ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Great Warrior Online สงครามมหาราชันย์

    ลำดับตอนที่ #2 : Chap.1 เทพแห่งความโชคร้าย (re)

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ย. 66


     

    เทพแห่งความโชคร้าย

     

    เสียงนกร้อง กลิ่นหญ้าและลมที่พัดมากระทบใบหน้าปลุกเรธิเซียจากการหลับใหล รอบกายของเธอถูกห้อมล้อมด้วยป่าไม้และทุ่งหญ้า สมองอันงุนงงค่อยๆ ประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช้าๆ แล้วภาพจักรวรรดิที่ถูกรุกรานรวมถึงภาพเปลวเพลิงในวาระสุดท้ายของตนปรากฏขึ้น เรธิเซียขมวดคิ้วก่อนชันตัวขึ้นเพื่อสำรวจรอบข้าง ต้นไม้สูงใหญ่บดบังทัศนวิสัย เธอเดินไปอย่างไร้จุดหมาย อย่างน้อยก็ดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ รอสัตว์ป่ามาคาบไป สภาพที่ปกติเต็มร้อยของเธอทั้งชุดเกราะและร่างกายที่ไร้รอยขีดข่วนนั้นเป็นไปไม่ได้เลยถ้าจะบอกว่าพึ่งถูกจุดไฟเผาทั้งเป็นมา ไหนจะยังมีธนูกับดาบที่เธอมักจะใช้ ..ทั้งที่ก่อนถูกเผาของพวกนี้ล้วนถูกริบไปหมดแล้ว

     

    ต้นไม้ที่มากมายทำให้ป่าแห่งนี้ดูรกทึบและอันตราย ลำธารที่ทอดยาวลงมาจากภูเขาทำให้เรธิเซียตัดสินใจพักตรงนี้เพื่อดื่มน้ำเอาแรงก่อนจะหาทางออกจากป่า ทันทีที่น้ำผ่านคอลงไปเธอก็พบว่าตัวเองกระหายน้ำขนาดไหน ลำคอแห้งผากจากการขาดน้ำมานานพอสมควรรวมทั้งระยะทางที่เดินโดยใส่ชุดเกราะหนักๆ ไม่แปลกเลยหากเธอจะต้องการน้ำเพื่อรักษาสมดุลร่างกาย การเดินทางที่ไร้เป้าหมายทำให้ ‘อดีต’ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเบรคาเชียนตัดสินใจถอดชุดเกราะออกเพื่อออมแรงไว้สำหรับการเดินทางไกล เธอสวมชุดทูนิคแบบกรีกทับด้วยผ้าคลุมไหล่จากขนสัตว์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชนิกุล สะพายธนู สายคาดเอวทองคำมีมีดประจำราชวงศ์ที่ถูกเก็บในฝักหนังเหน็บอยู่ ผมสีบลอนด์ถูกเกล้าขึ้น

     

    ถึงในหนังสือเกี่ยวกับการผจญภัยในป่าตัวเอกมักจะเจอกับสัตว์ร้ายอย่างสิงโต เสือหรือหมีเป็นธรรมดา แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นโอกาสที่จะเจอพวกมันมีน้อยมาก ถ้าไม่โชคร้ายอย่างที่สุดก็แทบไร้โอกาสเจอ ..ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ไม่เจอจริงๆ นั่นล่ะ.. แต่ไม่ใช่กับเรธิเซีย ราชินีแห่งความโชคร้าย ดวงตกและอีกหลายๆ อย่าง ในตอนนี้ก็เช่นกัน เธอยืนประจันหน้ากับสิงโตฝูงหนึ่งอยู่ มันมีกันเจ็ดตัวและที่สำคัญ ดูเหมือนว่ามันจะเห็นเธอเป็นอาหารอันโอชะสำหรับมื้อนี้เสียด้วย

     

