มีผู้ชายหน้าตาโหดๆสวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีน้ำเงินดูจะเป็นคนควบคุมยืนอยู่ เขาใช้วิทยุสื่อสารในมือตอบโต้กับอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่แล้วก็หันไปพูดกับคนข้างๆ
“พวกเขามากันแล้ว เตรียมตัวได้!”
พวกเขา?! พวกเขางั้นเหรอ? ...ใครกันคือพวกเขา? ราวกับจะให้คำตอบ เพียงไม่นานรถตู้โฟ้กสวาเก้นสีดำติดฟิมล์ทึบก็เลี้ยวเข้ามาจอดในรั้วบ้าน และเมื่อนายแจ๊กเก็ตน้ำเงินคนนั้นเดินเข้าไปเปิดประตูรถ...ฉันคิดว่าตัวเองแทบจะหยุดหายใจไปทันที
ผะ...ผู้...ผู้ชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีขาวค่อยๆก้าวลงมาจากรถจนครบ4คน ดูดีราวกับเจ้าชายที่หลุดออกมาจากเทพนิยาย แต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของทั้ง4กลับถูกบดบังด้วยแว่นกันแดด ทำให้ฉันให้คะแนนความหล่อของพวกเขาได้ไม่เต็มที่ แต่เอาเหอะ...แค่นี้ก็...
ให้สิบเต็มสิบไปเลยละกัน!!! โฮะๆๆ^0^
“โฮ่ง!”ขณะที่ฉันกำลังมองเคลิ้มๆ เอ้ย! กำลังมองด้วยความอยากรู้ เจ้าเยลลี่ก็ดิ้นและเห่าส่งเสียงออกมา(เรียกร้องความสนใจอีกสิท่าเจ้าตัวยุ่ง) ฉันรีบเอามือตะครุบปากเยลลี่เพราะกลัวใครจะได้ยิน แต่มันคงช้าไปแล้วเพราะเสียงเห่าเมื่อครู่ทำให้พวกคนที่อยู่ในบ้านมองมาทางนี้กันยกใหญ่ และยิ่งโดยเฉพาะนายผมบรอนซ์ที่ใส่แว่นกันแดดสีแดงหนึ่งในผู้ชายสุดหล่อ4คนนั่น ดูจะขี้สงสัยเอามากๆ หันมามองเฉยๆไม่พอกำลังเดินตรงมาทางนี้ด้วย
“ซวยแล้วไหมล่ะ เพราะแกทีเดียวเลยนะเยลลี่”ฉันหันไปเอาเรื่องกับตัวต้นเหตุ ก่อนสมองอันชาญฉลาดจะวางแผนหาทางออก แน่นอนมันเป็นแผนที่ยอดเยี่ยมมากๆ สุดยอดแห่งแผนทั้งปวงนั่นก็คือ...รีบเผ่นยังไงล่ะ!
“แฮอิลนั่นจะไปไหนน่ะ รีบเข้าบ้านได้แล้ว...”ฉันใส่สปีดวิ่งออกจากตรงนั้นพร้อมกับเสียงผู้หญิงแว่วตามหลังมา แต่ทำไมฟังดูคุ้นๆ เหมือนภาษาเกาหลีที่เรียนเลยแฮะ...ไม่ใช่หรอกมั้ง ฉันคงหูฝาดประสาทหลอนไปเอง
ถึงแม้ว่าบ้านคุณยายจะห่างจากร้านไม่มากนักแต่ก็ทำเอาฉันหอบจนลิ้นห้อย เพราะวิ่งสุดเท้าแบบไม่เหลียวหลังกลับไปมอง นี่ฉันคงต้องบันทึกสถิติครั้งนี้เอาไว้...เผื่อจะชิงโอลิมปิกกับเขาได้บ้าง
ประเภทวิ่ง100เมตรเพราะแอบดูผู้ชายน่ะ -0-!
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ ขยันทำเสียเรื่องจริงๆเลยนะเจ้าตัวแสบ”ทันทีที่กลับถึงร้านฉันก็ปล่อยเจ้าเยลลี่ลงพร้อมกับดุมันให้หลาบจำ แต่ทำไมเจ้านี่ไม่ยักสลดเลยแฮะ ยังทำตัวร่าเริงสะบัดหางยั่วโมโหฉันอยู่ได้
“ดีนะเนี่ยที่ไม่โดนเค้าจับได้ คนมาเช่าบ้านรอบนี้ยิ่งแปลกๆอยู่ด้วยไม่รู้ว่าแม่ให้เช่าไปได้ไง”นั่นสิคนที่มาเช่ารอบนี้มีอะไรแปลกๆน่าสงสัยเยอะชะมัด ตั้งแต่พวกของที่ขนเข้าไปในบ้านนั่นแล้วดูยังไงก็ไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์แน่ๆ ไหนจะอีตาแจ๊กเก็ตน้ำเงินหน้าโหดนั่นอีก ใครมาบอกว่าเป็นพ่อบ้านนะฉันไม่เชื่อเด็ดขาด เหมือนนักเลงตามทวงหนี้มากกว่า แถมเทพบุตรสุดหล่อ4คนนั่นด้วย ดูยังไง๊ ดูยังไง ก็ไม่น่าเข้ากันได้เลยสักนิด
“แกก็รู้สึกเหมือนกับฉันใช่ไหมเยลลี่ว่าบ้านนั้นน่าสงสัย...”
“โฮ่ง!”เจ้าเยลลี่กระดิกหางเหมือนจะรู้ว่าฉันพูดอะไรกับมัน
“แต่เอาเหอะ ยังไงเค้าก็เป็นแค่คนที่มาเช่าบ้านคุณยาย เราอยู่ส่วนเรา เค้าอยู่ส่วนเค้า ไม่อยากเข้าไปยุ่งหรอกเนอะ”ฉันยีหัวเจ้าเยลลี่ให้ฟูฟ่องก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลัง ถนน...ที่ทอดยาวนำเข้าไปสู่บ้านเช่าหลังนั้น ภาพเมื่อครู่นี้ยังคงติดตรึงอยู่ในความคิด
...ผู้คนมากมาย...ผู้ชายหน้าโหด...รถตู้โฟ้กสวาเก้นสีดำ...และ...หนุ่มสุดหล่อ4คนนั่น...
ความคิดเห็น