ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] เมียแต่ง | LUMIN FEAT.ALL

    ลำดับตอนที่ #3 : CHAPTER II | VENDETTA

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 57


     

    เ มี ย เ เ ต่ ง

    AUTHOR :BABYDAWN

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                แฟ้มเอกสารถูกขว้างออกไปทันทีที่ประตูห้องทำงานของตนเปิดออกเป็นผลให้สันของมันกระแทกเข้ากับสันแก้มของผู้มาเยือนเข้าอย่างจัง แม้ว่าจะสะใจอยู่ไม่ได้เมื่อสังเกตได้ว่าข้างแก้มของอีกฝ่ายปรากฏรอยแดงช้ำจากกระกระทำเมื่อครู่แต่ก็หงุดหงิดไม่ได้ที่มินซอกไม่ได้เอี้ยวตัวหลบอย่างที่ควรจะทำ...หนำซ้ำยังช้อนนัยน์ตาว่างเปล่ามองกลับมาราวกับไม่รู้สึกอะไร ร่างบางค้อมลงเก็บแฟ้มเอกสารต้นเหตุก่อนที่จะวางมันลงบนโต๊ะทำงานของคุณผู้ชาย พร้อมๆ ที่ได้เทกายนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้า

     

     

                “ทำไมไม่เปิดดูล่ะ”

     

     

                “ทำไมไม่ส่งให้ดีๆ ล่ะ”

     

     

                ว่าก่อนจะหยิบแฟ้มนั่นขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาเรียวเล็กไล่อ่านตัวหนังสือภายในตารางนั้นคร่าวๆ ก็พอจะเข้าใจถึงสถานการณ์ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี แต่เอาเถอะ... ขึ้นชื่อว่าคิมมินซอกแล้วต่อให้จะเป็นธาตุอากาศก็คงจะสร้างความรำคาญใจให้แก่ลู่ฮานอยู่แล้ว

     

     

                โครงจมูกเล็กสูดลมหายใจร้อนอ้าวเข้ามาบางๆ ก่อนที่วางแฟ้มต้นเหตุลงสู่โต๊ะทำงานนั้นอีกครั้ง ไม่ผิดคาดสักเท่าไหร่ที่ร่างหนาปัดมันออกอย่างทันควัน

     

     

                หน้าด้าน

     

     

                แก้วตาสีเข้มตวัดขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ แววตากลมสะท้อนเงาของคนตัวเล็กที่ยังคงนิ่งเงียบราวกับไม่รู้สึกอะไร ยิ่งเห็นว่าแววตาของมินซอกว่างเปล่ามากเท่าไหร่ความคับแค้นก็สุมตัวขึ้นเสมือนมีเชื้อไฟไหม้อยู่ในอกของลู่ฮานมากขึ้นเท่านั้น

     

     

                “ที่ได้เสวยสุขอยู่ทุกวันนี้มันไม่พอหรือไง ถึงต้องมาใช้วิธีต่ำช้าแบบนี้”

     

     

                “หุ้นพวกนั้นซื้อขายมาอย่างถูกต้อง”

     

     

                ไม่มีคำแก้ตัวอย่างที่อีกฝ่ายต้องการจะฟัง มวลเสียงใสกลั่นออกมาราวกับไม่เกรงกลัวสายตาอำมหิตคู่นั้นแม้แต่น้อย... กำปั้นหนาทุบลงบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่เป็นหนที่สองก่อนที่เจ้าของการกระทำนั้นจะมุ่งเป้าหมายมาที่คนตัวเล็กอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

     

     

                ปกเสื้อเชิ้ตสีขาวถูกกระชากขึ้นมาด้วยแรงของคนที่ตัวใหญ่กว่าทำให้ร่างของมินซอกลอยเหนือพื้นห้องอยู่ชั่วขณะ... ก่อนที่จะตั้งตัวได้ร่างกายเพรียวผอมก็ถูกเหวี่ยงออกไปจนกระแทกกับแผงหนังสือที่กั้นระหว่างห้องทำงานและโซนรับแขกจนล้มลงไม่เป็นท่า

     

     

                “คิดจะทำอะไร! คิมมินซอก! ตระกูลสวะของพี่คิดจะทำอะไรกันอีก!

     

     

                ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น กักกลืนเสียงสะอื้นแผ่วให้หวนกลับเข้าไปในลำคอของตนอย่างไร้ทางเลือกเมื่อนัยน์ตาแววกร้าวคู่นั้นกราดมองมาที่เขาอย่างไม่รู้สึกผิด เส้นเลือดเขียวคล้ำปูดโปนขึ้นที่ข้างขมับหนายิ่งกับยืนยันสภาวะทางอารมณ์ของชายหนุ่มให้เขาแน่ใจ ไม่นานนักกำปั้นของอีกฝ่ายก็ทุบลงมาที่กระจกในตำแหน่งที่เลยศีรษะของเขาไปเพียงนิดเดียว

     

     

                “ทำไมไม่พูดอะไรล่ะ! บอกมาสิว่าเงินที่ผมให้มันไม่พอยาไส้ คุกเข่าอ้อนวอนผมอย่างที่พวกแมงดาหน้าเลือดของตระกูลคิมชอบทำกัน!

     

     

                “พอทีเถอะลู่ฮาน! เลิกพูดถึงครอบ...”

     

     

     

     

                เพี้ยะ!

     

     

                กรอบหน้าเล็กสะบัดไปตามแรงของฝ่ามือหนาเมื่ออีกฝ่ายไม่ใจเย็นพอที่จะรอฟังจนจบประโยค จัดการบันดาลโทสะลงที่ข้างแก้มเนียนใสให้รื้นรอยฝ่ามือสีแดงเข้มขึ้นมาเสมือนว่ามันเป็นบทลงโทษสำหรับคนใกล้ตัวที่หยาบชั่วทำทรยศใส่เขาในครั้งนี้

     

     

                “คนที่ควรพอมันพี่ต่างหาก! เลิกทำตัวหน้าไม่อายหวังจะได้กอบโกยสิ่งที่มันไม่ใช่ของตัวเองสักที!

     

     

     

                “คุณลู่ฮานครับ มีแขกมารอพบครับ เขาบอกว่านัดคุณเอาไว้แล้ว”

     

     

     

                เสียงของเด็กรับใช้คนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังทำให้คุณผู้ชายจำต้องยุติการสนทนาที่กำลังดุเดือดนั้นลงอย่างจำยอม แววตาอำมหิตปราดมองที่ต้นเสียงเพียงครู่เดียวก่อนจะหันกลับมาหาคู่สนทนาของตน

     

     

                “ไปจัดการล้างเลือดชั่วๆ ของพี่ออกให้หมดแล้วตามผมลงไปข้างล่าง”

     

     

                ทิ้งถ้อยคำประกาศิตเอาไว้เพียงหนึ่งประโยคก่อนที่จะหันมาจัดการเครื่องแต่งกายของตนเองให้เรียบร้อยพร้อมๆ กับที่เดินผ่านหน้าบริกรหนุ่มไปอย่างไม่ยี่หระ

     

               

                “คุณมินซอก”

     

     

                ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูจะตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าร่างกายของคุณผู้ชายอีกคนของบ้านกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เศษกระจกจากชั้นหนังสือที่พังทลายลงมาเสียดแทงเข้าที่ผิวหนังของคุณมินซอกอยู่หลายแห่ง ไหนจะลำคอเล็กที่รื้นรอยฝ่ามือของคนที่เพิ่งจะเดินออกไป เดาไม่ออกจริงๆ เลยว่าถ้าเขาไม่เข้ามาให้เร็วกว่านี้คุณมินซอกจะต้องตกอยู่ในสภาพแบบไหน

     

               

                “ไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่นสักหน่อย เรียกว่าพี่มินซอกเหมือนเดิมเถอะ”

     

               

                อี้ชิงพยักหน้าให้คนตัวเล็กหนึ่งครั้งก่อนจะรีบค้อมกายลงมาช่วยประคองร่างของรุ่นพี่คนสนิทที่กำลังยันตัวขึ้นมาจากซากกระจกที่ถูกทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี มินซอกไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนจากการแตะเนื้อต้องตัวของอี้ชิงเช่นเดียวกับที่แสดงต่อใครคนอื่น อาจเป็นเพราะในสายตาของคุณมินซอกนั้นไม่ได้มองว่าอี้ชิงเป็นคนอื่นคนไกล หนำซ้ำยังมีความสนิทสนมรักใคร่กันมาตั้งแต่สมัยที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน

     

     

                “ไม่เป็นไร ขอบใจมากนะ”

     

     

                รอยยิ้มเย็นจืดคลี่ออกมาจากริมฝีปากสีสดของคนเป็นพี่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาใกล้กับพื้นที่อันตราย ร่างโปร่งก้าวถอยออกมาเล็กน้อยเมื่อรุ่นพี่ของเขายกมือปรามไม่ให้เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้มากกว่านี้

     

     

                “ระวังเศษแก้วตรงนั้นนะครับ... เจ็บไหมครับ?”

