คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chap.2 ..เธออาจเป็นพลังงานบางอย่าง.. (re)
..เธออาจเป็นพลังงานบางอย่าง..
"ซวยล่ะ ลืมซ่อนจิต"
เรธิเซียเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติไม่มีการแอบซ่อนใดๆ เพราะรู้ดีว่าทั้งสามรับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอแล้ว สังเกตได้จากชายร่างยักษ์ที่เหมือนจะมีเมฆดำมืดมาบดบังใบหน้า เสียงลอดไรฟันแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวได้เป็นอย่างดี "พวกแกรู้ว่ามีคนซ่อนอยู่... แล้วทำไมไม่จัดการ!" เขาตะคอกอย่างเดือดดาล แต่เด็กหนุ่มอีกคนเพียงยักไหล่
"ฉันเป็นพวกแรงงานสมองไม่ใช่พวกใช้กำลัง เรื่องแบบนี้พวกแกก็จัดการเอาเองสิ หมดธุระแล้วพวกฉันขอตัวก่อนแล้วกัน" ไม่ว่าเปล่า เด็กหนุ่มขี้เล่นคนนั้นเอานิ้วมาเคาะแถวขมับเพื่อย้ำว่าเขาเป็นพวกแรงงานสมองจริงๆ ชายร่างยักษ์เมื่อได้ยินคำตอบแบบปัดๆ ก็เลือดขึ้นหน้าจนแทบจะเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมาบริเวณหน้าผาก และในวินาทีถัดมา พวกใช้กำลัง'ก็นึกขึ้นได้ว่าควรทำอะไร
เขาชักปืนพกที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อออกมาก่อนยิงไปยังต้นไส้ที่เธอ'เคย'ซ่อนอยู่ เรธิเซียออกวิ่งอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกดีที่อยู่ในป่ารกทึบมีต้นไม้มากมายช่วยรับกระสุนแทน ถึงอย่างนั้นการวิ่งสุดฝีเท้าทั้งวันก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก ..มันไม่ดีมากๆ เลยด้วยซ้ำ เธอออกรบมาตั้งแต่เช้า พอตื่นขึ้นมาในป่าอย่างงงๆ ก็มีเรื่องให้ต้องเอาชีวิตรอดอยู่ตลอด ขาทั้งสองข้างเหนื่อยล้าเกินกว่าจะวิ่งได้อีก สายตาเริ่มสอดส่องหาที่สำหรับหลบซ่อน แต่แล้วเธอก็รู้สึกถึงแรงกระชากจากด้านขวา สัญชาตญาณและความเคยชินทำให้เธอชักมีดออกมาทาบลงบนคอของบุคคลปริศนาอย่างอัตโนมัติ แต่คนที่กระชากเธอนั้นกลับเป็นเด็กหนุ่มผมสีดำในตอนแรกซึ่งขณะนี้กำลังยกมือขึ้นในท่ามอบตัวและยิ้มแหยๆ ให้ เรธิเซียลดมีดลงและหรี่ตามองทั้งคู่อย่างไม่เป็นมิตร บรรยากาศมาคุโรยตัวอยู่นานจนกระทั่งเสียงปืนกระตุ้นให้ทั้งสามหลุดจากบรรยากาศที่น่าอึดอัด คนถูกตามล่ายอมเก็บมีดเข้าที่เดิมก่อนจะถอนหายใจ
"ทำไม" เธอถามห้วนๆ แต่คำถามนั้นก็ทำให้ชายผมดำถอนหายใจอย่างโล่งอก เขายิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยคำที่เธอต้องการที่สุดในตอนนี้ "พวกเรารู้ทางออก ตามมาสิ"
