คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Second Legend | AяGantahnia
ARGANTAHNIA.
“และในกรณีนี้.. พลังที่เราดึงมาใช้ก็คือพลังชีวิตของมันนั่นเอง”
“ห้องนี้ถูกเรียกว่าชาร์มิ่งรูม มันเป็นห้องที่เหมาะสำหรับการฝึกที่สุด ผนังห้องทำจากแผ่นสังเคราะห์อย่างดีที่มีการต้านทานเวทมนตร์ 99.99% ส่วนภายนอกของห้องนั้นมีการเกื้อหนุนระหว่างเวทแห่งความมืดและเวทแห่งดาราอยู่ ที่ห้องนี้ลอยอยู่ได้ก็เพราะสองเวทนี้นี่แหละ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ชุดขาวพูดอย่างภาคภูมิใจโดยไม่ได้สนใจนักเรียนที่สะดุดตั้งแต่คำว่า เวทมนตร์
นี่เป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งอายุ 17 จะไม่มีเด็กคนไหนรู้เรื่องเวทมนตร์ และเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่ในจินตนาการลมๆ แล้งๆ เท่านั้น แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหลังจากนี้ ผู้ถูกเลือก จะรับรู้การมีอยู่ของเวทมนตร์และได้รับสิทธิ์ในการฝึกฝนมันทันทีที่ถูกพามายังองค์กรส่วนกลาง ต่างจากคนทั่วไปที่มีสิทธิ์รับรู้ตอนอายุ 23 ซึ่งอยู่ในช่วงจบการศึกษาและได้รับการอนุญาตให้ฝึกฝนเมื่ออายุ 25 เสียงกระแอมดังขึ้นพร้อมกับที่ปรากฏร่างอัศวินหนุ่มวัยไม่เกินสามสิบที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าหน้าที่ชุดขาว ทั้งสามทำความเคารพและเดินจากไปทิ้งให้นักเรียนทั้งยี่สิบเจ็ดคนอยู่กับอัศวินเกราะเงิน
“สวัสดีและยินดีต้อนรับ.. ฉัน ยามาสะ อันริว จะเป็นผู้ทำการฝึกพวกเธอนับจากนี้ ฝากตัวด้วยล่ะ!”
เสียงรับคำอ่อยๆ ดังขึ้นเพื่อแสดงว่าพวกเขายังฟังอยู่ ยามาสะ อันริวเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบกลางๆ ถึงปลายที่ซอยผมสั้นสีดำ ในความคิดของนักเรียน อันริวเป็นคนที่ดูดีคนหนึ่งรูปร่างที่ไม่บึกบึนจนเทอะทะทำให้การใส่เกราะอัศวินไม่ได้ดูปัญญาอ่อนสำหรับเขาแต่กลับทำให้ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ถ้าฮาคาเสะไม่ได้ฟังเรื่องบ้าๆ อย่างเวทมนตร์มาก่อนคงคิดว่ายามาสะ อันริวเป็นมาสคอตธรรมดาที่มีรูปร่างดีและมาแต่งชุดคอสเพลย์เป็นอัศวิน
“ไม่แปลกหรอกที่พวกเธอจะไม่เคยรู้เรื่องเวทมนตร์มาก่อน ทางการสั่งให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับจนกว่าพวกเธอจะโตพอที่จะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดจากความผิดพลาดของเวทมนตร์ได้ สำหรับคนอื่นจะต้องรอถึงอายุ 23 ก่อนถึงจะมีสิทธิ์รู้ความจริงเกี่ยวกับเวทมนตร์ แต่กับเธอที่เป็นผู้ถูกเลือก ผมจะสอนวิธีการดึงพลังเวทมนตร์ออกมาใช้อย่างถูกต้องให้” เขาพูดอย่างเข้าใจความคิดที่อยู่ในหัวเด็กทั้งห้อง