     

     

                “ไม่เป็นไร”

     

     

                คนตัวเล็กกล่าวขึ้นหลังจากที่พาร่างของตนเองมาพำนักบนเก้าอี้ทำงานเรียบร้อยแล้ว อี้ชิงเม้มริมฝีปากแน่นในขณะที่ชายตามองร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของคนตรงหน้า แววตาที่เรียบเฉยไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวดอย่างที่คนทั่วไปควรจะทำ คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นสลัดคราบของรุ่นพี่ที่น่ารักของเขาไปจนสิ้น

     

     

                “ผมจะลงไปเตรียมยาให้นะครับ”

     

     

                คุณมินซอกไม่ตอบอะไรนอกเสียจากพยักหน้าช้าๆ ให้หนึ่งครั้ง ใบบางตอบยังคงเจือยิ้มอยู่กลายๆแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่รอยยิ้มแบบนั้นกลับไม่มีร่องรอยของความสุขหลงเหลืออยู่เลย

     

               

                ประตูไม้ขนาดใหญ่ปิดลงหลังจากที่คนตัวเล็กพาร่างของตนเองกลับมายังห้องนอน ทิ้งกายลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะเท้าศอกลงบนเครื่องเรือนไม้ตรงหน้าที่ย้อมทาด้วยสีขาวสนิท ดวงตาเล็กทั้งสองข้างค่อยๆ ช้อนมองภาพสะท้อนของตนเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่

     

     

    ปลายนิ้วเรียวไล้ไปบนโหนกแก้มอย่างเชื่องช้า คงจะเป็นแฟ้มเล่มนั้นที่ลู่ฮานโยนเข้ามาใส่มันถึงได้ขึ้นแถบสีแดงเป็นรอยจารึกอยู่ตรงนี้ ไหนจะรอยแผลสดที่แต้มอยู่บนผิวกายนั่นอีก สภาพของเขาตอนนี้จะให้เปรียบเป็นสุนัขที่โดนเจ้าของทุบตีก็คงจะหาข้อแตกต่างไม่ได้

     

     

    หน่วยตากลมใสเหลือบขึ้นมองเพดานเมื่อรู้สึกได้ว่าความอ่อนแอที่กักกลั้นเอาไว้ในสองคู่ตากำลังโถมรื้นขึ้นมา จริงอยู่ที่นับจากวันที่ทั้งคู่ถูกส่งตัวเข้าหอและได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยาตั้งแต่นั้นมาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นผู้ชายอารมณ์ร้ายจนปลิดคราบลู่ฮานคนเก่าออกไปโดยสิ้นเชิง

     

     

    แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ทำร้ายเขาได้แค่เพียงคำพูด หยามเย้ยศักดิ์และศรีของเขาด้วยการร่วมเตียงกับใครไม่เลือกหน้า นับเป็นครั้งแรกที่ลู่ฮานไม่ชั่งอารมณ์ของตนเองเอาไว้และทำร้ายเขาให้มีบาดแผลมาคอยย้ำเตือนว่ามันคือความบาดหมางที่เกิดขึ้นภายในหัวใจตั้งแต่คืนนั้นจวบจนมาถึงวันนี้...

     

     

     

     

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก...

     

     

    “พี่มินซอกครับ...”

     

     

    เสียงที่ดังขึ้นบ่งบอกการมาเยือนของคนที่ลงไปเตรียมยาเมื่อครู่ มินซอกดันเท้าลงบนพื้นส่งผลให้เก้าอี้ที่นั่งอยู่เคลื่อนห่างจากโต๊ะเครื่องแป้งเพียงเล็กน้อย สำรับยาชุดเล็กถูกจัดวางไว้ตรงที่ว่างบนพื้นก่อนที่จางอี้ชิงจะคลานเข่าเข้ามาใกล้กับคนที่นั่งอยู่ก่อน

     

     

    “อย่าทำแบบนั้นสิ อี้ชิงไม่ใช่คนรับใช้สักหน่อย”

     

     

    “มาเถอะครับ... ทำแบบนี้ผมถนัดกว่า”

     

     

    รอยบุ๋มเล็กๆ ที่ข้างแก้มขวาปรากฏขึ้นบนใบหน้านวลขาวของรุ่นน้องที่แสนถ่อมตัว ร่างเล็กปล่อยแขนขนาบข้างลำตัวก่อนจะเอียงใบหน้าไปอีกทางเมื่ออีกฝ่ายเริ่มยืดกายเข้ามาใกล้ สำลีที่ชุบแอลกอฮอล์ถูกนำมาแตะลงบนโหนกแก้มเล็กอย่างเบามือ

     

     

    “มันเป็นรอยขวนเล็กๆ อยู่ตรงนี้นะครับ แต่ถ้าไม่สังเกตก็ไม่น่าจะเห็น”

     

     

    “มีคนรับรองแขกของคุณผู้ชายหรือยัง”

     

     

    “ที่ครัวกำลังเตรียมอาหารอยู่ครับ เห็นว่าจะอยู่ทานมื้อเย็นที่นี่น่ะครับ”

     

     

    “พี่จะลงไปดูที่ครัวสักหน่อย วานอี้ชิงไปตามคนขึ้นมาทำความสะอาดห้องคุณผู้ชายด้วยนะ”

     

     

    เด็กหนุ่มพยักหน้าลงหนึ่งครั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาน้อมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายไหว้วานด้วยความเต็มใจ... ยืนมองรุ่นพี่ที่วุ่นวายอยู่กับการเลือกเสื้อผ้าเพื่ออำพรางร่องรอยหยาบช้าจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีอยู่เพียงครู่ก็ต้องขอตัวออกมาเพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมาย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เสียงโทรทัศน์ดังมาจากห้องโถงที่เป็นใจกลางคฤหาสน์ขนาดใหญ่ คุณผู้ชายของบ้านกำลังเดินลงมาจากบันไดพลางปลดกระดุมคอก่อนจะถกแขนเสื้อเชิ้ตทั้งสองข้างให้ขึ้นมาอยู่ที่บริเวณข้อศอก เมื่อปลายเท้าเหยียบย่างลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็พบว่าคนที่ตนนัดเอาไว้กำลังนั่งยืดขาบนโซฟาตัวยาวแล้วเสพย์ข่าวจากโทรทัศน์ที่ถูกเปิดเอาไว้จนสุดเสียงอย่างจนจ่อ

     

     

    “แหม คุณทนาย... ทำตัวอย่างกับว่าพ่อมึงถือโฉนดบ้านหลังนี้อยู่งั้นล่ะ”

     

     

    ถ้อยคำหยอกเย้าเชิงกระแนะกระแหนเป็นเหตุให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟาหันกลับมามองเจ้าของเสียง ใบหน้าของอี้ฟานยังคงเคร่งเครียดต่างจากทุกครั้งที่สนทนากัน ทั้งสองมักจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะปะปนไปด้วยเสมอ

     

     

     

     

     

    ตุบ!

     

     

    “ลองเอาไปอ่านดู”

     

     

    แฟ้มเอกสารเล่มไม่หนานักถูกโยนขึ้นมาบนโต๊ะรับแขกที่ห่างออกไปกว่าสองช่วงแขน คุณผู้ชายที่เดินเข้ามาถึงอย่างพอดิบพอดีก็หยิบมันขึ้นเปิดออกทีละหน้าแล้วกวาดสายตาอ่านผ่านๆ เมื่อเห็นว่าใจความทั้งหมดในเอกสารเล่มนี้ถูกเรียบเรียงออกมาในทำนองเดียวกันทั้งสิ้น

     

     

     

    “ทำอะไรได้บ้าง?”

     

     

    “ทำอะไรไม่ได้เลยว่ะ หุ้นพวกนี้ถูกซื้อขายมาอย่างถูกต้อง มึงลองเปิดไปหน้าสุดท้าย”

     

     

    ร่างสูงเหลือบตามองอีกฝ่ายที่กำลังลุกขึ้นมาจากที่นั่งตรงนั้นก่อนจะพลิกหน้าเอกสารไปจนถึงหน้าสุดท้ายในเล่ม อี้ฟานเคลื่อนปลายนิ้วชี้ไปที่หัวกระดาษพร้อมกับที่ลู่ฮานขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น

     

     

    “ลองดูกรณีนี้ หุ้นส่วนนี้เขาซื้อมาจากคุณซองชิน... จำได้ไหมว่าเมื่อปลายปีที่แล้วพ่อมึงก็เข้าไปยื่นข้อเสนอซื้อหุ้นกับผู้ถือหุ้นคนนี้เหมือนกัน”

     

     

    “เออ”

     

     

    “ดูจากประวัติแล้วคุณซองชินจะขายหุ้นให้เฉพาะคนที่เข้ามาเจรจาซื้ออย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ขายหุ้นให้พ่อมึง”

     

     

     

    “งั้นก็แปลว่า...”

