คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : มนตราที่4 :: สู่บ้านผีสิง
มนตราที่ 4
สู่บ้านผีสิง
อดทนอยู่กับพวกประหลาดไม่นานนักเกวียนก็พาพวกเธอมาถึงสถานที่สำหรับการสอบสัมภาษณ์ อาคารใหม่แต่ดูเก่าตั้งตระหง่านอยู่หน้าเหล่าผู้ผ่านการทดสอบทั้งเจ็ด บรรยากาศวังเวงราวกับเล่นเกมทดสอบความกล้า หลังจากลมน่าขนลุกพัดผ่านไปเกือบสิบนาที ในที่สุดทั้งเจ็ดก็กลั้นใจเดินเข้าไปในตึกจนได้
เป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอันดับท้ายๆ ที่สภาพในตึกเข้ากับบรรยากาศรอบนอกอย่างมาก ไฟติดๆ ดับๆ และอากาศอับชื้น ยิ่งเดินลึกเข้าไปยิ่งรู้สึกได้ถึงความน่าไว้วางใจของระบบป้องกันประเทศเมืองนี้
“บอกข้าทีว่าที่นี่เป็นสถานที่ราชการ”
“ต้องเป็นสถานที่ราชการแน่ ..สุสานราชการน่ะ”
สิ้นเสียงพูด ลมลึกลับก็หอบกลิ่นอายสยองขวัญมาให้ขนลุกเล่น
“บอยตัวเล็ก อย่าพูด มันเป็นลาง”
แอ๊ด
เสียงเปิดประตูช้าๆ ตามฉบับหนังทริลเลอร์ดังขึ้น ทุกฝีเท้าชะงักกึกและค่อยๆ หันไปมองต้นเสียงด้วยสีหน้าซีดจนแทบเขียว มือเริ่มอยู่ไม่สุขอยู่ใกล้ใครก็คว้าคนนั้น และความกลัวอย่างถึงที่สุดก็พุ่งปรี๊ดขึ้นสมองเมื่อเสียงส้นรองเท้าคอมแบทกระทบกับพื้นไม้
“โทดที ประตูมันเสียน่ะ งบกองกลางหมดแล้ว ...พวกที่สอบผ่านรอบแรกใช่ไหม ตามข้ามาทางนี้เลย ห้องสอบอยู่ตึกข้างๆ”
...งบหมด...
...งบหมดงั้นเหรอ...
“ข้าขอสาบานกับพระผู้เป็นเจ้า เมื่อใดที่ข้าเป็นใหญ่เป็นโต ตึกนี้จักเป็นตึกแรกที่ข้าจะมาบูรณะ” สิ้นคำปฏิญาณตนอย่างพร้อมเพรียง นายทหารก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นพร้อมตบบ่าเคฟฟ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างเห็นใจ
“ไม่ต้องห่วงไปว่าที่นักเรียนทหาร สมัยข้ามาสอบครั้งแรกก็เป็นเหมือนเจ้านั่นแหละ..” รอยยิ้มกึ่งเจ้าเล่ห์กึ่งปลงกระตุกขึ้นบนใบหน้า
“..และเมื่อเจ้าได้เข้าไปเมื่อไหร่ เจ้าจะรับรู้เองว่ามีตึกที่รอการบูรณะมากมายจนเจ้าเลือกไม่ถูกทีเดียวเชียว”
“ในนามของบุตรธิดาแห่งแผ่นดิน ข้าขออุทิศผลบุญทั้งหมดที่ข้าเคยทำมาแก่กองทหารแห่งนี้ด้วยเทอญ”
“บุญทุกชาติรวมถึงในอนาคตของเจ้าก็ช่วยกรมการคลังของสถาบันเราไม่ได้หรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
แล้วนายทหารคนนั้นก็หันหลังเดินจากไปอย่างสง่างาม
..อาเมน..
ในการสอบสัมภาษณ์ ทุกคนแยกย้ายเข้าไปทดสอบตามห้องที่มีรายชื่อ(ที่ไม่รู้ว่าใช้เวลาแค่นี้เตรียมได้อย่างไร)ประกาศไว้ อย่างน้อยๆ ในตึกนี้ก็มีสถานที่ที่ไม่อับชื้นอยู่ที่หนึ่งคือห้องสอบสัมภาษณ์
“เอาล่ะ คุณเอลนาร์ด เชิญนั่ง”
เสียงเกือบจะยานคางดังขึ้นจากผู้ทดสอบที่ถือกระดาษหนึ่งแผ่นไว้ในมือและเหลือบตามองเธอผ่านช่องระหว่างเลนส์แว่น ..ลุคแบบนี้.. อาจารย์ในอุดมคตินั่นเอง
“ขอบคุณค่ะ”
“ได้ยินว่าคุณใช้เวลาเพียงน้อยนิดในการผ่านการทดสอบรอบแรก เป็นเรื่องจริงหรือ”
เวรล่ะ..
“ก็ไม่เชิงค่ะ”
“ขอคำอธิบายที่ชัดเจนกว่านี้ด้วย คุณเอลนาร์ด”
ย้ำทำไมนักหนา แค่นามสกุล(ปลอม) สองพยางค์ จำไม่ได้ก็อัลไซเมอร์แล้ว
“ตอนที่ข้าออกมายังไม่เห็นผู้ผ่านการทดสอบรอบแรกมากนัก แต่ข้าไม่ทราบเวลาที่แน่นอนที่ข้าใช้สำหรับออกมาจากปราสาท”
“อืมม์.. ได้ยินว่าคุณผ่านออกมาจากประตูโดยที่กุญแจยังอยู่กับผู้พิทักษ์ปราสาทจริงหรือ”
ฉิบหาย..