ไม่มีอะไรรับประกันว่าทั้งคู่จะพาเธอออกจากป่าแทนที่จะส่งไปให้ 'นายท่าน' อะไรนั่น แต่ถ้าจะปฏิเสธ..เธอก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถออกจากป่านี้ได้ก่อนจะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณหรือไม่ สุดท้ายเรธิเซียจึงต้องตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก เด็กหนุ่มยิ้มร่า ก่อนจะคว้าแขนเธอและออกวิ่งโดยมีเพื่อนอีกคนวิ่งปิดท้าย เขาเลิกคิ้วมองชุดที่เรธิเซียใส่อย่างสนใจ "ชุดที่เธอใส่แปลกดีนะ คอสเพลย์เหรอ"
"คอสเพลย์?" เธอทวนคำ เด็กหนุ่มคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อก่อนจะถอนหายใจและอธิบาย "ยังมีผู้หญิงที่ไม่รู้จักคอสเพลย์อีกเหรอเนี่ย คอสเพลย์ก็ชุดเหมือนที่เธอใส่ไงมีตั้งแต่พวกชุดพรานไปจนถึงชุดนักเรียนเลย ชุดเกราะก็มีนะ"
"ก็ประมาณนั้น.." เธอตอบส่งๆ การเห็นอะไรแปลกๆ อย่างพวกชุดสูท เสื้อยืดหรือกางเกนยีนส์ทำให้เธอสับสนไม่น้อย อีกอย่างเรธิเซียก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดังนั้นทางที่ดีเธอควรเออออกับคนพวกนี้ไปก่อนเพื่อไม่ทำตัวให้น่าสงสัยมากนัก ทั้งคู่ไม่ได้ถามอะไรอีก สมองของเธอประมวลผลทุกอย่างเข้าด้วยกัน แต่ราวกับจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญหายไปเธอไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ มีจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งหายไปจากกระดานอันนี้
"แฮ่ก! แฮ่ก! เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว พวกนายวิ่งได้ยังไงเนี่ย!" เขาปริปากบ่นทันทีที่ออกจากป่าได้ก่อนหันมาจ้องเธอสลับกับคนเป็นเพื่อนเขม็ง
"นายควรจะออกกำลังกายบ้างไม่ใช่วันๆ เอาแต่นั่งๆ นอนๆ ถึงได้หอบเป็นหมาหอบแดดยังไง" คนถูกจ้องพูดอย่างเหนื่อยหน่ายกับนิสัยรักสบายของอีกคน แต่ไม่ทันไรก็ถูกเพื่อนรักก็สวนทันควัน "ใครจะไปไฟแรงแบบนายกัน พ่อนักกีฬา"
"เราคงจะไม่คุยกันทั้งที่ยังไม่รู้จักชื่อใช่มั้ย" เรธิเซียขัดขึ้น ทั้งสองจึงทำหน้าเหมือนรู้ตัวว่าลืมอะไรไป "อ่อ 'โทษทีๆ ฉันโรเบิร์ต ส่วนไอ้หมอนี่อาเธอร์" ว่าแล้วก็ตบไหล่เพื่อนป้าบๆ
"ฉันเรธิเซีย" เธอพูด แต่โรเบิร์ตกลับขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดทันทีที่ได้ยินชื่อ "เรธิเซีย.. เรธิเซีย.. ชื่อนี้คุ้นๆ เคยได้ยินมาจากไหนนะ" หลังจากพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบเขาก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ! "อ๋อ เจ้าหญิงเรธิเซียในมหากาพย์เครเซอร์ พ่อแม่ของเธอตั้งชื่อตามเจ้าหญิงนั่นเหรอ" โรเบิร์ตหันมาจ้องเธออีกรอบ แต่ต่างจากเดินตรงที่อาเธอร์ก็หันมาเช่นกัน เรธิเซียที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องถามเรื่องความเป็นมาของชื่อเลิกคิ้วก่อนตอบปัดอย่างไม่สนใจ "ไม่รู้สิ ถ้าอยากรู้ก็ไปถามแม่ของฉันเอาเอง แล้วฉันก็ไม่รู้เรื่องมหากาพย์อะไรนั่นด้วย