    ในขณะที่พวกมันเดินคุมเชิง เรธิเซียเองก็ขึ้นลูกธนูเตรียมไว้เช่นกัน เมื่อหน่วยกล้าตายตัวแรกกระโจนเข้ามาหวังจะคร่าชีวิตในคมเขี้ยวเดียว ลูกธนูก็ถูกปล่อยจากสายในทันที ลูกศรปักเข้าที่ลำคอของสิงโตตัวผู้ ส่งมันลงไปดิ้นทุรนทุราย โดยไม่ทันให้ตั้งตัวสิงโตอีกสองตัวพุ่งเข้ามาหมายจะตะปบเธอ เรธิเซียเอี้ยวตัวหลบก่อนจะกระทุ้งคันธนูเหล็กกล้าเข้าที่ท้องของมันและคว้ามีดแทงกลางลำตัวของสิงโตตัวที่สอง สามในเจ็ดถูกจัดการในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้อีกสี่ตัวที่เหลือเริ่มถอยร่นไปอย่างรักตัวกลัวตาย และเมื่อเธอยิงธนูปักพื้นห่างจากตำแหน่งที่พวกมันยืนไม่ถึงครึ่งฟุต อดีตผู้ล่าก็หันหลังกลับและวิ่งหายเข้าป่าไปทันใด

     

     เด็กสาวระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้วทว่าเธอก็ยังไม่สามารถหาทางออกนอกป่าได้ แม้จะจัดการกับสัตว์ป่าที่เห็นเธอเป็นเหยื่อได้อย่างง่ายดายแต่เรธิเซียที่เคยค้างแรมในป่ามานานก็รู้ดีว่าในเวลากลางคืนป่าแห่งนี้จะอันตรายขึ้นอีกหลายเท่าตัว และขณะที่เธอเริ่มมีความคิดว่าควรจะสร้างที่พักค้างแรมชั่วคราวเพื่อหาทางออกในวันถัดไป เธอก็ได้ยินเสียงพูดคุยจากอีกด้านหนึ่ง ประกายแห่งความหวังเริ่มก่อขึ้นมา แต่ในใจกลับคิดว่าเธอไม่น่าจะโชคดีได้ขนาดนั้น

     

    ถัดไปไม่ไกลนักมีชายฉกรรจ์ราวๆ สิบคนสวมชุดสีดำปิดหน้าปิดตาที่ใครดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีแน่ๆ เรธิเซียนิ่วหน้าก่อนจะย่องไปหลบหลังต้นไม้เพื่อสังเกตการณ์ เสียงตะโกนอู้อี้แม้จะฟังยากเพราะผ้าที่ปิดปากอยู่แต่ก็พอจับใจความได้

     

    "พวกแกรีบๆ เอาของไปส่งสิวะ เดี๋ยวใครมาเจอเข้าก็ซวยกันหมด"

     

    "หัวหน้าครับต้นไม้พวกนี้มันตัดยากนะครับกว่าจะได้ แยกส่งยาไปก่อนแล้วค่อยส่งไม้พวกนี้ตามไปทีหลังไม่ดีกว่าเหรอครับ" 

     

    "เออๆ! งั้นเอ็งน่ะไปส่งของก่อน แล้วเดี๋ยวเอ็งไปส่งไม้พวกนี้แล้วกัน" ชายร่างยักษ์ที่น่าจะเป็นหัวโจกชี้ไปยังชายอีกสองคนที่ยืนถัดไปไม่ไกลนัก แต่ในวินาทีถัดมาเธอก็ไม่มีอารมณ์จะมาสนใจแล้วว่าพวกนี้กำลังจะทำอะไรกัน เพราะตรงหน้าเธอมีงูเห่าขนาดใหญ่กำลังแผ่แม่เบี้ยจ้องมาอย่างดุร้าย

     

    "ซวยแล้วไง" เรธิเซียสบถ จะหนีก็กลัวคนพวกนั้นจะเห็นแต่ถ้าจะอยู่ที่เดิมมีหวังโดนงูฉกตาย เมื่อคำนวณความเสี่ยงแล้ววิ่งหนีดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าอย่างน้อยคนพวกนั้นก็อยู่ไกลกว่า ว่าแล้วเธอก็ออกแรงวิ่งสุดชีวิตทันที