     

     

    “ใช่... ลำพังจะใช้การเจรจาแบบที่ว่านั่นใครมันก็ทำได้ แต่ประวัติการถือหุ้นของพี่มินซอกมันดำเนินมาอย่างใสสะอาดตั้งแต่เริ่มแรก ไม่มีการบังคับขู่เข็ญหรือยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนอะไรกันอย่างที่บ้านมึงทำ ที่พี่เขาซื้อหุ้นได้มากขนาดนี้ก็เพราะได้รับความเชื่อใจจากผู้ถือหุ้นคนอื่น”

     

     

    “เหอะ”

     

     

    “มันไม่มีช่องโหว่อะไรให้เราเอาผิดเขาได้เลยเพื่อน”

     

     

    ร่างสูงโยนแฟ้มเอกสารในมือลงอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะทิ้งร่างของตัวเองลงไปบนเบาะโซฟาอย่างเหนื่อยหน่าย อี้ฟานสังเกตอาการของเพื่อนสนิทอยู่เพียงครู่ก่อนจะหย่อนกายเข้าไปตรงพื้นที่ว่างข้างๆ

     

     

    “มึงคิดดูนะ กูเนี่ยกูนั่งแท่นผู้บริหารใหญ่แต่เสือกมีหุ้นอยู่ไม่ถึงยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ที่เหี้ยกว่านั้นคืออะไร? เมียที่เพิ่งแต่งงานกันไม่ถึงสามปีแม่งเสือกถือหุ้นอยู่เกือบครึ่ง”

     

     

    “เอาเหอะ ยังไงเราก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่ รอดูต่อไปแล้วกัน”

     

     

    ฝ่ามือหนาตบเบาๆ บนหน้าตักของลู่ฮานสองสามทีเพื่อช่วยระงับอารมณ์เดือดจัด ร่างสูงขบกรามกรอดพลางยกมือขึ้นมากุมขมับแน่น แม้ว่าภรรยาของเขาจะซื้อหุ้นนรกพวกนั้นมาอย่างโปร่งใสแต่ถึงอย่างไรเจตนาของมินซอกก็ฟ้องชัดอยู่เต็มสองตา สิ่งที่เขาคิดไว้คงไม่ผิดแน่

     

     

    “ผู้ถือหุ้นหน้าหมาที่ไหนจะมาเชื่อใจกู ทำเหี้ยอะไรก็ต้องขอความเห็นจากแม่ง... สัดเอ๊ย! กินๆ นอนๆ อยู่กับบ้านแม่งเอาเวลาที่ไหนมมาโกยหุ้นกูไปขนาดนี้วะ”

     

     

    “เขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรวะ”

     

     

    อี้ฟานพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะทบทวนคำถามที่ก่อขึ้นแต่ในความคิดของตนเอง ลู่ฮานฟังแล้วก็แสยะยิ้มออกมาพลางวางเท้าขึ้นพาดโต๊ะรับแขกตรงหน้าอย่างไม่ยี่หระ

     

     

    “มึงคิดเอาแล้วกันว่าไอ้คนบริสุทธิ์ใจหน้าไหนมันจะแอบไปทำเรื่องเลวๆ แบบนี้ได้บ้าง”

     

     

    “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับมึงสองคนวะ? สมัยเรียนกูก็เห็นว่าพวกมึงสนิทกันดีนี่หว่า นี่โผล่มาทีก็แต่งงาน โผล่มาอีกทีก็หักหลัง”

     

     

    “เหอะ... ก็เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน ไอ้พวกสันดานไม่รู้จักอิ่มนี่มันทำได้แม้กระทั่งคนใกล้ตัว”

     

     

    ร่างสูงกัดฟันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นพลางเบนหน้าออกไปอีกทาง อี้ฟานวางกายพิงพนักโซฟาแล้วปล่อยให้ปริศนาผุดขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง เขาเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่ารุ่นพี่หน้าซื่ออย่างคิมมินซอกจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้...

     

     

    “บ้านพี่เขาก็ร่ำรวยดีไม่ใช่หรอวะ? ติดโพลธุรกิจที่ทำกำไรสูงอันดับต้นๆ ในเกาหลีเกือบทุกปี ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ จนต้องมาทำแบบนี้กับมึงได้เลย”

     

     

    “ถ้าจะหาอะไรมาแก้ต่างแทนกันแบบนี้มึงก็เงียบไปเลย จะบอกว่าคืนนั้นพวกกูอาจจะเอากันด้วยความพอใจแล้วมาทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องที่ถูกต้องงั้นดิ? ถ้าเป็นงั้นจริงมันก็คงไม่เป็นให้ได้แค่เมียในนามแบบนี้หรอก”

     

     

    “เมียในนามคืออะไรวะ?”

     

     

    ลู่ฮานปรายตามองอีกฝ่ายทันทีที่คำถามไร้แก่นสารแบบนั้นถูกพร่ำออกมา ร่างหนาพอจะจับผิดอีกฝ่ายได้ผ่านม่านตาคู่นั้นที่มองเขาแบบแปลกๆ เพราะคบกันมานานถึงได้รู้ว่าแววตาแบบนี้มันสื่อให้เห็นว่าลู่ฮานกำลังขาดความมั่นใจในเรื่องอะไรสักอย่างที่เขากำลังถามถึง

     

     

    “อย่าบอกว่าหลังจากคืนนั้นมา พวกมึง...”

     

     

    “เออ”

     

     

    “เห้ย?”

     

     

    “เห้ยเหี้ยไร ก็เออไง”

     

     

    “ทั้งที่นอนด้วยกันทุกวันเนี่ยนะ? หน้าอย่างมึงนี่จะไม่มีอะไรกับเขาเลย?”

     

     

    “นอนคนละห้อง”

     

     

    “มันไม่จำเป็นต้องเป็นห้องนอนป่ะวะ? ห้องครัว ห้องทำงาน ห้องน้ำ ห้องเหี้ยอะไรก็ได้บ้านมึงมีตั้งหลายห้อง มันก็ต้องมีสักโอกาสที่ต้องไปลงกันสักห้องดิวะ”

     

     

    “ไม่มี”

     

     

    ร่างสูงดันลิ้นเข้าหากระพุ้งแก้มของตนพลางขมวดคิ้วมองอีกคนที่เริ่มจะอมยิ้มออกมาเล็กน้อย... คำว่า เพลย์บอย นั้นเหมือนเป็นป้ายชื่อแขวนคอเขาและเพื่อนในกลุ่มมาตั้งแต่ตอนสมัยเรียน ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันว่าวันหนึ่งจะต้องตกมาเป็นเหยื่อให้กับคนใกล้ตัวเสียเอง

     

     

    “แล้วคืนนั้นเด็ดป่ะ?”

     

     

    “เด็ดกับตีนกูนี่แหละ”

     

     

    พูดจบก็เหยียดฝ่าเท้าเข้าไปยันสีข้างของคนปากหมาให้หนึ่งทีโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้เอี้ยวตัวหลบ หากพูดถึงความรู้สึกในคืนนั้นแน่นอนว่าเขาคงจะจำมันไม่ได้เลยแม้แต่เสี้ยวสัมผัสเดียว

     

     

    คำถามแบบนี้นับเป็นคำถามทั่วไปของเพื่อนในกลุ่มหลังจากที่เสร็จกิจกับตัวระบาย ถ้าลีลาดีหน่อยก็ถึงขั้นส่งต่อให้กันโดยขึ้นกับความพอใจของทั้งสองฝ่าย แต่ไม่รู้ทำไมในวันนี้เขาถึงได้รู้สึกไม่ชอบใจกับคำถามนั้นเลย...

     

     

     

    อาจเพราะคนที่กำลังพูดถึงอยู่ก็คือคิมมินซอก... รุ่นพี่ที่แสนดีของเขา

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ไปบอกที่ครัวให้ยกอาหารขึ้นมาได้แล้ว”

     

     

    ใบหน้าของคุณผู้ชายถึงกับถอดสีเมื่อเสียงของคนตัวเล็กแว่วดังเข้ามาในโสตประสาท หันไปมองร่างที่ยืนเป็นหลักที่หัวบันไดก็ไม่รู้ว่าควรจะสบถหัวเราะออกมาเป็นภาษาอะไร ภรรยาของเขาสวมเสื้อคอเต่าสีเทาที่ปกปิดผิวกายจนแทบจะถึงปลายคาง ผ้าพันคอที่เขาชุดกันนั่นไม่ได้ยกระดับแฟชั่นให้โก้เก๋ขึ้นมาเลยสักนิดแล้วยังจะแว่นสายตาหนาเตอะที่ดูแล้วน่ารำคาญเสียยิ่งกว่าอะไรดี...

     

     

    ความคิดทั้งหมดนั้นพรั่งพรูออกมาโดยไม่ฉุกคิดสักนิดเลยว่าเครื่องแต่งกายชนิดนี้คุณมินซอกหยิบมันขึ้นมาสวมใส่เพื่อปกปิดร่องรอยความเสียหายที่อีกฝ่ายกระทำต่อตน

     

     

    สำรับอาหารเย็นมื้อใหญ่ถูกยกมาวางเรียงไปบนโต๊ะตัวยาวภายในห้องอาหารที่ถูกประดับตกแต่งเอาไว้อย่างสวยหรู อาหารเย็นวันนี้ก็ยังคงเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยสารพัดเมนูที่คุณผู้ชายโปรดปราน ไม่กี่นาทีที่แล้วจุนมยอนเพิ่งต่อสายเข้ามาในบ้านว่าจะกลับดึก ที่นั่งประจำตรงนั้นจึงถูกแทนที่ด้วยแขกคนพิเศษของลู่ฮานที่เขามักจะพบเจออยู่บ่อยๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย

     

     

    “พี่มินซอกสบายดีไหมครับ?”