“พวกเธอคงสงสัยเรื่องวิธีการเลือกคนเพื่อมาเข้ารับการฝึกฝนกัน …เราใช้วิธีการวัดพลังเวทมนตร์จากค่าเฉลี่ยส่วนใหญ่ของคนในห้อง ห้องที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดจะถูกส่งมาที่นี่ และเราเรียกนักเรียนกลุ่มนั้นว่าผู้ถูกเลือก ซึ่งหมายความว่า… พวกเธอมีพลังในระดับท็อปของโรงเรียนยังไงล่ะ” อันริวอธิบายไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างความกดดันกับนักเรียนจนเกินไป และก็ถือว่าได้ผลเมื่อเห็นว่าอาการหวาดวิตกบนใบหน้าของทั้งหมดลดน้อยลงจนแทบจะหายไป จะมีก็แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นอายุ 17 ล่ะครับ” ทสึจิโนะ ดากะถามขึ้น เป็นคำถามเดียวกับที่อยู่ในใจของใครหลายๆ คน
“เป็นคำถามที่ดี... สาเหตุก็เพราะพลังเวทมนตร์ในตัวของแต่ละคนจะเริ่มตื่นขึ้นในช่วงนี้ การฝึกพลังในช่วงที่มันพึ่งตื่นนั้นจะมีประสิทธิภาพมากกว่าช่วงหลายปีถัดจากนี้มากนัก แต่เราก็ไม่สามารถฝึกให้ทุกคนได้ ทางองค์กรมีเครื่องมือและบุคลากรไม่เพียงพอต่อการฝึกฝนพวกเขาเหล่านั้น เราจึงต้องเลือกคนที่มีความหวังที่สุดเพื่อรับการฝึกแทน”
อันริวอธิบายถึงตารางการฝึกสั้นๆ ก่อนปล่อยให้นักเรียนแยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อเรียบเรียงข้อมูลและเตรียมพร้อมรับศึกครั้งใหม่ในวันพรุ่งนี้ ฮาคาเสะและนักเรียนอีกยี่สิบหกคนข่มตาหลับอย่างยากลำบาก แต่ในที่สุดความเหนื่อยล้าก็เอาชนะความกังวลได้ พวกเขาหลับเป็นตายโดยไม่ได้รับรู้ถึงโชคชะตาหนักอึ้งที่จะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้
"พวกเธอต้องเข้าใจว่าค่าพลังเวทมนตร์เฉลี่ยของพวกเธอนั้นสูงที่สุดเท่าที่นักเวทฝึกหัดเคยมีมา..."
"..พวกเราคาดหวังกับเธอ"
อันริวมองพวกเขาด้วยสายตาคาดหวังตามที่พูด และนั่นยิ่งทำให้พวกฮาคาเสะรู้สึกกดดันขึ้นอีกหลายเท่า ตามที่รู้มานั้น หลังจากเผ่าพันธุ์เอลฟ์และภูติถูกกวาดล้างโดยมนุษย์แล้ว สมดุลระหว่างเวทแห่งความมืดและเวทแห่งดาราก็เกิดการสั่นคลอน ปีศาจบางเผ่าพันธุ์สูญเสียสติสัมปชัญญะไป และหน้าที่ของพวกฮาคาเสะก็คือปราบปรามหรือ'กำจัด' ปีศาจกลุ่มนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับผู้คนทั่วไป ปีศาจเมื่อไร้สติปัญญาก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ร้ายที่มีพละกำลังมหาศาล จึงจำเป็นต้องใช้'เวทมนตร์'ในการต่อสู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะได้เรียนรู้ต่อไปนี้คือสายพลังของตนและการดึงพลังนั้นมาใช้อย่างถูกต้อง
"เราจะใช้ [Arc of Enchanted]ในการวัดสายพลังของพวกคุณและทำการฝึกทีมเวิร์ค ใครมีข้อสงสัยอะไรมั้ย"
“….”