“รูปปั้นนั่นมีกุญแจด้วยหรือ”
“ผมถามคุณเพราะต้องการคำตอบไม่ได้ต้องการคำถาม”
“งั้นก็มองคำถามให้เป็นคำตอบสิคะ”
“ถ้าอย่างนั้นคำตอบของคุณก็ไม่ใช่คำตอบที่ผมต้องการ”
ขอบคุณ
“เป็นเรื่องจริง ข้าไม่ได้ใช้กุญแจในการออกจากปราสาท”
“แล้วเจ้าออกมาได้อย่างไร”
“สะเดาะกลอนประตูออกมา”
ยิ่งนานเข้าความสุภาพก็ยิ่งหดหาย เป็นความเบื่อหน่ายแกมรำคาญที่เข้ามาแทน
“สถาบันที่เจ้ากำลังทดสอบเป็นสถาบันการทหาร มิใช่สาบันแมวขโมย เจ้ารู้ใช่หรือไม่”
“แน่นอน และข้าก็เป็นเดอะ เมอเซนนารี มิใช่เดอะ ทีฟ เผื่อว่าในใบประวัติไม่ได้เขียนไว้”
ราวกับมีประจุไฟฟ้าแล่นเมื่อสายตาสองคู่สบกัน ในที่สุดผู้ทดสอบก็เป็นผู้ละสายตาไปมองกระดาษในมือ
“เหตุใดเจ้าจึงเลือกวิธีหนีแทนที่จะสู้”
“ถ้าท่านเห็นประตูสู่สวรรค์อยู่ข้างหน้า และมีนรกเคลื่อนที่วิ่งตามท่านจะเลือกทางไหน สวรรค์ หรือหันไปเผชิญกับนรกที่ไร้ซึ่งความหวัง”
“แต่นรกที่เจ้าพูดถึงมีความหวัง” ว่าแล้วชายมีอายุก็ทำท่าเขย่าสร้อยคอราวกับว่ามันเป็นกุญแจที่คล้องคอผู้พิทักษ์ปราสาท
“เป็นท่านท่านจะรู้หรือว่าประตูถูกล็อค จะรู้หรือว่าความหวังอยู่กับรูปปั้นหินพวกนั้น จะรู้หรือว่าการหันไปสู้โดยไม่รู้อะไรเลยจะเป็นทางที่ดีกว่า”
“ทหารย่อมไม่หันหลังให้การต่อสู้”
“การต่อสู้ที่ไร้ค่า ไม่คู่ควรกับการเสียเวลา”
“การวิ่งหนี มิใช่วิสัยของทหาร”
“แล้วทหารส่งสาสน์ที่หนีข้าศึก มิใช่ทหารหรอกหรือ”
“ทหารเหล่านั้นไม่ได้หนี เพียงแต่ใช้วิธีที่รวดเร็วที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่”
“ถ้าเช่นนั้นเหตุผลของข้าคงเป็น ‘ข้าเลือกวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการผ่านการทดสอบ’ ”
“การทดสอบไม่ได้เน้นความเร็ว”
“ท่านไม่คิดหรือว่า ‘เวลาไม่จำกัดแต่เราจำกัดคน’ เป็นการบอกว่าการทดสอบแข่งกับเวลา”
บรรยากาศเพิ่มความมาคุขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ทั้งคนสัมภาษณ์และคนถูกสัมภาษณ์จ้องตากันอย่างไม่ลดละ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ชายเคยหนุ่มเป็นฝ่ายละสายตาไป มือหยาบกร้านเขียนบางอย่างลงในกระดาษก่อนสอดมันเข้าไปในแฟ้ม
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ หวังว่าคุณจะพอใจกับผลการสอบที่จะประกาศในไม่ช้า”
“เช่นกัน ..เผื่อว่าท่านต้องการอีกคำตอบ ข้ายังอยากเป็น เดอะเมอเซนนารี อยู่ ถ้าหันไปสู้อย่างไร้เป้าหมายแล้วจะทำให้ฉายาข้าเปลี่ยนเป็น เดอะ บอดี้ ออฟเอเรเน่ ข้าคงขอบาย”
เธอเดินเนือยๆ ออกจากห้อง กลับสู่บรรยากาศวังเวงภายในตึกอีกครั้ง และเมื่อเปิดประตูออกมาคนแรกที่เธอเจอก็คือนายทหารคนเดิมที่พากลุ่มของเธอมาส่ง
“เสร็จแล้วรึ ทำเวลาได้ดีนี่ ออกมาดีๆ หรือโดนไล่ออกมาล่ะ”
“ไม่เคยอยากได้ยินคำทักทายไหนเท่าคำนี้มาก่อนเลย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ปากอย่างนี้คงโดนไล่ออกมาล่ะสิ”
“...”
“ข้าล้อเล่น หวังว่าจะเห็นเจ้าในวันเปิดภาคเรียนนะ”
“ยังเรียนไม่จบอีกเหรอคะ”
“อย่ามาแซวข้าเลย ข้ารู้ว่าข้ายังหนุ่มยังแน่น กายังไม่เคยมาเกาะหน้า ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก”
ซินเธียกลอกตาปนขำ เตรียมจะหันหลังออกจากห้องโถงก่อนที่เชื้อความหลงตัวเองจะตามเธอกลับบ้านไปด้วย แต่ไม่ทันไรก็เหมือนจะมีเศษแก้วร่วงกราวมาจากหน้า
“น้องๆ ! ประตูทางออกอยู่ด้านนี้!”
ความคิดเห็น