     

     

    ร่างหนาเอ่ยทักทายอดีตรุ่นพี่ที่เขาเคารพนับถืออย่างเป็นมิตร มือบางจัดการวางผ้าเช็ดปากลงบนหน้าตักเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงระบายยิ้มออกมาด้วยความยินดี

     

     

    “ก็ต้องสบายดีอยู่แล้ว”

     

     

    เสียงที่พูดขึ้นมานั้นกลับดังมาจากคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ รอยยิ้มของมินซอกคืนรูปกลับจนใบหน้าหวานกลับมานิ่งสนิท คุณผู้ชายแสยะยิ้มเพราะพึงพอใจอยู่ไม่น้อยที่สามารถหุบยิ้มโง่ๆ ของมินซอกได้แค่คำพูดไม่กี่คำ... เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่แสดงกิริยาโต้ตอบอะไรเขาถึงได้พรอดพร่ำถ้อยคำถ่อยๆ ออกมาอย่างไม่ต้องยั้งคิด

     

     

    “แค่นั่งงอมืองอเท้าอยู่บ้านเฉยๆ ก็มีผัวคอยประเคนเงินประเคนทองมาให้ถึงที่ ไหนจะหุ้นบริษัทที่อยู่ดีๆ ก็ได้เพิ่มมาอีกไม่รู้กี่ร้อยล้าน... เหอะ ถ้าไม่ติดว่ามันไม่มีขากูคงจะคิดว่ามันเดินมาหาเมียกูเองละ”

     

     

    “อี้ฟานล่ะสบายดีไหม? หมู่นี้ไม่ค่อยแวะมาเลย”

     

     

    เมื่อเห็นว่าคนหัวโต๊ะตอบคำถามแทนตนเองไปเรียบร้อยแล้วนัยน์ตาเรียวเล็กก็มองตรงไปยังที่นั่งฝั่งตรงกัน ริมฝีปากสีหวานยกยิ้มขึ้นมาบางๆ แสดงถึงความไม่ทุกข์ร้อนในคำพูดทรามๆ ที่เหยียดหยามตนเองไปเมื่อครู่

     

     

    “สบายดีครับ ช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อยก็เลยไม่ค่อยแวะมา แต่ยังฝากความคิดถึงผ่านลู่ฮานมาบ่อยๆ นะครับ”

     

     

    ตอบคำถามกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มตามประสา อี้ฟานกลอกตามองเพื่อนสนิทที่กำลังจดจ้องไปที่คุณมินซอกตาเขม็ง น่าแปลกที่อีกฝ่ายกลับเพิกเฉยต่อสิ่งที่ลู่ฮานกระทำต่อตนราวกับว่ามันเป็นธาตุอากาศที่ไม่สามารถรับรู้ได้ผ่านประสาทสัมผัสใดๆ

     

     

    “วันก่อนผมเห็นคุณคิมได้รับเชิญไปออกรายการธุรกิจช่วงเช้า เห็นท่านเล่าว่าตอนนี้กิจการของตระกูลคิมกำลังจะขยายสาขาออกไปที่มกโพด้วย”

     

     

    “มกโพเป็นจุดต่อเรือของนักท่องเที่ยวน่ะ กลางปีที่แล้วจุนมยอนเลยเสนอความคิดว่า...”

     

     

    “ว่าโกยทรัพย์สินของตระกูลลู่มาได้เป็นพันล้านแล้วก็น่าจะเอาไปต่อยอดทำรายได้เข้ากระเป๋าเหมือนที่ไอ้พวกนักธุรกิจหน้าส้นตีนมันนิยมทำกัน”

     

     

    ยังไม่ทันจบประโยค คุณผู้ชายของบ้านก็พูดแทรกเข้ามาสีหน้าตาย มินซอกขบกรามแน่นแต่ก็ยังคงกักเก็บความรู้สึกทางด้านลบของตนเองเอาไว้ ท่าทางที่ไม่ไหวติงต่อคำพูดชวนทะเลาะนั่นกลับทำให้อีกฝ่ายเดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

     

     

    “อยากรู้นักว่าคนบ้านพี่มันแดกอะไรกันเป็นอาหารหลัก... ระยำกันทั้งตระกูล

     

     

    มินซอกขยับกรามเคี้ยวอาหารที่เพิ่งตักขึ้นมารับประทานอย่างเชื่องช้าพลางมองตรงไปทางด้านหน้าราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับถ้อยคำเหยียดหยามที่อีกฝ่ายพูดถึง... อีกครั้งที่อี้ฟานลอบมองอดีตรุ่นพี่ที่เงียบปากแทนที่จะตอบโต้อะไรออกไปบ้าง ถ้าให้เดาก็คงจะคิดว่าท่าทีนิ่งเฉยแบบนั้นมันคงจะเป็นการแก้แค้นที่แยบยลที่สุด

     

     

    “อี้ชิงมานั่งทานข้าวด้วยกันสิ”

     

     

    ร่างเล็กเปลี่ยนประเด็นการสนทนาหลังจากที่เห็นว่าลู่ฮานไม่ได้แง้มฝีปากจิกกัดเขาอีกต่อไป หนุ่มรับใช้ที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังครัวต้องแปลกใจไม่น้อยที่ได้รับคำเชิญเช่นนั้นทั้งที่ปกติแล้วคุณมินซอกจะชวนให้มานั่งด้วยกันเฉพาะเวลาที่ต้องรับประทานอาหารกับคุณจุนมยอนเพียงแค่สองคน

     

     

    “อี้ชิง มาสิ”

     

     

    “ครับคุณมินซอก”

     

     

    เด็กหนุ่มค้อมกายลงเพียงเล็กน้อยภายหลังจากที่ถ้วยจานชุดใหญ่ได้ถูกจัดขึ้นตามคำสั่งของคุณมินซอก เก้าอี้ที่วางชิดกับที่นั่งของคุณมินซอกถูกเขยิบออกมาเพียงเล็กน้อยเพื่อบรรจุเรือนร่างโปร่งขาวให้ทอดกายลงมาเป็นสมาชิกคนใหม่บนโต๊ะอาหาร อี้ฟานกลอกตามองฝ่ายตรงข้ามอยู่นานจนเหมือนว่าเด็กรับใช้คนนี้จะรู้ตัวถึงได้เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาในชั่วขณะ

     

     

    แก้วตาสีเข้มสะท้อนภาพของคนตัวขาวที่กำลังเหยียดเม้มริมฝีปากด้วยความเคอะเขิน ใบหน้าเรียวสวยกดต่ำลงเล็กน้อยพอให้เห็นรอยบุ๋มของลักยิ้มที่ประทับเด่นบนนวลแก้มข้างขวาได้อย่างชัดเจน พวงแก้มสีชมพูอ่อนระเรื่อหลังจากที่เจ้าตัวจับได้ว่าคนตัวสูงกำลังจ้องไม่วางตา

     

     

    อี้ฟานเลียริมฝีปากตนเองแก้เก้อก่อนจะโน้มกายเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะในขณะที่สายตายังจับจ้องไปยังเด็กรับใช้คนนั้นที่ตนรู้สึกคุ้นตาเสียเหลือเกิน...

     

     

    “ใช่เด็กบริหารป่ะวะ? ที่เมื่อก่อนชอบมาให้เมียมึงติวหนังสือ?”

     

     

    เสียงกระซิบของอี้ฟานท่าทางจะดังเกินไปจนทำให้คนที่โดนกล่าวถึงรวมทั้งคุณมินซอกเองต่างก็ช้อนตาขึ้นมองไปพร้อมๆ กัน คุณผู้ชายของบ้านเพยิดหน้าให้หนึ่งครั้งแทนคำตอบ รอยยิ้มร้ายประกายขึ้นบนมุมปากหยักพลางละเลียดนัยน์ตาสีเข้มลงมองคนที่ครองตำแหน่งภรรยาในกฏหมาย... คนตัวเล็กกำลังอมยิ้มออกมาเพราะรู้สึกเอ็นดูในท่าทางเก้ๆ กังๆ ของอี้ฟาน

     

     

    “ปั้นหน้าเป็นคนดีอย่างกับเป็นพวกแม่ชีแม่พระ เดี๋ยวก็ช่วยคนนั้นทีเดี๋ยวก็รับคนนี้มาดูแล คงลืมไปแล้วว่าบ้านหลังนี้มันเป็นสินสมรส ไม่ใช่สถานรับอุปการะ”

     

     

    หากนับจากวันที่แต่งงานกันมาจวบจนถึงทุกวันนี้เขาเห็นรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติแบบนั้นจากภรรยาของเขาเกือบจะนับครั้งได้ อยากรู้นักว่าจิตใจของคนจำพวกนี้มันทำด้วยอะไรถึงได้ยังปั้นยิ้มหน้าระรื่นเหมือนกับไม่เคยทำเรื่องต่ำๆ มาก่อนสักครั้งในชีวิต นรกสิ้นดี!