"ถ้าไม่มีอะไรแล้วเชิญไปยืนตรงนั้นได้" อัศวินหนุ่มชี้ไปทางเสาคริสตัลสูง 5 เมตรที่ตั้งเป็นวงกลมพื้นบริเวณนั้นเป็นวงเวทขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบ 3 เมตร
ซานากะ นากาชิโอะ เด็กหนุ่มผู้ร่าเริงประจำห้องเดินไปที่กึ่งกลางของวงเวทเป็นคนแรก หลังจากนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งมันก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง เสาคริสตัลเปล่งแสงสีม่วงเช่นเดียวกับที่ตัวอักษรโบราณที่ถูกเขียนบนพื้น เพื่อนร่วมชั้นส่งเสียงฮือฮาออกมา ลูกไฟสีทองปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าด้านหน้าอันริว ครูฝึกพิเศษหยดของเหลวสีฟ้าใสจากหลอดเก็บอุปกรณ์เวทมนตร์ลงบนลูกไฟดวงนั้น มันพุ่งไปที่ข้อมือของซานากะอย่างรวดเร็วและกลายเป็นสายรัดข้อมือ
"คุณซานากะ จับที่สายรัดข้อมือของคุณไว้แล้วพูดตามผม"
"อัลเคียแนร์ เดอธีออส"
"อัลเคียแนร์ เดอธะ.. ธีออส?" ทันทีที่ผู้กล้าประจำห้องพูดจบสายรัดข้อมือก็เปล่งแสงอีกครั้ง แสงสีฟ้าฉายออกมาด้านหน้านักเรียนทั้งสายชั้น
ชื่อ : ซานากะ นากาชิโอะ
เผ่าพันธุ์ : มนุษย์
สายพลัง : ทรูเปอร์
แรงค์ : B
เวทมนตร์ : 70
ไหวพริบ : 90
การเคลื่อนไหว : 80
ค่าสถานะที่เหมือนกับเกมออนไลน์ทำให้นักเรียนได้แต่ยืนอึ้ง เช่นเดียวกับเจ้าของค่าสถานะที่เดินออกมาจาก[Arc of Enchanted]อย่างงงๆ
"ที่พวกเธอเห็นคือค่าสถานะส่วนตัวที่วัดได้จากเครื่องแยกสายพลังซึ่งแบ่งออกเป็น 4 สายหลัก 8 สายย่อย สายแรกคือสายสนับสนุนมี อาเชอร์ การโจมตีระยะไกล และ แอสซิสเตอร์ คอยสนับสนุนทีม สายที่สองคือสายบุกทะลวงมี เซเบอร์ เป็นผู้ใช้ดาบ สาย เบอร์เซิร์กเกอร์ ที่มีพละกำลังมากที่สุด และอีลิมิเนเตอร์ที่มีเวทโจมตีรุนแรงที่สุด ส่วนสายที่สามคือสายความเร็วได้แก่ ทรูเปอร์ ซึ่งเน้นความรวดเร็วที่สุดและ ไฮเดอร์ ที่มีหน้าที่หลักคือการสืบข่าว สายพลังของไฮเดอร์มีความสามารถในการสอดแนมและโจรกรรมข้อมูล
ส่วนสายสุดท้าย.. เป็นสายที่เรามีข้อมูลน้อยที่สุดคือสายลบล้าง มีสายพลังย่อยเพียงสายเดียวคือ ดิสทอร์เตอร์ ซึ่งมีความสามารถในการ ‘บิดเบือน’ ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่คนที่มีพลังสายนี้ และเท่าที่ทราบมา... เรายังไม่สามารถใช้ความสามารถนี้ทำอะไรได้นอกจากงานธรรมดาอย่างบิดผ้าแล้วเอาไปตาก คงต้องรอดูต่อไปว่านอกจากนี้แล้วยังทำอะไรได้อีกหรือไม่"
คนต่อไปที่ไปรับการทดสอบสายพลังคือหัวหน้าห้องผู้เปี่ยมไปด้วยวุฒิภาวะ แน่นอนว่าค่าสถานะของเขามันมากพอๆ กับความมั่นใจที่เกินล้านของเขาเลย
ชื่อ : ทสึจิโนะ ดากะ
เผ่าพันธุ์ : มนุษย์
สายพลัง : เซเบอร์
แรงค์ : A *h S
เวทมนตร์ : 100
ไหวพริบ : 100
การเคลื่อนไหว : 100
"สุดยอดเลย.. ทสึจิโนะคุง!"
"ทสึจิโนะ นายนี่มันอัจฉริยะจริงๆ!"