     

               "เฮ้ย! ใครวะ!!" หนึ่งในเหล่าชายฉกรรจ์ตะโกนขึ้น คนเป็นหัวหน้าหันขวับมาทันทีก่อนตะโกนอย่างรีบร้อน "ใครที่มันรู้เรื่องนี้อย่าให้รอดไปได้!! จะยืนทำซากอะไรไอ้พวกโง่! ตามมันไปสิวะ!!" เธอจึงต้องเปลี่ยนจากวิ่งหนีงูไปเป็นวิ่งหนีกลุ่มชายฉกรรจ์อาวุธครบมือโดยมีเสียงพึมพำประกอบฉากไปตลอดทาง "เอาแล้วไง ซวย.. ซวยจริงๆ"  

    .

    .

    .

      "มันอยู่ทางนั้น! อย่าให้คลาดสายตาไปได้!!"

     

    เสียงตะโกนไล่หลังดังขึ้นพร้อมกับเสียงแหวกอากาศชวนสยอง ลูกตะกั่วขนาด9มิลลิเมตรฝังเข้าเนื้อไม้ใกล้ๆ ตำแหน่งที่เธอวิ่งผ่าน เด็กสาวสบถเป็นภาษาโบราณเมื่อเห็นอาวุธประหลาดที่มีระยะโจมตีมากกว่าหอกหรือธนู สองขาก้าวยาวและถี่กว่าเดิมแต่เธอก็ตระหนักได้ว่าคนพวกนั้นรู้จักป่าแถบนี้อย่างดี ผิดกับเธอที่หลงเข้ามาลิบลับ เพราะฉะนั้นต่อให้เธอจะหนีได้เร็วแค่ไหนสุดท้ายก็ถูกไล่ทันอยู่ดี จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนมาเป็นจัดการศัตรูให้ได้ก่อนจะถูกจัดการ

     

    เรธิเซียเร่งฝีเท้ามากขึ้นเพื่อให้พวกนั้นคลาดสายตาแม้จะเพียงระยะสั้นๆ ก็ตาม เธอกระโดดไปบนต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งแผ่กิ่งก้านออกมามากพอที่จะบดบังร่างของเธอจากสายตาคนพวกนั้นได้ ...เธอไม่ต้องการฆ่าใคร ดังนั้นยาที่มีฤทธิ์เพียงให้สลบเท่านั้นจึงถูกนำมาใช้แทนลูกดอกอาบยาพิษ แต่ถ้าลูกธนูพลาดเป้าไปโดนจุดสำคัญ.... มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เธอหยิบตลับเล็กๆ ซึ่งบรรจุยาพิษไว้ภายในออกมาจากกระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่เหน็บอยู่กับสายคาดเอวและใช้ปลายของลูกธนูแตะเพียงเล็กน้อย ยาพิษสีเขียวที่ฉาบอยู่ยิ่งทำให้ลูกธนูเหล่านี้ดูไม่น่าพิสมัยหนักขึ้นไปอีก

     

    เรธิเซียจำเป็นขึ้นลูกธนูทั้งหมดที่เหลือซึ่งมีเพียงสี่ดอกและรอจังหวะ ชายฉกรรจ์ที่ตามเธอมามีทั้งหมดหกคน เป็นไปได้สูงว่าเมื่อเธอยิงออกไปทั้งสี่ดอกแล้วอีกสองคนที่เหลือจะสามารถจับตำแหน่งทิศทางของลูกศรได้ก่อนที่เธอจะพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งถัดไป ความคิดนี้ทำเอาเธอหัวเสียไม่น้อย ท่าทางว่าอีกสองคนจะต้องเล่นไม้หนักแทนที่จะได้สลบไปสบายๆ เสียแล้ว

     