     

     

    “แล้วนี่อะไร? เรียนบริหารแต่สมองหมาปัญญาควาย ไม่รู้กลับไปพยุงธุรกิจที่บ้านอีท่าไหนถึงได้โดนเขาโกงจนกระเป๋าแห้ง ไม่มีที่ไปก็ต้องกลับมารองขี้รองเยี่ยวคนอื่นเขา”

     

     

    คำพูดของคุณผู้ชายทำเอาจางอี้ชิงต้องก้มหน้านิ่ง คุณมินซอกเคลื่อนมือเข้าไปแตะหลังมือของรุ่นน้องคนสนิทหลวมๆ เมื่อสังเกตว่าท่าทีของคนที่นั่งตรงนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก ฉับพลันหน่วยตาเรียวเล็กก็เหลือบมองใบหน้าคมสันที่กำลังยิ้มรั้นอย่างได้ใจ

     

     

    “อี้ชิงเป็นคนหัวไว คุณพ่อคุณแม่ของเขาก็ไม่เคยคดโกงใครเลยตามไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมพวกนักธุรกิจที่หวังจะมาชุบมือเปิบ”

     

     

    “ก็คงไม่พ้นไอ้พวกสันดานเดียวกับครอบครัวพี่สินะ”

     

     

    “มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้คนซื่อสัตย์แบบนี้มาทำงานร่วมกับเราด้วย”

     

     

    ร่างเล็กขบกรามแน่นพลางทำเป็นหูทวนลมกับวลีเดิมๆ ที่คอยกระแนะกระแหนเขามาจนถึงต้นตระกูล คุณมินซอกดันสันแว่นให้เข้าหาใบหน้าก่อนจะคลายแรงที่กุมมืออี้ชิงออกมา

     

     

    “คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับพี่คนเดียว พาพรรคพวกเข้ามาเดินลอยหน้าลอยตาในบ้านแบบนี้อีกหน่อยพอดูดสมบัติผมจนพอใจก็คงหวังจะฮุบบ้านไปด้วย... หึ ไอ้คนแบบพี่มันก็มีเรื่องฉลาดๆ ให้ทำอยู่แค่นี้แหละ”

     

     

    อาหารเย็นชืดถูกส่งเข้ามาในโพรงปากเล็กอีกครั้ง คุณมินซอกบดเคี้ยวมันอย่างเชื่องช้าสร้างความรำคาญใจให้กับคุณผู้ชายเสียเต็มประดา อะไรที่ทำให้อีกฝ่ายไม่ตอบสนองเขาเช่นนั้น... หรือว่าอยากจะเล่นสงครามประสาทกับเขากันแน่!

     

     

     

     

    “เหี้ยเอ๊ย!”

     

     

    สุดท้ายขีดความอดทนของลู่ฮานก็มาดำเนินมาจนสุด โต๊ะอาหารตัวยาวเคลื่อนไปทางด้านหน้าด้วยแรงถีบจากปลายเท้าของคุณผู้ชายอารมณ์ร้ายก่อนที่เจ้าตัวจะรีบเดินขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านทิ้งไว้เพียงความเงียบให้เข้ามามีบทบาทในโต๊ะอาหารมื้อเย็น... หลังจากที่เด็กรับใช้คนอื่นรีบเข้ามาจัดโต๊ะอาหารให้เข้าที่เข้าทาง คิมมินซอกก็เอาแต่เจียดรับประทานอาหารในจานของตนเองโดยที่ไม่สร้างบทสนทนาร่วมกับใครอีก

     

     

    เวลาที่ลู่ฮานโกรธ... ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถเข้าไปยับยั้งอารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรงแบบนั้นได้นั่นคือเรื่องที่เพื่อนสนิทอย่างอี้ฟานรู้ดี หากจะกล่าวถึงคำพูดของลู่ฮานที่อาจจะฟังดูก้าวร้าวรุนแรงจนเกินไปแต่สำหรับเขากลับไม่คิดเช่นนั้น... หากได้ลองไว้ใจใครสักคนแล้วมันกลับมาหักหลังได้อย่างหน้าไม่อาย สิ่งที่ลู่ฮานแสดงออกมานั่นยังนับว่าน้อยจนเกินไปด้วยซ้ำ

     

     

    แต่แปลกนัก... แววตาที่ว่างเปล่าของรุ่นพี่มินซอกยังคงเจือความบริสุทธิ์อ่อนโยนปะปนมาพร้อมกับความอ่อนไหวในทุกๆ ครั้งที่เพื่อนของเขาใช้คำพูดทำร้ายจิตใจเช่นนั้น คนที่นั่งตรงหน้าไม่น่าจะมีพิษภัยอะไรอย่างที่เพื่อนเขากล่าวถึง แต่ก็เอาเถอะ... ถึงจะสนิทกับลู่ฮานแค่ไหนแต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงแค่คนนอก ใช่ว่าจะเป็นคนที่ร่วมกินร่วมนอนกันอย่างสามีภรรยาคู่นี้เสียเมื่อไหร่

     

     

     

     

     

    หากสิ่งที่ลู่ฮานพูดเป็นเรื่องจริง...

    รุ่นพี่มินซอกจะต้องเป็นคนที่ร้ายลึกมากและจัดว่าร้ายกาจจนน่ากลัว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เข็มสั้นของนาฬิกาเบนคล้อยลงมาใกล้เลขสามเข้าเต็มที กระดาษถนอมสายตาถูกเปิดผ่านไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าหากแต่เจ้าของหนังสือเล่มนั้นกลับตั้งใจอ่านมันอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่ายภายในบ้านหลังใหญ่เปิดไฟทิ้งไว้แต่เพียงในห้องโถง มินซอกเหลือบตาขึ้นมองนาฬิกาเป็นระยะสลับกับชายตามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือเผื่อมันจะมีสายจากปลายทางเข้ามาบ้าง หรือต่อให้เป็นแค่เพียงข้อความสั้นๆ ที่บ่งบอกว่าตอนนี้ขับรถถึงไหนแล้วก็ยังดี...

     

     

    ห้าวันแล้วที่เขานั่งรอลู่ฮานที่กลับถึงบ้านดึกดื่นอยู่แบบนี้โดยที่ไม่มีการสนทนาอะไรเกิดขึ้นเลย บางวันก็เป็นเพราะโหมงานหนักเกินตัวจนรู้สึกอ่อนล้า บางวันก็เมามายกลับมาไม่ได้สติ... หรือบางวันที่เป็นปกติแต่ก็มองผ่านไปราวกับว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่ในพื้นที่ตรงนี้

     

     

     

    ครืน...

     

     

    เสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามาใกล้พร้อมกับที่แสงไฟสว่างวาบเข้ามาในโรงรถที่มืดสนิท ร่างเล็กเหลือบตามองอยู่ราวห้านาทีก็เห็นว่าสามีของเขากลับเข้ามาในบ้านช้ากว่าที่ผ่านมา คงจะยังไม่หายโกรธเขาเรื่องหุ้นบริษัท การกระทำที่ละเลยต่อเวลาถึงได้หนักข้อขึ้นทุกวันแบบนี้... การแสดงให้เห็นว่าภรรยาที่น่ารำคาญคนนี้ไม่ได้อยู่รออีกต่อไปคงจะเป็นทางออกสุดท้ายที่ทำให้อีกฝ่ายรีบกลับเข้ามาในบ้านได้เร็วที่สุด

     

     

    ไฟดวงสุดท้ายในบ้านถูกปิดลงพร้อมกับที่ร่างเล็กก้าวขึ้นมาบนขั้นบันไดอย่างเชื่องช้า คงจะไม่ผิดไปจากที่เขาคิดไว้สปอตไลท์ในโรงรถถึงได้สว่างขึ้นมาทันทีหลังจากที่เห็นว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกแล้ว... ในที่สุดขาทั้งสองข้างก็หยุดยืนอยู่บนชานพัก ใบหน้าเรียวสวยทอดสายตาผ่านเลนส์แว่นเพื่อหลุบมองชายหนุ่มร่างสูงที่ยังคงนั่งกุมพวงมาลัยรถยนต์คันหรู ริมฝีปากสีหวานเม้มแน่นพลางกดสะอื้นเสียงแผ่วให้กลืนกลับเข้าไปในลำคอเช่นเดียวกับที่ผ่านมา บางสิ่งบางอย่างที่จู่โจมทำร้ายหัวใจของเขาในเวลานี้คงไม่มีอะไรเหนือไปกว่าเรื่องราวที่โลดแล่นเข้าในความคิดราวกับว่ามันมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของเขาก็ไม่ปาน...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เขาคงจะไม่เร่งฝีก้าวลงมาจากห้องนอนของตนเองที่อยู่ชั้นบนสุดในเวลากลางค่ำกลางคืนแบบนี้หากเมื่อสิบนาทีที่แล้วไม่ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์จากใครบางคนที่เฝ้าโทรหาเขามาแล้วกว่าสามสิบสาย น้ำเสียงที่สั่นเครือของคนที่อยู่ปลายทางทำเอาหัวใจต้องหล่นวูบเพราะตั้งแต่ที่รู้จักกันมารุ่นน้องตัวดีแทบจะไม่เคยแสดงออกถึงความเคร่งเครียดให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

     

     

    แสงไฟหน้าจากรถยนต์สีดำขนาดกลางสาดเข้ามาสู่ตัวบ้าน ร่างเล็กหยุดยืนอยู่บนชานพักก่อนจะดันกรอบแว่นเข้าหาใบหน้าแล้วมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผ่านแผ่นกระจกใส เขาส่ายหน้าไปมาไม่กี่ครั้งเมื่อเห็นว่ารถยนต์คันนั้นกำลังจอดขวางถนนซึ่งส่วนหน้าของมันหันเข้าหาจุดที่เขายืนอยู่อย่างพอดิบพอดี

     

     

     

    ครืด...