"ฉันอยากมีค่าสถานะอย่างนั้นบ้างจัง"
เพื่อนในห้องส่งเสียงฮือฮากับค่าสถานะที่มากมาย(เกินมนุษย์มนา)จนน่าอิจฉา แต่สิ่งที่คาใจทุกคนอยู่คือแรงค์ A *h S ของเขาและก่อนที่ดากะจะขอคำอธิบาย อันริวก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
"แรงค์ A *h S หรือ A half S เป็นระดับสูงสุดของผู้ที่ยังไม่เคยผ่านการฝึกฝนการใช้เวทมนตร์มาก่อน ที่เรียกว่านักเวทฝึกหัดนั่นล่ะ คุณมีพรสวรรค์อันเหลือเชื่อจริงๆ คุณทสึจิโนะ"
ทสึจิโนะ ดากะเก่ง..อันนี้เขายอมรับ และฮาคาเสะจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าคนที่ต้องทดสอบหลังจากหัวหน้าห้องคนเก่งจะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เขา.. คนถัดมาที่ถูกเรียกชื่อคือ ฮาคาเสะ รีอา ผู้ไร้ความสามารถ และยิ่งได้ทดสอบต่อจากทสึจิโนะ ดากะที่เพอร์เฟคไปซะทุกเรื่อง ความไร้ประโยชน์ของเขาดูจะหนักยิ่งกว่าเดิมอีก เสียงซุบซิบและเสียงหัวเราะคิกคักดังจากกลุ่มเพื่อนทันทีที่ชื่อของเขาถูกเรียก แน่นอนว่าทุกคนต้องเปรียบเทียบทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างสนุกปากและเอาไปล้ออีกนาน
ฮาคาเสะทำตามขั้นตอนการตรวจสอบถูกต้องทุกอย่างจนกระทั่งขั้นตอนสุดท้าย สายรัดข้อมือของเขาแผ่ไอความมืดออกมา ต่างจากเพื่อนคนอื่นที่มักจะเป็นสีเขียว สีฟ้าหรือสีแดง
ชื่อ : ซาเอลล์ สปีลเบิร์ต
เผ่าพันธุ์ : ??
สายพลัง : ดิสทอร์เตอร์
แรงค์ : UI (*unidentified)
เวทมนตร์ : -
ไหวพริบ : -
การเคลื่อนไหว : -
"อะไรน่ะ! บั๊กหรอ"
"บ้าน่ะ นี่ไม่ใช่เกมนะจะมีบั๊กได้ไง"
"ทำไมค่าสถานะของเขาเป็นอย่างนั้นล่ะ"
"มันไร้ความสามารถจนระบบไม่ทำงานล่ะมั้ง"
ถึงเขาจะห่วยแตกยังไงฮาคาเสะก็ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดที่อุปกรณ์เวทมนตร์ระดับนี้จะแฮงค์ตามไปด้วย เด็กหนุ่มหันไปทางอันริวอย่างขอคำแนะนำ แต่เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดชนกันจนแทบผูกเป็นโบก็พอจะเดาได้ว่าไม่เคยมีกรณีอย่างเขาเกิดขึ้นมาก่อน
"[Arc of Enchanted] ไม่เคยเป็นแบบนี้ ผมจะให้ฝ่ายเทคนิคตรวจสอบให้ไวที่สุดเพื่อจัดกลุ่มให้คุณได้อย่างถูกต้อง"
คลาสเรียนแรกเริ่มด้วยการอธิบายหลักการทำงานของเวทมนตร์และวิธีดึงมาใช้ จากนั้นจึงเป็นคาบฟรีสไตล์ที่ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองเนื่องจากอันริวบอกไว้ว่าเวทมนตร์นั้นต้องลงมือปฏิบัติจริงถึงจะเข้าใจ ฮาคาเสะและคนอื่นๆ จึงแยกย้ายกันหาหนังสือในห้องสมุดที่เกี่ยวกับศาสตร์เวทมนตร์มาอ่าน