    เธอเล็งลูกธนูไปยังคนที่ดูอันตรายที่สุดที่กำลังเดินนำสอดส่องสายตาหาร่องรอยของเธอ ด้วยความชำนาญ ลูกธนูของเรธิเซียไม่คลาดเป้าแม้แต่น้อย ลูกธนูปักเข้าที่เข่าของชายคนนั้นจนล้มลงเลือดอาบไปทั้งขาและโอดครวญอย่างเจ็บปวดก่อนจะหมดสติในเวลาไม่นาน พวกที่เหลือตื่นตระหนกกับการถูกลอบโจมตี ไม่ทันที่ใครจะได้ทำอะไร ลูกศรอีกสามดอกก็ปักเข้าตามจุดต่างๆ ที่แม้ไม่สำคัญนักแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนทั้งหมดไม่อาจต่อสู้ได้อีก

     

    นับเป็นโชคดีที่จนถึงตอนนี้อีกสองคนสุดท้ายก็ยังไม่สามารถจับตำแหน่งของเรธิเซียได้ แสดงว่าการจัดการสี่คนนั้นที่ดูจะอันตรายพอสมควรก่อนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว แต่นั่นก็ถือเป็นโชคดีของทั้งคู่เช่นกัน เพราะไม่อาจจับตำแหน่งของเรธิเซียได้เธอจึงไม่จำเป็นต้องจัดการด้วยวิธีอันตรายอย่างการใช้มีดแต่เปลี่ยนเป็นการใช้เข็มเป่าผ่านกระบอกไม้เล็กๆ ปักเข้าตามจุดชีพจรเพื่อให้คนพวกนั้นสลบไปแทน ถึงจะสามารถสลัดกลุ่มคนที่ไล่ล่าเธอได้สำเร็จก็จริง แต่เส้นทางที่ใช้ยิ่งทำให้หลงเข้ามาลึกกว่าเดิม จนกระทั่งพลบค่ำแล้วเธอก็ยังไม่สามารถออกจากป่าได้

     

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรจะทำในตอนนี้คือการหนีให้ไกลจากคนกลุ่มนี้ให้มากเท่าที่จะทำได้และรวบรวมกิ่งไม้ใบไม้เพื่อใช้ทำเป็นที่นอนชั่วคราว ขณะที่คิดอย่างสิ้นหวังว่าวันนี้คงได้นอนเป็นเพื่อนสิงห์สาราสัตว์ทั้งหลาย สายตาก็เหลือบไปเห็นควันที่ลอยออกมาจากในป่าลึกเข้าไปอีก "มีควัน.... ก็ต้องมีคน" ประกายแห่งความหวังก่อขึ้นมาในใจ แต่ลึกๆ แล้วเธอกลับคิดว่าไม่มีทางโชคดีขนาดนั้นหรอก เทพเจ้าแห่งความโชคร้ายโปรดปรานเธอเสมอ อาจจะเป็นการเผาหญ้า หรือไฟไหม้ป่าแทน ถึงกระนั้นเรธิเซียก็ยังมุ่งหน้าไปยังจุดที่เกิดควันอยู่ดี

      

    เรธิเซียเดินไปยังทิศทางที่มีควันและได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่ไฟไหม้ป่า ตาฝาด หรือเจออริเก่าที่วิ่งไล่กันมานั่งจุดไฟไล่ยุงกันอยู่ แต่ดูเหมือนเทพแห่งความโชคร้ายประจำตัวจะพักร้อนชั่วคราว เธอเจอเด็กหนุ่มสองคนนั่งเผาหญ้าอยู่ ...นั่นไม่ได้แย่อะไร ใจหนึ่งเธอก็อยากจะถามทางออกจากป่า แต่อะไรบางอย่างบอกเธอให้อยู่เงียบๆ และซ่อนตัวไว้

     

    "ที่นายท่านเรียกเข้าไปน่ะ มีเรื่องอะไร" เจ้าของเสียงพูดกับชายอีกคนที่ใช้ไม้เขี่ยไฟเล่น เขาถอนหายใจหนักๆ ก่อนโยนไม้ท่อนนั้นลงกองไฟส่งเสียงเปรี๊ยะ! แสงสีส้มจากกองไฟที่กระทบใบหน้ายิ่งทำให้เขาดูลึกลับ "ไม่มีอะไรหรอก ท่านเรียกไปคุย'เรื่องนั้น'เหมือนเดิมนั่นล่ะ แต่ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ งานนี้ฉันขอบายแล้วกัน"