     

     

    ( “มืดแล้ว พี่ไม่ต้องลงมานะ” )

     

     

    ไม่ทันรอให้เขาเอ่ยทักเสียงของรุ่นน้องคนสนิทก็กรอกดังเข้ามาผ่านหูโทรศัพท์ทันที เส้นคิ้วบางขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงเบาะคนขับแล้วหันหน้าเข้าหากระจกบานนั้นจนเต็มกาย

     

     

    “ทำไมจอดรถแบบนั้นล่ะ รอเดี๋ยวนะ... พี่กำลังจะลงไปเปิดประตูเดี๋ยวนี้ล่ะ”

     

     

    ( “ไม่ต้อง” )

     

     

    “ทำไมล่ะ”

     

     

    ( “ผมแวะมาแปบเดียวก็กลับแล้ว” )

     

     

    “ขับรถมาตั้งไกล แวะมาจิบกาแฟร้อนๆ หน่อยก็ยังดี”

     

     

    ( “ไมพี่เซ้าจังวะ กลับละแม่ง” )

     

     

    “เอาสิ ขับรถดีๆ นะ”

     

     

              เขาพูดติดตลกพลางระบายยิ้มออกมาเพียงบางๆ พอสังเกตเห็นรุ่นน้องคนเดิมกำลังขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างขัดใจก็ต้องแอบหัวเราะออกมาให้กับความเอาแต่ใจที่ไม่ว่าจะเจ้าตัวจะรู้จักกับเขามานานขนาดไหนแต่มันก็ไม่เคยหายไปจากคนๆ นี้เลย

     

     

              ( “พูดแบบนี้เดี๋ยวผมจะชนรั้วบ้านพี่ให้พังเลยนะ” )

     

     

              “แข็งขนาดนั้นเลยหรอ?”

     

     

              ( “มาขงมาแข็งอะไร พี่ทะลึ่งว่ะ” )

     

     

              “นี่! ให้มันน้อยๆ หน่อย... พี่หมายถึงกันชนต่างหาก”

     

     

              คนตัวเล็กย่นจมูกขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเสียงหัวเราะชอบใจลอดผ่านมาจากต้นสาย เขาชูหมัดขึ้นมาเสมือนกับว่ามันคือคำขู่ มือที่จับพวงมาลัยรถในขณะนั้นต้องยกขึ้นมาเหนือศีรษะเพื่อแสดงให้เห็นถึงความพ่ายแพ้อย่างจำยอม

     

     

              ( “ไม่ได้เห็นหน้าพี่มานานเท่าไหร่ละวะ ผอมลงป่ะเนี่ย” )

     

     

              “ทำไมถึงมาเอาดึกป่านนี้ล่ะ มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า”

     

     

              ( “ถ้าไม่ติดว่าที่บ้านทำธุรกิจพันล้านผมคงคิดว่าพี่รวยเพราะถูกหวยไปแล้ว” )

     

     

              “มีเรื่องกับพนักงานที่บริษัทหรือไง”

     

     

              ( “พี่เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย?” )

     

     

              “ถ้างั้นคงโดนหักอกมาล่ะสิ”

     

     

              ( “ลืมไปเลย ไม่เคยมีคำว่าอกหักในพจนานุกรมของผมอยู่แล้ว” )

     

     

              “เรื่องที่บ้านหรอ?”

     

     

              ( “อืม” )

     

     

              “โธ่...”

     

     

              ใบหน้าคมขาวค่อยๆ คลายรอยยิ้มที่เจืออยู่ออกอย่างเชื่องช้า อีกฝ่ายยันศอกขึ้นเหนือพวงมาลัยก่อนจะนั่งกุมขมับข้างหนึ่งแสดงออกถึงสีท่าที่ตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด

     

     

              “นอนที่นี่สักคืนไหม... พี่จะเรียกคุณป้าโซจินให้มาเปิดห้องรับรองให้”

     

     

              ( “ผมเหนื่อย” )

     

     

              “...”

     

     

              ( “ผมเกลียดการแข่งขัน ผมเบื่อที่จะต้องเป็นศัตรูกับชาวบ้านเขาไปทั่ว” )

     

     

              “ยังไงก็เข้ามาข้างในก่อนเถอะ ดื่มอะไรร้อนๆ สักหน่อยเผื่อจะรู้สึกดีขึ้น”

     

     

              ( “เห็นหน้าพี่ก็รู้สึกดีละ” )

     

     

              “เดี๋ยวเถอะ ยังมาล้อเล่นอีก”

     

     

              ( “คิดถึงพี่ว่ะ นี่ไม่ได้กินเหล้าด้วยกันหลายปีละนะตั้งแต่เรียนจบ” )

     

     

              “เลิกดื่มได้แล้ว”

     

     

              ( “กลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว คงไม่ต้องมาคอยนั่งเก็บห้องที่ผมชอบเข้าไปรื้อ ไม่ต้องช่วยติวหนังสือให้ผมจนถึงเช้า... ไม่ต้องลงมาหามผมออกจากร้านเหล้าหน้าหอพี่” )

     

     

              “ไม่ต้องมานั่งเคลียร์เด็กในสต๊อกของลู่ฮานด้วย... ที่เขาชอบคิดว่าลู่ฮานเป็นเกย์”

     

     

              ( “พอเลย” )

     

     

              “ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็เถอะ”

     

     

              มินซอกอมยิ้มออกมาบางๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก็กำลังคลี่ยิ้มออกมาอยู่เหมือนกัน ร่างสูงยกกายขึ้นจากที่นั่งเล็กน้อยแล้วค้อมตัวไปทางด้านหน้า ลมร้อนเป่าออกมาจากริมฝีปากหยักจนขึ้นฝ้าขุ่นขนาดใหญ่บนแผ่นกระจกหน้ารถ เขาเลิกคิ้วขึ้นมาให้กับการกระทำแปลกๆ ที่เห็นอยู่ แต่ก่อนจะได้เอ่ยถามออกไปอีกฝ่ายก็พูดสวนขึ้นมาทันควัน

     

     

              ( “ดูนี่นะ” )

     

     

              ปลายนิ้วมือกร้านแตะวาดลงบนไอน้ำที่ตนสร้างขึ้นมาเมื่อครู่ อาจะเป็นเพราะลู่ฮานไม่มีหัวทางด้านนี้เลยทำให้ภาพที่เกิดขึ้นมานั้นดูไม่ชัดเจนนัก แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าลายเส้นหวัดๆ ที่ขึ้นรูปพระจันทร์กับดาวนั้นทำให้เขาต้องเผลอยิ้มออกมาอย่างเกินจะหลีกเลี่ยง

     

     

              ( “น่ารักป่ะ? เห็นพวกพระเอกหนังมันชอบทำกัน” )

     

     

              “ไม่เลย อะไรแบบนี้มันไม่เข้ากับบุคลิกของลู่ฮานเลยสักนิด”

     

     

              ( “ช่างแม่งดิ” )

     

     

              “ฮ่ะ...”

     

     

              ( “ฝันดีนะ ผมจะกลับบ้านแล้ว” )

     

     

              “ออ... อย่าหลับกลางทางนะ”

     

     

              ( “ไม่ต้องห่วง พอถึงบ้านแล้วจะส่งข้อความไป” )

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

               

                แผ่นมือบางยกขึ้นมาอย่างเชื่องช้าพร้อมกับนัยน์ตาคู่สวยที่ทอรื้นขึ้นมาโดยไม่อย่างไม่รู้ถึงสาเหตุ ปลายนิ้วเรียวเล็กแตะลงบนกระจกหนาพลันแววตาสีอ่อนฉายสะท้อนภาพของรุ่นน้องคนเก่าที่อยู่ในสภาพไม่ต่างจากวันนั้น... แผ่นมือหนายังคงกอบกำพวงมาลัยรถแน่นพอๆ กับเขาที่กำลังบีบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของตนเอง ทันทีที่หน้าผากของอีกฝ่ายโน้มแตะลงบนพวงมาลัย ความรู้สึกของเขาก็หล่นวูบลงไปเพียงชั่วขณะ... มันช่างคล้ายคลึงกับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมา ผิดกันก็แต่ในวันนี้ต้นเหตุของปัญหาทั้งปวงที่อีกฝ่ายกำลังพยายามหาทางออกนั้นกลับเกิดมาจากตัวเขาทั้งสิ้น

     

     

                “ลู่ฮาน...”