"มหากาพย์เครเซอร์คือเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาโดยอิงประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเบรคาเซียนทั้งหมดแต่ออกมาในรูปแบบของนิทานเรื่องหนึ่ง เธออาจจะไม่รู้จักก็ได้ เพราะจักรวรรดิแห่งนี้ถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ถ้าไม่ใช่คนที่ศึกษาจริงๆ ก็จะรู้แค่ว่าเป็นชื่อจักรวรรดิแห่งหนึ่งในมหากาพย์บทนี้ที่ไม่ได้มีอยู่จริงเท่านั้น" อาเธอร์เปรยขึ้น
คำว่า 'ประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเบรคาเชียน' ทำให้เรธิเซียที่กำลังก้าวขาชะงักในทันที สำหรับเธอจักรวรรดิเบรคาเชียนไม่ใช่อดีตหากแต่เป็นปัจจุบันและแน่นอนว่าเธอรู้จักจักรวรรดิแห่งนี้เป็นอย่างดี ทำไมจะไม่ล่ะ..ก็เธอเป็นเจ้าหญิงของจักรวรรดิเบรคาเชียนนี่ ถึงอย่างนั้นคำว่า 'ประวัติศาสตร์' ก็ตอกย้ำให้เรธิเซียเชื่อข้อสมมติฐานที่เธอตั้งขึ้นสั่วๆ ระหว่างหาทางออกจากป่า
"ในประวัติศาสตร์เขียนไว้ว่าจักรวรรดิเบรคาเชียนเป็นอาณาจักรที่รักสงบ เป็นดินแดนแห่งนักรบ แต่ด้วยเรื่องบางอย่าง..อาจเป็นอำนาจ..ทำให้มีคนคิดทรยศ...." โรเบิร์ตพูดค้างไว้ แต่เมื่อเห็นว่าเรธิเซียยังฟังอยู่ก็เริ่มพูดต่อ
"เจ้าหญิงเรธิเซียคิดก่อกบฏ เธอบอกทางลับ จำนวนทหารและกลยุทธ์ให้ศัตรู..ให้อาณาจักรคาเธนรู้ ถึงอย่างนั้นก็ต้องใช้เวลาเตรียมการกว่าเจ็ดปีในการบุก ถือเป็นเวลาไม่น้อยที่เสียไปแต่ถ้าเทียบกับการจะยึดครองจักรวรรดิที่แข็งแกร่งขนาดนั้นเจ็ดปีก็ถือว่าเป็นเวลาเพียงน้อยนิดเท่านั้น ในนั้นเขียนต่อว่า เจ้าหญิงเปิดทางลับให้ทหารของอาณาจักรนั้นเข้ามา แต่เมื่อการบุกเสร็จสิ้นแล้วแทนที่เธอจะได้ตำแหน่งหรืออะไรที่สมกับผลงาน อาณาจักรคาเธนก็คิดว่าขนาดจักรวรรดิบ้านเกิดเมืองนอนยังทำลายได้ นับประสาอะไรกับอาณาจักรคาเธนที่ไม่ได้มีบทบาทกับเธอแม้แต่น้อย สมคบคิดกันด้วยเรื่องของผลประโยชน์ล้วนๆ หากมีอาณาจักรให้ผลประโยชน์ที่ดีกว่าคิงริชาร์ดก็กลัวว่าเจ้าหญิงองค์นี้จะกลับมาตลบหลังเขาเช่นที่ทำกับจักรวรรดิของตน กษัตริย์แห่งคาเธนสั่งประหารโดยการตรึงไม้กางเขนและเผาทั้งเป็นต่อหน้าประชาชน แต่ประชาชนกลับคิดว่าเจ้าหญิงทำเพื่อปกป้องพวกตนจึงร้องสรรเสริญโดยไม่ได้รู้ความจริง ...เอาจริงๆ ฉันก็ไม่ได้เชื่ออะไรหรอกนะ ผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ มันก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยคนๆ เดียวจะมีอะไรมายืนยันได้ว่าใครกันแน่ที่ทรยศ"