     

    จากการสังเกต...เท่าที่คนหลงป่าและวิ่งจนตาลายจะสังเกตได้...ทั้งคู่น่าจะอายุไล่เลี่ยกันราวๆ สิบแปดหรือสิบเก้าปี ใกล้เคียงกับเธอ ชายคนแรกดูจะเป็นคนขี้เล่น เส้นผมสีดำกระเซอะกระเซิงราวกับไม่ได้รับการดูแลมาหลายปี...หรืออาจทั้งชีวิต เพราะมันเละยิ่งกว่ารังนกเสียอีกตรงข้ามกับชายอีกคนที่ท่าทางจะเป็นคนเงียบๆ อาจเป็นเพราะพูดแทรกเพื่อนของตนไม่ทันหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ชายคนนั้นผมเผ้าเป็นระเบียบต่างจากคนแรกราวฟ้ากับเหว รวมๆ แล้วดูเป็นผู้ดีเกินกว่าจะมานั่งเขี่ยกองไฟในป่ารกทึบเช่นนี้

     

    "โอ๊ะ! อีกเดี๋ยวพวกนั้นก็มาแล้ว เฮ้อ จะได้กลับบ้านซะที" เด็กหนุ่มพูดอย่างเบิกบานแต่คนเป็นเพื่อนกลับส่ายหน้าอย่างขำๆ และพูดปราม "เก็บอาการหน่อย เดี๋ยวจะไม่ได้กลับก็เพราะนายนายอู้เนี่ยแหละ อีกอย่างนะพวกเราก็อยู่แบบนี้มาตั้งนานแล้วยังไม่ชินอีกรึไง"

     

    "ใครจะไปความอดทนสูงเหมือนนายกัน แล้วฉันก็ไม่ชินหรอกนะกับการมานั่งก่อกองไฟตบยุงก่อนกลับบ้านทุกวัน ไม่ ชิน แน่ๆ" เขาบ่นอิดออด ประเด็นในการพูดคุยเปลี่ยนเป็นเรื่องสัพเพเหระไม่ใช่ 'เรื่องนั้น' ที่พวกเขาพูดถึงก่อนหน้านี้อีกแล้ว เรธิเซียยังคงแอบหลังต้นไม้อย่างเงียบเชียบเพื่อสังเกตสถานการณ์และในขณะที่เธอกำลังจะก้าวออกจากที่ซ่อนเพื่อถามทาง เสียงย่ำใบไม้ก็ดังขึ้นก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสอง รายนี้เป็นชายร่างยักษ์ตัวใหญ่บึกบึน คำว่า 'อกสามศอก' สามารถอธิบายรูปร่างของเขาได้เป็นอย่างดี

     

    "แล้วคำตอบล่ะ" ผู้มาใหม่พูดขึ้นพลางกวาดสายตาไปยังคนทั้งคู่ซึ่งไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย... คนแรกนั่งผิวปากอย่างอารมณ์ดี ส่วนคนที่สองยังใช้ไม้ท่อนต่อไปเขี่ยกองไฟราวกับมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

     

    "พวกเราขอปฏิเสธ" หนึ่งในนั้นตอบเนิบๆ แต่สายตายังคงจับจ้องที่กองไฟเช่นเคย เขาแค่นเสียงก่อนปรายตามายังจุดที่เธอซ่อนตัวอยู่และนิ่วหน้า เด็กหนุ่มคนเดิมเหลือบตาขึ้นมามองในตำแหน่งเดียวกันพร้อมกับส่ายหน้าปรามให้เธอเงียบไว้ เพียงเท่านั้นเรธิเซียก็รู้ถึงความผิดพลาดครั้งใหญ่ของตน 

     

    "ซวยล่ะ ลืมซ่อนจิต"

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×