     

     

                น้ำเสียงหวานกลั่นชื่อของอีกคนออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อไม่กี่นาทีหลังจากนั้นสาวรับใช้คนเก่าทอดกายออกมาบนทางเดินในโรงรถในชุดนอนบางๆ ที่แสนวาบหวิว เขาสูดลมหายใจที่ติดขัดเข้ามาพลางครวญเสียงสั่นพร่าไม่เป็นประโยค แม้ใจอยากจะร้องตะโกนออกไปแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้ในเวลานี้...

     

     

                “คุณผู้ชายคะ อ๊ะ...”

     

     

                เขาเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ากระจกที่วางกั้นอยู่ตรงนี้ไม่สามารถกักเสียงที่ดังก้องมาจากภายนอกได้ แม้มวลเสียงนั้นจะเบาบางแต่หูทั้งสองข้างกลับได้ยินมันในทุกๆ ถ้อยคำ ความแสบร้อนก่อขึ้นมาบนกระบอกตาซ้ำอีกครั้งจนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจดึงกรอบแว่นหนาออกมาจากใบหน้าของตนเอง... จากที่เคยเป็นคนสายตาไม่ดีแต่ทำไมการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้านี้เขาถึงสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน

     

     

                “ซ... คุณผู้ชายคะ อ๊ะ... อ๊า...”

     

     

                “อืม... ดาเฮ อย่างนั้น...”

     

     

                ร่างเล็กกดแรงจากปลายนิ้วที่แตะกระจกให้หนักขึ้นกว่าเก่า เขาเม้มริมฝีปากแน่นอย่างเกินจะทนกับความเจ็บร้าวเพราะหัวใจถูกย่ำยีด้วยการกระทำเก่าๆ ชายกระโปรงของสาวใช้เลิกสูงขึ้นมากว่าเดิมเมื่อปลายนิ้วมือของคุณผู้ชายไล้ขึ้นไปตามแผ่นหลัง มวลสะโพกเล็กที่ค่อมตักสามีของเขากำลังตอบสนองกามารมณ์เร่าร้อนที่ได้รับจากชายหนุ่มพลางกรีดเสียงครางลั่นอย่างไม่รู้จักอาย

     

     

                “อ๊า... คุณผู้ชายคะ ซ...”

     

     

                เบาะที่นั่งถูกปรับให้เอนลงจนราบขนานกับพื้นรถ ร่างของหญิงสาวที่เกือบจะเปลือยเปล่าถูกจับวางให้นอนหงายพร้อมกับที่คุณผู้ชายยกกายขึ้นคร่อม มินซอกหดปลายนิ้วของตนเองกลับมาก่อนจะถอยฝีก้าวมาทางด้านหลังอย่างเชื่องช้า ไม่ทันรอให้เรียวขาของสาวรับใช้ได้แหวกกว้างเพื่อเชื้อเชิญให้สามีของเขาก่อกิจกาม ปลายนิ้วมือเล็กก็กดลงบนหัวสวิตช์ไฟเพื่อดับสปอตไลท์ในโรงรถลงก่อนที่ใครจะเข้ามาเห็น

     

     

     

     สิ่งที่ควรจะทำในเวลานี้คือการปฏิบัติหน้าที่ของ ภรรยาที่ดีอย่างที่ลู่ฮานเคยฝากฝังเอาไว้

     

     

                มือเล็กกวักมวลน้ำอุ่นที่ลอยวนอยู่ภายในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ เขาทอดมองสายน้ำที่หลั่งรินออกมาอย่างต่อเนื่องด้วยแววตาที่ว่างเปล่า รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันรื้นขึ้นมาจนเกือบจะล้นขอบอ่างมือบางจึงเคลื่อนไปหมุนวาล์วน้ำให้ปิดแน่น แว่นสายตาถอดออกมาจากใบหน้าอีกครั้งทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้องนอนของตนเอง ร่างเล็กสอดกายเข้าใต้ผ้าห่มผืนหนาพลางหันร่างตะแคงเข้าสู่ระเบียง

     

     

                อีกครั้งที่เขาไม่สามารถข่มตาลงได้ในเวลาที่คนทั่วไปตกอยู่ในห้วงของการหลับใหล ดวงตาเล็กเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนติดข้างฝาก็เห็นว่ามันผ่านไปกว่าสี่สิบนาทีแล้วหลังจากที่เขาเดินขึ้นมาถึงชั้นบน เปลือกตาบางปิดลงอีกคราแล้วยอมให้ภาพที่เห็นเมื่อครู่ที่ผ่านมาฉายซ้ำในความคิดของตนเองอย่างเป็นอิสระเมื่อพบว่ามันไม่มีหนทางใดให้หลีกหนีได้ต่อไปแล้ว... สุดท้ายก็ทำได้แค่ ทนรับมัน

     

     

     

                “สมองเสื่อมหรือไง คุณมินซอกสั่งแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่าขึ้นมาบนนี้อีก” 

     

     

                “แต่คุณผู้ชายคะ...”

     

     

                “ลงไป”

     

     

                บทสนทนาระหว่างคุณผู้ชายและสาวรับใช้ทำให้คนตัวเล็กต้องผ่อนปรนลมหายใจของตนเองออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ถึงแม้ว่าในเวลานี้มันจะเป็นเหมือนเงาความเจ็บปวดที่ตามเข้ามาหลอกหลอนแต่ก็ยังรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจที่ไม่ทำให้คำขาดของเขาเป็นเพียงคำพูดผ่านหูของสาวรับใช้ที่ไม่รู้จักจดจำ

     

     

                “ฉันบอกให้ลงไป”

     

     

                “คุณผู้ชาย...”

     

     

                “ดาเฮ!

     

     

    หลังจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบเพียงสักพักก่อนที่จะได้ยินเสียงปิดประตูห้องนอนที่อยู่ตรงข้ามกันลั่นขึ้นมา ภาพของสาวใช้ในชุดนอนสีหวานสะท้อนในคู่ตาเมื่อเจ้าตัวกำลังเดินทางกลับบ้านพักคนรับใช้ที่เขาสามารถมองเห็นได้ผ่านมุมระเบียง... ได้แต่บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าสักวันก็คงจะชาชิน แต่คำว่าสักวันที่ใครเขาคอยพูดกันนั้น สำหรับเขาแล้วทำไมมันถึงได้ยาวนานเช่นนี้?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ร่างเล็กเคลื่อนกายลงมาจากชั้นสองของคฤหาสน์หลังใหญ่พร้อมกับที่อาหารเช้าถูกยกมาจัดวางบนโต๊ะตัวยาวใจกลางห้องอาหารไวกว่าทุกวัน คุณมินซอกทอดมองน้องชายของตนที่สวมเชิ้ตขนาดพอดีตัวโดยที่เก้าอี้ตัวถัดออกไปมีสูททรงสุภาพวางพาดเอาไว้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานในเช้าวันใหม่

     

     

                “ทำไมวันนี้ถึงได้ตื่นเช้านักล่ะครับ?”

     

     

              “ว่าจะลงมาช่วยในครัวปรุงอาหาร แต่คงตื่นสายไปหน่อย”

     

     

                จุนมยอนเป็นฝ่ายที่เอ่ยทักอีกตามเคย กระดาษหนังสือพิมพ์รายวันถูกพับครึ่งแล้ววางลงบนพื้นที่ว่างบนโต๊ะอาหาร กาแฟร้อนถูกยกเข้ามาเสิร์ฟเป็นสำรับสุดท้ายหากแต่ในวันนี้กลับมีการจัดชุดอาหารเช้าเอาไว้เพียงสองที่เท่านั้น

     

     

                “อี้ชิง ทำไมถึงไม่จัดอาหารเช้าเผื่อคุณผู้ชายด้วยล่ะ?”

     

     

                “คุณผู้ชายออกไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วครับ”

     

     

                “เช้าแค่ไหน?”

     

     

                “ประมาณตีห้าครึ่งครับ”

     

     

                “แล้วในครัวเตรียมอาหารทันเวลาหรือเปล่า?”