เมื่อเล่าจบ เรธิเซียก็รู้ถึงเจ็บแปลบที่มือ ตลอดเวลาที่โรเบิร์ตเล่า เล็บของเธอจิกแน่นเข้าไปในมือจนเลือดซิบเพื่อข่มอาการโกรธแค้นทั้งที่ความจริงแทบอยากจะไปลากคอคนเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาจากโลง คำว่า ทรยศ ทำให้เธอรู้ซึ้งถึงคำว่าโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ดวงตาวาวโรจน์บังเอิญสบโรเบิร์ตที่เงยหน้าขึ้นมาทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ถึงกับผงะ
"เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเหรอ มหากาพย์นี่ออกจะดัง ขนาดเด็กเล็กๆ ยังรู้จักเลย" อาเธอร์ที่ไม่ได้สบตากับเธอและไม่เห็นแววตาดุจนักล่าทำให้สามารถพูดต่อได้ ส่วนโรเบิร์ตปิดปากเงียบไปตั้งแต่ตอนนั้น เรธิเซียสลายแววตาอาฆาตไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
"อ๋อ มหากาพย์บทนั้นนั่นเอง" เธอก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้รู้จักอะไรหรอก อีกอย่าง.. เธอจะไปรู้จักได้ยังไงในเมื่อตัวเรธิเซียเองนั่นแหละที่เป็นตัวเอกของเรื่อง และประวัติศาสตร์ก็ผิดเพี้ยนไปคนละทางกับความเป็นจริง เธอไม่มีทางรู้จักอะไรก็ตามที่บอกว่าเธอเป็นคนทรยศ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้น ทั้งสามเดินไปเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรอีกจนกระทั่งมาถึงทางแยก "พวกเราจะกลับแล้ว เธอเองก็ควรจะรีบกลับบ้าน"
เรธิเซียพยักหน้าขอบคุณที่ช่วยพาออกมาจากป่าก่อนจะผละออกมา อาเธอร์และโรเบิร์ตเดินไปยังถนนที่มีเพียงแสงไฟสลัวนำทาง "ฉันว่าถ้าเจอยัยนั่นอีกระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ แววตาคู่นั้นน่ะ นักล่าชัดๆ" โรเบิร์ตพูดพลางยกมือขึ้นลูบต้นแขนอย่างหวาดเสียว ว่าแล้วทั้งคู่ก็หันกลับไปมองตำแหน่งที่เธอยืนอยู่อีกครั้ง แต่เรธิเซียหายไปแล้ว.. ความคิดประหลาดๆ เริ่มเกิดขึ้นในหัวอาเธอร์พร้อมกับที่โรเบิร์ตตั้งข้อสังเกตชวนหลอนได้ข้อหนึ่ง
"เราลืมอะไรไปบางอย่างนะ พวกเราเจอเธอในตอนกลางคืน แล้วยังเป็นในป่าด้วย ..ไม่ต้องมองฉันด้วยสายตาแบบนั้น! ฉันแค่จะบอกว่าบางทีเธออาจไม่ใช่....คน"
“ว้ากกกก!!”