ห้องสมุดแห่งนี้เป็นโดมขนาดใหญ่ การตกแต่งทั้งภายนอกภายในได้รับอิทธิพลมาจากแถบตะวันตก และที่สำคัญ..ที่นี่ ไม่มีบรรณารักษ์ หนังสือภายในนี้มีหลายหมื่นหรืออาจถึงแสนเล่มแต่กลับไม่มีบรรณารักษ์! แต่ทั้งหนังสือเรียนทำอาหารไปจนถึงศาสตร์มืด มนตร์ดำ หรือศาสตร์ต้องห้าม อะไรก็แล้วแต่..ก็ถูกจัดอย่างเป็นหมวดหมู่ ง่ายต่อการกำหนดขอบเขตการหา เช่นเวทมนตร์เกี่ยวกับพืชพรรณอยู่กรีนโซนด้านขวาของห้องสมุด และแน่นอนว่าพวกมนตร์ดำนั้นถูกจัดอยู่ในแบล็คโซนที่ต้องมีศักดิ์ระดับมหาศาสตราจารย์เท่านั้นจึงจะเข้าไปได้
ฮาคาเสะหยิบหนังสือที่ตราปกไว้ว่า 'ตำราศาสตร์แห่งอาร์กันธาเนีย' มันหนาเกือบสามนิ้ว เนื้อหาภายในมีเขียนตั้งแต่ประวัติการใช้เวทมนตร์ยุคบุกเบิก วิธีการใช้ ผลกระทบ ไปจนถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับแขนงเวทมนตร์ กระดาษหนังสือเก่าจนเป็นสีเหลืองและกรอบไปทั้งเล่ม
"เฮ้! ฮาคาเสะ นายต้องช่วยพวกฉันติวด้วยนะ" เสียงดังอย่างร่าเริงดังมาจากซานากะ นากาชิโอะ หนึ่งในเพื่อนอันน้อยนิด เขาเดินมากับเด็กสาวผมสีแดงนามว่านาเอกิ ซาจิน ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่หาได้ยากยิ่งของเด็กหนุ่มผมสีฟางคนนี้
"นายไม่อยากเห็นเพื่อนเลิฟหน้าแตกกลางห้องหรอก เชื่อสิ!" นาเอกิ ซาจินพูดเสริมพร้อมกับวางหนังสือที่หนาไม่ต่างกันลงที่โต๊ะด้านหน้าฮาคาเสะ เสียงกระแทกโต๊ะดังปึง! ทำเขาสะดุ้งก่อนจะรีบฟุบตัวลงกับโต๊ะให้กองหนังสือมหึมาที่ถูกขนมาโดยเพื่อนทั้งสองบังตัวเขา เสียงรบกวนผู้ใช้ห้องสมุดคนอื่นนั้นเริ่มแรกดังมาจากการทักทายอย่างไม่รู้กาลเทศะของซานากะและแทนที่ผู้หญิงอย่างนาเอกิจะช่วยเตือน เธอกลับส่งเสียงรบกวนคนอื่นซ้ำอีก เด็กหนุ่มเอามือกุมหน้าผากอย่างเหนื่อยใจก่อนเงยหน้ามาพูดกับสองเพื่อนซี้
"นากะจิน ไนกิ.. ฉันไม่รู้เรื่องเวทมนตร์เลยนะ จะไปติวรู้เรื่องได้ยังไง" เสียงพูดอย่างอ่อนใจไม่ได้ทำให้ทั้งคู่ล้มเลิกความตั้งใจแม้แต่น้อย และถึงจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ ฮาคาเสะก็เปิดหนังสือที่นาเอกิหรือ 'ไนกิ' วางไว้แบบผ่านๆ และเลือกที่จะอ่านหนังสือที่ตนเองเจอแทน
"ขอทีเถอะ ฉันชื่อนาเอกิไม่ใช่ไนกิ แล้วก็นะ สมองอย่างนายอ่านทีเดียวก็แปลภาษาต่างดาวให้เป็นภาษาคนได้แล้ว อย่ามาเล่นตัวหน่อยเลย"
"มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ทีนากะจินยังไม่บ่นเลย อีกอย่าง..หนังสือพวกนี้มันก็ภาษาคนทั้งนั้น ภาษาต่างดาวอะไรของเธอ"
"หนังสือทั้งโลกก็ภาษาต่างดาวทั้งนั่นล่ะ ปิดปากแล้วอ่านมาซะดีๆ" นาเอกิยื่นคำขาดส่วนนากะจิน ตามที่ฮาคาเสะเรียกก็พยักหน้าเห็นด้วยเร็วๆ จนเขากลัวว่าเพื่อนคนนี้จะเวียนหัวไปซะก่อน เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเริ่มอ่านตั้งแต่ยุคบุกเบิก ยุคแรกที่มนุษย์รู้จัก'เวทมนตร์'
"เราเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์เมื่อประมาณสามร้อยปีที่แล้วผ่านสองเผ่าพันธุ์มหาอำนาจที่ถูกเรียกว่า.. ภูติแห่งเดธแลนด์และเอลฟ์แห่งสโนว์แลนด์ ทั้งสองเผ่าพันธุ์นี้มีพลังเวทมนตร์ที่แทบจะเรียกได้ว่าอนันต์ ภูติแห่งเดธแลนด์นั้นโดดเด่นด้านการใช้ธาตุความมืด ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็สามารถใช้เวทมนตร์ธาตุอื่นได้อย่างไร้ที่ติเช่นกัน
ส่วนเอลฟ์แห่งสโนว์แลนด์จะเด่นในธาตุดารา.. เรียกง่ายๆ ก็ธาตุแสงนั่นแหละ ภูติและเอลฟ์คอยคานอำนาจของเวทมนตร์ทั้งสองธาตุและรักษาสมดุลระหว่างธาตุทั้งหมด โดยรวมแล้วก็เหมือนหยินหยางคือตรงข้ามกันเป็นแทบทั้งหมด แต่ก็มีบางส่วนที่ทั้งสองเผ่าพันธุ์มีร่วมกัน พวกนายคิดว่าคืออะไรล่ะ" ฮาคาเสะถามพลางกระตุกรอยยิ้มแปลกๆ ขึ้นบนใบหน้า
"อืมม์..." ซานากะและนาเอกิขมวดคิ้วจนแทบชนกัน ก่อนจะยิ้มกว้างพร้อมกับดีดนิ้วเสียงดังจนคนแทบทั้งห้องสมุดหันมามองเป็นตาเดียว "หูแหลม!.. อุ๊ปส์!"
ทันทีที่โพล่งออกมาอย่างลืมตัวทั้งคู่ก็รีบปิดปากตัวเองอย่างอับอายในขณะที่ฮาคาเสะแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหวเด็กหนุ่มฟุบกับโต๊ะเพื่อปิดกั้นเสียงให้มากที่สุด แต่อาการเหล่านี้ก็หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อซานากะประเคนบาทาให้อย่างอบอุ่นจนเกือบตกเก้าอี้ เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่เกิดจากการหัวเราะแบบคอมโบเมื่อครู่ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
"อะแฮ่ม!.. ภูติจะมีอุปนิสัยที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ พวกเขาไม่คุ้นเคยกับคนนอกเผ่าและยิ่งไร้ปฏิสัมพันธ์เมื่อคนนอกที่ว่าคือ มนุษย์ นั่นทำให้พวกเขาเข้าถึงยาก ต่างจากเอลฟ์ที่มีนิสัยสุภาพและ เอ่อ.. มนุษยสัมพันธ์ดี ฉันไม่รู้นะ ในหนังสือมันเขียนมาอย่างนี้.."
"เราเรียนรู้เวทมนตร์จากเผ่าเอลฟ์แทบทุกธาตุยกเว้นก็เพียงเวทแห่งความมืด ปัจจุบันมนุษย์เราจึงยังไม่สามารถใช้ธาตุความมืดได้ แต่จากการค้นคว้าเพิ่มเติมทำให้รู้ว่ามีวิธีหนึ่งที่จะสามารถดึงเวทมนตร์ธาตุความมืดออกมาได้ชั่วคราว นั่นก็คือการใช้เวทมนตร์จากแหล่งกำเนิดพลังงานของปีศาจธาตุความมืด แต่มันก็ออกจะผิดจรรยาบรรณไปหน่อย.. ฉันว่าไม่หน่อยเลยล่ะ สิ่งมีชีวิตทุกประเภทถ้าแหล่งพลังงานเหือดแห้งก็ต้องตาย"
“และในกรณีนี้.. พลังที่เราดึงมาใช้ก็คือพลังชีวิตของมันนั่นเอง”
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
ความคิดเห็น