     

     

                “คุณผู้ชายรับแค่กาแฟร้อนแก้วเดียวแล้วก็รีบออกไปเลยครับคุณมินซอก”

     

     

              “ไปตามคนขึ้นมาทำความสะอาด ส่วนอี้ชิงก็ไปจัดการบัญชีให้เสร็จเถอะ”

     

     

                “หลายวันมานี้ไม่ค่อยได้เจอเขาเลยนะครับ”

     

     

                เสียงที่ดังแทรกขึ้นมาเป็นของคิมจุนมยอนที่นั่งสังเกตกิริยาของคนตัวเล็กมาแล้วสักพักใหญ่ๆ มินซอกเพยิดหน้าให้อี้ชิงกลับไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายก่อนจะเทกายลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในฝั่งตรงกันข้ามกับน้องชายของตนเอง

     

     

                “เห็นว่ามีเรื่องวุ่นๆ อยู่พักนี้... ช่วงนี้ลู่ฮานคงจะกำลังเครียดและยุ่งมาก”

     

     

                “ผมหวังว่าคงไม่ใช่เรื่องหุ้นของพี่หรอกนะครับ”

     

     

                “ไม่ใช่หรอก... อาจจะอยู่ในช่วงวางกลยุทธ์ใหม่มาสู้กับบริษัทคู่แข่งน่ะ”

     

     

                มินซอกหลุบตาลงก่อนจะยกถ้วยกาแฟร้อนขึ้นมาจิบเพียงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มมื้ออาหาร ร่างโปร่งขยับเก้าอี้เข้าหาโต๊ะตัวยาวพลางยกช้อนตักข้าวต้มโดยไม่ลืมที่จะลอบสังเกตพี่ชายตนเองเป็นระยะ

     

     

                “แล้วเรื่องหุ้น... เขาว่าอะไรหรือเปล่าครับ?”

     

     

                “พี่ก็ไม่เห็นเขาจะพูดอะไรเลยนะ”

     

     

                “ไม่จริงหรอก แบบเขาน่ะเหรอจะไม่พูดอะไรเลย... ไม่ลงไม้ลงมือกับพี่ก็ดีเท่าไหร่แล้วผมว่า”

     

     

                “จุนมยอน”

     

     

                คนตัวเล็กเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายขึ้นมาพลางส่งสายตาห้ามปรามคำพูดที่ไม่ระมัดระวัง อาหารเช้ามื้อนี้ผ่านไปเร็วกว่าทุกวันเพราะไม่มีเจ้าบ้านที่คอยนั่งใช้คำพูดลอบกัดจนกินเวลาไปกว่าชั่วโมงราวกับมันเป็นเรื่องบันเทิงก่อนเข้าทำงาน

     

     

    ความจริงแล้วจุนมยอนก็ไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่สามีของพี่ชายคอยว่าร้ายครอบครัวของเขาอยู่อย่างนั้นไม่ว่าเวลาจะผ่านมาแล้วเป็นขวบปี ความอดทนที่มีไม่เท่ากับคิมมินซอกทำให้เขาต้องหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับลู่ฮานโดยตรงเพราะกลัวจะเกิดการปะทะคารมซึ่งคงจะเป็นเรื่องที่สร้างความลำบากใจให้กับพี่ชายของเขาไม่น้อยเลยเช่นกัน

     

     

     

    “เมื่อคืนเขากลับเข้าบ้านที่ตอนตีสาม”

     

     

    “...”

     

     

    “ก่อนจะมีคนปิดสปอตไลท์ที่โรงรถ ผมเห็น...”

     

     

    “เรื่องที่จะขยายงานออกไปที่มกโพเป็นยังไงบ้าง? ราบรื่นดีไหม?”

     

     

    “ผู้หญิงคนนั้น...”

     

     

    “รวบรวมรายชื่อแขกที่จะเชิญมาหรือยัง?”

     

     

    “พี่ฟังผมก่อนสิครับ เมื่อคืนผมเห็นดาเฮ...”

     

     

    “พี่เอง พี่ปิดไฟเอง”

     

     

                ร่างโปร่งกำหมัดแน่นพลางเอียงคอมองพี่ชายของเขาที่ยังวางทีนิ่งเฉยเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปที่ไหนก็ทำกัน จุนมยอนประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากันเพียงเล็กน้อยก่อนจะยืดกายเข้าไปใกล้มินซอกโดยมีโต๊ะไม้คั่นกลาง

     

     

                “พี่จะทนไปถึงเมื่อไหร่? พี่ยอมให้เขาทำอะไรแบบนั้นต่อหน้าพี่ได้ยังไง? พี่รู้ไหมว่าที่เขาทำน่ะมันเป็นการเหยียบ...”

     

     

                “จุนมยอน ที่กำลังพูดถึงอยู่น่ะคือพี่เขยนะ”

     

     

                “พี่ก็เป็นซะแบบนี้”

     

     

                จนแล้วจนรอดน้องชายตัวขาวก็ต้องยอมแพ้ให้กับความนิ่งเย็นของอีกฝ่ายอย่างปฏิเสธไม่ได้ คู่ตาสวยที่ถูกบดบังด้วยเลนส์กระจกส่องประกายถึงความรู้สึกที่ต่างออกไปจากคำพูดของตนเองราวฟ้ากับเหว ถึงแม้จุนมยอนจะจับความรู้สึกของมินซอกได้ดีและไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่กำลังทำอยู่แต่เบื้องลึกในหัวใจก็เชื่อว่าพี่ชายของเขามักจะทำในสิ่งที่ตนเองต้องไม่กลับมาเสียใจภายหลังเสมอ

     

     

                หรืออาจจะไม่มีเรื่องไหนให้รู้สึกผิดพลาดได้เท่ากับการที่รับลู่ฮานเข้ามาเป็นสามีอีกแล้ว

     

     

                ร่างโปร่งพาดสูทขึ้นเหนือไหล่เมื่อเดินพ้นกรอบประตูบานกว้าง คนตัวเล็กนั่งอยู่ในมุมพักผ่อนกลางสนามหญ้าขนาดใหญ่พร้อมกับหนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งหยิบออกมาจากห้องใต้บันไดหลังจากที่แยกย้ายกันออกมาจากห้องอาหาร ดวงตาเล็กเหลือบมองน้องชายอันเป็นที่รักก่อนจะระบายยิ้มออกมาบางๆ

     

     

                “อย่าลืมแวะซื้อยาบำรุงให้คุณพ่อกับคุณแม่ล่ะ ฝากบอกว่าพี่สบายดีแล้วก็คิดถึงพวกท่านมากๆ เลย”

     

     

                “เลิกอ่านหนังสือในที่มืดๆ ได้แล้ว”

     

     

                “ออ รู้แล้ว”

     

     

                คนตัวเล็กพยักหน้าลงหนึ่งครั้งหลังจากรับฟังคำพูดที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยแบบที่จุนมยอนมีให้เขามาเสมอ

     

     

                “ผมไปแล้วนะ”

     

     

                “เดินทางดีๆ ล่ะ”

     

     

                “เกือบลืมเลย... พี่ครับ!

     

     

                มินซอกเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยในขณะที่สายตายังคงจดจ้องไปยังกระดาษถนอมสายตาของหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่ในอ้อมแขน

     

     

                “ผมติดต่อคนที่พี่อยากเจอให้แล้วนะครับ เห็นว่าเพิ่งเรียนจบมาได้แค่ปีเดียวเอง...”

     

     

                “...”

     

     

                “เคยได้ยินแต่เวลาพี่พูดถึงเขาให้ฟัง ตัวจริงสุภาพนอบน้อมกว่าที่คิดเอาไว้ตั้งเยอะแหนะ”

     

     

                ถึงจะต้องพบเจอกับเรื่องที่ไม่น่ายินดีมากว่าสัปดาห์หากแต่ประโยคเดียวของจุนมยอนกลับเรียกรอยยิ้มให้แต้มขึ้นมาบนใบหน้าของคนตัวเล็กได้อย่างไร้ข้อกังขา ดวงตาคู่สวยเหลือบมองน้องชายที่กำลังระบายยิ้มกลับมาเช่นเดียวกันก่อนจะปิดหนังสือที่วางตักลงอย่างไม่ต้องยั้งคิด

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ชานยอลหรอ?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC.

     

     

     

    เอาเซ่ เอากันให้จุใจไปเลย หมายถึงเอาไปอ่านนะคะคิดอะไร เอ๊ะหรือยังไม่คิด 55555555555555555555555555555

     

    กำ... ขอโทษมากๆ เลยนะคะที่ทิ้งระยะห่างเอาไว้นานพอสมควร เอ๊ะหรือไม่สมควร หืม 5555555555555555555555555 อย่างที่เคยออกตัวไปแล้วแบบว่า... ฟิคเรื่องนี้อาจจะไม่ได้อัพถี่ๆ เหมือนเรื่องอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาจะดองเค็มไว้นานขนาดนี้นะคะ แอมโซซอรี่บัทไอเลิฟยูมอร์มอร์นะคะ เย่ .

     

    เอาเป็นว่าตัวละครค่อยๆ ออกมาทีละนิดทีละหน่อยแล้ว พี่คริสเป็นทนายแล้วพี่ชยอลจะเป็นอะไรเอ่ย... ติดตามกันต่อไปน้า ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆ เลย อ่านแล้วมีกำลังใจเย๊อะเยอะ ขอบคุณคนที่คอยทวงในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ เค้าไม่ได้ทิ้งจริงๆ นะตัวเอง... ตัวเองก็อย่าทิ้งเค้าน้า . _ .

     

    PORCELAIN  THEMEs
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×