ทางด้านเรธิเซียที่ทำคนอื่นหลอนไปตามๆ กันกำลังเดินลัดเลาะไปตามถนนวังเวงอย่างไร้จุดหมาย พอเธอคิดเรื่องประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกโดยไม่ตรงกับความจริงแม้แต่น้อย ก็พาลอารมณ์เสียขึ้นมาอีกรอบ "ผู้ชนะเป็นผู้จารึก" ประโยคนี้ลอยอยู่ในหัวตลอดเวลาหลังจากได้ยินสิ่งที่โรเบิร์ตพูด นับว่าเป็นคำพูดที่ไม่ผิดไปจากความจริงแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อเครียดไปก็ไม่มีประโยชน์ เรธิเซียก็เปลี่ยนมามองทิวทัศน์รอบๆ แทน บ้านประหลาดทรงแท่งสูงไร้ความสวยงามเรียงติดกันยาวสุดซอย ไฟสลัวๆ และตึกร้างยิ่งทำให้บรรยากาศเงียบเหงายิ่งขึ้น
ดูเหมือนตำแหน่งที่เธอออกมาจากป่าจะอยู่ท้ายซอยเพราะยิ่งเดินไปไกลเท่าไหร่รอบข้างก็ยิ่งดูดีขึ้น..ดูเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้น..อีกทั้งยังมีรถสัญจรไปมาไม่ขาดสาย เด็กสาวเอาผ้าคลุมที่เธอพกติดตัวตลอดเวลาทั้งที่ไม่เคยได้ใช้มาคลุมตัวไว้ ชุดทูนิคเป็นจุดสนใจเกินไปเพราะฉะนั้นการหาอะไรมาปิดบังดูจะเป็นการดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องน่าปวดหัว แต่ถึงอย่างนั้นการถือธนูเดินไปมาก็ยังเป็นเรื่องผิดวิสัยของคนทั่วไปอยู่ดี..
"กลับกันเถอะ ดึกแล้วอันตราย" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี เธอหันกลับไปมองก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งยืนพูดกับหญิงสาวอีกคน "ไม่ คราวนี้ฉันรู้สึกได้จริงๆแถวนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ อะไรบางอย่างที่เป็นเบาะแสต่องานพวกเรา" หญิงสาวคนนั้นพูดเสียงแข็งจนสุดท้ายชายหนุ่มก็ยอมเดินตามเงียบๆ โดยไม่แย้งอะไรขึ้นมาอีก แต่แล้วสายตาของหญิงสาวก็มาหยุดที่เธอ เรธิเซียสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังตรงมาทางเธอ
"นี่หนูมาทำอะไรที่นี่กลางค่ำกลางคืนจ๊ะ เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นห่วงแย่" เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เรธิเซียสัมผัสได้ว่าคำพูดนั้นมาจากใจจริงไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด ไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรสายตาของหญิงสาวตรงหน้าก็มาหยุดอยู่ที่ธนูซึ่งถูกสะพายพาดบ่า ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาจนแทบจะเห็นภาพฟันเฟืองที่หมุนอย่างรวดเร็วแทนสมองของคน
"เชน! ฉันเจอแล้ว" เธอตะโกนขึ้นเส้นผมสีเขียวเข้มสะบัดตามแรงลมเฉียดหน้าเด็กสาวหลงยุคไปเพียงนิดเดียว ชายคนนั้นเดินตามตามเสียงเรียกและมองอย่างอยากรู้อยากเห็น "เด็กคนนี้น่ะเหรอ" เธอไม่พูดอะไรก่อนจะหันมาสบตาเรธิเซีย
"น้าจะตั้งสมมติฐานขึ้นมา หนูฟังเงียบๆ ไปก่อนจนกว่าน้าจะพูดจบ.. ตกลงนะ" หญิงสาวขอความร่วมมือและเมื่อไม่เห็นว่าเรธิเซียขัดข้องจึงพูดต่อ "ให้เดานะ หนูเคยอยู่ช่วงเวลาหนึ่งซึ่งเป็นช่วงก่อนสมัยนี้อาจจะสักร้อยหรือพันปี แต่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลเลย และตอนนี้หนูก็ไม่มีที่อยู่"
เรธิเซียพยักหน้าน้อยๆ แต่ก็เพียงพอให้หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีเขียวยิ้มกว้าง "ดูท่าเราคงมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกเยอะ ไปคุยที่บ้านน้าแล้วกัน" โดยไม่รอคำตอบ คนเสนอความเห็นคว้าแขนเด็กสาวที่ยืนหน้าเหวออยู่และพาขึ้นรถทันที ชายหนุ่มผมสีเทาเจ้าของตำแหน่งสารถีประจำตัวส่ายหน้าขำๆ กับท่าทางเช่นนั้นของคนรักก่อนเดินตามทั้งคู่ไป
ความคิดเห็น